STARCIN ภาคที่ 6 OverThrow ตอนที่ 24 แสงส่อง
27 มีนาคม พ.ศ.2576
เมื่อรุ่งเช้าซึฮากิก็ไปยังสวนสาธารณะของโรงเรียนหลวงเพื่อทำกิจวัตรออกกำลังกายตามปกติอย่างการวิ่ง กระโดดสูงหรือวิดพื้นโดยใช้เวทลมกดร่างตัวเองไว้แทนการใช้ลูกเหล็กถ่วง
“ฟิตแต่เช้าเลยนะกิจัง” ตั้งแต่เมื่อวานเธอก็ยังตามติดซึฮากิไม่ไปไหนยิ่งกว่าตอนอยู่โลกเดิมเสียด้วยซ้ำเพราะมีสิทธิพิเศษทำให้เธอมีอิสระกว่าใคร
“ช่วงนี้ไม่ค่อยได้ใช้แรงเท่าไรเลยต้องวอร์มร่างกายไว้ตลอด”
“ว่าแต่ทำไมสเตตัสนายถึงพอ ๆ กับของฉันเลยล่ะ ทั้ง ๆ ที่เลเวลน้อยกว่าแท้ ๆ หรือจะมีเทคนิคพิเศษ”
“ก็ไม่เชิงอาจจะเพราะเวทมนตร์เดอะก็ได้ ถึงสเตตัสจะสูงแต่ก็ยังอยู่ในข้อบังคับการใช้เวทมนตร์เหมือนอย่างเวทตรวจสอบที่ใช้กับเธอไม่ได้”
“เอาน่าระดับกิจังเดี๋ยวก็ตามฉันทัน”
ตลอดเช้าพวกเขาใช้เวลาออกกำลังกายด้วยกันท่ามกลางสายตาของนักเรียนและอาจารย์หลายท่านที่อยู่ตรงนั้นเป็นเหมือนข้อพิสูจน์ข่าวลือว่าผู้กล้าฟรานมีความสัมพันธ์บางอย่างกับอาจารย์คนใหม่
“สดชื่นจริง ๆ เวลาได้เสียเหงื่อแบบนี้” ชุดออกกำลังกายรัดรูปและเสื้อสปอตบราเผยให้เห็นหน้าท้องที่เต็มไปด้วยความแน่นของกล้ามเนื้อแต่ก็ไม่ได้ใหญ่จนน่าเกลียดยังดูมีเสน่ห์สมกับเป็นกุลสตรี
“เหลือเวลาอีกสี่สิบห้านาทีก่อนจะเริ่มคลาสแรก เธอจะไปพักผ่อนหรือไปเรียนวิชาอื่นก็ได้เพราะวันนี้ชั่วโมงของฉันเริ่มตอนเย็น” ซึฮากิเบือนหน้าหนีไม่อยากสบตากับฟรานที่พร้อมส่งรอยยิ้มอันอ่อนหวานให้
“พอดีเลยเพราะวันนี้มันมีสอบการใช้เวทมนตร์ธาตุ ถ้าเสร็จเมื่อไรฉันจะรีบไปหานะ” เธอโบกมือลาก่อนจะวิ่งกลับไปยังห้องของตัวเอง
ครึกครื้นได้ตลอดจริง ๆ เธอคนนี้ ซึฮากินั่งพักเหนื่อยอยู่ที่นั่นต่อเฝ้ามองผู้คนที่กำลังออกกำลังกายกันอย่างขยันขันแข็งดูแล้วก็ชื่นใจที่เห็นพวกเขามีชีวิตสงบสุขร่มรื่น
ผังเมืองของที่นี่ถือว่ายอดเยี่ยมแต่ก็ดันพลาดในส่วนของชานเมือง ที่นั่นค่อนข้างเละเทะและส่วนใหญ่จะเป็นคนชนชั้นกลางค่อนไปทางล่าง ถ้าเป็นเมืองเอลโฟเรียจะแก้ปัญหาตรงนั้นได้ไหมหรือจะยากเกินการควบคุมเหมือนกัน
“เฮ้ยพ่อหนุ่ม ! ไม่คุ้นหน้าคุ้นตาเลยเป็นคนจากตระกูลไหน?” ชายฉกรรจ์ที่มาออกกำลังกายเกาะกลุ่มเข้ามาถามด้วยน้ำเสียงขึงขังจ้องตาเขม็ง
“ตระกูลฮลาฟกาด...ล่ะมั้ง” เขาตอบกลับด้วยท่าทางเย็นชาไร้อารมณ์มันยิ่งน่าหมั่นไส้เข้าไปใหญ่
“ฮลาฟกาดสินะ พวกนายเคยได้ยินไหม?” ชายหนุ่มที่ยืนอยู่หน้าสุดหันกลับไปถามพรรคพวกของเขาและคำตอบที่ได้ก็มีแต่คำว่าไม่
