chapter 11 คำตัดสินและการมาถึง
หลังจากถูกจับกุมข้อหาบุกรุกพื้นที่ของขุนนาง ทั้งสองคนพร้อมกับนักวิทยาศาสตร์ก็ได้ถูกโยนเข้าห้องขัง ภายในเป็นห้องสี่เหลี่ยมไม่กว้างนักซึ่งมีช่องระบายอากาศติดอยู่ที่กำแพงสูง พร้อมกับอากาศเย็นที่ไหลเข้ามา ส่วนประตูก็ถูกทำจากเหล็กกล้าที่มีช่องเล็กๆพร้อมกับมีเหล็กหนากั้นเอาไว้อีกชั้น แถมด้านนอกยังล็อคด้วยแม่กุญแจเอาไว้อีก นั้นก็แสดงให้เห็นว่าถ้าจะแหกห้องขังคงมีเพียงทางเดียวคือช่องระบายอากาศ ส่วนพวกนักวิทยาศาสตร์ก็กลับถูกจับแยกไปอีกห้องที่อยู่ตรงข้าม
ลูเทียร์ที่เริ่มรู้สึกกลัวว่าจะถูกจับเข้าคุกก็ได้เริ่มโวยวาย จนลุคที่ร่วมห้องขังต้องสั่งให้เงียบ แต่นั้นก็ไม่สามารถหยุดการบ่นของเธอเอาไว้ได้
“เป็นเพราะนาย” เธอเริ่มพลานไปทั่วทั้งๆที่ตัวเองเป็นขอทำงานเองแท้ๆ ส่วนลุคก็พยายามติดต่อออสตินอยู่อย่างไม่ลดละ เพราะจากการคาดการณ์อีกฝั่งน่าจะเล่นด้วยไม่ซื่อ ดังนั้นการมีคนที่มีอำนาจหนุนหลังให้ซักหน่อยน่าจะดีกว่า
เย็นของวันได้มาถึงโดยที่พวกเขาไม่สามารถทำอะไรได้เลย นอกจากนั่งรอเวลาขึ้นศาลในวันพรุ่งนี้ แต่ในขณะที่ทั้งคู่กำลังนั่งปล่อยให้เวลาผ่านไป อยู่ๆพวกเขาก็ได้ยินเสียงลอดเข้ามา โดยฟังจากบทสนทนาก็ทำให้รู้ว่าครอบครัวของพวกนักวิทยาศาสตร์มาขอเข้าเยี่ยม
เสียงพูดคุยดังอยู่เป็นชั่วโมงก่อนที่จะหยุดลง และห้องขังของลุคกับลูเทียร์ก็ได้เปิดออก เหล่าภรรยาและลูกของนักวิทยาศาสตร์ได้กล่าวขอบคุณทั้งคู่ ที่หาตัวสามีของพวกเธอพบแม้ว่าตอนนี้จะอยู่ในคุกก็ตาม และก่อนจะไปพวกเธอก็ได้มอบของกินเล็กๆน้อยๆให้ทั้งคู่ เพราะพวกเธอได้ข่าวมาว่าทั้งหมดถูกจับตัวมานานแล้วและยังไม่ได้ทานอะไร
ตกกลางคืนทุกอย่างเงียบเชียบแม้จะมีเสียงกรนอยู่บ้าง ก่อนที่เสียงบางอย่างจะดังขึ้นนอกห้องขัง ซึ่งลุคที่แอบฟังอยู่ก็พอคิดตามได้ว่าเสียงนั้นคืออะไร
“จะพาพวกเขาไปไหน” ลุคตะโกนถามเพราะรู้สึกว่ามีบางอย่างผิดสังเกต เนื่องจากเสียงที่ดังนั้นมันคือเสียงของการเปิดประตูห้องขัง ก่อนจะได้ยินเสียงนักวิทยาศาสตร์ทั้งสามคนถูกลากออกไป โดยขณะที่เกิดเหตุลุคก็ได้พยายามตะโกนเรียกคนที่อยู่ข้างนอก แต่ไม่ว่าเสียงจะดังแค่ไหนก็ไม่มีใครตอบกลับมาเลย
เวลาได้ผ่านไปหลายชั่วโมงก่อนที่ทั้งสามจะกลับเข้ามา เมื่อเสียงจากพวกทหารได้จากไปลุคก็ได้ตะโกนถามไปยังห้องขังตรงข้าม ที่เป็นห้องของพวกนักวิทยาศาสตร์ที่ถูกจับ แต่ไม่ว่าจะถามอะไรหรือตะโกนสักเท่าไหร่ก็ไม่มีเสียงตอบกลับเลย นั้นจึงทำให้รู้ว่าพวกเขาทั้งสามนั้นต้องโดนอะไรสักอย่างแน่
ลุคทิ้งตัวลงกับพื้นพร้อมกับครุ่นคิดอะไรบางอย่าง ส่วนทางด้านของลูเทียร์ก็ได้ยังคงหลับได้แม้จะห่มด้วยผ้าห่มผืนเก่าที่อยู่ในห้องที่มีอากาศเย็น ความเงียบตอนกลางคืนผ่านไปเรื่อยๆจนกระทั่งเสียงละเมอของลูเทียร์ดังขึ้น
