STARCIN ภาคที่ 6 OverThrow ตอนที่ 18 เสกสรร
บรรยากาศอันหนักอึ้งกำลังกลืนกินขั้วอำนาจของอาณาจักรเซียไม่ใช่ว่ากลัวความมั่นคงด้านไหนจะพังทลายแต่เป็นตัวผู้กล้าเสียเอง ถ้าผู้กล้าย้ายฝั่งไปอยู่กับเหล่ากบฏจะเกิดอะไรขึ้นเมื่อเป็นเช่นนั้นก็ต้องพึ่งวิธีประนีประนอม ต่อให้ลบสถานะกบฏออกแต่ก็ยังเป็นบุคคลควรเฝ้าระวังสูงสุดโดยต้องมีทหารระดับสูงคอยประกบเฝ้ามองดูทุกการกระทำ
“ในเมื่อตกลงกันได้แล้วพวกเราก็ขอตัวไปพักผ่อนนะครับ” หลังจากเจรจาเสร็จสรรพเขาก็ก้มโค้งทำความเคารพไม่ได้กระโชกโฮกฮากเหมือนอย่างก่อนหน้านี้เหมือนกับได้สิ่งที่ต้องการแล้วจึงไม่ต้องแข็งกร้าวต่อไป
“สุดยอดไปเลยกิ ถ้าเป็นฉันคงพูดไม่ออกแน่ ๆ ดูหน้าพวกเขาแต่ละคนสิ” เซนโอบไหล่กอดซึฮากิเป็นเพื่อนเล่นยิ้มร่าเริงเมื่อได้ออกมาจากห้องนรกแห่งนั้น
ฟรานเดินพยายามเดินเข้ามาเคียงข้างค่อย ๆ เดินตัวติดเมื่อได้จังหวะก็แอบจับมือของซึฮากิ
“ไม่ได้เห็นหน้านานเลยนะกิจัง…เหมือนจะดูเป็นผู้ใหญ่ขึ้นนะเนี่ย” เธอส่งยิ้มอันสดใสราวกับเป็นวันแห่งความสุขและยิ่งซึฮากิไม่ได้ห้ามเรื่องจับมือเธอก็ยิ่งยิ้มฉีกกว้างเข้าไปใหญ่
“เธอเองก็ดูตัวใหญ่ขึ้นนะ”
“หา ! ฉันไม่ได้อ้วนนะ” ฟรานอุทานตอบกลับทันที
“ไม่ ๆ ฉันไม่ได้หมายถึงอย่างนั้น แบบว่ากล้ามเนื้ออะไรพวกนี้ใหญ่ขึ้นหนาขึ้นต่างหาก”
“แล้วไป...นึกว่ากินเยอะเกินจนน้ำหนักขึ้นซะแล้ว พวกเธอก็ดูสบายดีนี่นาเราไปหาอะไรกินกันไหม?” ฟรานเข้าประชิดตัวคานะเห็นสีหน้าท่าทางที่เปลี่ยนไปราวกับคนละคน ภาพลักษณ์ของคานะที่เธอจำได้ก็เป็นเด็กสาวที่ชอบหลบมุมตอนเจอคนแปลกหน้าไม่ค่อยกล้าสบตาใครนัก
“แหม ๆ นี่มันก็ตั้งนานแล้วคนเราก็ต้องเปลี่ยนกันบ้าง”
“ใช่ไหมล่ะ ! คานะของฉันทั้งสวยและน่ารักขึ้นเป็นกองเลย” เซนแทรกเข้ามากลางคันด้วยรอยยิ้มกว้างจนตาหยีอวดสรรพคุณแฟนสาวของตัวเองไม่หยุด
“พวกนายนี่ดูเข้ากันได้ดีกว่าเมื่อก่อนมากเลยนะหรือว่า...” เป็นใครก็ต้องคิดเช่นนั้นเมื่อได้เห็นท่าทางออดอ้อนอย่างกับแมวน้อยของเซนและยังถึงเนื้อถึงตัวได้อย่างเป็นธรรมชาติ
“ก็ต้องอย่างนั้นอยู่เราเป็นแฟนกันนะ”
“เลิกมาขยุ้มหัวฉันสักที !” คานะเหวี่ยงตัวเซนกระแทกพื้นเสียงดังจนทหารตกใจชักดาบออกมา
“โทษ ๆ พอดีว่ามันเคยตัวน่ะ พื้นคงไม่เป็นอะไรมากหรอกใช่ไหม?”
