บทที่ 450: ลู่หลีทำเหมือนหลางเมี่ยเป็นกระต่าย
หวงเทียนเติบโตขึ้นมาในถ้ำตั้งแต่ยังเด็กและไม่เคยเห็นโลกภายนอกเลย ในสายตาของลู่หลี แท้จริงแล้วเขาเป็นภูตที่โง่เขลาที่สุด
ขณะนั้นเสี่ยวสือโถวยืนเท้าเอวจ้องคนปากเสีย และพูดเสียงดังว่า
“เสือดาวน้อยพวกนี้น่ารักจะตาย ไม่เหมือนคนบางคนที่อยากจะเข้าใกล้คนอื่น แต่กลับไม่มีใครอยากเล่นด้วย!”
“ข้าคิดว่าเจ้าก็แค่อิจฉาหวงเทียนเท่านั้นแหละ ถ้าเจ้าอิจฉาก็บอกมาตรง ๆ เถอะ เจ้าไม่จำเป็นต้องเรียกร้องความสนใจแบบนี้หรอก!”
คำพูดของเม่นหนุ่มทำให้เด็ก ๆ หันไปมองลู่หลี่เป็นตาเดียว
เมื่อสถานการณ์เป็นเช่นนี้ กวางหนุ่มก็โกรธมากจนใบหน้าของเขาแดงก่ำ
“นี่เจ้า!”
เขาตะโกนพร้อมกระทืบเท้าตั้งท่าจะก้าวไปสั่งสอนเสี่ยวสือโถว
แต่เด็กหนุ่มก็สังเกตเห็นว่ากลุ่มเด็กที่อยู่ด้านข้างถลึงตามองตนอยู่ เขาจึงรู้สึกไม่กล้าขึ้นมา
“ใครอิจฉามันกัน ข้าไม่ได้อิจฉา เจ้ากำลังพูดถึงเรื่องไร้สาระอะไร!”
ลู่หลีกัดฟันก่อนจะหันหลังเดินหนีไปด้วยความโกรธ
ขณะเดียวกัน เสี่ยวสือโถวกลอกตาและเตะลมตามหลังอีกฝ่ายไป 1 ชุด ก่อนจะหันกลับมาเอาแขนโอบไหล่ของหวงเทียนแล้วพูดว่า
“เจ้าหมอนั่นชื่อลู่หลี เขานิสัยใจคอไม่ค่อยดี อย่าไปฟังเรื่องไร้สาระของเขาเลย มันก็แค่เสียงหมาเห่า ฟังไปก็ปวดหูเปล่า ๆ”
เมื่อหวงเทียนมองไปยังใบหน้าที่อ่อนโยนของสหาย เขาจึงพยักหน้าแล้วยืดหลังตรง
จากนั้นกลุ่มภูตเด็กก็สลายตัวไปคนละทาง
ในขณะที่ไม่มีใครทันได้สนใจ ร่างสีเทา 3 ร่างในระยะไกลก็ค่อย ๆ คลืบคลานอยู่ในโพรงหญ้าเข้ามาใกล้ ประกอบกับดวงตาชั่วร้ายกวาดมองเป้าหมายราวกับกำลังหาเหยื่อ
“ที่นี่มีเด็กตั้งมากมาย ข้าจะจับคนไหนดี?”
“คนไหนก็ได้ เจ้าเลือกจับคนโตหน่อยก็ดี ดูเจ้าเสือดาว 2 ตัวนั่นสิ ถ้าเราจับพวกมันมา เราจะต้องป้อนนมพวกมันระหว่างทาง!”
“ถ้าโตเกินไปก็ไม่ดี มันกินเยอะ เอาคนที่อายุประมาณ 10 ขวบน่าจะกำลังดี”
ปัจจุบันภูตหมาป่าหลายตัวกำลังหมอบต่ำพลางกระซิบพูดคุยกันเสียงเบา
ส่วนหลางเมี่ยที่ตามมาห่าง ๆ พอได้ยินสิ่งที่อีกฝ่ายพูด เขาก็ตกใจมาก
“ไม่ ข้าต้องหาทางป้องกันไม่ให้พวกมันจับเด็กได้”
“แต่ข้าออกไปขวางพวกมันตรง ๆ ไม่ได้ ถ้าพวกมันกลับไปฟ้องอูหลิว ข้าจะตกอยู่ในเงื้อมมือของตาแก่นั่นทันที ไม่มีทาง...”