“หนาว”
ลุคนั่งฟังอยู่นานจนทนไม่ไหว เขาจึงได้ถอดเสื้อนอกของตัวเองออกก่อนจะเดินไปสะกิดอีกฝ่าย
“เอาเสื้อไปใส่”
“แล้วนายไม่หนาวหรอ” แม้จะสะลึมสะลือแต่เธอก็ยังกลัวอีกฝ่ายจะหนาว
“ฉันใส่มาสองชั้น รีบใส่แล้วรีบนอนซะ” ก่อนที่ลุคจะกลับไปนั่งที่เดิมและทำหน้าเครียดต่อ
มืออันสั่นเทาหยิบเสื้อแขนยาวที่อยู่บนตัวขึ้นมาใส่ ก่อนจะนอนหลับไปโดยหวังว่าลุคนั้นจะไม่หนาว
แสงแดดยาวเช้าได้สาดเข้ามาด้านในห้องขัง ปลุกชายหญิงที่กำลังนอนหลับบนพื้นอันเย็นเฉียบให้ตื่น ลุคที่ตื่นก่อนเพราะหลับไม่ค่อยสนิทได้ไปปลุกลูเทียร์ที่กำลังนอนตัวกลม ก่อนที่เธอจะตื่นด้วยอาการงัวเงียเล็กน้อย
“อาหารเช้า!” เสียงชายคนหนึ่งดังขึ้นหน้าห้องขังซึ่งน่าจะเป็นทหารเวร ก่อนที่จานสองจานจะถูกสอดเข้ามาตรงช่องเล็กๆตรงประตู
ขนมปังก้อนกับซุปทั่วๆไปถูกเสิร์ฟให้กับทั้งคู่ก่อนที่พวกเขาจะฝืนใจกินมันเข้าไป รสชาติที่ได้รับแทบไม่ต่างอะไรซุปที่ใส่ทุกอย่างยกเว้นเครื่องปรุงกับขนมปังแข็งๆที่เขกหัวคนให้สลบได้ แต่ถึงรสชาติจะห่วยบรมเพียงใดยังไงก็ต้องฝืนกินเพราะไม่รู้ว่าจะมีโอกาสได้กินอีกรึเปล่า และเมื่อกินจนหมดแล้วลุคก็ได้ขอตัวไปนอนพักสักหน่อย ส่วนลูเทียร์ก็ออกกำลังกายตามกิจวัฒของเธอแม้จะอยู่ในคุก
ตอนบ่ายมาถึงพร้อมทหารหน้าห้องขังที่เตรียมตัวคุมตัวไปศาล ลุคและลูเทียร์เดินออกจากห้องขังพร้อมกุญแจมืออย่างว่าง่าย ส่วนทางด้านของนักวิทยาศาสตร์ทั้งสามนั้นกลับสภาพเหมือนกลับคนที่ไม่ได้นอน
ทั้งหมดถูกขนขึ้นรถจักรไอน้ำทันทีเมื่อออกจากคุก ก่อนจะมุ่งตรงไปยังศาลที่กำลังจะตัดสินชีวิตของเขาต่อไป และเมื่อมาถึงทุกคนก็ได้เดินไปยังห้องพักเพื่อรอเวลา แต่ระหว่างทางเดินนั้นเองลุคก็ได้เจอกับคู่อริเก่าที่ดูเหมือนเพิ่งจะพิจารณาคดีเสร็จ
“โว้วๆ นั้นลุคนิ ไม่คิดไม่ฝันว่าคนอย่างแกจะถูกจับนะเนี่ย ถูกจับข้อหาอะไรหรอจ๊ะ” ชายผมยาวหน้าตาโรคจิตได้ทักทายลุค ก่อนที่จะมีชายอีกสองคนเดินตามมา
“พี่โทนี่ ดูนู้นสิ” ชายร่างอ้วนผมสั้นได้หันไปสะกิดชายไว้ผมหางม้าที่กำลังเดินก้มหน้าอยู่ ก่อนที่คนที่โดนสะกิดจะค่อยๆเงยหน้าขึ้น และมองไปยังลุคพร้อมกับแสยะยิ้ม
“ไง…ไม่ได้เจอกันนานเลยนะ ฉันหวังว่าแกจะไม่ติดคุกนะ เพราะพวกเรามีเรื่องสนุกที่ต้องทำกันอีกเยอะ ฮิฮิฮิ”
ก่อนที่ชายทั้งสามคนจะถูกลากไปโดยผู้คุม ซึ่งระหว่างนั้นลุคไม่แม้แต่จะแสดงสีหน้าอะไรออกมา
“พวกนั้นเป็นใครหรอ” ลูเทียร์ถามออกไปอย่างไม่ตั้งใจ ก่อนที่จะมีใครบางคนได้ตอบแทนลุค
“สามพี่น้องตระกูลดอยน่ะ…” คนที่พูดนั้นก็คือออสตินที่เพิ่งจะเดินทางมาถึงได้ไม่นาน “พวกมันเป็นอาชญากรที่ฆ่าคนไม่เลือกหน้าน่ะ อย่าไปสนใจพวกมันเลย ตอนนี้มาสนใจเรื่องของเรากันดีกว่า ”