“โถ่ ! ไม่ห่วงฉันก่อนเหรอ” เซนโดนคานะลากตัวออกมาเพื่อดูสภาพพื้นกระเบื้องที่ทำมาอย่างดีแต่มันก็แตกเละเป็นหลุมไปเสียแล้ว
เธอดูแตกต่างสุด ๆ ไปเลยนะเนี่ย หญิงสาวที่ออกแนวเด็กเรียนกลายเป็นพวกหัวรุนแรงแบบเดียวกับเซนตั้งแต่เมื่อไร
“เดี๋ยวฉันจ่ายค่าซ่อมให้ก็ได้ เราไปหาอะไรกินกันเถอะฉันมีเรื่องอยากคุยด้วยเป็นภูเขาเลย”
“จ่ายให้เหรอถ้าอย่างนั้นก็รีบไปกันเถอะ” เซนลุกจากพื้นไม่มีท่าทีโกรธเคืองคานะเลยสักนิดจนบางทีก็คิดว่าเขาเป็นพวกชอบถูกกระทำหรือเปล่า
เซนวิ่งดี๊ด๊านำหน้าอย่างกับอยากถึงร้านอาหารก่อนใครทั้ง ๆ ไม่รู้จักเส้นทางด้วยซ้ำ
ให้ตายสิพวกไม่เต็มนี่เหรอจะเป็นอันตรายต่ออาณาจักร จากการเจรจาสุดท้ายก็ได้พลเอกลักซ์เป็นผู้เฝ้าสังเกตเพียงคนเดียวแต่แค่นั้นก็มากเกินพอแล้ว อาวุธลับของอาณาจักรที่มีพลังในการหยุดทุกสรรพสิ่งต่อให้เหล่ากบฏรวมตัวกันก็มิอาจต่อต้านได้นั่นคือสิ่งที่ราชาโอบาและมหาอำนาจคนอื่น ๆ คิด
“จริงสิ พวกเธอชื่ออะไรกันบ้าง?” ฟรานจ้องมองสเตล่าและยูกิที่เดินตามนิ่งเงียบไม่กล้าปริปากกลัวจะไปทำแผนของซึฮากิเสีย
“ข้าชื่อ ยูกิ เอลโฟเรีย เธอชื่อฟรานสินะฝากตัวด้วยล่ะ” เขามองตาขวางเหมือนยังหวาดระแวงแต่ฟรานก็ยิ้มเริงร่าตอบรับเพื่อให้ยูกิสบายใจขึ้น
“ฉันสเตล่า” ทันทีที่เธอถอดผ้าปิดหน้าออกเล่นเอาฟรานตกใจตาโต
“ผู้หญิง...หรือผู้ชาย”
“ผู้หญิงสิ ฉันชอบแต่งตัวแบบนี้แหละ หลาย ๆ คนก็ตกใจเหมือนกันเวลาเจอกันครั้งแรก”
“กิจัง...หาเพื่อนผู้หญิงได้เยอะนะเนี่ย” น้ำเสียงแข็งกระด้างกล่าวออกมาด้วยแววตาจ้องเขม็ง
“เยอะตรงไหน ที่มาด้วยกันก็มีผู้หญิงสองคนกับผู้ชายสามคนมันก็พอ ๆ กันนั่นแหละ”
“ผู้หญิงสอง...” เธอมองหน้าคานะ สเตล่าและยูกิเกิดความสับสนในหัวจนพูดไม่ออก
“ทำไมฉันเห็นสามคน”
“ตายแล้ว ๆ อีกคนก็นึกว่าผู้ชายอีกคนก็นึกว่าผู้หญิงมันมองยากขนาดนั้นเลยหรือยังไง?” ยูกิตะเบ็งเสียงดังรู้สึกหงุดหงิดเล็กน้อย
“ใช่มองยากจริง” พวกเซนพูดออกมาอย่างพร้อมเพรียงเหมือนนัดกันมา
หลังจากเดินทางสักพักพวกเขาก็ไปถึงร้านอาหารใกล้ ๆ นั่งกินกันอย่างเอร็ดอร่อยตามสไตล์เดิมของพวกเซนทำให้ฟรานได้เห็นเพื่อน ๆ มีความสุขกันจริง ๆ รอยยิ้มสีหน้าท่าทางที่ไม่คิดว่าจะมีได้เมื่ออยู่ในสถานการณ์เช่นนี้มันยิ่งทำให้ฟรานอยากรักษาสิ่งเหล่านั้นไว้
“สั่งให้เต็มที่เลยเดี๋ยวฉันเลี้ยงเอง”
“ถ้าอย่างนั้นก็สวยสิ” เซนมองหน้าคานะเหมือนรู้ว่าจะทำอะไร
“ขอเนื้อย่างสิบที่ !” เซนและคานะตะโกนสั่งอย่างพร้อมเพรียงก่อนจะหัวเราะลั่นสนุกสุขใจไปกับมื้ออาหารต่างแดน
“เห็นแบบนี้ฉันก็รู้สึกดีไปด้วย” ฟรานมองหน้าคุยกับซึฮากิก่อนจะเหลือบไปเห็นสร้อยข้อมือที่เคยให้ไว้ก่อนหน้านี้
