chapter 12 เริ่มเก็บกวาดและการฝึก
เสียงรถม้ากระทบกับพื้นถนนดังขึ้นเป็นระยะๆ พร้อมกับสองข้างทางที่เต็มไปด้วยผู้คนมามุงดูผู้มาใหม่ จนกระทั่งขบวนรถม้าได้เดินทางมาถึงปราสาทขนาดย่อม ซึ่งเป็นที่พักของเจ้าเมืองในที่อยู่ภายในสุดของเขตขุนนาง
แอดๆๆ
ประตูเหล็กถูกดันออกมาด้วยทหารจำนวนหนึ่ง ก่อนที่รถม้าและทหารจากเมืองไดมอทัสจะเดินทางเข้าไปด้านใน ที่มีทหารจำนวนมากกำลังเฝ้าเวรยามอยู่
“อากาศโคตรหนาว” ทหารผมเทากล่าวขึ้นขณะนั่งอยู่ในรถม้า พร้อมกับถูมือไปพลาง
“หัวหน้าก็บอกมาแล้วว่าที่นี่อากาศเย็น” ชายผมดำที่นั่งตรงข้ามได้ถอดถุงมือให้อีกฝ่าย ก่อนจะมองออกไปนอกหน้าต่าง
รถม้าได้หยุดลงหน้าปราสาทก่อนที่ทั้งสองจะเดินลงมา ชายผมดำได้ยืนมองรอบๆอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะเดินตามเพื่อนเข้าไปด้านใน คนแรกที่ทั้งคู่ได้พบก็คือพ่อบ้านที่กำลังยืนรออยู่ พวกเขาเดินตามชายแก่คนนั้นไปจนกระทั่งถึงประตูบานใหญ่ที่น่าจะเป็นที่นัดพบ
“ขอประทานโทษท่านทั้งสองด้วย ท่านเจ้าเมืองของเรายังเดินทางมาไม่ถึง กรุณารอสักครู่” พ่อบ้านกล่าว ก่อนที่เขาจะเสิร์ฟชาให้ทั้งคู่
“ชิ เสียเวลาจริงๆ” ทหารผมเทาบ่นออกมาก่อนจะเดินไปนั่งที่เก้าอี้ ส่วนชายผมดำยังคงยืนและมองสิ่งของรอบๆตัว
“ที่นี่แจกันดอกไม้เยอะจัง” ชายผมดำถาม
“ท่านเมเบล ภรรยาคนที่สองของท่านแม็กซีมัสท่านชอบดอกไม้น่ะครับ ในปราสาทเลยมีแจกันดอกไม้เยอะ”
เวลาผ่านไปครู่หนึ่งก็ได้มีทหารมากระซิบกับพ่อบ้าน แล้วประตูไม้ก็ได้เปิดออกโดยที่ทั้งสองได้กลับมายืนตำแหน่งเดิม ก่อนที่ทั้งคู่จะเดินเข้าไปในโถงขนาดใหญ่ที่มีเจ้าเมืองนั่งอยู่ตรงบัลลังก์ของตน พร้อมกับสองภรรยาที่นั้งขนาบข้าง
“มีอะไรก็รีบพูดมา” ชายผมเพล้ารุงรังและหนวดเคราเต็มหน้าที่มีชื่อว่า แม็กซีมัส พาเรน ซึ่งเป็นเจ้าเมืองคนปัจจุบันของเมืองซันเดิลได้พูดขึ้น
“กระผม ไบรอันต์ วอร์ต ตัวแทนคณะการตรวจสอบการทำงาน” ชายผมดำกล่าวพร้อมกับนั่งคุกเข่า
“กระผม เอซ ครูส เป็นผู้ช่วย” ชายผมเทากล่าวและนั่งคุกเข่า ก่อนที่ทหารที่อยู่ด้านหลังจะทำตาม
“ตรวจสอบ? พวกแกจะตรวจสอบอะไร”