ลุคยิ้มออกมาเล็กน้อยที่เห็นออสติน เพราะถ้าเขาอยู่พวกมันก็จะทำอะไรไม่สะดวก และบางทีทางฝั่งของลุคอาจจะรีดข้อมูลกลับมาได้แทน
ปัง ปัง ปัง
เสียงค้อนเคาะดังก่อนที่ผู้พิพากษาจะกล่าวเปิดพิธี ซึ่งก็เป็นเรื่องของลุคที่ล่วงล้ำอาณาเขตของขุนนาง ส่วนอีกฝั่งก็ถูกกล่าวหาเรื่องกักขังประชาชนโดยใช่เหตุ ซึ่งภายในศาลนั้นเต็มไปด้วยครอบครัวของนักวิทยาศาสตร์ทั้งสามคน และผู้รับชมการตัดสินอีกเล็กน้อย และที่ตรงกลางห้องนั้นก็ได้มีลูกแก้วสีขาวนวลพร้อมกับผู้ดูแลอยู่ข้างๆ โดยมันคือลูกแก้วจับเท็จ ที่เมื่อใครพูดโกหกลูกแก้วก็จะเปลี่ยนสีเป็นสีดำ แต่ถ้าพูดความจริงจะไม่มีอะไรเกิดขึ้น
“ขอให้ทุกคนพูดความจริง ไม่อย่างนั้นผู้ที่โกหกจะถูกลงโทษสถานหนัก ข้อหาให้ความเท็จ”
พอเปิดพิธีเสร็จผู้พิพากษาก็ได้เรียกตัวพยานออกมาเพื่อถามความว่าเกิดอะไรขึ้น
“ผมจำไม่ได้ครับ พอผมตื่นขึ้นมาผมก็อยู่ในห้องขังพร้อมกับคนอื่น” นักวิทยาศาสตร์คนแรกอธิบายว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นกับเขา ก่อนที่ทุกคนจะหันไปมองลูกแก้ว ซึ่งมันเป็นสีเดิมไม่เปลี่ยนแปลง
“ท่านพอจะมีเหตุผลหรือไม่ที่ทำการกักเขาเขาเอาไว้ ท่านโรซาน” ศาลถามชายหนุ่มที่มีรอยสักหนามที่แขนขวา
“ศาลที่เคารพ สาเหตุที่ผมกักขังเขาเอาไว้ก็เนื่องจากเขานั้นมีอาการแปลกๆ โดยหลายวันก่อนผมและลูกน้องได้เดินผ่านไปเจอและเกือบจะโดนทำร้าย ลูกน้องของผมที่สามารถจัดการเขาได้นั้นจึงได้ทำการขังเขาเอาไว้ เนื่องจากกลัวว่าเขาจะไปทำร้ายคนอื่น ส่วนอีกสองคนนั้นก็เหตุผลเดียว และผมขอยืนยันว่าสิ่งที่พูดทั้งหมดเป็นความจริง ”
ให้เด็กมาฟังก็ยังตอบได้ว่าน่าสงสัยสุดๆ เพราะใครมันจะบังเอิญเจอคนบ้าสามคนแถมยังใจดีกลัวว่าคนอื่นจะโดนทำร้ายจึงเอาพวกเขามาขังเอาไว้ แต่เหตุผลปัญญาอ่อนอย่างนี้จะเป็นจริงได้ก็ขึ้นอยู่กับลูกแก้วลูกนั้น และในช่วงเวลาที่ทุกอย่างจะเป็นตัวตัดสินนั้นเอง ลูกแก้วกลับไม่เปลี่ยนสี
ลุครู้ได้ทันทีว่าตอนนี้นั้นทุกอย่างถูกอีกฝ่ายควบคุมเป็นที่เรียบร้อยแล้ว เพราะแม้แต่ลูกแก้วจับเท็จก็เป็นฝ่ายมัน
“กระผมก็ไม่ทราบเหมือนกับครับ เพราะที่ผมจำความได้อยู่ๆก็มาอยู่ในห้องขังแล้ว หลังจากที่ทำงานเสร็จและกำลังเดินตรงกลับบ้าน และ อัก อัก” นักวิทยาศาสตร์คนที่สองพูดออกไป ก่อนที่เจ้าตัวจะเริ่มมีอาการแปลกๆ
นิ้วมือเริ่มหงิกงอ ขนตามตัวเริ่มงอกขึ้นมากผิดปรกติ ปากเริ่มยาวขึ้นและเขี้ยวที่ยื่นออกจากปากพร้อมกับใบหูที่ยืดออก และเสียงคำรามในลำคอที่เปลี่ยนไปเป็นเสียงหอน
“มนุษย์หมาป่า!” ชายหัวโล้นซึ่งเป็นลูกน้องคนสนิทของโรซานได้พูดขึ้น
‘บ้าชัดๆ มนุษย์หมาป่าตอนกลางวันเนี่ยนะ’ ลุคไม่อยากจะเชื่อว่าอีกฝั่งจะใช้แผนนี้เพื่อให้ตัวเองพ้นความผิด
