ภาคโซมายา บทที่ 5 ข้อเสนอของบุรุษลึกลับ
"ถ้ายังไม่ตื่นฉันจะเผาเธอแล้วนะ"" คำขู่ได้ผลเมื่อเอลลานีนลืมตาโพรง และพยายามกลิ้งร่างอวบๆ ของตัวเองออกให้ห่างเขามากที่สุด
"บ้านเมืองมีกฎหมาย คุณจะเผาคนส่งเดชไม่ได้นะ" เธอถลึงตาใส่
บุรุษเบื้องหน้าคือคนเดียวกันอย่างไม่ผิดเพี้ยน ยิ่งได้เห็นกันในระยะใกล้อย่างนี้ยิ่งดูดีไร้ที่ติจริงๆ ทั้งเครื่องหน้าที่รับกันเหมาะเจาะและลงตัวราวถูกปั้นแต่ง ชุดหนังที่เข้ารูปขับเน้นความงดงามของเรือนร่างบุรุษเพศให้โดดเด่น ทั้งแจ๊กเก็ตที่สวมทับและถุงมือหนังล้วนตัดเย็บด้วยรายละเอียดอันปราณีต แต่ทั้งหมดทั้งมวลที่ว่ามานี้นั้น บุรุษตรงหน้านี้กลับมีบรรยากาศสูงส่งเกินจะเอื้อมถึง นี่คือนิยามทั้งหมดที่เธอสัมผัสได้จากเขา ดวงตาสีน้ำทะเลใสกระจ่างราบเรียบปราศจากคลื่นลมมองเธออย่างขบขันก่อนริมฝีปากจะขยับเอื้อนประโยคต่อไป
"เราพบกันครั้งที่สามแล้วนะ"
"ใช่...พบคุณทีไรฉันเข้าใกล้ความตายทุกที" เธอกล่าวหาด้วยน้ำเสียงจริงจัง และหมายความตามนั้นจริงๆ
"เธอไม่คิดว่าตัวเองจะเป็นฉนวนเรียกปีสาจรึไง" เจ้าของรองเท้าบูทหุ้มข้อขยับถอยห่างเมื่อเธอตั้งท่าจะลุก
"คุณกล่าวหาฉันหนักไปแล้ว คนธรรมดาอย่างฉันปีสาจจะอยากได้ไปทำไมกัน พลังวงพลังเวทย์อะไรฉันก็ไม่มี เอาไปก็จะเป็นภาระให้เลี้ยงดูเปล่าๆ" เธอแย้งเบาๆ พยายามที่จะลุกขึ้น แต่สะภาพของเธอมันไม่เอื้อสักเท่าไหร่ บุรุษตรงหน้าทนเห็นสภาพช่วยเหลือตัวเองของเด็กสาวไม่ได้จึงส่งมือภายใต้ถุงมือให้เธอจับอย่างเสียไม่ได้
"ขอบคุณค่ะ รบกวนคุณพาฉันไปนั่งหน่อยได้ไหม ฉันไม่มีแรงยืนแล้ว" เธอขอร้อง เพราะรู้ตัวดีว่าสภาพหลังจากที่เธอใช้พลังงานไปจนหมดนั้นมันย่ำแย่เพียงใด
ชายหนุ่มทำตามคำขอของเธออย่างไม่อิดออด เขาประคองร่างอ่อนปวกเปียกของเธอไปนั่งลงบนม้าหินอ่อนหน้าร้านอาหารตามสั่งที่หน้าร้านไร้ร้างผู้คน เนื่องจากเป็นวันหยุดร้านจึงไม่เปิดทำการอย่างทุกที อาการหมดเรี่ยวหมดแรงที่ประสบในยามนี้ทำให้เธอไม่มีเวลามาคิดถึงความเหมาะสมระหว่างชายหญิง จึงได้แต่ปล่อยให้เขาพยุงไป