“นี่นายยังเก็บไว้จริง ๆ สินะ ถ้าอย่างนั้น...” เธอหยิบเอาสร้อยคอเส้นใหม่ที่ทำด้วยตัวเองยื่นให้กับซึฮากิ
“นี่เป็นสร้อยที่ใช้หินเวทความเข้มข้นสูงทำขึ้นมา ฉันหวังว่ามันจะช่วยนายได้”
“อืมขอบใจ มีครั้งหนึ่งถ้าไม่ได้สร้อยข้อมือของเธอฉันก็คงลำบากแน่ ๆ”
“จริงเหรอ” รอยยิ้มแป้นเอามือเท้าคางส่งสายตาออดอ้อนให้กับซึฮากิตลอดเวลาจนยูกิและสเตล่าแบะปากขมวดคิ้วสงสัย
“เธอเป็นอะไรกับซึฮากิกันแน่” ยูกิเอามือดันคางทำท่าทางคิดวิเคราะห์หาความเป็นไปได้
“ฉันก็พึ่งเคยเห็นเหมือนกัน กิไม่ค่อยพูดถึงเพื่อน ๆ คนอื่นซะด้วยเลยไม่รู้อะไรเลย” ภายใต้ผ้าปิดหน้าสเตล่ากำลังเม้มปากจ้องตาไม่กะพริบ
“จริงด้วยสิพวกนายจะไปหาเพื่อน ๆ ไหม? ถ้าเป็นพวกนัตโตะจะอยู่ที่กรมทหารส่วนพวกซากิจะอยู่ที่โรงเรียนหลวง”
“ฉันว่าจะไปหาเจ้าถั่วเน่าก่อน แล้วพวกนายล่ะ?” การที่ซึฮากิจะถามความคิดเห็นจากเพื่อน ๆ มีไม่มากนักเพราะทุกสถานการณ์ก่อนหน้านี้มีแต่เสี่ยงตายได้ทุกเมื่อเขาจึงต้องวางแผนและตัดสินใจแทนทุกอย่าง
“ฉันยังไงก็ได้ แต่ก็อยากไปเห็นเจ้าพวกหน้าหล่อนั่นด้วย นึกแล้วก็อยากจะแก้แค้นที่เคยทำกับฉันตอนเล่นชิงธง” เซนยิ้มอย่างมีเลศนัยกำมือพร้อมปะทะ
“ข้ายังไงก็ได้แต่อยากเข้าครัวจนมือสั่นแล้วเนี่ย” ยูกิยกมือทั้งสองให้เห็นว่ามันสั่นจริง ๆ แม้จะไม่ทันสังเกตก็ตาม
หลังจากคุยกันจบพวกเขาก็จ่ายเงินเดินออกจากร้านโดยมีลักซ์คอยเฝ้าอยู่ใกล้ ๆ แต่ก็จะไม่เข้าไปยุ่ง “ฉันจะไปหาเจ้าถั่วเน่าก่อน พอดีมีธุระสำคัญที่ต้องทำ” เพื่อน ๆ พยักหน้าตอบรับเป็นอันตกลง
ช่วงเวลาบ่ายของวันมีแดดอันร้อนแรงกำลังแผดเผาผิวอันเรียบเนียนของเซนแต่โชคดีที่มีบริการรถม้ารับส่ง ผ่านไปไหนมาไหนถ้ามีคนเห็นหน้าฟรานเขาก็มักจะทักทายด้วยความเคารพรักทั้ง ๆ ไม่รู้จักนิสัยหรือเข้าใจความรู้สึกนึกคิดของเธอด้วยซ้ำแต่แค่มีตำแหน่งผู้กล้าก็ทำให้คนอื่นเชื่อสนิทใจแล้ว
“ที่นี่แหละที่นัตโตะอยู่” ฟรานที่รู้จักเส้นทางจึงเดินนำหน้าฝ่าได้ทุกการป้องกันโดยไม่ต้องทำอะไรด้วยซ้ำ
“ยินดีต้อนรับครับท่านผู้กล้า” ทหารยามที่เฝ้าประตูกล่าวทักทายมีหรือที่เธอจะไม่ตอบกลับ
“สวัสดีค่ะ เหนื่อยหน่อยนะคะ” รอยยิ้มอันสดใสแทงเข้าไปในหัวใจของชายหนุ่มที่ได้แต่ทำงานน่าเบื่อให้มีแรงใจฮึดสู้อีกครั้ง
“แหม ๆ เป็นรอยยิ้มที่อันตรายจริง ๆ เนอะกิ” เซนยิ้มเล็กยิ้มน้อยพยายามหยอกล้อซึฮากิที่สนิทกับฟรานจนเกินคำว่าเพื่อน
ซึฮากิหัวเราะในลำคอไม่ตอบโต้สักคำจนเซนหมดสนุกไปเอง
“ให้ตายสิกว่าจะมากันได้” เมื่อไปถึงห้องพักหน่วยของนัตโตะเขาก็ทักทายด้วยรอยยิ้มยียวนนั่งไขว้ข้างกระดิกเท้า