“ก็ได้ยินเมื่อกี้แล้วนี่หรือว่าหูหนวกกันหมดแล้ว” เพียงประโยคสั้น ๆ ที่ซึฮากิเอ่ยออกมามันก็ทำให้เหล่าชายฉกรรจ์โกรธจนเลือดขึ้นหน้าออกหมัดด้วยอารมณ์
ขณะที่หมัดจะเข้าปะทะกับหน้าของซึฮากิเขาก็คว้าจับไว้ได้และบิดแขนจับล็อกคออย่างรวดเร็ว
“ถ้ามันจะช้าขนาดนี้ก็ใช้เวทมนตร์ช่วยสิ” หลังจากพูดกรอกหูยั่วยุซึฮากิก็ผลักเขากลับไปหาพรรคพวกและเดินหนีไปไม่สนใจสายตาของผู้คน
ทำไมถึงเหมือนไอ้บรรยากาศเก่า ๆ ที่โรงเรียนซะได้ แต่ก็อย่างว่าแหละต่อให้เมืองมันจะเจริญแค่ไหนแต่ก็ยังมีพวกไร้สมองทำอะไรตามใจอยู่ดี
หลังจากกลับถึงที่พักเขาก็แต่งตัวและไปยังห้องสอนของตัวเอง จัดการปัดกวาดเช็ดถูทุกอย่างและหาหนังสืออ่านตลอดหลายชั่วโมง
หลักการสอนของที่นี่คงทันสมัยที่สุดแล้วแหละ ทั้งอุปกรณ์ องค์ความรู้และทรัพยากรก็เพียบพร้อมไปหมด
“เฮ้ย ! ออกมาเดี๋ยวนี้ไอ้อาจารย์เฮงซวย” ขณะที่กำลังอ่านหนังสืออย่างสงบเสงี่ยมก็มีเสียงเคาะประตูดังลั่นและยังใส่อารมณ์ด้วยการเตะประตูอีกด้วย
บัดซบจะให้อยู่อย่างสงบไม่ได้เลยหรือยังไง
“มีอะไรครับ?” เมื่อซึฮากิเปิดประตูออกไปก็ได้เห็นกลุ่มชายหญิงหลายสิบกำลังจ้องมองด้วยสายตาแค้นเคือง
“ซึฮากิหนึ่งในนักโทษที่ทำความผิดโดยการหนีออกจากค่ายทหาร ถึงจะไม่รู้ว่าทำไมมาเป็นอาจารย์สอนแต่คนที่ไม่มีชาติตระกูลแถมยังมีคดีติดตัวอย่างแกไม่สมควรอยู่ที่นี่ แถมแกยังทำแขนน้องฉันหักอีกจะรับผิดชอบยังไง”
“ไร้สาระ ! ยกพวกมากันเป็นสิบเพื่อบ่นเรื่องพวกนี้เนี่ยนะ? ถ้าว่างมากนักก็ไปหาความรู้ใส่สมองหรือไม่ก็ถอดสมองเปลี่ยนใหม่เลยจะง่ายกว่า”
“เหอะ รู้หรือเปล่าว่าฉันเป็นใคร? ถ้าจะไล่อาจารย์ที่ทำร้ายร่างกายนักเรียนออกก็ไม่ใช่เรื่องยากเย็นเลยสักนิด”
“กลับไปถามที่บ้านนะว่าเป็นใคร ได้คำตอบก็ค่อยกลับมาใหม่แล้วกัน” พูดจบซึฮากิก็ปิดประตูใส่หน้ายั่วโมโหเข้าไปอีก
“คิดว่าพวกเราโง่มากมั้ง !” เสียงตะโกนดังมาพร้อมกับประตูที่กระเด็นผ่านตัวซึฮากิไป
“เอาเป็นอาจารย์ขี้คุกหลอกพานักเรียนมาทำมิดีมิร้ายก็แล้วกัน” ชายหนุ่มยิ้มเยาะมาพร้อมกับแฟนสาวทั้งสาวและน่ารักพร้อมเสแสร้งเพื่อไล่ซึฮากิออก
ให้ตายสิวุ่นวายกันจริง ๆ เลย ถ้าทำตามเงื่อนไขการสอนไม่สำเร็จพวกเราก็คงโดนไล่และห้ามเข้าอาณาจักรเซียอีกแน่ ๆ
“แล้วจะเอายังไง? ชดใช้ค่าเสียหายหรือจะคำขอโทษ”
“คิดว่ามีเงินชดใช้ค่าเสียหายเหรอวะ ก็แค่คนขี้คุกจะไปมีเงินแค่ไหนกันเชียว”
“งั้นขอโทษก็แล้วกัน”
“คิดว่าพวกเราจะรับขอโทษจากสามัญชนไม่มีชื่ออย่างแกเหรอ?”