หมาป่าหนุ่มเกาแก้มตัวเองแบบกระวนกระวายพลางเค้นสมองหาวิธีอย่างหนัก
ในไม่ช้าเมื่อเขาเห็นลู่หลีที่แยกตัวออกมาจากกลุ่มเด็ก เขาก็คิดแผนขึ้นมาได้ทันที
“ใช่แล้ว!”
“ข้าจะต้องเตือนเด็กพวกนี้ให้รู้ตัวล่วงหน้า!”
ถ้าเด็ก ๆ รู้ว่าภูตหมาป่ากำลังมาจับตัวพวกเขา เด็กทุกคนจะต้องวิ่งหนีไป และอีกฝ่ายก็จะไม่มีโอกาสได้ลงมืออีก
ไหน ๆ เด็กคนนั้นก็แยกตัวออกมาจากกลุ่มคนเดียวแล้ว พอไม่มีภูตคนอื่นอยู่รอบตัว มันก็เป็นโอกาสของเขา
นี่จึงเป็นเวลาที่เหมาะสมในการส่งข้อความเตือน
ในระหว่างที่ภูตหมาป่าสีเทาหลายตัวยังคงคุยกันไม่รู้เรื่องราว หลางเมี่ยก็แอบย่องไปหาลู่หลี
“ให้ตายเถอะ ไอ้หวงเทียนกับไอ้เสี่ยวสือโถว บังอาจนักนะ!”
ยามนี้กวางหนุ่มเดินเตะก้อนหินท่ามกลางทุ่งหญ้าเพื่อระบายความโกรธตัวเอง
เขาทนไม่ได้ที่เห็นเด็กพวกนั้นมาแทนที่เขา
“ถ้าพ่อแม่ข้ายังอยู่ แม้แต่อิงหยวนก็ยังต้องฟังข้า พวกเจ้าลำพองใจไปเถอะ ไอ้เด็กเวร! ถ้าไม่ใช่เพราะพ่อแม่ข้าจากไปเร็ว มันคงไม่เป็นแบบนี้...”
ลู่หลีสบถสาปแช่งพลางเหยียบย่ำหญ้าใต้เท้า
ระหว่างที่เขาก่นด่าเด็ก 2 คน เขาไม่รู้ตัวว่าตนเองเดินห่างจากกลุ่มมาไกลเรื่อย ๆ
คอกกระต่ายแห่งนี้มีขนาดใหญ่จนเกือบครึ่งหนึ่งของเผ่า พอเด็กหนุ่มเดินมาได้สักพัก เขาก็ไม่ได้ยินเสียงรอบตัวเขาอีก
หลังจากที่ลู่หลีระบายอารมณ์ตัวเองเสร็จแล้ว เขาก็ตระหนักว่าไม่มีใครอยู่รอบ ๆ และทันใดนั้นเขาก็รู้สึกเย็นสันหลังวาบ จึงตั้งท่าจะหันหลังกลับไป
แท้จริงแล้วเขาเป็นคนขี้ขลาดคนหนึ่ง แถมยังขี้อายและขี้กลัว แต่เขาก็เป็นคนที่หน้าตาดีเช่นกัน
ขณะที่กวางหนุ่มกำลังจะกลับไปรวมกลุ่มกับคนอื่นก็มีเสียงแหวกพุ่มไม้ดังขึ้นข้างหลังเขา
แซ่ก ๆ!
จังหวะนั้นร่างกายของลู่หลีแข็งทื่อทันที
มันไม่น่าจะมีสัตว์ป่าอยู่ที่นี่ใช่ไหม?