“ยิ้มน่าเกลียดชะมัด” ซึฮากิเองก็ทักทายตอกกลับด้วยถ้อยคำเหน็บแนม
“เหมือนตัวเองหล่อตายแหละ”
“เรื่องโทรศัพท์เป็นยังไงบ้าง?” ทั้ง ๆ พึ่งต่อล้อต่อเถียงกันไปแต่ก็เปลี่ยนเรื่องเข้าประเด็นทันทีเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
“กำลังวิจัยของใหม่อยู่ หินสื่อสารอันเก่ามันใช้ยากแบบว่าถ้ามีคนโทรไปแล้วบังเอิญอยู่ในสถานการณ์ที่ต้องหลบซ่อนมันจะลำบากเอา ก็เลยพยายามปรับรูปแบบให้สามารถเลือกตั้งค่าได้ว่าจะเป็นแบบแสง แบบสั่นหรือมีเสียง”
“พลังของแกก็ใช้ได้เยอะเหมือนกันนะเนี่ย แล้วสามารถโทรได้หลาย ๆ สัญญาณหรือยัง เพราะปกติหินสื่อสารจะเชื่อมกันแค่หนึ่งคู่ทำให้เวลาโทรต้องใช้คู่ที่เข้ากันเท่านั้น แต่ถ้าเพิ่มฟังก์ชันที่เหมือนโทรศัพท์ที่สามารถโทรไปหาเครื่องอื่น ๆ ได้เหมือนกันก็ยิ่งดี”
“แหม ๆ ก็นึกว่าอะไร” นัตโตะเปิดกล่องเก็บของและยื่นหินสื่อสารรูปแบบปรับปรุงให้ ลักษณะสี่เหลี่ยมผืนผ้ามีปุ่มกดหลายปุ่มขนาดถือพอดีมือ
“นี่เป็นหินสื่อสารแบบใหม่จะเรียกมือถือเลยก็ได้ วิธีจำก็คือนับจากซ้ายไปขวาบนลงล่างเวลาจะโทรให้ใช้นิ้วมือกดมันแรง ๆ ระบบภายในที่ฉันทำไว้มันจะจัดการเอง ปุ่มแรกเลยก็คือการโทรกลับมายังเครื่องหลักที่อยู่กับฉันสวนปุ่มถัด ๆ ไปจะมีหมายเลขบนเครื่องตามนั้น” นอกจากหินสื่อสารที่ยื่นให้ซึฮากิเขาก็ยังเปิดกล่องเก็บของที่มีหินสื่อสารหรือมือถือแบบเดียวกันเป็นสิบเครื่อง
“ยอดเยี่ยม...แล้วอยากได้อะไรตอบแทนล่ะ?”
นัตโตะกลั้นยิ้มไว้ไม่อยากให้คนอื่นรู้ว่ากำลังดีใจ “พาพวกเราออกไปจากที่นี่”
“อย่างนี้เองสินะเหมือนกับสัญญาที่ให้ไว้ตั้งแต่เมื่อตอนนั้น”
“พวกฉันอดทนมาตลอดไม่ว่าจะโดนฝึกหนักแค่ไหน อยู่ไปก็มีแต่จะโดนพรรคพวกเขม่นใส่ไม่ก็โดนดูถูกถ่มถุย แกก็น่าจะรู้ดีนี่ถ้าเป็นโลกเดิมพวกมันคงนอนจมกองเท้าฉันไปแล้ว”
“ตอนนี้อาจจะยังไม่ได้ ทางนี้ก็พึ่งเจรจาลบสถานะกบฏไปหยก ๆ ถ้าจะให้ทำเรื่องขอจ้างทหารอีกคงยุ่งยากน่าดู ไม่ต้องห่วงฉันจะพยายามเร่งให้ไวที่สุดก่อนอื่นต้องหาข้อมูลอย่างละเอียดของที่นี่ก่อน”
“เฮอะ ก็ได้ ๆ พวกเธอรอกันก่อนนะ” นัตโตะหันกลับไปหาเพื่อน ๆ ในหน่วยที่ได้แต่นั่งมองตาปริบ ๆ ไม่รู้จะทำตัวยังไงต่อหน้าซึฮากิผู้เย็นชาที่ตอนอยู่โลกเดิมใคร ๆ ก็ตีตัวออกหาก
“ว่าแต่เหมือนจะมีใครอยู่ข้างนอกด้วยนี่”
“อ้อ พลเอกลักซ์น่ะ”
“อ้าว ! แล้วเรามาพูดเรื่องอย่างนี้ใกล้ ๆ เธอเนี่ยนะ ถ้าเธอเอาไปบอกกระทรวงเวทมนตร์หรือกรมทหารล่ะ?” นัตโตะตะคอกใส่ซึฮากิด้วยความโมโหกลัวความลับจะแตก
“ไม่ต้องห่วงฉันกางขอบเขตมานากันเสียงไว้แล้ว พวกนายไม่รู้สึกอึดอัดบ้างเลยเหรอหรือยังไง?”
