บทที่ 556: ออกไปไม่ได้และสูญเสียเหยื่อ
เพื่อจับเหยื่อตัวใหญ่ให้ได้ตามที่หลงหลิงเอ๋อต้องการ หยินซางและภูตของเผ่าไป๋ผีต้องทำงานหามรุ่งหามค่ำกันอยู่หลายวัน ตอนนี้ผมของพวกเขาร่วงจนแทบจะหมดหัวอยู่แล้ว
ปัจจุบันผู้เป็นหัวหน้าสู้จนหมดแรง ดังนั้นเขาจึงสั่งให้เหล่าลูกน้องนำเหยื่อไปให้หยินเสวี่ยโดยที่เขาไม่ได้ไปด้วยตัวเอง แล้วส่งข้อความกำชับให้นางจัดการตามที่คุยกันไว้ให้เร็วที่สุด
หญิงสาวรีบพยักหน้าเห็นด้วยอย่างตื่นเต้น
ในสายตาของนาง เหยื่อนี้คือความหวังที่นางจะได้ออกไปจากที่คุมขังอันแสนสกปรก
ปัจจุบันเหยื่อถูกวางไว้อยู่หน้าประตูกระท่อม และหยินเสวี่ยมาที่ประตูอีกครั้งในชุดหนังสัตว์ขาดรุ่งริ่ง
คราวนี้หญิงสาวรู้สึกมั่นใจมาก นางออกหน้าพูดกับคนที่เฝ้าประตูเองว่า
“ตั้งแต่ที่แม่หมอช่วยรักษาข้ารอบที่แล้ว ข้ายังไม่ได้มอบของเป็นการตอบแทนให้นาง ข้าจะเอาเหยื่อตัวนี้ไปให้แม่หมอเอง แล้วจะรีบกลับมา แบบนี้คงไม่เป็นไรใช่ไหม?”
ภูตของเผ่าเยว่หูให้คุณค่ากับหมอผีมาก มันคงเป็นไปไม่ได้ที่อีกฝ่ายจะขวางตนไม่ให้นำสิ่งของตอบแทนไปให้หมอผี!
อย่างไรก็ตาม จินตนาการของหยินเสวี่ยก็พังทลายลงก่อนที่มันจะทันได้เริ่มด้วยซ้ำ
เนื่องจากภูตที่เฝ้าประตูไม่แม้แต่จะชายตามองหญิงสาวในขณะที่เขาพูดเสียงเย็นชา
“ไม่ได้ หัวหน้าสั่งเอาไว้ ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ตาม เจ้าไม่มีสิทธิ์ก้าวออกจากประตูนี้”
ยิ่งไม่ต้องพูดถึงหมอผี แม้ว่า ณ ตอนนี้เทพอสูรจะมายืนอยู่ตรงหน้าทุกคน พวกเขาก็จะไม่ปล่อยให้อีกฝ่ายได้ออกไปจากที่นี่
ภูตที่เฝ้ายามทุ่มเททำหน้าที่ของตัวเองเต็มกำลัง และขับไล่หยินเสวี่ยไปให้พ้นทาง
“นี่พวกเจ้า! ทำไมหัวหน้าของพวกเจ้าถึงต้องขังข้าไว้ ข้าเป็นผู้หญิงนะ เผ่าเยว่หูของเจ้าปฏิบัติต่อผู้หญิงเช่นนี้หรือ พวกเจ้าทำกับข้าแบบนี้ไม่มีเหตุผลเลยสักนิด!!”