นี่เป็นครั้งแรกที่เด็กหนุ่มออกล่าในคอกกระต่าย
เดิมทีเขาไม่อยากมาเพราะเขาเกลียดภูตและเด็กทุกคนที่นี่ แต่ท่านผู้เฒ่าบังคับให้เขามาเรียน ถ้าไม่เรียนเขาจะไม่ได้รับอาหาร ดังนั้นเขาจึงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องมา
วินาทีนี้ลู่หลีรู้สึกเพียงว่าลมหายใจของเขาสะดุด
ไม่กี่อึดใจถัดมา กระต่ายสีขาวตัวน้อยก็วิ่งผ่านเท้าของเขาไป
“ที่แท้มันก็เป็นกระต่ายนี่เอง เฮ้อ… ข้ากลัวแทบตาย”
ลู่หลีผ่อนลมหายใจออกยาว ๆ ก่อนจะยกมือขึ้นปาดเหงื่อเย็น ๆ บนหน้าผากทิ้ง
ในตอนที่เขากลับมาตั้งสติได้ เขาก็ยิ่งรู้สึกโมโหมากขึ้น
“แม้แต่กระต่ายยังกล้าขู่ข้าเลย คอยดูเถอะ ถ้าข้าไม่จับเจ้ามาย่าง ก็อย่าเรียกข้าว่าลู่หลี!”
จากนั้นเขาก็ออกตัววิ่งเพื่อไล่ล่ากระต่าย
ทว่ากระต่ายตัวน้อยวิ่งเข้าไปในพุ่มหญ้าและหายไปในไม่ช้า
แต่กวางหนุ่มไม่ละความพยายาม เขาวิ่งตะปบหญ้าไม่หยุด
พอเวลาผ่านไปสักครู่ก็มีเสียง ‘กรอบแกรบ’ อีกเสียงหนึ่งดังขึ้นข้างหลังเขา
ทันใดนั้นแววตาของกวางหนุ่มลุกโชน ก่อนที่เขาจะพึมพำเสียงลอดไรฟัน
“บังอาจมาแกล้งให้ข้ากลัวงั้นรึ เจ้ามันสมควรตาย...”
ลู่หลีแยกเขี้ยว กางกรงเล็บและหันกลับไปพร้อมที่จะกระโจนเข้าใส่แหล่งที่มาของเสียง
แต่เด็กหนุ่มไม่คาดคิดว่าทันทีที่เขาหันกลับมา เขาก็ชนเข้ากับบางอย่างที่มีขนปุยและแข็ง
ปั้ก!
มันทำให้ลู่หลีกระเด็นถอยกลับไป 2-3 ก้าวแล้วล้มลงกับพื้น
จากนั้นกวางหนุ่มยกมือมากุมหน้าผากพลางมองภูตหมาป่าตัวสูงอย่างตกตะลึง
แม้ว่าลู่หลีจะคนเป็นโง่เขลา แต่เขาก็รู้ว่าภูตหมาป่าอาศัยอยู่เป็นกลุ่มและนี่ไม่ใช่เผ่าของพวกมัน!
ทันใดนั้นภาพที่พ่อแม่ของตนถูกฆ่าตายในถ้ำก็แว้บเข้ามาในความหัวของเขา
มิหนำซ้ำ คนที่ฆ่าพ่อแม่ของเขาคือภูตหมาป่าที่มีหน้าตาคล้ายกับคนนี้!
“เจ้าเป็นใคร ทำไมเจ้าถึงมาอยู่ที่นี่!!”
ใบหน้าของลู่หลีซีดลงด้วยความตกใจ และขาของเขาอ่อนแรงจนไม่สามารถลุกขึ้นยืนได้ เขาจึงทำเพียงถามอีกฝ่ายเสียงสั่น
ทางด้านหลางเมี่ยมองเด็กบนพื้นด้วยสายตารังเกียจ
ทำไมไอ้เด็กนี่มันขี้ขลาดขนาดนี้
มันอยู่ในเผ่าเดียวกับหูเจียวเจียวจริงหรือ?