“ทำแบบนั้นได้ด้วยเหรอ? หรือนายจะมีเวทมนตร์แปลก ๆ เหมือนพวกมนตร์ดำ”
“ช่างเถอะ พวกเราไปก่อนแล้วจะติดต่อกลับมาอีกที”
“เออ ! อย่าตายระหว่างทางก็แล้วกัน” การบอกลาที่เหมือนจะฆ่ากันให้ได้เป็นใครมาได้ยินก็คงแปลกใจ
ฟรานนำทางไปยังโรงเรียนหลวงเพื่อไปพบปะกับเพื่อน ๆ จากโลกเดียวกันแต่บรรยากาศกลับไม่เหมือนไปหาเพื่อนเลยสักนิด
“ดีจ้าทุกคน” ฟรานเปิดประตูพรวดพราดเข้าไปท่ามกลางนักเรียนที่กำลังเรียนศาสตร์แห่งมานาอยู่
“ถึงจะเป็นท่านผู้กล้าแต่ก็ต้องรักษามารยาทนะคะ” อาจารย์ที่กำลังยืนสอนอยู่จ้องตาเขม็งจนฟรานต้องก้มหัวเล็กน้อยเพื่อขอโทษ
ฟรานลากพวกซึฮากิเข้ามานั่งฟังการสอนของโรงเรียนหลวงโดยไม่ได้บอกสักคำ โดยที่ข้าง ๆ กันนั้นมีพวกซากิอยู่ด้วยและจ้องมองด้วยสายตามึนงงที่กำลังนึกว่าพวกเขาเป็นใคร
“ฟราน...นั่นใช่อย่างที่ฉันคิดไหม?” ซันนี่กระซิบข้างหูฟราน
“พวกกิจังไงล่ะ พวกเขาทำข้อตกลงกับทางการแล้วจึงสามารถอยู่ที่นี่ได้”
“แล้วทำไมถึงพามาที่นี่ล่ะ? ยังไงก็เถอะถ้ารวมตัวกันทั้งทีก็ต้องไปกินเลี้ยงสิ”
“เอ่อ...เราพึ่งกินมาเมื่อกี้นี้เอง”
“คุยอะไรกันคะ !” อาจารย์สาวตะโกนตั้งแต่หน้าห้องดังไปถึงนอกประตูทำให้พวกเธอนั่งหลังตรงมองกระดานหยุดทุกการกระทำทันที
“พื้นฐานการใช้มานาจำเป็นต้องมีสองสิ่ง หนึ่งก็คือปริมาณมานาในร่างกายและสองคือสมาธิ”
สมกับเป็นเมืองหลวงแอสต้า ทั้งอุปกรณ์และตัวอาคารบ้านช่องก้าวหน้ามากจนเทียบเท่าโลกเดิมได้แต่ก็ยังมีเฉพาะจุดสำคัญ ๆ เท่านั้นยังไม่ได้แพร่หลายสู่คนธรรมดา
“ในหมู่นักผจญภัยมักจะเกิดเหตุลอบสังหารตอนนอน ช่วงเวลาที่กำลังหลับใหลไร้สติจึงไม่มีสมาธิการป้องกันตัวก็จะเป็นศูนย์”
มีเรื่องอย่างนั้นด้วยสินะ เราก็ไม่เคยทำงานเป็นนักผจญภัยแบบจริง ๆ จัง ๆ เลยสักครั้งก็แค่ต้องการเงินก็เลยให้ร่างโคลนไปจัดการแทน
“วิธีที่มีประสิทธิภาพคือการใช้เวทประเภทกับดักซึ่งน้อยคนนักจะมีมัน หรืออาจจะหาคนที่เชื่อใจได้ผลัดกันนอน”
“แล้วทำไมไม่ออกผจญภัยคนเดียวไปเลยล่ะครับ?” ชาญยกมือถาม
“เรื่องการทำงานร่วมกันยังไม่ได้เรียนหรือยังไง? ถ้าไม่ก็ลดขั้นลงไปเรียนใหม่ซะ”
“โถ่อาจารย์” ชาญทำหน้ามุ่ยหยอกล้ออาจารย์ไม่ได้โกรธเคืองอะไร
การทำงานร่วมกันเป็นกลุ่มไม่มีดีแค่จำนวนแต่เพื่อกลบจุดอ่อนของกันและกัน ยิ่งถ้ากลุ่มหนึ่งมีเวทธาตุครบทั้งสี่ก็ยิ่งดีแล้วถ้ามีคนถนัดงานหลาย ๆ ด้านก็ยิ่งดีเข้าไปใหญ่