ไอ้พวกเวรนี่มาเพื่อกวนประสาทแท้ ๆ ซึฮากิยังคงนิ่งเงียบเก็บความโกรธเกรี้ยวไว้ภายในใจและตอบโต้ด้วยความสุขุมเยือกเย็น
“แล้วไงต่อ? เงินก็ไม่เอา คำขอโทษก็ไม่รับ”
“ก้มกราบสิ แค่คำขอโทษมันใช้กับคนที่สถานะเท่ากันแต่กับคนสามัญชนต้องก้มกราบเท่านั้น”
“ก้มกราบก็พอใช่ไหมจะได้จบ ๆ กันสักที” ซึฮากิไม่รอช้าก้มกราบแนบพื้นท่ามกลางเสียงหัวเราะเยาะสะใจจากนักเรียนพวกนั้น
ชายหนุ่มที่แขนหักเพราะซึฮากิเดินขึ้นมาด้านหน้าหัวเราะเสียงดัง “สมน้ำหน้าให้มันรู้ซะบ้างว่าใครเป็นใคร” หลังจากพอใจที่ได้เห็นซึฮากิยอมทำตามคำสั่งก็พากันออกไปแต่โดยดี
ไปสักทีคนเขาจะอ่านหนังสือพักผ่อน แม้ซึฮากิจะมีท่าทางผ่อนคลายไร้ความกังวลแต่รอยยิ้มกลับแฝงไปด้วยความโกรธแค้น
“ฝากจัดการตามที่บอกด้วย” ซึฮากิส่งร่างแยกให้ตามพวกนั้นไปพร้อมกับแผนการเอาคืนแบบไม่ให้รู้ตัว
เมื่อถึงช่วงพักกลางวันพวกนั้นก็มักจะสุมหัวกินข้าวที่ลับตาคนยิ่งเป็นโอกาสให้ร่างโคลนซึฮากิเข้าหาได้ง่าย
“จริงไหมที่ไอ้อาจารย์นั่นมีความสัมพันธ์กับท่านผู้กล้า”
“ผมก็ไม่รู้เหมือนกัน แต่มีคนเห็นพวกเขาสองคนอยู่ด้วยกันบ่อย ๆ อาจจะเป็นเบ๊ท่านผู้กล้าก็ได้”
ร่างโคลนใช้เวทมนตร์วายุยิงใส่ต้นไม้เพื่อเรียกร้องความสนใจและแอบใส่ยาลงในอาหารของพวกนั้น
หลังจากเริ่มคาบเรียนช่วงบ่ายก็มีคนปวดท้องเข้าห้องกันไม่พักจนห้องน้ำเต็มและร่างโคลนของซึฮากิก็ยังสาดน้ำและดินโคลนใส่ตอนกำลังปลดทุกข์สร้างความปั่นป่วนตลอดหลายชั่วโมงจนเกิดเป็นข่าวลือว่ามีผีจองเวรพวกอันธพาล
“กลับมาแล้วเหรอ พวกนั้นคงอายไม่กล้ามาโรงเรียนสักพักแหละเพราะบางคนก็ขี้เรี่ยราดเต็มห้องเรียน แถมยังมีคนเป็นลมเพราะล้มทับขี้ตัวเองอีกมันก็เลยยิ่งเละเข้าไปใหญ่” หลังจากฟังรายงานผลร่างโคลนก็สลายหายไปเหลือไว้เพียงซึฮากิที่นั่งอ่านหนังสือทั้ง ๆ ที่ประตูหน้ายังไม่ได้ซ่อม
เมื่อถึงเวลาเริ่มชั่วโมงเรียนฟรานก็ตรงดิ่งมาหาก่อนใคร
“วันนี้มีเรื่องแปลก ๆ ด้วยล่ะ โชคดีที่ฉันไม่ได้อยู่ที่นั่นไม่งั้นคงกินข้าวไม่อร่อยไปหลายวันแน่”
“ก็ดีอย่าไปจินตนาการถึงมันนักล่ะ” พวกเขารู้ได้ทันทีว่ากำลังพูดถึงเรื่องอะไร
ไม่นานนักสมาชิกห้องเรียนก็มากันครบโดยไม่มีใครสนใจประตูที่วางอยู่ข้าง ๆ ซึฮากิเลยสักคน
“วันนี้เราสมาชิกใหม่มาด้วยและฉันทดสอบมาหมดแล้วไม่ต้องห่วง”
“ฝะฝากตัวด้วยนะคะ” หญิงสาวผมสีเงินที่มีแววตาล่อกแล่กไม่กล้าสบตาใครกล่าวทักทายสั้น ๆ
“งั้นมาเริ่มการสอนจริง ๆ เลยดีกว่า” ซึฮากิเดินเข้าหาพีชจ้องมองจนเธอเบือนหน้าหนี