"สรุปว่าตัวประหลาด เอ่อ!...ไม่สิ...ปีสาจที่คุกคามฉันกับพี่สาว มันต้องการฆ่าพวกเราไปทำไมกันคะ" เอลลานีนตัดสินใจถาม เพราะมั่นใจเลยว่าบุรุษตรงหน้าที่ยืนเอามือไพ่หลังใช้สายตาสำรวจเธอในยามนี้สามารถไขข้อข้องใจให้เธอได้ ที่สำคัญเธอบอกตัวเองให้สุภาพกับคนตรงหน้าให้มากๆ หน่อย เพราะภาพที่เขาย่างสดปีสาจนั้นยังคงติดตา ถ้าพลาดพลั้งถูกเขาย่างสดเธอคงต้องกลายเป็นหมูหันแน่ๆ
"พี่สาวเธอเกี่ยวอะไรด้วย มีแต่เธอที่นำภัยมาให้พี่สาวต่างหากเล่า" คำพูดไม่ถนอมน้ำใจของคนตรงหน้าทำให้เอลลานีนรู้สึกห่อเหี่ยว นี่เขาคงไม่ได้หมายความว่าเธอเป็นตัวหายนะอย่างที่พูดจริงๆ หรอกนะ
"ฉันหมายความตามที่พูดทุกคำ พวกมันต้องการตัวเธอ"
"ต้องการตัวฉันเนี่ยนะ" เอลลานีนตกใจจนลืมตั้งข้อสงสัยว่าทำไมเขาถึงตอบคำถามที่อยู่ในความคิดของเธอได้ถูกต้อง
"ใช่..." คำตอบแสนสั้น และเหมือนว่าเขาเองก็ไม่คิดที่จะอธิบายขยายความให้ชัดเจนกว่านี้เสียด้วยทำให้เอลลานีนรู้สึกหงุดหงิด
"แล้วทำไมต้องการตัวของฉันด้วย คุณช่วยอธิบายให้ฉันเข้าใจกว่านี้หน่อยได้ไหม...คะ" น้ำเสียงเดือดดาลแต่ยังไม่ลืมทอดหางเสียงเพื่อคงความสุภาพของเด็กสาว ทำให้ชายหนุ่มที่รับรู้ความหวาดกลัวของเธอถึงกับยกมุมปากขึ้นอย่างขบขัน
"ไม่รู้สิ" คำตอบที่ไม่คาดคิดว่าจะได้รับทำให้เอลลานีนปรี๊ดแตก
"อ้าว! แล้วคุณบอกว่ามันต้องการคุกคามฉันได้ยังไงล่ะ อย่าพูดมั่วสิคะ" แม้ร่างกายจะไร้เรี่ยวแรง แต่เธอก็ยังสามารถโต้เถียงได้อย่างไม่ขาดตกบกพร่อง
"ไม่เกินวันสองวันนี้ เธอก็จะได้เจอกับมันอีก ถ้าไม่อยากให้คนใกล้ตัวรับอันตราย อีกสามวันมาหาฉันที่ท่าเรือ ฉันจะพาเธอไปที่เมืองโซมายา ไปทำงานในคฤหาสน์เทซนิม" จบคำโลหะกลมเย็นๆ ก็ตกลงบนตักของเธอพร้อมกับร่างที่เคลื่อนห่างออกไป
"ดะ...เดี๋ยวสิคะ แล้วฉันจะเชื่อใจคุณได้ยังไงว่าคุณจะไม่ทำร้ายฉันเหมือนปีสาจพวกนั้นน่ะ" เอลลานีนละล่ำละลักถามออกไปก่อนที่เขาจะเดินพ้นมุมตึกหายไปจากคลองสายตา
"ไม่ต้องเชื่อใจฉันหรอก แต่การที่เธอไปจากที่นี่อย่างน้อยครอบครัวมนุษย์ธรรมดาของเธอก็ไม่ต้องเผชิญกับปีสาจพวกนั้น และคฤหาสน์เทซนิมคุ้มครองเธอจากปีสาจพวกนั้นได้ ถ้าเธออยากรู้ว่าทำไมตัวเองถึงเป็นที่ต้องการของพวกปีสาจละก็ เธอก็สามารถสืบจากที่เมืองโซมายาได้เลย" เสียงเนิบนาบยามอธิบายเหมือนว่าเขาอยู่ตรงหน้าเธอนี่เอง ทั้งๆ ที่ร่างของเขาอยู่ห่างจากเธอมากพอสมควร
"แล้วงานที่ฉันจะต้องทำคืองานอะไร" เด็กสาวถามต่อเมื่อเห็นว่าเขาตั้งท่าจะออกเดิน