“ทางราชอาณาจักรไดมอทัส ได้ทราบเรื่องการเก็บภาษีเกินความจำเป็น และเรื่องการทำผิดกฏหมายที่มีทหาร และขุนนางมีส่วนร่วมในการกระทำผิด และเรื่องการโจมตีของมอนสเตอร์ที่ฝ่ายทหารนั้นไม่มีประสิทธิภาพพอที่จะจัดการมอนสเตอร์ พวกเราจึงมีหน้าที่การตรวจสอบและแจ้งเรื่องกลับไปทางอาณาจักร เพื่อลงมือจัดการปัญหาให้สิ้นซาก และเพื่อการเป็นอยู่ของประชาชน พวกเราจึงมาทำการตรวจสอบ” ไบรอันต์ตอบกลับด้วยเสียงดังฟังชัด
ปัง(เสียงตบเก้าอี้)
“บังอาจ! แกบอกว่าข้าคนนี้ไม่มีความสามารถอย่างนั้นหรอ ไอ้ทหารชั้นต่ำอย่างแกจะทำอะไรได้ พวกแกก็เป็นได้แค่ขี้ข้าของพวกขุนนางเท่านั้นแหละ วันๆก็คงแต่จะเลีย-ีนพวกมันจนเลื่อนยศมาถึงนี่สินะ” พูดจบก็ลุกขึ้นเดินก่อนจะหยุดพูดอะไรสักอย่าง “ขอเตือนไว้ละกัน รีบจัดการปัญหาให้เสร็จทันเวลา ก่อนที่ปัญหาจะไปจัดการพวกแก”
แล้วแม็กซีมัสก็ได้เดินหายไป ก่อนที่ภรรยาทั้งสองจะเดินตามโดยมีหนึ่งในนั้นได้โค้งตัวให้
“ไอ้แก่นั้น ถ้าไม่ได้เป็นเจ้าเมืองนะมันตายแน่” เอซสบถออกมาหลังจากแม็กซีมัสเดินจากไป
“ช่างมันเถอะ เรากลับไปทำงานกันดีกว่า” ไบรอันต์และเอซเดินออกไปจากโถงพร้อมกับทหาร ก่อนจะตรงขึ้นรถม้าเข้าเมืองไปหาที่พัก
ตึก ตึก ตึก
เสียงเดินของแม็กซีมัสได้ดังก้องไปทั่วปราสาท ก่อนที่เขาจะมาหยุดที่หน้าประตูไม้ที่ล็อคกุญแจแน่นหนา แม่กุญแจจำนวนมากถูกไขออกก่อนที่จะพบกับประตูเหล็กหนา ที่มีระบบความปลอดภัยถึงกับสามารถใช้รหัสได้แล้ว และพอกดรหัสถูกต้องประเหล็กหนาก็ได้เปิดออก ทำให้เห็นห้องแล็บที่มีผู้คนจำนวนมากอยู่ภายใน
“สวัสดีครับท่านเจ้าเมือง” ชายวัยกลางคนใส่ชุดกาวน์พร้อมกับแว่นตารูปดาวได้หันมากล่าวทักทาย ขณะที่ยืนอยู่หน้ากรงบางอย่าง
“งานที่ข้าสั่งไปถึงไหนแล้วล่ะ”
“ตอนนี้เหลือแค่ทดลองกับเป้าหมายครับ ซึ่งกระผมคิดว่าเราควรจะลองไปทดสอบกับพวกมอนสเตอร์ก่อน ท่านพอจะมีคนที่พาตัวทดลองของเราออกไปนอกเมืองโดยไม่มีใครเห็นรึเปล่าครับ”
“เสียเวลาเปล่า ไปเอาพวกมอนเตอร์เข้ามาดีกว่า มันจะได้ไม่เหลือหลักฐานให้คนนอกเห็น”
“เป็นความคิดที่ดีนะครับ” ชายชุดกาวน์เดินตรงไปใกล้กรงหนาพิเศษก่อนจะเคาะไปสองสามที “ได้เวลาแสดงโชว์แล้ว หมายเลข 7”
แฮร่
เสียงขู่ในลำคอได้ดังขึ้นในกรง ก่อนจะพบว่าคือชายผิวขาวที่ถูกห้อยด้วยโซ่จำนวนมากและถูกดัดแปลงจนไม่เหลือเค้าเดิม ฟันทุกซี่ถูกถอนและใส่กลับด้วยฟันเหล็ก แขนทั้งสองข้างถูกตัดและแทนที่ด้วยแขนเหล็กที่เป็นกรงเล็บ ส่วนด้านหลังถูกใส่เครื่องบางอย่างที่มีน้ำสีแดงอยู่ และตรงศรีษะถูกถลกและสวมเหมือนหมวกเหล็กบางอย่าง โดยที่ทุกส่วนของร่างกายได้ถูกสายยางแทงเอาไว้พร้อมกับของเหลวสีแดงบางอย่างที่ไหลเข้าไป