มนุษย์หมาป่าคือมนุษย์ที่ถูกสาปด้วยคำสาปแม่มด ซึ่งจะกลายร่างทุกคืนพระจันทร์เต็มดวง แต่สิ่งนี้มันเกินกว่าคำสาปทั่วไปแล้ว เพราะอยู่ๆคนที่ถูกสาปจะกลายร่างตอนกลางวันเลยหรอ
ทุกคนที่อยู่ในห้องแตกตื่นกันไปหมดแม้แต่ลุคก็ตาม เพราะไม่ใครคาดคิดว่าจะเจอแบบนี้
“หลบไป!” เสียงชายคนหนึ่งดังขึ้นก่อนจะพบว่าคือออสติน ที่เขาได้พุ่งไปชนชายที่กลายร่างกระเด็นก่อนที่อีกฝ่ายจะถึงตัวผู้พิพากษา
มนุษย์หมาป่ากระเด็นติดกำแพงหลังจากถูกพุ่งชน ก่อนที่ออสตินจะเข้าไปต่อยซ้ำอีกหมัดสองหมัดจนสลบ พอจัดการเสร็จก็ได้หันไปสั่งทหารที่กำลังตื่นกลัว “ไปดูอีกสองคนว่ามีอาการอะไรแปลกๆรึเปล่า”
ทหารยามสองคนที่เฝ้าประตูทางเข้าได้หันไปจะเปิดประตู แต่ไม่ทันที่พวกเขาจะได้เปิดมันออก ประตูสองบานก็ได้ถูกกระแทกเข้ามา ก่อนที่มนุษย์หมาป่าสองตัวที่กลายร่างไม่สมบูรณ์จะวิ่งเข้ามา
เสียงความวุ่นวายดังขึ้นไม่หยุดหย่อนเพราะมนุษย์หมาป่าเข้าทำร้ายผู้คนไปทั่ว ก่อนที่มันจะกระโจนไปหาผู้พิพากษา แต่ก่อนที่มันจะได้ทำอย่างนั้น ออสตินที่รออยู่ก็ได้กระโดดจับพวกมันทั้งคู่และจับหัวกระแทกจนสลบ
“ดูท่าเรื่องที่ผมพูดจะเป็นความจริงนะครับ” โรซานที่นั่งอยู่ได้พูดออกไป โดยไม่แม้แต่จะแสดงอาการอะไรเลยกับเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อครู่
ลุคที่เริ่มสงบใจก็ได้นั่งวิเคราะห์ว่าอีกฝ่ายจะมาไม้ไหนต่อได้อีก เพราะดูยังไงผลสุดท้ายพวกมันก็น่าจะหลุดจากคดี แต่นั้นไม่น่าจะจบลงง่ายๆ เพราะเรียกว่าขุนนางคงจัดการเขาไม่ให้เหลือซากแน่
หลังจากเหตุการณ์สงบลงทุกคนก็ได้กลับเข้าประจำที่แม้จะเพิ่งเกิดเรื่องวุ่นวายก็ตาม โดยให้ทุกคนพักทำใจสักครู่หนึ่งก่อนจะกลับมาดำเนินการต่อ หลังจากพักกันเสร็จคดีของทางโรซานก็ได้ถูกตัดสินว่าไม่มีความผิด เนื่องจากสิ่งที่เกิดขึ้นแสดงให้เห็นแล้วว่าเป็นความจริง
“คุณลุค คุณมีเหตุผลอะไรถึงกระทำสิ่งที่กระทำไป โปรดอธิบายให้ฟังด้วย ”
“ศาลที่เคารพ ผมเพียงทำตามสิ่งที่ถูกมอบหมายมาให้ทำก็เพียงเท่านั้น ซึ่งอย่างที่ท่านทราบดีว่าอีกฝั้งเป็นถึงขุนนาง กระผมก็ไม่อยากจะทำการละเมิดกฎหมายเนื่องจากผลที่จะตามมานั้นผมไม่อาจรับไหว แต่ด้วยครอบครัวที่ต้องสูญเสียสามีไป การจะต้องเห็นพวกเขาโศกเศร้านั้นเป็นเรื่องที่ทำใจไม่ได้ ดังนั้นการเข้าไปช่วยแม้จะเป็นการละเมิดกฎก็อาจจะเป็นสิ่งจำเป็น และเรื่องที่พวกเขาเป็นมนุษย์หมาป่านั้นกระผมก็ไม่ทราบ เพราะขนาดที่เมื่อคืนเป็นยังเป็นคืนพระจันทร์เต็มดวง พวกเขาก็ไม่มีปฎิกิริยาอะไรเลย” ก่อนจะนั่งลงโดยมีลูเทียร์ปรมมือให้เบาๆพร้อมเอ่ยชม และทุกคนก็ได้จ้องมองไปยังลูกแก้วลูกใหม่ ที่เพิ่งถูกนำมาใช้งานแทนอันก่อนที่แตกไปจากการโจมตีเมื่อครู่ และผลที่ออกมาก็คือเป็นความจริง
“คุณลูเทียร์ ลูดัส คุณมีเหตุผลอะไรถึงกระทำสิ่งเหล่านั้นลงไป ”
“เออ…พอดีเป็นเหตุผลส่วนตัวน่ะค่ะ”