หมาป่าหนุ่มขมวดคิ้วในขณะที่ขนบนใบหน้าเขากระตุก 2-3 ครั้ง
ลืมมันไปเถอะ มันไม่ใช่เด็กในเผ่าของข้า ถ้ามันขี้ขลาดก็ช่างหัวมัน เพราะนี่ไม่ใช่เรื่องของข้า ขอแค่มันกระจายข่าวไปได้ก็พอแล้ว
“เจ้าไม่ต้องสนใจหรอกว่าข้าเป็นใคร”
หลางเมี่ยกระแอมเบา ๆ แล้วพยายามทำหน้าตาใจดีกับเด็ก
“ข้ามาที่นี่เพื่อบอกเจ้าว่าพวกภูตหมาป่าซุ่มอยู่รอบตัวเจ้าแล้ว”
ทันทีที่ลู่หลีได้ยินคำพูดของหมาป่าสีเทา เขาก็รู้สึกหวาดกลัวจนแทบจะเสียสติ
จริงหรือ!?
ภูตหมาป่าตัวนี้อยู่ในกลุ่มเดียวกับหมาป่าสีเทาที่ฆ่าพ่อแม่ของเขา
มันกำลังจะมาฆ่าข้าหรือ!?
ขณะที่หลางเมี่ยพูด เขาสังเกตเห็นว่ารูม่านตาของอีกฝ่ายขยายออก และขาของเด็กหนุ่มก็สั่นไม่หยุด
หมาป่าหนุ่มที่ได้เห็นเช่นนี้ก็รู้สึกงุนงงในใจ
เจ้าเด็กนี่จะจริงจังเกินไปหน่อยไหม มันกำลังรู้สึกซาบซึ้งที่เขามาบอกข่าวมากเกินไปหรือเปล่า?
“เจ้าไม่ต้องขอบคุณข้าหรอก” เขาเชิดคางขึ้นและพูดด้วยความภูมิใจ
“รีบไปบอกพรรคพวกของเจ้าให้รีบหนีไปเร็ว ข้ากลัวว่าพวกเจ้าจะโดนจับถ้าขืนยังชักช้า”
หลังจากที่หลางเมี่ยพูดจบ เขายังแสดงรอยยิ้มที่ตนคิดว่าเป็นมิตรทิ้งท้ายไว้ด้วย
แต่สำหรับลู่หลี รอยยิ้มนี้มันดูเหมือนเป็นการคุกคามเขามากกว่าเป็นมิตรเสียอีก
ในขณะเดียวกัน สมองของของกวางหนุ่มแปลงคำพูดของอีกฝ่ายเป็น
‘ภูตหมาป่าของเรากำลังจะโจมตีเผ่า ข้าสงสารเลยมาบอกให้พวกเจ้าวิ่งหนีไปสักพักก่อน พอข้าจับเจ้าได้ เจ้าจะตาย ตาย ตาย ตาย…’
บัดนี้ใบหน้าของลู่หลีซีดเป็นไก่ต้ม ขาของเขาสั่นเทากว่าเดิมจนไม่สามารถควบคุมมันได้ ก่อนจะฉี่ราดกระโปรงหนังสัตว์ตัวเอง
ทันใดนั้นหลางเมี่ยก็ได้กลิ่นเหม็น เขาปิดจมูกด้วยความขยะแขยงและมองลงไปเห็นแอ่งของเหลวระหว่างขาของเด็กตรงหน้า
เขาจึงถอยหลังไป 2 ก้าวอย่างรังเกียจ
“รีบไปบอกให้พวกเขาหนีไปซะ เจ้าได้ยินข้าไหม?”
หลังจากหมาป่าหนุ่มพูดจบ เขาก็หันหลังกลับไปซ่อนตัวอยู่ในพงหญ้าแล้วหายไปในไม่ช้า
ทางด้านลู่หลีตัวสั่นไปทั้งตัวราวกับถูกเข็มทิ่ม จากนั้นเขาก็รีบตะเกียกตะกายลุกขึ้นแล้ววิ่งไปยังที่ที่ทุกคนรวมตัวกันอยู่
--------------------------------------------------
พูดคุยท้ายตอนกับเสี่ยวเถียว: นี่ก็มาบอกถูกคนเหลือเกิน จะได้เรื่องหรือเปล่าเนี่ย
สารบัญ / นำทาง
- 👁️ ยอดวิว 363
แสดงความคิดเห็น