"แม่ครัว" พูดจบร่างของเขาก็ค่อยๆ เลือนหาย
"ดะ...เดี๋ยวสิคุณ... ยังคุยกันไม่รู้เรื่องเลยนะ กลับมาคุยกันก่อน" เอลลานีนตะเบ็งเสียงเรียก แต่ดูเหมือนว่าบุรุษลึกลับจะไม่สนใจกับเสียงเรียกของเธอ
"คนบ้า นึกอยากจะไปก็ไป นึกอยากจะมาก็มา เมื่อวานยังทำเป็นไม่รู้จักกันอยู่เลย" เธอบ่นกระปอดกระแปด แต่ก็ต้องยิ้มออกมาเมื่อได้ยินเสียงเรียกอย่างห่วงใย
"เอลล่าเป็นอะไรน่ะ" อลิเซียวิ่งหน้าตาตื่นตรงเข้ามาลูบหลังลูบไหล่เด็กสาวอย่างตระหนก ยิ่งเห็นสภาพสะบักสะบอมของน้องสาวด้วยแล้วอลิเซียก็มีสีหน้าซีดขาว เอลลานีนจึงส่งยิ้มให้เธอเพื่อคลายคามกังวล
"ใครทำอะไร บอกพี่มานะ" เธอซักพร้อมๆ กับกวาดตาสำรวจรอยฟกช้ำดำเขียวที่โผล่พ้นเสื้อผ้าออกมา
"มีเรื่องกับตัวประหลาด...เอ๊ย! ปีสาจนิดหน่อยน่ะ" เด็กสาวส่งยิ้มแห้งๆ แต่เมื่อเห็นแววห่วงใยจากดวงตาของอลิเซียเธอจึงรีบพูดปลอบใจ
"พี่ไม่ต้องห่วงหรอก ไม่มีส่วนไหนเสียหาย แค่รอยฟกช้ำนิดๆ หน่อยๆ เอง ว่าแต่พี่ช่วยพยุงฉันไปหน่อยน้า หรือไม่พี่ก็ถอยรถมารับฉันตรงนี้ก็ได้" เอลลานีนส่งสายตาอ้อนๆ และนั่นทำให้อลิเศียอดที่จะยิ้มออกมาไม่ได้
"เดี๋ยวพี่พยุงไปเอง บอกตรงๆ ไม่กล้าปล่อยให้นั่งรอตรงนี้คนเดียวหรอก" หญิงสาวเข้ามาประคองร่างของน้องสาวก่อนจะค่อยๆ ออกเดินไปยังรถที่จอดยังลานจอดรถที่อยู่ไม่ไกล
"แต่ถ้าถึงบ้านเราต้องคุยเรื่องนี้กัน" เธอว่า เอลลานีนเพียงพยักหน้าหงึกหงักเป็นการตอบรับ
เมื่อถึงบ้านเด็กสาวก็เล่าทุกอย่างให้พี่สาวและแดนนี่ที่แวะมากินข้าวที่บ้านฟังไปพร้อมๆ กันอย่างไม่ขาดตกบกพร่อง รวมถึงบทสนทนากับบุรุษลึกลับที่เข้ามาช่วยได้ทันท่วงที เอลลานีนตัดสินใจส่งโลหะกลมแบนที่ได้รับจากชายหนุ่มให้อลิเซีย เพราะเธอคิดว่าอย่างไรเสียอลิเซียน่าจะรู้อะไรมากกว่าเธอที่มาจากอีกโลกเป็นแน่
"สัญลักษณ์ของคฤหาสน์เทซนิมจริงๆ ด้วย" ผู้ที่สร้างความประหลาดใจให้คือแดนนี่ว่าที่พี่เขยของเด็กสาวเอง ในขณะที่อลิเซียพลิกดูโลหะในมือไปมา
"จริงเหรอ ฉันแค่รู้สึกคลับคล้ายคลับคลา แต่ก็นึกไม่ออกว่าเป็นของคฤหาสน์ไหนน่ะ" อลิเซียสารภาพ
"ไหนขอดูใกล้ๆ หน่อย" แดนนี่คว้าโลหะในมือจากว่าที่ภรรยามาส่องใกล้ๆ
"ชายคนนั้นเขาบอกว่าปีสาจที่เรา เอ๊ะ! ไม่ใช่สิ เป็นเราที่มองเห็นมันคนเดียว ต้องการจับเราหรอกหรือ" อลิเซียหันมาถามน้องสาว ฝ่ายนั้นพยักหน้ายืนยัน