“เหตุผลส่วนตัว? แต่ในชั้นศาลเราต้องการข้อมูลทั้งหมดเพื่อพิจารณาคดี ดังนั้นผมต้องขอทราบเหตุผลส่วนตัวของคุณ”
“คือว่า….พอดีเมื่อวานพวกเรามีฝึกซ้อมกัน และลุคก็เบี้ยวที่จะสอน ดิชั้นที่บังเอิญเจอเขาจึงอยากจะแกล้งเขาเล็กน้อยจึงขอช่วยงาน แต่ก็กลายเป็นเรื่องอย่างที่ท่านทราบค่ะ” พูดเสร็จเธอก็รีบนั่งลงทันที และลูกแก้วก็บอกว่าเป็นความจริง
“เอาล่ะ ดูเหมือนเราจะทราบข้อมูลแน่ชัดแล้วว่าใครทำอะไรกันบ้าง และดูแล้วพวกคุณนั้นก็ไม่ได้มีเจตนาจะทำการล่วงล้ำอาณาเขต เพียงแค่ต้องการช่วยเหลือชายทั้งสามเพียงเท่านั้น แต่ผมก็อยากจะขอเตือนเอาไว้ว่าอย่าให้มีคราวหลังอีก เนื่องจากการกระทำผิดซ้ำซากจะทำให้ได้รับโทษสูงขึ้น”
และผลสุดท้ายการตัดสินก็ออกมาว่าลุคและลูเทียร์นั้นไม่มีความผิด โดยเมื่อชายตามองไปยังโรซานนั้นเขาก็ได้แสดงสีหน้าไม่สบอารมณ์พอสมควร แต่ก็ไม่สามารถทำอะไรได้เนื่องจากฝั่งเขาก็ได้ถูกตำหนิเหมือนกัน ที่ได้กักขังพลเรือนเอาไว้ในเขตขุนนาง ที่อาจนำไปสู่เหตุร้ายให้กับผู้อื่นก็เป็นได้
หลังจากศาลตัดสินเป็นที่เรียบร้อยแล้วนักวิทยาศาสตร์ทั้งสามที่เป็นมนุษย์หมาป่า ก็ได้ถูกนำไปที่โบสน์เพื่อให้นักบวชระดับสูงทำการชำระล้างคำสาปออกไป
“จะบ้าตาย ทำไมพวกนั้นถึงรอดไปได้เนี่ย” ลูเทียร์ที่ออกจากศาลมาได้ตะโกนบ่นมากมาย หลังจากที่ศาลตัดสิน ไม่ให้พวกของโรซานมีความผิด
“อย่าหวังว่าจะทำอะไรพวกมันได้เลยดีกว่า เพราะการที่เราจะไปสู้กับพวกขุนนาง ก็เหมือนกับการไปตายฟรีๆให้พวกมันฆ่าเล่น” ออสตินก็ไม่ชอบใจเหมือนกันแต่ก็ต้องยอมรับ ว่าแม้คนผิดจะอยู่ตรงหน้าแต่ก็ทำอะไรไม่ได้เลยสักนิดเดียว
“ขอตัวก่อน และเธอพรุ่งนี้เตรียมตัวฝึกด้วย” ลุคเดินจากไปอย่างเงียบๆ ทิ้งให้สองคนมองหน้ากันอย่างงง
พอเหลือสองคนทั้งคู่ก็ได้แยกย้ายกันไปทำธุระของตัวเอง เพราะนี่ก็ใกล้เวลาช่วงเย็นของวันแล้ว ซึ่งใครๆก็คงไปหาอะไรทานแน่ๆ โดยลูเทียร์นั้นก็ได้ไปหาเกรซเพื่อต้องการให้อีกฝ่ายไปทานอาหารเป็นเพื่อน ซึ่งทางฝ่ายนั้นก็ไม่ได้ปฏิเสธอะไรจึงทำให้ทั้งคู่ได้ทานอาหารกันอีก
‘มาที่บ้านฉัน’
เสียงบางอย่างดังขึ้นในหัวของลุคขณะที่กำลังเดินออกจากศาล เจ้าตัวรู้ได้ทันทีว่าเป็นเสียงของใคร แม้อยากจะขัดคำสั่งแต่เขาก็ไม่รู้ว่าถ้าไม่ทำตามจะเกิดอะไรขึ้น จนสุดท้ายจนแล้วจนรอดลุคก็ต้องแยกทางกับสองคนและตรงออกไปนอกเมือง แม้จะเพิ่งผ่านเหตุการณ์น่าปวดหัวมาก็ตาม
บ้านของเลน่านั้นหาไม่ยากเพราะการต่อสู้ของเธอและเขานั้นทั้งคู่ได้แลกความทรงจำกัน ซึ่งสุดท้ายลุคก็เดินทางมาถึงบ้านหลังที่ว่ามาถึงในช่วงหัวค่ำพอดี บรรยากาศโดยรอบมีความน่ากลัวเพราะภายนอกมีความรู้สึกเยือกเย็นแปลกๆ โดยลักษณะบ้านนั้นเป็นกระท่อมเล็กๆที่มีหลังคาเป็นไม้ แต่สิ่งที่แปลกอีกอย่างก็คือมันดูจะเล็กเกินไปที่คนจะอยู่ได้