“คนแรกเป็นพีชก็แล้วกัน ข้อเสียใหญ่ ๆ เวลาเธอร่ายเวทมนตร์ก็คือร่างกาย ไม่ใช่แค่ร่างกายอ่อนแอแต่ยังชอบยืนนิ่งตอนร่ายเวทมนตร์ซึ่งเป็นจุดอ่อนที่ต้องรีบแก้โดยด่วน”
“ต่อไปก็เป็นองค์ชายโย สมดุลร่างกายไม่ดีอาจจะเพราะการใช้อาวุธหนักหรือออกแรงจากข้างที่ถนัดตลอด”
“สมดุลร่างกายเนี่ยนะ?” โยยืนขึ้นและมองดูร่างกายตัวเอง
“ต่อไปโลกิ ปฏิกิริยาตอบสนองค่อนข้างต่ำทำให้ลดประสิทธิภาพของการใช้เวทมนตร์และอาวุธลง”
โลกิขมวดคิ้วไม่เข้าใจในสิ่งที่ซึฮากิพูดสักเท่าไร
“ส่วนเซนน่า ข้อเสียยิบย่อยหลายอย่างแต่หลัก ๆ ก็คือปอดเล็กทำให้เหนื่อยไว”
เมื่อพูดจบซึฮากิก็พวกเขาไปหลังห้องเรียนที่เป็นสนามหญ้าโล่ง ๆ มีอุปกรณ์หลายอย่างที่ซึฮากิทำไว้ให้
“ต่อจากนี้พวกนายต้องฝึกตามวิธีที่กำหนดไว้”
“แล้วฉันล่ะ?” ฟรานยกมือถามทันทีก่อนที่จะเริ่มฝึก
“ฉันบอกแล้วว่าเธอสมบูรณ์แบบทุกด้านก็เลยไม่ต้องทำอะไร เหลือเพียงแค่เพิ่มพูนประสบการณ์เท่านั้น”
“จริงเหรอแล้วฉันจะหาประสบการณ์จากไหนดีล่ะ?”
“เดี๋ยวฉันคิดให้ทีหลังตอนนี้มาเริ่มการฝึกกันดีกว่า”
การฝึกของแต่ละคนไม่เหมือนกัน พีชจะให้ฝึกโดยการวิ่งสลับซ้ายขวาขณะเดียวกันต้องยิงกระสุนมานาใส่เป้าซ้อมให้โดน ใกล้ ๆ กันจะมีโยที่โดนฝึกให้ยืนขาเดียวจากแค่ยืนเฉย ๆ เมื่อชินแล้วก็จะให้ถือของหนักขึ้นเรื่อย ๆ สลับซ้ายขวาจนกว่าจะชิน
ทางด้านของเซนน่าด้วยความที่เธอปอดเล็กทำให้วิธีการฝึกส่วนใหญ่เป็นการออกกำลังกายไม่ว่าจะวิ่งหรือกระโดดเชือกแต่มันมีความเข้มข้นสูงกว่ามาตรฐานมากเล่นเอาเธอเกือบเป็นลม
ส่วนโลกิจะมีซึฮากิเป็นคนฝึกด้วยตัวเอง โดยวิธีฝึกการตอบสนองจะมีหลายรูปแบบอย่างสลับของในกล่องแล้วให้มองตามให้ทัน การตีตัวตุ่นที่เหมือนการเล่นซะมากกว่าแต่ก็ได้ผลและค่อย ๆ เพิ่มระดับความยากเข้าไป
29 มีนาคม พ.ศ.2576
“แล้วจักรพรรดินีไปอยู่ไหนล่ะ?” ชายหนุ่มผู้เป็นเชื้อพระวงศ์ของราฟานั่งแทนที่เก้าอี้ของแคทเทอรีนโดยมีเหล่าขุนนางนั่งคุกเข่าอยู่เบื้องล่าง
“อย่างที่ท่านทราบพวกเราจัดฉากให้จักรพรรดินีติดอยู่ในดันเจี้ยน เพราะความประมาทของเธอเราจึงหลอกให้เซ็นชื่อเพื่อมอบสิทธิ์การสั่งการและแน่นอนว่าเราต้องรีบจัดการทุกอย่างให้เรียบร้อย”
“มีเวลาอีกเท่าไรจนกว่าเธอจะกลับมา”
อาเธอร์เป็นขุนนางที่มีพลังอำนาจสูงที่สุดในหมู่ขุนนางด้วยกัน ถ้าให้เทียบกับราชวงศ์ที่โดนแย่งผู้สืบทอดไปก็คงอยู่ในสถานะเดียวกัน สถานะที่มีพลังมากแค่ไหนก็ยังต้องอยู่ภายใต้จักรพรรดินีจนไม่ได้แสดงศักยภาพของตัวเองออกมา
“อย่างไวก็ไม่เกินหนึ่งสัปดาห์แต่ถ้าโชคดีเธออาจจะตายในดันเจี้ยนก็ได้”