ฝ่ายที่ถูกขัดขวางรู้สึกโกรธมาก นางไม่เข้าใจว่าทำไมคนเฝ้าประตูถึงปฏิเสธไม่ยอมให้นางออกไปจากบ้านที่เปรียบเสมือนคุกโกโรโกโส
ด้วยอารมณ์ที่พุ่งสูง น้ำเสียงที่นางพูดออกมาจึงแหลมปรี๊ดจนแสบแก้วหู
แม้ว่าสถานที่คุมขังนางนั้นจะอยู่ห่างไกลจากผู้คน แต่เสียงที่เล็ดลอดออกไปก็ยังดึงดูดให้ภูตที่อยู่รอบนอกพากันเข้ามามุงดูเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น
คนส่วนใหญ่ที่มามุงดูที่นี่เป็นคนที่เพิ่งอพยพเข้าร่วมเผ่าเมื่อไม่นานมานี้ พวกเขาจึงไม่มีใครรู้จักหยินเสวี่ยเลยสักคน
พอหญิงสาวเห็นว่ามีคนมามุงดูอยู่ข้างนอก นางก็แอบรู้สึกมีความสุข
ด้วยความที่ว่านางเป็นผู้หญิง ถ้าภูตในเผ่ารู้เรื่องการกระทำอันชั่วช้าของผู้นำเผ่าเยว่หู พวกเขาคงไม่กล้าทำอะไรรุนแรงกับนางแน่นอน
อย่างไรก็ตาม เรื่องราวต่าง ๆ ก็ไม่ได้เป็นไปตามที่หยินเสวี่ยจินตนาการเอาไว้
ยามนี้ภูตที่เฝ้าประตูไม่ได้แสดงท่าทีตื่นตระหนกแต่อย่างใด พวกเขายังคงยืนปักหลักนิ่งไม่ขยับเขยื้อนไปไหน
เขามองไปยังคนโหวกเหวกโวยวายที่เหมือนตัวตลก แล้วก็หัวเราะพลางพูดว่า
“นี่คือนิมิตที่เทพอสูรมอบให้เรา เทพอสูรได้ส่งคำเตือนมายังเผ่าเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดโรคระบาดภายในเผ่า คนที่ป่วยจะต้องถูกควบคุมอย่างเข้มงวด ในเมื่อเจ้ายังไม่หายดี เจ้าจะออกไปเดินเตร็ดเตร่ข้างนอกไม่ได้ มิฉะนั้นเราจำต้องขับไล่เจ้าออกจากเผ่าทันที”
ชายที่ทำหน้าที่เฝ้ายามพูดด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่ง แต่มันก็ดังพอที่จะให้ทุกคนที่อยู่บริเวณโดยรอบได้ยินอย่างชัดเจน
จากนั้นกลุ่มภูตที่มามุงดูก็เข้าใจในทันที
สิ่งที่พวกเขาทำทั้งหมดนี้ก็เพื่อความปลอดภัยของคนในเผ่า!
เมื่อทุกคนมองดูใบหน้าที่พันด้วยผ้าพันแผลของหยินเสวี่ย พวกเขาก็ไม่กล้าเชื่อว่านางจะสบายดีไม่เจ็บป่วยอะไร
แม้ว่าหญิงสาวจะได้รับการปล่อยตัว แต่ในสถานการณ์อ่อนไหว ณ ปัจจุบันก็ไม่มีใครกล้าเข้าใกล้นางอยู่ดี
ใครจะไปรู้ว่าผู้หญิงที่มีสภาพเป็นแบบนี้จะมีโรคติดต่ออยู่หรือไม่?
เป็นผลให้เหล่าภูตหันไปมองหญิงสาวด้วยสายตารังเกียจ ก่อนจะพากันส่ายหัวเดินจากไป
“คนป่วย?” หยินเสวี่ยผงะไปชั่วขณะ จากนั้นดวงตาของนางก็เบิกกว้างแล้วพูดเสียงสูงว่า “เจ้าว่าใครป่วย! ข้าไม่ได้ป่วย ข้าสบายดี! พวกเจ้ารีบปล่อยข้าไปเดี๋ยวนี้นะ!”
หญิงสาวตะคอกเสียงดัง แต่นั่นทำให้กลุ่มคนที่เดินไปได้ไม่ไกลรีบจ้ำเท้าตัวเองให้เร็วขึ้น
สภาพทุเรศทุรังแบบนั้นยังกล้าบอกว่าตัวเองไม่ป่วยอีกหรือ?
ใครจะไปเชื่อกัน!
เมื่อหยินเสวี่ยเห็นภูตข้างนอกเดินออกไปไกลขึ้นเรื่อย ๆ นางก็ขบเขี้ยวเคี้ยวฟันตัวเองจนแทบแหลก ประกอบกับกำหมัดแน่นจนเล็บจิกเข้าไปในเนื้อ
ไอ้พวกตาบอดเอ๊ย!