"ถ้าอย่างนั้นก็แย่น่ะสิ แล้วจะป้องกันกันยังไงล่ะคราวนี้" เธอพึมพำอย่างกังวล
"เขาบอกให้ฉันไปเป็นแม่ครัวในคฤหาสน์นั่น เพราะอย่างน้อยปีสาจก็จะไม่สามารถทำอันตรายฉันได้ แต่ว่า...แต่ว่า..." เด็กสาวลังเล
"แต่อะไรล่ะ" อลิเซียที่อดรนทนไม่ไหวถามขึ้น
"แต่ว่าฉันไม่รู้จักเขาเลยน่ะสิ แม้กระทั่งชื่อของเขาฉันก็ยังไม่รู้เลย แล้วจะเชื่อถือเขาได้ยังไงกัน"
"แต่ตราคฤหาสน์นี่เป็นของจริง นั่นแสดงว่าเขาเป็นคนของเทซนิมอย่างไม่ต้องสงสัย บางทีเขาอาจจะเป็นพ่อบ้านที่มารับสมัครแม่ครัวประจำคฤหาสน์ในทุกๆ ปีก็ได้นะ" แดนนี่ตั้งข้อสังเกต พลางส่งโหลหากลมแบนคืนเด็กสาว
"ใช่แล้ว...นี่ก็ถึงฤดูกาลที่คนของเมืองโซมายามารับสมัครคนงานแล้วนี่นา"
"อย่าบอกนะว่าจะให้ฉันเชื่อคำพูดของคนแปลกหน้าน่ะ" เอลลานีนโอด
"ร้อยวันพันปีปีสาจไม่เคยโผล่มาเล่นงานเราเลยนะ แต่จู่ๆ เราก็ถูกคุกคาม แล้วถ้าครั้งต่อไปไม่ได้โชคดีอย่างสองครั้งแรกเล่า พี่จะทำยังไง" อลิเซียมองเด็กสาวอย่างกังวล
"พูดตรงๆ เลยนะ ชาวลูน่าที่ได้ฟังเรื่องเล่าของป้าๆ มหาภัยแล้ว คนส่วนใหญ่ก็จะเชื่อเรื่องเลวร้ายที่ป้าๆ กุขึ้นมาและทำให้คนเหล่านั้นมีแต่จะรังแกเอลล่าหนักขึ้นทุกวัน พี่คิดว่าการที่เอลล่าไปทำงานในเทซนิมก็น่าจะเป็นทางเลือกที่ดี อย่างน้อยอลิซก็ไม่ต้องเป็นห่วงกังวลว่าเอลล่าจะถูกรังแกอีก และเอลล่าเองก็ไม่ต้องอดทนกับคนน่ารำคาญพวกนั้นด้วย ตอนนี้เอลล่าอาจจะทนได้ แต่ถ้าเรียนจบแล้วเล่า จะมีที่ไหนในเมืองนี้ที่จะรับเอลล่าเข้าทำงานอีกล่ะ" แดนนี่กล่าวขึ้น ซึ่งเด็กสาวก็เห็นด้วยกับว่าที่พี่เขยจึงพยักหน้าหงึกหงัก
"แต่ว่าฉัน..." เอลลานีนยังคงลังเล
"ถ้ายังคิดไม่ตกก็ยังไม่ต้องคิดก็ได้ ไว้ถึงวันนัดแล้วเราไม่ไปเขาก็มาบังคับเราไม่ได้หรอกน่า" อลิเซียตัดบท
"อืม!" เอลลานีนรับคำแล้วก็รวบช้อนและเก็บจานชามไปล้าง จากนั้นก็ขึ้นห้องนอน ปล่อยให้ว่าที่บ่าวสาวพูดคุยกันต่อ
ในวันงานเด็กสาวตื่นแต่เช้าเพื่อเป็นลูกมือช่วยป้ามาลี โชคดีที่โบสถ์ทำพิธีอยู่ไม่ไกลมากนัก ผู้วิเศษประจำชุมชนมาร่วมเป็นสักขีพยานและอำนวยอวยพรให้คู่บ่าวสาวครองรักจนแก่เฒ่า เอลลานีนถูกผู้อวุโสทั้งฝ่ายเจ้าบ่าวและเจ้าสาวสั่งห้ามไม่ให้เข้าไปร่วมพิธีด้วยเหตุผลเดียวกับที่ป้าๆ มหาภัยยัดเยียดให้เด็กสาวอย่างไม่เป็นธรรม แม้ว่าอลิเซียกับแดนนี่จะคัดค้านเพียงใด แต่สุดท้ายทั้งคู่ก็ต้องยอมลงให้ เพราะไม่อยากสร้างปัญหาตั้งแต่งานยังไม่เริ่ม