“มานาพื้นฐานที่ทุกคนใช้มักจะมีการร่ายคาถา แต่ถ้าเราอยากจะกำหนดรูปแบบที่ซับซ้อนมากขึ้นล่ะ? การใช้มานาโดยไม่พึ่งการร่ายจะเป็นบทเรียนที่พวกเธอต้องทำให้ได้” เธอยกฝ่ามือเรียกมานาออกมารวมตัวเป็นก้อนกลม ๆ เหมือนลูกบอล
“พวกเธอลองตั้งสมาธิและดึงมานาในตัวออกมา มานาเป็นส่วนหนึ่งของร่างกายเหมือนการใช้ออกแรงด้วยกล้ามเนื้อแต่การเรียกมานาจำเป็นต้องใช้สติและสมองสั่งการ”
เหล่าเด็กนักเรียนพากันก่อร่างสร้างมานาถึงจะทำไม่ค่อยได้แต่ก็ดูสนุกสนานเสียมากกว่าเป็นชั้นเรียน
“โคตรง่าย” เซนแสยะยิ้มหยิบมีดสั้นขึ้นมาทำตามบ้าง
“กระจอกจริง ๆ ลูกบอลมันแค่ทรงพื้นฐาน อย่างเราต้องทำเป็นรูปอาวุธสิ” เมื่อคานะเห็นเธอก็ไม่ยอมน้อยหน้ากลายเป็นการแข่งขันระหว่างคู่รัก กระแสมานากำลังแปรเปลี่ยนไปจนคนในห้องรู้สึกได้จับจ้องมาเป็นสายตาเดียว
“เลิกเล่นกันได้แล้ว” ซึฮากิแทรกมานาของตัวเองเพื่อลบล้างก้อนมานาขนาดใหญ่ที่พวกเขากำลังแข่งกันอยู่สร้างความตกตะลึงให้กับอาจารย์สาวเป็นอย่างมาก
“เธอเป็นนักเรียนใหม่เหรอ? ไม่เคยเห็นหน้ามาก่อน”
“เขาไม่ใช่นักเรียนหรอก” ลักซ์ที่แอบมองจากด้านนอกเปิดประตูเข้ามากลางคัน
“พะพลเอก คุณลักซ์มาทำอะไรคะ?” อาจารย์สาวสะดุ้งเล็กน้อยก่อนจะเอ่ยถาม
“ฉันเป็นคนเฝ้าระวังของพวกเขาเอง เขามีชื่อว่าซึฮากิเป็นเพื่อนของผู้กล้าฟรานและกำลังจะมาเป็นอาจารย์พิเศษตามข้อตกลงของรัฐสภา”
“อาจารย์พิเศษเหรอ? ถ้าเป็นการตัดสินของรัฐสภาฉันก็คงพูดอะไรมากไม่ได้แต่ขอถามอย่างเดียว...เขาคู่ควรจริง ๆ ใช่ไหม?” เธอเดินดุ่ม ๆ ตรงมาหาซึฮากิถลึงตามองดูใบหน้าอย่างใกล้ชิด
“ฉันก็ยังไม่ได้เห็นกับตาแต่ลูกศิษย์ของเขาพัฒนาได้ไวมาก ๆ เมื่อเทียบกับเด็กทั่วไป ตามเงื่อนไขเขาต้องเป็นอาจารย์พิเศษจำนวนหนึ่งร้อยชั่วโมงแต่ก็ไม่ได้กำหนดว่าต้องสอนวิชาอะไร”
ซึฮากิทำเสียงกระแอมขัดจังหวะ “ถ้าไม่ว่าอะไรขอขัดสักหน่อยก็แล้วกัน ถ้าคุณสงสัยว่าผมคู่ควรหรือไม่...ก็ลองสัมผัสด้วยตัวเองดูสิครับ” ซึฮากิยื่นมือให้กับอาจารย์สาวคนนั้นแม้จะยังลังเลแต่เธอก็ยอมตอบรับจับมือด้วย
เธอยืนตัวสั่นร้องเสียงหลงก่อนจะทรุดลงพื้น “นะนี่มัน...การแทรกแซงมานา”
“ถูกต้อง เมื่อควบคุมมานาได้ถึงระดับหนึ่งจะสามารถส่งมานาของตัวเองเข้าไปเพื่อกดรัดมานาของอีกฝ่ายได้เช่นเดียวกับการหักล้างเวทมนตร์ แต่มันก็ใช้ได้ในระยะสั้น ๆ เท่านั้น”