“ไม่ว่าเจ้าจะป่วยหรือไม่ป่วย เรื่องนี้เจ้าไม่มีสิทธิ์ตัดสินอยู่ดี” ภูตที่เฝ้าประตูยังคงมีท่าทีไม่แยแส พวกเขาไม่เคยเปิดโอกาสให้นางได้ตอบโต้เลย
“นี่เจ้า!” หยินเสวี่ยกระทืบเท้าด้วยความโมโห “พวกเจ้าไม่กลัวที่จะทำให้แม่หมอโกรธหรือไง!”
คำพูดนี้ทำให้คนเฝ้ายามตกตะลึงไปชั่วครู่
เมื่อหญิงสาวเห็นปฏิกิริยาของพวกเขาที่มีต่อหมอผี นางก็เหมือนจะจับจุดอ่อนของอีกฝ่ายได้แล้ว
หยินเสวี่ยจึงรีบพูดต่อว่า
“นี่คือของตอบแทนที่ข้าสัญญาว่าจะมอบให้กับแม่หมอ ถ้าพวกเจ้ามัวแต่รั้งข้าไว้ที่นี่แล้วทำให้แม่หมอโกรธขึ้นมาล่ะก็ พวกเจ้าไม่กลัวว่านางจะตำหนิพวกเจ้าหรือไง?”
“แล้วก็อย่ามาโทษข้าว่าไม่ได้เตือนพวกเจ้า เรื่องนี้มันเป็นความผิดของพวกเจ้าทั้งหมด”
คำพูดของหญิงสาวทำให้ภูต 2 คนที่เฝ้าประตูขมวดคิ้วฉับ
จากนั้นทั้งคู่ก็หันไปสบสายตากัน
ถึงแม้ว่านี่จะเป็นคำสั่งของหัวหน้าเผ่า แต่พวกเขาก็ไม่กล้าทำอะไรที่เป็นการล่วงเกินหมอผีอยู่ดี
ไม่ต้องพูดถึงว่าหมอผีมีสถานะสูงแค่ไหนในเผ่า แถมหลงหลิงเอ๋อยังเป็นลูกของหูเจียวเจียว ตอนนี้นางจึงมีสถานะไม่ต่างจากองค์หญิงน้อยของเผ่าเยว่หู
ในเวลาเดียวกัน ดวงตาของหยินเสวี่ยเป็นประกาย
โอกาสของข้ามาถึงแล้ว!
คราวนี้ข้าจะได้ออกไปจากที่นี่แน่!
“เจ้าพูดถูก ในเมื่อเหยื่อตัวนี้เป็นของแม่หมอ พวกเราจะรอช้าไม่ได้” ภูตที่เฝ้าประตูพยักหน้าอย่างจริงจัง
ขณะนั้นหยินเสวี่ยเชิดหน้าพร้อมกับเหยียดยิ้มออกมาทันที ก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงเย่อหยิ่ง
“ในเมื่อพวกเจ้าเข้าใจแล้วก็รีบปล่อยข้าออกไปจากที่นี่เร็วเข้า”
ระหว่างที่หญิงสาวพูด นางก็เห็นคนเฝ้าประตู 2 คนเคลื่อนไหว
แต่แทนที่พวกเขาจะปล่อยนางออกไป อีกฝ่ายกลับเดินตรงไปทางเหยื่อที่วางอยู่หน้าบ้านแทน
ต่อมา ภูตชายคนหนึ่งยกเหยื่อขึ้นแล้ววางไว้บนไหล่ของสหายอีกคน ก่อนจะพูดกับเขาว่า
“เจ้ารีบส่งเหยื่อตัวนี้ไปให้แม่หมอ อย่าชักช้า ไม่งั้นมันจะเป็นการรบกวนการทำงานของแม่หมอ”
“???”
หยินเสวี่ยเบิกตากว้างขณะที่มองภูตยกเหยื่อออกไปอยู่นานกว่าจะกลับมาตั้งสติได้ และนางก็รีบตะโกนใส่คนพวกนั้นอย่างเกรี้ยวกราด
“นี่พวกเจ้ากำลังทำอะไรน่ะ! นั่นคือเหยื่อของข้า อย่าเอามันไปนะ!”