เอลลานีนนั่งรอนอนรออยู่ที่บ้าน ใจจริงก็อยากจะไปเห็นงานแต่งของคนในโลกนี้สักครั้ง แต่เมื่อถูกสะกัดดาวรุ่งด้วยเหตุผลชวนปวดหัว เธอเลยได้แต่จินตนาการณ์วาดภาพเอาเอง
เอาเข้าจริงแล้วสิ่งที่เด็กคนนี้เผชิญอยู่ในตอนนี้ก็ไม่ต่างจากสิ่งที่เธอเผชิญมาในภพที่แล้วสักเท่าไร ต่อให้ครอบครัวเธอจะรวยล้นฟ้า มี ธุรกิจมากมายทั่วประเทศและผู้คนนับหน้าถือตาเพียงใด...แล้วอย่างไรเล่า ความสำคัญของลูกสาวอย่างเธอก็น้อยกว่าลูกชายอยู่วันยังค่ำ
ประโยชน์สูงสุดของเธอคือการแต่งงานเชื่อมตระกูล เพื่อสร้างฐานให้ครอบครัว และต่ออายุให้ตระกูลมีหน้ามีตาในสังคมต่อไป เธอได้แต่ทำตามความต้องการของครอบครัวเพื่อจะได้รับการยอมรับจากพ่อแม่ และพี่ชายเท่านั้น แต่ไม่มีใครบอกเธอว่าหลังชีวิตการแต่งงานกับคนที่เห็นผลประโยชน์มาเป็นอันดับหนึ่งอย่างสามีที่ครอบครัวของเธอเลือกเฟ้นมาให้นั้น ไม่ต่างอะไรกับการพาตัวเองลงขุมนรก
เกือบยี่สิบปีที่ใช้ชีวิตใต้ชายคาของครอบครัวสามีนั้น เธอมีชีวิตไม่ต่างจากคนรับใช้เลย หน้าที่ของเธอคือปรนนิบัติพ่อแม่และสามีโดยไม่ให้ขาดตกบกพร่อง ยัง...ยังไม่หมดแค่นั้น มันยังลามไปถึงญาติๆ ของพวกเขาด้วย
สถานะของเธอในบ้านไม่ต่างอะไรกับหัวหน้าแม่บ้าน เธอพยายามอดทน ไม่มีปากเสียงเพราะคิดว่านี่เป็นสิ่งที่ดีที่สุดที่ครอบครัวของตัวเองมอบให้ และนอกจากงานที่หนักจนเธอไม่มีเวลาดูแลตัวเองแล้ว พวกเขาก็ไม่ได้แสดงกิริยาหรือพูดจาให้เธอเจ็บช้ำน้ำใจ อีกอย่างพ่อแม่สามีก็ไม่ได้เร่งรัดให้เธอมีทายาทสืบสกุล จึงทำให้เธอต้องทำดีกับพวกเขามากขึ้น เพราะรู้สึกผิดที่ตัวเองทำหน้าที่ภรรยาได้ไม่ดีพอ
สามปีก่อนที่เธอจะตายด้วยโรคร้ายที่ยากจะรักษานั้น สามีเธอก็พาคุณนายที่สองเข้าบ้าน และที่น่าหดหู่ใจคือเธอและภรรยาอีกคนของเขาต้องอาศัยร่วมชายคาเดียวกัน เธอพยายามทำใจให้เย็นเหมือนน้ำ ละวางและปลดปลงเหมือนนักบวช แต่ความอดทนของเธอก็พังลง เมื่อคุณนายที่สองโยนข้าวของเครื่องใช้ของเธอออกจากห้องนอนใหญ่ที่เคยเป็นเรือนหอของเธอกับสามี