“เหอะ เธอคนนั้นผ่านดันเจี้ยนมาตั้งเท่าไรกะอีแค่ติดอยู่ในดันเจี้ยนไม่กี่วันเดี๋ยวก็ออกมา”
“สำนักมนตร์ดำให้ข้อมูลว่าจักรพรรดินีแพ้ไฟหรือไม่ก็ความร้อนและเราก็ดันมีที่ที่ เหมาะสมพอดิบพอดี นอกจากจะเป็นดันเจี้ยนซ้อนดันเจี้ยนมันยังเชื่อมไปยังแดนเถื่อนที่ที่เต็มไปด้วยอันตรายและความแร้นแค้นอีกด้วย”
“แดนเถื่อนอีกแล้วเหรอ จะยังไงก็ช่างในเมื่อเราได้โอกาสมาแล้วก็ต้องรีบฟื้นฟูความไว้เนื้อเชื่อใจจากประชาชนให้มากที่สุด”
“เช่นนั้นผมจึงเตรียมขบวนออกปราศรัยไว้ให้แล้วครับ แถมแต่เดิมประชาชนก็ไม่ค่อยชอบการปกครองของจักรพรรดินีอยู่แล้วก็เหมือนเป็นแต้มต่อไปในตัว” นอกจากอาเธอร์ก็ไม่มีใครกล้าพูดอะไรราวกับเป็นเพียงเบี้ยตัวเล็ก ๆ เท่านั้น
“ดี ! ถ้าอย่างนั้นเราก็ไปกันได้แล้ว”
ขณะเดียวกันพวกแคทเทอรีนก็ยังเดินวนอยู่ในดันเจี้ยนใต้ดินไปตามเส้นทางมากมายราวกับไม่มีที่สิ้นสุด
“ยิ่งเดินลึกเข้าไปก็ยิ่งร้อนระอุเหมือนอยู่ในเตาเผา ที่นี่มันดันเจี้ยนซ้อนกี่ชั้นกันแน่เนี่ย”
“ถ้าให้เดาน่าจะเป็นพวกความร้อนจากลาวานะครับ”
“ลาวาเนี่ยนะ ไม่ใช่ว่าต้องออกมาจากภูเขาไฟหรอกเหรอ?”
“อืมน่าจะต้องเรียกแมกมามากกว่า ผมก็ไม่ค่อยรู้เรื่องเท่าไรก็แค่อ่านเจอในหนังสือ”
คาร์เตอร์ยังคงแบกแคทเทอรีนไปไหนมาไหนด้วยตลอดจนนึกว่าเป็นลูกสาวไปเสียแล้ว ความอ่อนแรงอ่อนล้าที่กัดกินจักรพรรดินีตลอดเวลาทำให้ทีโอน่าต้องรับมือทุก ๆ อันตรายรอบตัว ต่อให้ทนกินอาหารจากพวกมอนสเตอร์ได้แต่หากไม่มีเวทวารีของคาร์เตอร์ก็คงอดน้ำตายกันไปแล้ว
เราจะรอดไหมเนี่ย อย่างน้อยคูเปอร์ก็อยู่ในที่ปลอดภัยหายห่วงแถมยังมีพวกพ้องให้พึ่งพาได้อีก
“เหมือนจะมีทางลงไปอีก” ทีโอน่าสร้างมือขนาดยักษ์โอบอุ้มพาพวกเธอไปยังพื้นด้านล่างที่ร้อนระอุยิ่งกว่าเก่า
ทุกการก้าวเดินต้องคอยหวาดระแวงว่าจะโดนธรณีสูบเมื่อไร พื้นดินที่เหมือนจะถล่มได้ทุกเมื่อและไอความร้อนที่ผุดขึ้นมาเป็นช่วง ๆ ราวกับอยู่ในนรกดี ๆ นี่เอง
31 มีนาคม พ.ศ.2576
หลังจากการฝึกฝน ทุกคนมีพัฒนาการอย่างเห็นได้ชัดโดยเฉพาะเซนน่าที่ตอนแรกแทบจะวิ่งสิบกิโลเมตรไม่ได้พอมาตอนนี้กลับวิ่งได้ถึงยี่สิบกิโลเมตร ด้วยเวลาฝึกไม่ถึงอาทิตย์แต่พวกเขาสามารถปรับตัวและทำความคุ้นเคยได้อย่างรวดเร็วสมกับค่าศักยภาพที่มีจริง ๆ
ซึฮากิเดินไปยังสนามซ้อมของพีชที่มีลักษณะเหมือนบ้านสามชั้นและยังมีห้องใต้ดินซึ่งเชื่อมต่อกันได้ทุกชั้น
หลังจากการฝึกร่ายเวทขณะเคลื่อนที่มาถึงจุดหนึ่งจึงเพิ่มเป้าเคลื่อนไหวเข้าไป บ้านทั้งสามชั้นจะมีจุดข้ามไปมาหลายจุดทำให้เธอต้องปีนป่ายขึ้นลงตลอดเวลาเพื่อตามยิงเวทมนตร์ใส่เป้าซ้อม