ครืดดด
ประตูไม้หนาได้ถูกดันด้วยแรงชายหนุ่ม แสงไฟสลัวจากเปลวเทียนมากมายทำให้มองเห็นว่าตรงกลางบ้านมีกองหนังสือวางอยู่บนโต๊ะ ทางซ้ายเป็นเตียงนอนพร้อมกับแจกันดอกไม้ ทางขวาเป็นครัวที่มีอุปกรณ์ไม่มากนัก และข้างในสุดเหมือนจะเป็นทางเดินลงไปข้างล่าง
ลุคเดินเข้าไปสำรวจภายในโดยเฉพาะกองหนังสือที่วางอยู่ เขาสุ่มหยิบหนังสือเล่มหนึ่งขึ้นมาอ่าน มันเป็นหนังสือเกี่ยวกับพวกมอนสเตอร์ชนิดต่างๆ ก่อนที่จะวางลงและหันไปหยิบเล่มอื่นขึ้นมาดู จนกระทั่งเสียงเดินจากชั้นล่างได้ดังมาถึงด้านหลังของชายหนุ่ม ก่อนที่เสียงปิดหนังสือจะดังขึ้น
“มีอะไรถึงได้เรียกมา” ลุคยิงคำถามใส่เลน่าทันทีที่เจอหน้า ก่อนจะวางหนังสือกลับที่เดิม
“หลังจากที่ทำสัญญากันไป นายคงจะรู้สินะก่อนที่ฉันจะมาอยู่ในจุดนี้ต้องผ่านอะไรมาบ้าง” เธอเดินไปยังครัวก่อนจะหยิบชามาสองถ้วย ลุคที่เห็นอย่างนั้นจึงได้นั่งฟังสิ่งที่อีกฝ่ายจะพูด
“ใจจริงฉันอยากจะฆ่าพวกที่ทำให้ครอบครัวฉันต้องเป็นอย่างนี้ให้หมด แต่มันติดปัญหาอยู่ที่พวกมันเป็นขุนนาง และเพียงแค่ฉันคนเดียวคงจัดการพวกมันไม่ได้”
“สิ่งที่จะบอกก็คือ เธอรู้ตัวการที่ทำให้ครอบครัวเธอตายก็คือ ราชาแคสเซียส แต่เพราะเธอไม่มีกำลังพอที่จะจัดการได้ในตอนนี้ เลยหวังว่าจะใช้ฉันจัดการลูกน้องที่เป็นพวกขุนนางก่อน” ลุคอธิบายสิ่งที่เขาคิดได้จากบทสนทนาก่อนหน้าของเลน่า
“สมเป็นนักแกะรอยและมันสมองของทีมจริงๆ ฟังแค่นี้ก็สามารถเชื่อมโยงได้” เธอยกชาขึ้นมาจิบด้วยสีหน้าเรียบเฉย “แต่เอาจริงๆฉันก็รู้สึกว่านายก็อยากจะจัดการพวกขุนนางเหมือนกัน เพราะมันฆ่าพ่อของนายใช่ไหมล่ะ”
ลุคที่ตอนแรกตั้งใจจะต้อนเอาข้อมูลจากอีกฝ่าย แต่ตอนนี้กลับโดนต้อนด้วยข้อมูลของตัวเอง
“ก็ใช่ อย่างที่เธอรู้ ว่าพ่อของฉันตายเพราะการฆาตกรรม ไม่ใช่เพราะอุบัติเหตุตามที่คนอื่นได้ยิน แต่มันก็ไม่ใช่เหตุผลที่จะไล่ฆ่าคนไม่เลือกหน้า ดังนั้นฉันจะไม่ร่วมมือกับการฆ่าคน” เขาพูดพร้อมกับมองตรงไปหาอีกฝ่ายที่เหมือนจะไม่สนว่าเขาจะพูดอะไร
“บางทีนายคงจะลืมสถานะของตัวเองไปนะ”
ทันทีที่พูดจบความรู้สึกเจ็บปวดก็ได้แล่นเข้าสู่หัวใจของลุค ความรู้สึกมันรุนแรงจนลุคต้องลงไปนอนกองกับพื้นและดิ้นทุรนทุราย เพียงแค่ไม่กี่วินาทีก็ทำให้รู้แล้วว่ายิ่งต่อต้านผู้หญิงตรงหน้า เขาจะต้องเจอกับความเจ็บปวดที่ไม่อาจลืมนี้ได้อีก
“ก็…ได้” ลุคพยายามเค้นเสียงออกมาแม้ยังนอนกุมหัวใจอยู่ที่พื้น
หลังจากพูดจบความเจ็บปวดก็ได้ค่อยๆมลายหายไป เจ้าตัวค่อยๆพยายามพาตัวเองกลับมานั่งที่เก้าอี้ดังเดิม แม้จะยังกลัวอีกฝ่ายอยู่ก็ตาม
“เอายันต์พวกไปติดแถวบ้านในรายชื่อนี้ แล้วที่เหลือฉันจัดการเอง” เธอยื่นยันต์มาจำนวนห้าแผ่นพร้อมกับกระดาษที่จดรายชื่อ