“อย่างเจ๋งเลยกิทำไมไม่เห็นสอนพวกเราบ้างล่ะ?” คานะและเซนจ้องมองตาเป็นประกายตื่นเต้นที่ได้เห็นอะไรใหม่ ๆ
“วิธีพวกนี้ยังยากเกินไป อย่างน้อยพวกนายต้องสร้างอะไรที่มันซับซ้อนได้มากกว่ารูปทรงเรขาคณิตหรืออาวุธต่าง ๆ นานาอย่างเช่น” ซึฮากิผายมือไปยังโต๊ะเรียนก่อร่างมานาเป็นเสื้อคลุมที่มีรายละเอียดเหมือนกับเสื้อจริงเหมือนกระทั่งรอยยับเวลาขยับไปมา
“แล้ว...สนใจมาสอนศาสตร์แห่งมานาไหม?” อาจารย์สาวยันตัวลุกขึ้นยืนได้ด้วยตัวเองดันแว่นตาขึ้นเล็กน้อยยิ้มอย่างมีเลศนัย
“ผมไม่อยากมาแย่งวิชาคนอื่นหรอก อยากจะเปิดวิชาใหม่ไปเลยดีกว่า”
“เรื่องนั้นคงต้องคุยกับคณะกรรมการโรงเรียนก่อน”
“ถ้าอย่างนั้นก็ขอตัวไปคุยเลยก็แล้วกัน” เมื่อพูดเสร็จพวกเขาก็พากันออกจากห้องไปทันทีเช่นเดียวกับฟรานขณะที่นักเรียนในห้องยังมึนงงกับเรื่องที่เกิดขึ้นอยู่เลย
“ซึฮากิ...จะว่าเหมือนเดิมก็ใช่แต่ก็มีบางอย่างแปลกไป” ซากิบ่นพึมพำอยู่คนเดียวแม้เพื่อน ๆ จะได้ยินแต่ก็ปล่อยให้เขาอยู่กับตัวเองต่อไป
“ฟรานยิ้มไม่หุบเลยนะเนี่ย แต่ได้เห็นอะไรอย่างนั้นก็ดีเหมือนกันจะได้ไม่เครียดเกินไปหรือจริง ๆ แล้วสิ่งที่ฟรานต้องการคือเจ้าซึฮากิ”
“ก็นะพวกเขามีเรื่องราวอะไรกันมาก่อนอาจจะมีความสัมพันธ์ลึกซึ้งมากกว่าที่คิดก็ได้” ชาญและซันนี่คุยซุบซิบกันตลอดเวลาที่ซึฮากิออกไป
ที่หน้าสุดของห้องมีชายหนุ่มรูปร่างใหญ่โตผมสีชาดดั่งเปลวเพลิงและสาวน้อยสวมแว่นตาหนาเตอะ
ซึฮากิ อยากเข้าไปทักเหมือนกันแต่มีคนอยู่เยอะเกินไป
“ทำไมทำหน้าอย่างนั้นล่ะพีช ถ้านั่นเป็นเพื่อนของผู้กล้าก็น่าจะเป็นเพื่อนของเธอด้วยนี่หรืออยากจะไปหา?” โยถามตรง ๆ เมื่อได้เห็นใบหน้าอมทุกข์กลืนไม่ได้คายไม่ออก
“คนนั้นคือซึฮากิที่เคยเล่าให้ฟังไงล่ะ”
“อ้อ ! คนที่เก่ง ๆ น่ะเหรอแถมยังฉลาดกว่าเธอด้วย”
“ใช่สิ พวกเราเจอกันที่ห้องสมุดพอได้คุยได้อ่านหนังสือด้วยกันก็เริ่มสนิทสนมขึ้นแต่มันก็กลับเหมือนยืนอยู่ที่เดิม”
“เพราะเขาฉลาดกว่าเธอเหรอ?”
“อย่าย้ำนักได้ไหม? มันเจ็บจี๊ดที่หน้าอก”
“แล้วจะไปหาเขาไหม?” โยยิ้มเล็กยิ้มน้อยที่ได้เห็นพีชทำหน้ามุ่ยมันช่างน่ารักน่าชังน่าแกล้งเสียเหลือเกิน
ขณะที่พีชกำลังนึกคิดโยก็แบกเธอขึ้นไหล่เดินออกจากห้องไปไม่สนใจใครทั้งสิ้น
“ทำบ้าอะไรเนี่ย !”