สนามซ้อมต่อไปก็เป็นของโยซึ่งมีการแบ่งหลาย ๆ รูปแบบทั้งสะพานแขวน เสาหินสูงสิบเมตรและอาวุธประจำตัวที่เขาชอบใช้
พอยืนทรงตัวได้ปกติก็ให้ถืออาวุธที่ชอบใช้ ทั้งค้อนทั้งขวานยักษ์ต่างก็เป็นอาวุธที่มีพลังทำลายสูงซึ่งแลกมาด้วยพลังกายจำนวนมาก ถ้ารักษาสมดุลได้สมบูรณ์แบบเขาก็จะดึงประสิทธิภาพของอาวุธและความแม่นยำได้มากขึ้น
ซึฮากิเดินต่อไปก็จะได้เห็นเซนน่ากำลังกระโดดเชือกอย่างบ้าคลั่งติดกันเป็นร้อยครั้งแต่พอได้หยุดพักก็เหนื่อยเหมือนคนจะตายเพราะหายใจไม่ทันได้แต่นอนหงายรับแสงอาทิตย์
ของเซนน่าค่อนข้างเรียบง่ายแต่แฝงไปด้วยความทรหด ทุก ๆ ครั้งที่ฝึกต้องเพิ่มจุดสูงสุดไปเรื่อย ๆ เหมือนไม่มีที่สิ้นสุดเพราะถ้าฝึกแล้วไม่เหนื่อยก็ไม่รู้ว่าจะฝึกขยายปอดไปทำไม
“ทุกคนขยันขันแข็งกันจริง ๆ” ฟรานก็เหมือนผู้ช่วยอาจารย์ไปเรียบร้อยแล้วเพราะไม่ต้องทำอะไรแค่คอยเฝ้าดูการฝึก
ร่างกายมนุษย์เป็นเหมือนสิ่งมหัศจรรย์ยิ่งยกของหนักทุกวันเราก็จะยกได้สบาย ๆ ทั้งที่ตอนแรกแทบจะแขนหัก แถมยังมีพวกแปลก ๆ ที่กินสารพิษได้เล็กน้อยโดยไม่เป็นอะไรเพราะถิ่นที่อยู่มีสารพิษในแหล่งน้ำจึงมีการปรับตัว หรือจะเป็นพวกที่ดำน้ำได้นานเพราะต้องหากินกับทะเลมาหลายชั่วอายุคน
“มาดูผลงานของโลกิสิ” หลายครั้งซึฮากิมักจะให้ฟรานเป็นคนทดสอบการตอบสนองของโลกิมันก็เหมือนผลงานของเธอด้วยส่วนหนึ่งไม่แปลกที่จะตื่นเต้น
การทดสอบการตอบสนองมันค่อนข้างใช่เวลาเป็นอย่างมาก เหมือนคนที่เล่นเกมแล้วเดินหลบสกิลจากอีกฝ่ายได้ทันทีที่เห็น หรืออย่างนักกีฬามืออาชีพเกือบทุกชนิดก็ต้องพึ่งการตอบสนองที่มาจากการฝึกฝนจำนวนมากไม่ว่าจะวอลเลย์บอล บาสเกตบอล ฟุตบอล หรือจะเป็นการชกมวยไม่ก็เอ็มเอ็มเอก็ยิ่งต้องใช้การตอบสนอง
“ผมผ่านหรือยังครับ?” โลกิเงยหน้ามองตาปริบ ๆ ไม่มั่นใจผลงานของตัวเองนักแต่ซึฮากิก็ยิ้มอ่อนเพื่อเป็นการให้กำลังใจ
“ทำได้ดี หลังจากนี้จะเพิ่มความเข้มข้นของการฝึกเข้าไปอีกหนึ่งขั้น”
“ครับอาจารย์” เสียงตอบรับขึงขังเต็มไปด้วยความมุ่งมั่นสำหรับผู้เป็นอาจารย์ถือเป็นกำลังใจให้สอนต่อไปได้
ช่วงเวลาหลายวันที่ผ่านมาได้มีการเปลี่ยนแปลงขั้วอำนาจในอาณาจักรนอดอย่างมหาศาล เมื่อประชาชนพร้อมใจกันเข้าหาเอเลผู้ซึ่งควรจะได้เป็นจักรพรรดิและด้วยวิธีการปกครองของแคทเทอรีนทำให้สภาพความศรัทธาลดลงอย่างต่อเนื่อง เมื่อโอกาสเปลี่ยนแปลงมาถึงพวกเขาจึงไม่ลังเลแม้แต่น้อย
“คืนภาษีได้กี่เปอร์เซ็นต์แล้ว?” แม้เอเลจะพึ่งเข้ามารับตำแหน่งชั่วคราวแต่เพราะเขาคือผู้สืบทอดที่แท้จริงจึงถูกสั่งสอนและฝึกการบริหารการจัดการผู้คนมาตั้งแต่เด็ก