ลุครับมันไว้และเก็บเข้ากระเป๋า ก่อนจะเดินไปเปิดประตูไม้ที่หนักออกหวังจะกลับเข้าเมืองไปทันที แต่ภายนอกในเวลานี้กลับดึกมากแล้ว แถมยังได้ยินเสียงพวกมอนสเตอร์จำนวนมากที่น่ากำลังออกหากินอยู่ เขาจึงชั่งใจว่าจะกลับตอนนี้ดีไหม เพราะถ้าออกไปแล้วเจอมอนสเตอร์ลุมอาจจะไม่รอดง่ายๆ เนื่องจากยิ่งมืดค่ำมอนสเตอร์ที่ออกหากินมักจะเป็นพวกที่สู้ลำบากอย่างเช่นโทรลภูเขา ที่อยู่แถบภูเขาหิมะตอนเหนือของเมือง แถมระยะทางไปถึงเมืองนั้นก็ไม่ใช่เล่นๆ แต่ถ้าจะขอพักที่นี่จนกว่าจะเช้าก็ไม่รู้สึกสบายใจที่อยู่กับยัยนี่
“นี่ ฉันขอนอนที่นี่หน่อยละกัน” ลุคหันไปบอกเลน่าที่กำลังจิบชาอยู่ แต่อีกฝ่ายกลับไม่มีปฏิกิริยาอะไรตอบกลับเลย
ลุคตัดสินใจปิดประตูก่อนจะเดินไปหาที่นอน ซึ่งก็ได้แถวๆใกล้เตียงเพราะมันไม่มีที่อื่นแล้ว โดยก่อนจะนอนเขาก็ได้หยิบหนังสือที่วางอยู่เอามาอ่าน ส่วนทางด้านของเลน่าที่เห็นอีกฝ่ายกำลังอ่านหนังสือก็ปล่อยผ่านไป ก่อนจะเดินลงไปชั้นล่าง
“เธอสามารถทำคำสาปมนุษย์หมาป่าได้รึเปล่า” ลุคถามอีกฝ่ายขณะที่กำลังจะลงไปข้างล่าง
“ได้ มีอะไรรึเปล่า หรืออยากจะสาปใคร” เลน่าหยุดเดินก่อนจะตอบกลับ
“แล้วช่วงสองสามวันนี้มีใครมาขอให้เธอทำรึเปล่า”
“ไม่มี” พูดจบเจ้าตัวก็เดินลงไปทันที
ลุคที่ไม่อยากจะเชื่อสักเท่าไหร่แต่ดูจากน้ำเสียงและสีหน้าอีกฝ่ายแล้วคงจะเป็นความจริง ในตอนนี้เขาจึงรู้ได้ว่าภายในเมืองยังมีแม่มดอีกคนหนึ่ง ที่กำลังหลบซ่อนตัวอยู่ที่ไหนสักที่หนึ่ง
ลุคลืมตาตื่นเพราะได้เสียงจานกระทบกันดังมาจากครัว หลังจากที่เผลอหลับไป ก่อนจะพบว่าเลน่ากำลังอาเจียนอะไรบางอย่างออกมาอยู่ และเผลอหลับไปอีกครั้งเพราะความง่วง จนเวลาล่วงเลยไปไม่นานเขาก็ได้สะดุ้งตื่นอีกครั้ง ซึ่งก็ปรากฏว่าได้มีผ้าห่มมาห่มให้แต่นั้นไม่ใช่สิ่งที่ทำลุคให้สะดุ้งตื่น เพราะสิ่งนั้นมันคือเสียงโหยหวนที่น่าขนลุกที่ดังจากชั้นล่าง
เขาลุกขึ้นพร้อมเอาผ้าห่มคลุมตัวไปก่อนจะเดินลงบันไดไปเพื่อดูที่มาของเสียง ชั้นล่างนั้นเป็นโถงขนาดย่อมๆที่อยู่ได้หลายคน และภายในนั้นก็ได้มีเลน่าที่กำลังนั่งอยู่โดยล้อมด้วยเทียนหลายเล่ม กลุ่มควันบางอย่างที่อยู่รอบตัวเธอได้จับตัวกันเป็นรูปร่างคล้ายก็อบลินที่กำลังถูกดูดเข้าร่างของเลน่า ต่อด้วยควันรูปร่างออร์คและหมาป่าอีกจำนวนหนึ่ง โดยขณะเดียวกันเสียงโหยหวนจำนวนมากก็ได้ดังขึ้นพร้อมๆกัน
เขาไม่รู้ว่าสิ่งตรงหน้านั้นหมายความว่ายังไง แต่ก็จะพอคาดเดาได้ว่าเลน่านั้นต้องใช้เวทย์ต้องห้ามอยู่อย่างแน่นอน ซึ่งลุคนั้นก็ได้ยืนดูอยู่พักหนึ่งจนพิธีได้จบลง ก่อนที่จะเลน่าลืมตาขึ้นมาก็เจอกับลุคที่กำลังมองมา
“มีอะไร” เธอลืมตาดูอีกฝ่ายที่กำลังยืนมอง
“ก็แค่เสียงมันดังเลยเดินลงมาดู” ลุคตอบคำถามเสร็จก็เดินกลับขึ้นไป ก่อนจะลงไปนอนที่เดิมซึ่งอยู่ข้างๆเตียง