แต่ก่อนที่ภูตคนนั้นจะได้ยินเสียงตะโกน ตัวเขาและเหยื่อก็หายไปจากสายตาของหญิงสาวเรียบร้อยแล้ว
ส่วนคนเฝ้าประตูอีกคนก็เหลือบตามองผู้หญิงเสียสติก่อนจะถามขึ้นมาว่า “เจ้าชื่อว่าอะไรนะ? เจ้าบอกเองไม่ใช่หรือว่าเหยื่อตัวนี้เป็นของตอบแทนของแม่หมอ? เขายกไปให้แม่หมอก็ถูกแล้วนี่ เจ้าควรหุบปากได้แล้ว มันน่ารำคาญ”
บัดนี้หยินเสวี่ยรู้สึกโกรธมาก เดิมทีนางจะใช้เหยื่อเป็นข้ออ้างในการออกไปพบกับหยินชาง
ใครใช้ให้พวกเจ้าเอาเหยื่อไปส่งให้กันเล่า!!
ปัจจุบันเหยื่อถูกนำออกไปแล้ว ตัวนางเองก็ยังคงถูกขังอยู่ที่นี่ดังเดิม แล้วนางจะอธิบายให้หัวหน้าเผ่าฟังว่าอย่างไร?
หยินเสวี่ยไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องกลับเข้าไปข้างในกระท่อม
โชคดีที่ก่อนหน้านี้นางส่งคู่ของตัวเองไปหาหยินชาง ตอนนี้ไอ้เด็กนั่นน่าจะกำลังเดินทางมาหานางที่นี่
ในเมื่อนางไม่สามารถออกไปไหนเองได้ นางจึงแสร้งทำเป็นน่าสงสารแล้วหลอกล่อให้หยินชางกลับมาอยู่ข้างตนน่าจะเป็นตัวเลือกที่ดีกว่า
หยินเสวี่ยแอบคิดวางแผนอีกครั้งและในที่สุดความโกรธในใจของนางก็คลายลง
ขณะเดียวกัน คู่ทั้ง 2 คนของนางก็ผลักประตูเข้ามาพอดี
“เสวี่ยเอ๋อแย่แล้ว…ไอ้เด็กนั่นไม่ยอมมาพบเจ้า ไม่ว่าเราจะพูดอะไร มันก็ไม่ยอมมา มันบอกว่า…”
วินาทีนั้นหัวใจของฝ่ายที่ได้ฟังเต้นไม่เป็นจังหวะกับสิ่งที่คู่ของตนเพิ่งพูด
“ไอ้เด็กนั่นมันพูดว่าอะไร? ” หญิงสาวถามด้วยใบหน้าเคร่งเครียด
“มันบอกว่าถ้าเสวี่ยเอ๋อไม่ยอมบอกมันว่าใครเป็นคนฆ่าพ่อแม่ของมัน มันก็จะไม่มาพบหน้าเจ้า” ภูตชายตอบเสียงดังฟังชัด
นั่นทำให้หยินเสวี่ยกัดริมฝีปากของตัวเองจนเปลี่ยนเป็นสีขาว
เจ้าเด็กเวรนี่รับมือยากเสียจริง!
ไอ้เด็กสายเลือดไม่บริสุทธิ์ ไอ้เด็กนอกคอกเอ๊ย!
“เสวี่ยเอ๋อ พอเป็นแบบนี้แล้วเราจะทำยังไงต่อไปดี?”
“จะให้ทำยังไง เจ้าใช้สมองกลวง ๆ ของเจ้าคิดไม่ได้หรือไง!”
หยินเสวี่ยจ้องชายที่เป็นคนถามเขม็ง
ถ้านางรู้ว่าจะต้องทำอย่างไรต่อ นางจะยังคงถูกขังอยู่ที่นี่หรือไง?
“เสวี่ยเอ๋อ ข้ามีวิธี แต่ข้าไม่รู้ว่ามันจะใช้ได้ผลหรือไม่…” จู่ ๆ คู่อีกคนของหญิงสาวก็พูดแทรกขึ้นมา
จากนั้นอีก 2 คนในกระท่อมจึงหันไปมองชายคนที่พูดด้วยความสนใจ
“เจ้ามีวิธีอย่างนั้นหรือ?”
“ไอ้เด็กนั่นสนใจเรื่องที่เกิดขึ้นกับพ่อแม่ของมันมากไม่ใช่หรือไง ถ้าเราใช้สิ่งของของพ่อแม่มันล่อมันออกมาแล้วบอกว่านี่เป็นของดูต่างหน้าของพ่อแม่มัน มันจะต้องยอมมาที่นี่แน่นอน”
สารบัญ / นำทาง
- 👁️ ยอดวิว 206
แสดงความคิดเห็น