“แค่เห็นก็รู้แล้วว่าเธออยากไปเจอแค่ไหน” โยหัวเราะในลำคอสุขใจที่ได้เห็นพีชร่าเริงมีชีวิตชีวากว่าปกติ
“มะไม่จริงฉันก็แค่...” โยวิ่งตามพวกซึฮากิไปติด ๆ จนพีชตัวสั่นไม่รู้ว่าจะพูดอะไรดี
“สวัสดีครับ ! ผมโยและนี่ก็พีชครับ” พวกเขาหันกลับมามองตามที่มาของเสียงยิ้มทักทายกันเป็นพิธีแต่ไม่ว่าจะเซนหรือคานะพวกเขาก็ไม่ได้รู้จักพีชมากนัก
“เห็นนั่งอยู่หน้าห้องเหมือนตอนอยู่โลกโน้นไม่มีผิดเลยนะ” เพียงแค่ซึฮากิกล่าวทักทายมันก็ทำให้พีชผ่อนคลายลงเพราะอย่างน้อยก็มีคนที่พูดคุยด้วยได้
“ก็...มันเป็นนิสัยติดตัวน่ะ แล้วนายเป็นยังไงบ้างสบายดีไหม?”
“ตอนนี้ยังดีอยู่ถึงจะทุลักทุเลไปบ้างกว่าจะก่อร่างสร้างตัวได้ ฉันได้ยินแล้วนะที่องค์ชายโยเลือกเธอเป็นพระชายา” ซึฮากิสบตากับโยวิเคราะห์ลักษณะนิสัยรวมกับข้อมูลที่ได้มาจากนัตโตะ หนึ่งในลูกของราชินีวิกตอเรียและเป็นพวกสมองกล้ามเหมือนเซนส่วนลูกสาวอีกคนก็คือไวโอเล็ทที่มีพรสวรรค์ไม่น้อยหน้าผู้เป็นแม่
“ซึฮากิสินะ ฝากตัวด้วยแล้วกัน” เขาเป็นถึงเจ้าชายแต่กลับไม่ถือตัวอย่างที่คิดทำเหมือนตัวเองเป็นแค่สามัญชนธรรมดายื่นมือให้ซึฮากิเป็นการทักทาย
รู้สึกว่าจะใช้เวทธาตุเพลิงทั้งตระกูล ประเภทเวทมนตร์มีการสืบทอดตามสายเลือดได้หรือจะเป็นแค่เรื่องบังเอิญ
“ขอให้สุขภาพแข็งแรงยืนยาวนะครับองค์ชาย” ซึฮากิจับมือพอเป็นพิธีก่อนจะก้าวเดินต่อไป
เขาเริ่มเปลี่ยนไปจริง ๆ สินะ แม้จะไม่ได้เห็นชัดแต่เมื่อกี้เขายิ้มด้วยนี่นา พีชยิ้มอ่อนมองแผ่นหลังของเพื่อน ๆ ที่ตนเองไม่สามารถไปยืนอยู่ตรงนั้นได้
“นั่นแน่ยิ้มซะเคลิ้มเชียว” โยพูดหยอกพีชไปเรื่อยขณะที่กำลังเขินเธอก็ทำหน้าจริงจังแทน
พวกเขามีพลังเดอะตั้งสามคน ซึฮากิ ยูกิแล้วก็เซน ถึงจะไม่รู้จักคนชื่อยูกิก็เถอะแต่มีพลังเดอะที่ถ้ามองเผิน ๆ คงไม่ค่อยมีประโยชน์แต่ถ้าเข้าใจพลังที่แท้จริงใคร ๆ ก็อยากดึงตัวเข้ามาเป็นพวกแน่ ๆ
“มีอะไรพีชทำหน้าเคร่งขรึมเชียว”
ส่วนพลังของเซนก็ดูเหมาะสมกับเขาดีแต่มันคือพลังเดอะในตำนานเลยเนี่ยสิจะดวงดีไปไหน ที่สำคัญพลังเดอะของซึฮากิเป็นพลังที่ไม่มีบันทึกมาก่อน เดอะบอดี้มีพลังสองส่วนหนึ่งก็คือเพิ่มค่าสเตตัสทุกอย่างและสองก็คือ
“พีช !” โยตะโกนเรียกดึงเธอออกจากภวังค์แห่งความคิด
“มะไม่มีอะไร...กลับกันเถอะ”
สารบัญ / นำทาง
- 👁️ ยอดวิว 269
- 👍 ถูกใจ
แสดงความคิดเห็น