หลังจากที่ลุคเดินมาถึงกิลด์ก็พบว่าทุกคนกำลังฝึกต่อสู้กันอยู่ เขาที่ไม่อยากรบกวนการฝึกจึงเดินไปนั่งใต้ต้นไม้และรอให้ทุกคนฝึกกันเสร็จ ก่อนที่ลูเทียร์จะสังเกตเห็นและได้เรียกอีกสองคนมา โดยพอมาถึงลุคก็ยื่นสมุดบางอย่างให้กับลูเทียร์ ส่วนของอีฟก็หน้าไม้กับโล่เล็ก และสุดท้ายลอยด์ที่ไม่ต้องให้อะไร เพราะลุคคิดการฝึกพิเศษเอาไว้ให้แล้วโดยที่เขาจะเป็นคนแนะนำเอง แต่ตอนนี้ยังไม่ถึงเวลาจึงปล่อยให้ไปฝึกอย่างอื่นก่อน
“สมุดนั้นฉันจดเทคนิคฝึกเวทย์ควบคุมไป เอาไปฝึกเลย ถ้าขยันหน่อยวันสองวันน่าจะเริ่มใช้เป็น” ลุคบอกลูเทียร์ที่กำลังตั้งใจอ่านลายมือลุคสุดความสามารถ
“ส่วนของเธอชื่ออีฟใช่ไหม ถนัดมือขวาใช่ไหม”
“ใช่ค่ะ” อีฟตอบกลับขณะของเต็มมือไปหมด
ลุคเดินไปหยิบโล่ที่อีฟกำลังกอดอยู่และใส่ให้ตรงแขนซ้าย ส่วนหน้าไม้ก็สวมสายสะพายให้ก่อนอธิบายจนเสร็จสรรพทุกขั้นตอน
“เอาล่ะลอยด์ ได้เวลาฝึกกับอีฟ” ลุุคหันไปบอกลอยด์ที่กำลังยืนเหม่ออยู่ ก่อนจะดุไปทีหนึ่ง “เร็วๆสิ!”
ลอยด์และอีฟเดินไปยืนตรงข้ามกัน ก่อนที่ลุคจะส่งสัญญาณให้ทั้งสองเริ่มสู้ ลอดย์ชักดาบออกมาก่อนจะเข้าหาและวาร์ปไปฟัน ทางด้านอีฟที่รู้ว่าอีกฝ่ายจะมาไม้ไหนก็ได้กระโดดได้ทันพอดี ก่อนจะหยิบหน้าไม้ที่อยู่ด้านหลังขึ้นมายิง
เก็ง เก็ง เก็ง
ลูกธนูสามลูกถูกสกัดไว้ได้หมดด้วยลูกหินของลินดา ก่อนที่อีฟจะใช้เวทย์ล่องหนเพื่อทำให้ลอยด์สับสน แต่เหมือนว่าเจ้าตัวจะลืมไปว่าพื้นที่ยืนอยู่เป็นพื้นทราย จึงทำให้ทุกการเดินจะทิ้งร่องรอยเอาไว้จนลอยด์เริ่มสังเกตเห็น แต่เขาก็แกล้งทำเป็นไม่เห็นเพื่อล่อให้อีฟเข้ามาใกล้กว่านี้ จนกระทั่งเข้ามาใกล้พอที่ลอยด์มั่นใจว่าอีกฝ่ายจะหลบไม่ทันแน่ๆ และได้พุ่งตัวเพื่อจะใช้เวทย์อัมพาต แต่แล้วในจังหวะที่คิดว่าจะถึงตัวได้นั้นเอง มือที่ยื่นออกไปก็ได้ถูกปัดก่อนจะถูกอะไรกระแทกเข้าที่หน้าจนเซไปหลายก้าว
“เล่นแรงเหมือนกันนะเนี่ย” ลอดย์พูดขึ้นก่อนที่อีฟจะค่อยโผล่มาให้เห็นตัว
“เอาเลยคุณลินดา” ลอยด์ตะโกนบอกก่อนที่ลินดาจะเสกหินขึ้นมาล็อคขาของอีฟไว้กับที่
“ผิดที่แล้ว” เสียงดังขึ้นจากข้างหลังลอยด์ ก่อนที่เขาจะถูกบางอย่างกระแทกเข้าที่หลัง ซึ่งก็แรงพอที่จะทำให้ลงไปนอนกองกับพื้น