“จำนวนการส่งออกจากคลังประมาณเจ็ดสิบเปอร์เซ็นต์แต่จากการยืนยันมีเพียงสี่สิบเปอร์เซ็นต์เท่านั้นที่รับเงินไปแล้ว” อาเธอร์รายงานได้อย่างชัดถ้อยชัดคำทำตัวเหมือนเป็นเลขาทั้ง ๆ เขาไม่ต้องทำเช่นนั้นเลยก็ได้
“อืม สถานการณ์ค่อนข้างเอนเอียงมาฝั่งเรา ถ้ามีเวลาอีกสักอาทิตย์คงซื้อใจคนจากเมืองรอบข้างได้แน่แต่ในเมื่อเวลามีจำกัดคงต้องเปลี่ยนแผน” เอเลก้าวลงจากเก้าอี้เดินผ่านเหล่าทหารและขุนนางที่หมอบราบรอคำสั่งไปยังประตูทางออก
“แผนที่ว่าคือ...” อาเธอร์เอ่ยถามชายตามองแผ่นหลังของจักรพรรดิเอเล
“มาจัดงานฉลองและประกาศเปลี่ยนจักรพรรดิกันดีกว่า ข้าเชื่อว่าเหล่าปวงชนจะอยู่ฝั่งเรา”
“น้อมรับทุกคำสั่งครับฝ่าบาท”
หลังจากที่อาเธอร์กล่าวเช่นนั้นทุกคนก็พูดตามเป็นเหมือนการปฏิญาณตน หลายปีที่แคทเทอรีนถือครองตำแหน่งจักรพรรดินีทำให้ผู้คนเดือดร้อน แม้จะไม่ต้องกลัวสัตว์อสูรหรือภัยคุกคามแต่กลับเป็นวิธีจัดการของเธอเองที่ทำให้ชาวบ้านอยู่อย่างลำบาก
“จงดูเถิดเหล่าประชาชนที่รัก ข้า เอเล ราฟา ผู้สืบทอดตำแหน่งจักรพรรดิผู้มาจากสายเลือดของราชวงศ์ราฟาผู้เหมาะสมที่แท้จริง”
ชายผู้ที่เก็บตัวมาหลายปีได้เปิดตัวและประกาศกร้าวต่อมวลมหาประชาชีว่าตนจะขึ้นครองตำแหน่งจักรพรรดิ สายตาอาลัยอาวรณ์ของความหวังสายตาสงสัยของความหวาดระแวงสายตาดุดันของความตั้งมั่นต่อจักรพรรดินีแคทเทอรีนที่กำลังสั่นคลอน
“ตลอดเวลาหลายปีที่ผ่านมาข้ารู้สึกผิดเป็นอย่างมากที่ไม่อาจยื่นมือเข้ามาช่วยประชาชนที่รักได้...แต่บัดนี้หลังจากที่ข้าเตรียมตัวมานานในที่สุดก็ได้เวลานำสิ่งที่ควรจะเป็นกลับคืนสู่ประชาชนของข้า”
“ฝ่าบาทเอเลจงเจริญ !”
เสียงกู่ก้องร้องเฮจากผู้คนที่มาฟังปราศรัย พวกเขาใช้การจัดเทศกาลและงานเลี้ยงเป็นสิ่งดึงดูดผู้คนแม้แต่ลูกเด็กเล็กแดงก็ยังได้เห็นรัศมีความเป็นผู้นำของเอเล
“ทุกคนคงรู้ดีว่าปัจจุบันเราใช้ทรัพยากรไปกับการทหารมากแค่ไหน ทุกคนรู้ดีว่าสงครามมันน่ากลัวแค่ไหน แล้วทำไมถึงยังต้องการก่อสงครามไม่เลิกเสียที ทุกคนคงรู้ดีว่าเรามีสนธิสัญญาสงบศึกที่ทำให้เราใช้ชีวิตได้อย่างสบายใจเช่นนี้...และใครกันที่ทำให้เป็นเช่นนั้น”
“ท่านผู้นั้น !” เสียงผู้คนตะโกนพร้อมกันโดยไม่ได้นัดหมาย
“ถูกต้อง ตราบใดที่ท่านผู้นั้นยังอยู่สงครามก็จะไม่เกิด ตราบใดที่สงครามไม่เกิดพวกเราก็ไม่จำเป็นต้องสิ้นเปลืองงบประมาณไปกับสิ่งเหล่านั้น ตราบใดที่เรามีงบประมาณพวกเราก็จะพัฒนาความเป็นอยู่ของประชาชนทุกคน แล้วใครจะไปกับข้าบ้าง !”