ทางด้านเลน่าหลังทำพิธีบางอย่างเสร็จก็ได้เดินขึ้นมา เธอเดินเข้าครัวเพื่อดื่มน้ำและตรงไปยังเตียงของเธอ ที่มีลุคกำลังนอนอยู่ข้างล่างตรงปลายเตียง
ค่ำคืนได้ผ่านไปอย่างรวดเร็วจนถึงช่วงเช้าของวันใหม่ แสงยามเช้าปลุกลุคให้ตื่นขึ้นก่อนจะทำการเก็บผ้าห่มวางไว้ แต่ก่อนจะไปเขาก็ได้ยืนมองอีกฝ่ายอยู่ครู่หนึ่ง มันเป็นเพียงโอกาสไม่มากนักที่จะปรากฎขึ้น เพราะถ้าลุคฆ่าคนตรงหน้าได้เขาก็จะไม่ถูกพันธนาการด้วยคำสาปนี้ แต่สุดท้ายลุคก็ตัดสินใจเดินออกจากบ้านไป โดยที่ไม่รู้เลยว่าอีกฝ่ายที่นอนอยู่นั้นก็รอดูการตัดสินใจอยู่
พอเข้าเมืองมาได้ลุคก็ตรงไปยังเขตขุนนางทันที ก่อนจะหยิบกระดาษที่ได้จากเลน่ามาขึ้นมาดูรายชื่อ เขาไล่ดูจากสถานที่ที่เข้าถึงง่ายที่สุด โดยบ้านหลังแรกเป็นคฤหาสน์ไม่ใหญ่มากแต่มีคนคุ้มกันแน่นหนา ลุคทำการเอายันต์แอบไว้แถวๆกำแพงโดยใช้หินทับไว้อีกที โดยภายในใจก็มีความรู้สึกผิดอยู่บ้างแต่ถ้าแลกกับความเจ็บปวดนั้นคงไม่คุ้ม แถมขุนนางพวกนี้ก็ไม่ใช่คนดีอะไรมากมาย ก่อนจะรีบชิ่งไปที่ถัดไป
ยันต์ทั้งหมด 7 แผ่นถูกวางไว้อย่างแนบเนียนโดยที่ไม่มีใครสังเกตเห็นลุค ก่อนที่เขาจะแอบหนีออกจากเขตเมืองทันที โดยคาดว่าประมาณ 7 โมงเช้าได้ซึ่งก็เป็นเวลาเหมาะพอดี ที่จะหาอะไรทานยามเช้าอย่างนี้ และสิ่งที่เลือกมานั้นก็คือก๋วยเตี๋ยวร้อนๆเหมาะสำหรับยามเช้า ที่มีอากาศหนาวเย็นอย่างนี้ หลังจัดการอาหารเช้าลงท้องเสร็จก็ได้ทำตามสัญญาที่ได้บอกลูเทียร์ไว้เมื่อวาน แต่ก่อนจะเข้ากิลด์ลุคก็ได้ตรงกับบ้านพักก่อนเพื่อเอาอะไรบางอย่าง โดยขนมันใส่ลังไม้ก่อนจะยกมันตรงไปยังกิลด์
สองข้างทางยามเช้านี้แม้ทิวทัศน์จะสวยงามแต่ก็แฝงไปด้วยความขมขื่น ของผู้คนที่นอนอยู่ข้างถนนและอดอยากเพราะไม่มีเงินจะซื้ออาหารกิน ก่อนที่ลุคจะเดินมาหยุดบริเวณถนนเส้นใหญ่ที่ทอดตรงเข้าไปในเขตของเจ้าเมือง ที่ตอนนี้ได้มีผู้คนมากมายกำลังยืนอยู่ขอบนอกของถนน ลุคชะเง้อมองว่าทุกคนกำลังทำอะไรกันอยู่ ก่อนที่เสียงกระซิบมากมายที่ฟังจับใจความไม่ได้จะเริ่มดังขึ้น พร้อมกับเสียงรถม้าและขบวนทหารจำนวนหนึ่ง
‘ทหารจากเมืองไดมอทัส’ ลุครู้ได้ทันทีแม้จะเคยเห็นเพียงครั้งเดียว
ขบวนทหารพร้อมกับรถม้าเดินทางผ่านไปและดูเหมือนจะตรงเข้าไปยังปราสาทของเจ้าเมือง ลุคอยากจะรู้ว่าพวกเขานั้นมาทำอะไรที่นี่ พอคิดดูแล้วน่าจะมาจากเหตุผลของกองทัพมอนสเตอร์ที่เพิ่งมาบุก แต่นั้นก็ไม่น่าจะมากพอที่จะต้องมาที่นี่
“ไปทางอื่นดีกว่า”
ลุคที่เพิ่งรู้สึกตัวว่าเสียเวลาไปมากแล้วจึงได้แอบเดินไปอีกทางเพื่อตรงไปยังกิลด์ โดยภายในใจก็คิดว่าขอให้เป็นข่าวดีสักอย่าง ให้เมืองนี้ได้มีอนาคตมากกว่านี้สักหน่อย และเพื่อผู้คนจะได้ใช้ชีวิตกันอย่างมีความสุขมากกว่านี้
สารบัญ / นำทาง
- 👁️ ยอดวิว 199
แสดงความคิดเห็น