“ยอมแพ้ไหม” อีฟเผยตัวพร้อมกับกำลังล็อคคอลอยด์อยู่
“ไม่ยอมหรอก” ลอยด์ดันตัวเองขึ้นจากพื้นขณะที่อีพเกาะหลังอยู่ ก่อนที่จะใช้เวทย์ปลดขีดจำกัดและกระโดดตีลังกา โดยเอาอีฟที่ล็อคคออยู่ลงกระแทกกับพื้นจนเกิดเสียงดัง
ตุบ
“ไงล่ะ ฉันชนะ” ลอยด์ลุกขึ้นนั่งพร้อมกับหันไปมองอีฟที่นอนจุกอยู่ ก่อนจะพึ่งรู้ตัวว่าต้องรีบเข้าไปช่วยแต่ก็ถูกปัดมือออก แล้วอีฟก็เดินไปนั่งใต้ต้นไม้โดยที่มองค้อนไปยังลอยด์ที่ยังยืนงงว่าเกิดอะไรขึ้น
ทางฝั่งลุคที่กำลังสอนการฝึกใช้เวทย์ลูเทียร์อยู่ พอหันไปหันทั้งคู่ทะเลาะกันก็ไม่รู้จะพูดยังไงดี เจ้าตัวจึงจำเป็นต้องปล่อยให้ทั้งคู่อารมณ์เย็นก่อน และหันมาสนใจลูเทียร์ที่โดนลูกแอปเปิ้ลเขกหัวไม่หยุด
การฝึกของลุคนั้นคือผูกแอปเปิ้ลกับกิ้งไม้แล้วเหวี่ยง ซึ่งมันคือการฝึกเวทย์ควบคุมที่อาจจะไม่ได้เคร่งอะไรมาก เพราะก่อนที่ลุคจะใช้เวทย์นี้คล่องนั้นก็แทบลากเลือด เนื่องจากมันต้องมีสมาธิสูงและยิ่งถ้าอยากจะพัฒนาเวทย์นี้อีก ก็ต้องฝึกการใช้สมาธิในสถานการณ์ต่างๆอีก
“นี่รอบที่เท่าไหร่” ลุคที่เอาเก้าอี้มานั่งดูจนเบื่อก็ได้เอาหนังสือมาอ่านพลาง
“ไม่ได้นับเลย ทำไมมันยากอย่างนี้เนี่ย” ลูเทียร์เหวี่ยงแอปเปิ้ลอีกรอบ และโดนชนหน้าผากอีกรอบจนตอนนี้มันแดงจนเห็นได้ชัด
ลุคที่เริ่มเบื่อจึงวางหนังสือและเดินไปใกล้ๆ ก่อนจะจับหัวลูเทียร์ให้มองตรงไปยังลูกแอปเปิ้ลที่ยังส่ายไปมาอยู่
“คิดว่าจะผลักมันออกไป คิดไปเรื่อยๆ จะทำท่าทำทางอะไรก็ได้ ที่เธอคิดว่ามันจะได้ผล” ลุคตบไหล่เบาๆก่อนจะเดินไปนั่งดูผลลัพธ์
ลูเทียร์เริ่มตั้งตามองดูลูกแอปเปิ้ลที่ส่ายไปมา ก่อนจะเริ่มทำท่าเสมือนว่ากำลังจะผลักมันออกไป ซึ่งมันก็ดูตลกเล็กน้อยจนลุคเผลอหลุดขำออกมา
“ฮึบ ย่า ฮึบ ย่า ฮึบ ย่า” เสียงนี้เรียกผู้คนที่ฝึกกันอยู่ให้หันมามองว่าใครทำอะไร ก่อนที่หลายๆคนจะขำออกมา
“คิดว่าจะมีอะไรออกมาจากมือ เพราะเวทย์นี้ต้องคิดภาพให้ชัดเจนและต่อเนื่อง” ลุคที่นั่งเชียร์อยู่ก็แอบหวังเล็กน้อย
สมาธิเริ่มนิ่ง การกำหนดลมหายใจเริ่มเป็นจังหวะต่อเนื่อง ก่อนที่เสียง ฮึบ ย่า จะดังขึ้นอีกครั้ง ซึ่งครั้งนี้มันดูเหมือนจะได้ผลเพราะว่าลูกแอปเปิ้ลได้ถอยออกไปเล็กน้อย ซึ่งก็เป็นเพียงแค่เล็กน้อย
“ไงล่ะ เมื่อกี้เห็นไหมว่าฉันทำได้” เธอหันมายิ้มพร้อมกับมองลุคที่ยังคงหน้านิ่งไม่เปลี่ยน