เสียงเฮยังคงดังก้องไปทั่วเมืองหลวงของอาณาจักรนอด ทุกคนล้วนเข้าใจสิ่งที่เอเลพูดแต่ก่อนหน้านี้ไม่มีสิทธิหรือโอกาสทำอะไรได้ทั้งสิ้นและเมื่อจังหวะโอกาสมาถึงมีหรือจะไม่คว้าไว้
“นี่มันเกิดเรื่องบ้าอะไรขึ้นเนี่ย?” ขณะเดียวกันเหล่านักดมกลิ่นที่มาถึงเมืองก็ได้แต่ครุ่นคิดสงสัย
“ท่านเอเลจะขึ้นครองตำแหน่งเนี่ยนะแล้วท่านจักรพรรดินียอมได้ยังไง?” จี้เพ่งสายตามองไปยังจักรพรรดิองค์ใหม่ที่มีขุนนางและทหารเดินประกบข้างตลอดเวลา
“เป็นยังไงบ้างเจ้าบลัดฮาวด์” สัตว์อสูรของเขาดมหากลิ่นของแคทเทอรีนแต่ก็เลือนรางเพราะโดนกลิ่นอื่นกลบไปบ้างแล้ว
“เราคงต้องหลบซ่อนไปก่อนรอดูลาดเลาอีกที”
“อืม...ฉันก็เหมือนได้กลิ่นตุ ๆ”
2 เมษายน พ.ศ.2576
“มาหลบอยู่ที่นี่เองสินะ” ทีโอน่ายิ้มแห้งหลังจากเดินเท้ามาหลายวันกับสภาพอันน่าอนาถใจจ้องมองงูยักษ์สีทองอร่ามท่ามกลางพื้นดินที่มีแมกมาผุดขึ้นมา
“มีอะไรกันอีกแล้ว” เสียงเอื่อยเฉื่อยเหมือนพึ่งตื่นของแคทเทอรีนทำเอาคาร์เตอร์จะหลับไปด้วย
“มอนสเตอร์ตัวอื่นจัดการได้ไม่มีปัญหาแต่กับเจ้านี่ดันแข็งแกร่งและฉลาดกว่าที่คิดคงเป็นราชาดันเจี้ยนแน่ ๆ”
ไม่ทันไรมันก็ชูคอขู่ฟ่อกระโดดลงทะเลแมกมาที่อยู่เบื้องหน้าราวกับเป็นเส้นทางลงนรก
“ฆ่าตัวตายหรือยังไงเนี่ย? แคทเทอรีนไม่เป็นอะไรแน่นะ”
“ฉัน...ไม่เป็นไรหรอก” แม้จะกล่าวเช่นนั้นแต่ด้วยกิริยาท่าทางของเธอจึงไม่ค่อยน่าเชื่อถือเสียเท่าไร
ทีโอน่าถอนหายใจและก้าวเดินต่อไปเพื่อข้ามผ่านเส้นทางเล็ก ๆ ไปยังอีกฟากของทะเลแมกมาแต่ทันใดนั้นเจ้างูยักษ์ก็โผล่หัวออกมาสาดน้ำแมกมาไปทั่วบริเวณราวกับเป็นการประกาศสงคราม
เกล็ดสีทองถูกเคลือบไปด้วยแมกมาสีแดงทั้ง ๆ ที่มันควรจะตายแต่กลับว่ายไปมาได้เหมือนน้ำธรรมดาและยังทำลายพื้นดินทั้งด้านหน้าและหลังจนไม่เหลือที่หนีอีกต่อไป
“จะเอาอย่างนี้สินะ...คงไม่หนีอีกรอบใช่ไหมเจ้างูเวรนี่” ทีโอน่าเข้าเผชิญหน้ากับราชาดันเจี้ยนโดยไม่มีความเกรงกลัวมีเพียงรอยยิ้มเยาะที่มาพร้อมออร่ามานากระจายรอบตัว
สารบัญ / นำทาง
- 👁️ ยอดวิว 310
แสดงความคิดเห็น