เธอพยายามปกป้องพื้นที่ของตัวเองอย่างสุดกำลัง จนพลาดพลั้งลงมือทำร้ายคุณนายที่สองอย่างไม่ตั้งใจ เธอคิดว่าพ่อแม่สามีจะต้องไม่กล่าวโทษเธอในความผิดครั้งนี้ แต่ผิดคาดเมื่อพวกเขาเลือกที่จะลงโทษเธอเพื่อปลอบใจเมี่ยคนที่สองของลูกชาย แม้กระทั่งสามีที่เธอมอบชีวิตที่เหลือให้ก็ตอบแทนความจงรักภักดีด้วยการประทับรอยฝ่ามือลงบนใบหน้าของเธออย่างไม่แยแส
เพียงข้ามคืนฐานะของเธอในครอบครัวของสามีก็ลดความสำคัญ เธอถูกพวกเขาให้ย้ายข้าวของออกจากเรือนหลังใหญ่มาอยู่ในเรือนเล็กบริเวณเขตพื้นที่เดียวกัน โดยให้เหตุผลกับครอบครัวของเธอว่า เธอไม่เคารพและเชื่อฟังพ่อแม่สามี ทั้งยังยกเอาเรื่องที่เธอไม่มีบุตรสืบสกุลมาเป็นข้ออ้างเพื่อตกแต่งภรรยาคนที่สองเข้าบ้านอีกด้วย ครอบครัวของเธอเองก็ไม่ได้โต้แย้งอะไร เพาะต้องพึ่งพาฐานะของสามีเธอประคองครอบครัว จึงเลือกที่จะเอาหูไปนาเอาตาไปไร่แทน
ด้วยสภาพจิตใจที่บอบช้ำกอรปกับโรคร้ายรุมเร้า เธอจึงไม่มีกำลังใจที่จะต่อสู้ พออายุล่วงเข้าหลักสี่เธอก็จบชีวิตอย่างเดียวดายในบ้านหลังเล็กที่ซึ่งเป็นที่พำนักเดียวที่ปลอดภัยอย่างเป็นสุข เพราะในที่สุดเธอก็หลุดพ้นจากชีวิตแสนเส็งเคร็งของตัวเองเสียที
ส่วนแม่หนูเอลลานีนนั้นโชคดีกว่าเธอที่มีครอบครัวที่ดี แต่สิ่งเลวร้ายที่เด็กสาวเผชิญนั้นเกิดจากลมปากของญาติๆ ผู้ไม่ประสงค์ดีพวกนั้น จึงทำให้ใช้ชีวิตอย่างไร้ซึ่งความสุข เธอรู้และเข้าใจเป็นอย่างดีว่าการถูกคนรอบข้างตัดสินให้เป็นอย่างนั้นเป็นอย่างนี้นั้นมันรู้สึกแย่เพียงใด ครั้นเธอจะฝืนใช้ชีวิตอยู่ที่นี่เพื่อพิสูจน์ความบริสุทธิ์ให้เด็กสาวในเวลานี้ก็คงไม่เหมาะนัก ยิ่งถ้าคิดจะทำมาหหากินด้วยแล้วคงจะยากไปกันใหญ่
เพราะคำว่า "กาลากินี" ที่บรรดาป้าๆ มหาภัยสั่งสมไว้ให้เด็กสาวนั้น ทำให้ไม่สามารถลืมตาอ้าปากในเมืองนี้ได้เลยจริงๆ ดังนั้นข้อเสนอของชายลึกลับที่จะให้ไปเมืองโซมายาจึงน่าสนใจไม่น้อย เธอไม่ได้หวาดกลัวปีสาจจะมาทำร้าย แต่กลัวว่าคนดีๆ ที่อยู่รอบตัวเด็กสาวจะได้รับอันตราย ตลอดระยะเวลาที่มาอาศัยร่างของเอลลานีนเธอสัมผัสความรักความห่วงใยอย่างจริงใจจากอลิเซีย ป้ามาลี และแดนนี่ ซึ่งชาติที่แล้วเธอไม่เคยได้รับเลย ฉะนั้นแล้วเธอก็อยากจะปกป้องครอบครัวของเด็กสาวอย่างสุดกำลัง
สารบัญ / นำทาง
- 👁️ ยอดวิว 33981
แสดงความคิดเห็น