“แน่ใจ? ไม่ใช่ว่าลมพัดหรอ”
“ลมอะไร เมื่อกี้เห็นกันชัดๆว่าฉันทำได้” ลูเทียร์หันกลับมองแอปเปิ้ลเหมือนเดิมพร้อมสีหน้าโกรธเล็กน้อย ที่อีกฝ่ายไม่แม้แต่จะชมอะไรเลย
เวลาแห่งการฝึกได้ล่วงเลยไปจนถึงช่วงพักกลางวัน ก่อนที่ทุกคนจะแยกย้ายกันไปพักผ่อนและหาอะไรทาน โดยจะกลับมาเจอกันอีกทีช่วงบ่ายของวัน ซึ่งลุคที่นั่งพักอยู่ที่กิลด์ก็ได้ขึ้นไปคุยกับออสตินเรื่องของเลน่า กับสิ่งที่ตัวเองได้ทำลงไปในเมื่อเช้านี้
ซึ่งทันทีที่ออสตินทราบเรื่องก็รู้สึกเครียดพอสมควร เพราะกลัวว่ามันจะสาวมาถึงลุคที่ไม่ได้กระทำความผิดโดยตรง แต่เป็นเพียงหุ่นเชิดที่ถูกชักใยอยู่
“ผมว่าพวกมันคงไม่ทราบหรอกว่าผมเป็นคนทำ” ลุคที่คิดมาอย่างถี่ถ้วนแล้วได้บอกออกไป
“มันก็อาจเป็นอย่างนั้น แต่ก็อย่าประมาทเกินไป ทั้งเลน่าและพวกขุนนางพวกนั้น ช่วงนี้ก็ระวังตัวให้มากๆ”
ทั้งสองพูดคุยกันอีกสักพักก่อนที่ลุคจะขอตัว พอออกจากห้องก็รีบตรงไปหาอะไรทานทันที เพราะดูเหมือนว่าคนอื่นๆใกล้จะมาถึงแล้ว เขาจึงต้องรีบทานนิดหน่อยเพราะต้องรับผิดชอบหน้าที่ตัวเอง จนกระทั่งสุดท้ายก็มาทันเวลาก่อนที่ทุกคนจะมา และเมื่อมาพร้อมหน้ากันเรียบร้อยก็ได้เวลาฝึก
กึก กึก กึก
เสียงรถม้ากระทบกับพื้นถนนที่เต็มไปด้วยหิมะ ก่อนที่จะมาหยุดที่โรงแรม 4 ดาวที่มีทหารจำนวนหนึ่งยืนต้อนรับ
“ถึงซักที นั่งจนเมื่อยไปหมด” เอซเดินลงมาก่อนด้วยท่าทางที่ไม่ชอบใจสักเท่าไหร่
ทั้งสองเดินตามทหารที่จองที่พักล่วงหน้าไว้ให้ โดยตลอดเส้นทางเต็มไปนั้นด้วยโคมไฟที่ส่องสว่างเต็มทางเดิน ก่อนจะมาหยุดที่ห้องพักชั้นสาม และเข้าห้องไปพร้อมรับกุญแจห้องจากทหารที่เดินนำมา
“พวกทหารนี่ก็เลือกโรงแรมใช้ได้นะเนี่ย” เอซกระโดดขึ้นเตียงทันทีที่เข้ามาข้างใน
ภายในประกอบไปด้วยเตียงขนาดกลาง 2 เตียง โซฟาเอาไว้นั่งเล่น โต๊ะและเก้าอี้พร้อมกับห้องน้ำที่ถูกตกแต่งอย่างดี แถมอ่างอาบน้ำที่มีน้ำอุ่น
“ไม่เห็นจำเป็นต้องเลือกโรงแรมดีขนาดนี้เลย” ไบรอันต์บ่นออกมาเพราะเขาคิดว่ามันไม่จำเป็นสักเท่าไหร่ ที่จะต้องอยู่ในโรงแรมหรูขนาดนี้
“เรื่องมากไปได้น่า นานๆทีจะได้พักห้องแบบนี้ อยู่ที่นู้นก็นอนแต่เตียงแข็งๆ ถือซะว่ามันเป็นบริการพิเศษจากทางหัวหน้าละกัน เขาบอกมาอย่างนี้” เอซพูดพร้อมกับร่างที่ค่อยๆยุบลงไปบนเตียงที่นุ่มฟู
“หัวหน้านะหรอ?”
“ไม่ต้องคิดมากหรอก พักๆไปเหอะ แล้วนายจะออกไปทำงานตอนไหน”
“อีกสักแปป” อีกสักแปปของไบรอันต์ก็คือแค่เอาตราที่ติดอยู่กับเสื้อกันหนาวออก ก่อนจะแต่งตัวให้ธรรมดาที่สุดแล้วออกไป โดยที่เอซก็จำเป็นต้องตามไปแม้จะไม่ค่อยเต็มใจสักเท่าไหร่
ไบรอันต์ลงไปชั้นล่างก่อนจะสอบถามทหารที่ยืนเฝ้าอยู่หน้าโรงแรม ว่าเขานั้นจะสามารถหาแหล่งข่าวได้จากไหนได้บ้าง ซึ่งพวกทหารหลายคนก็ได้บอกว่าให้ไปหาชายหนุ่มที่ชื่อ อลัน ฟิส ที่ชอบแปลงร่างเป็นชายแก่ โดยส่วนมากจะอยู่ที่ร้านเหล้า
“ขอบใจมาก และพวกนายก็ไม่ต้องมาคุ้มกันฉันตลอดเวลาหรอก ไปพักผ่อนซะ” พอได้ยินอย่างนั้นพวกเขาก็ได้แยกย้ายกันไปยืนประจำตำแหน่งของตน ที่จะสามารถดูแลหัวหน้าของตัวเองได้
หลังจากได้ข้อมูลมาว่าให้ไปหาชายที่ชื่ออลัน ไบรอันต์ก็ได้เริ่มตระเวนเดินตามหาทันที โดยที่มีเอซเดินตามติดๆแม้จะหาวอยู่ตลอดเวลา จนกระทั่งมาถึงร้านเหล้าแห่งหนึ่งที่มีชายแก่กำลังนอนอยู่ตรงโต๊ะ ไบรอันต์ที่เห็นอย่างนั้นจึงลองเสี่ยงดูว่าใช่คนที่ตามหารึเปล่า
ตึก ตึก ตึก
เสียงเคาะโต๊ะดังขึ้นเพื่อเรียกให้อีกฝ่ายตื่น ขณะที่ตัวเองนั่งอยู่ตรงข้ามพร้อมกับเอซที่ยืนมองไปทั่วร้าน แต่ก็ดูเหมือนว่าอีกฝ่ายจะหลับลึกเกินไปจนต้องเคาะไปอีกหลายที และเอซที่เริ่มรำคาญเลยได้เดินไปเขย่าตัวซึ่งเหมือนว่าจะได้ผล
“มีอะไร? คนจะหลับจะนอน”
“คุณคืออลัน ฟิสใช่ไหม” ไบรอันต์ถาม
“อะไรนะ ไม่รู้จักไม่ต้องมาถาม คนจะนอน”
เอซหยิบเงินออกมาจำนวนหนึ่งวางลงบนโต๊ะ ก่อนที่จะเห็นสายตาของไบรอันต์ที่มองมา “อะไร? ก็แค่จ่ายค่าเปิดปาก หรือจะให้ฉันใช้กำลัง”
แสงสะท้อนจากเหรียญได้แยงตาจนตาแก่ต้องลุกขึ้นนั่ง ก่อนจะโกยเงินจำนวนั้นเข้ากระเป๋าแล้วเปลี่ยนไปนั่งที่บาร์แปปนึง และกลับมาพร้อมกับรูปร่างของชายหนุ่มผมเงินที่หน้าตาดูสดชื่น
“พวกคุณมาตามหาผมมีเรื่องอะไร” อลันนั่งลงที่เก้าอี้ตัวเดิมพร้อมกับนมอุ่นๆที่จิบทีละนิด
“พวกเราต้องการข้อมูลเกี่ยวกับการทำผิดกฏหมายภายในเมืองนี้ทั้งหมด”
“หือ แปลกนะเนี่ย มีไม่กี่คนที่อยากรู้เรื่องพวกนั้น ผมจะบอกก็บอกได้นะแต่ราคามันก็แพงตามราคาข่าวด้วย ผมคิดให้ถูกๆก็เกือบแสน” อลันนั่งไขว่ห้างพร้อมจิบนมไปพลาง
“เกือบแสน! แกคิดจะหลอกพวกเรารึไง” เอซตกใจกับราคาของค่าข่าวจนต้องสบถออกมา และจะเข้าไปจัดการอลัน
“ก็แล้วแต่ พวกคุณก็แค่ไปหาคนอื่นเอาละกัน อ่าาาา นมนี่อุ่นดีจัง”
“ก็ได้แต่เราขอแบ่งจ่าย เนื่องจากเราต้องดูว่าข่าวที่คุณให้นั้นสมกับราคารึเปล่า” ไบรอันต์ที่นั่งเงียบอยู่นานตอบกลับ ซึ่งเอซที่ได้ยินคำตอบของเพื่อนตัวเองก็อยากจะขัด แต่ก็ถูกห้ามเอาไว้
อลันกลืนนมลงไปอึกใหญ่ก่อนจะตอบกลับ “ก็ได้ จะเอายังงั้นก็ได้”
พอตกลงเรื่องเงินกันได้แล้ว ไบรอันต์ก็เริ่มสอบถามเกี่ยวกับภายในเมืองว่าจุดเริ่มต้นของปัญหานั้นมาจากไหน ซึ่งอลันก็ตอบกลับด้วยความจริงที่ว่าเป็นเพราะเจ้าเมือง โดยตอนแรกนั้นในเมืองถึงจะมีการใช้ยาเสพติดหรือการลักขโมยอยู่บ้าง แต่ก็ไม่ได้เยอะจนเกินที่จะควบคุมไหว เนื่องจากเจ้าเมืองคนก่อนได้ดูแลและปกครองอย่างยุติธรรม แม้จะเคยทำดีมาตลอดแต่ถ้าทำผิดแม้แต่นิดเดียวก็ไม่อาจจะละเว้นได้ จึงทำให้กฏหมายภายในเมืองนั้นดูน่าเชื่อถือจนไม่ค่อยมีคนกล้าทำผิด
“แต่แล้ว ไอ้คุณเจ้าเมืองแม็ก ซี มัส ก็ได้เข้ามา” อลันเน้นชื่ออย่างจงใจ
ก่อนจะเล่าต่อว่าทันทีที่ได้ปกครองเมือง ขุนนางหลายคนที่ทำหน้าที่ดูแลด้านต่างๆได้ถูกถอดยศ และได้แต่งตั้งขุนนางที่ดูเหมือนจะเข้าร่วมกับตัวเองขึ้นมาดูแลในด้านต่างๆ และนั้นเองที่น่าจะเป็นจุดเริ่มต้นของปัญหาที่ตามมาอีกเรื่อยๆ
“แล้วประชาชนยอมรับการขึ้นครองตำแหน่งเจ้าเมืองคนใหม่หรอ เพราะเห็นกันอยู่ว่าเอาแต่ก่อปัญหา” ไบรอันต์ถามแทรกขึ้นมา
“เพื่อนนายนี่อ่านนิทานเยอะไปรึเปล่า” อลันหันไปมองเอซ ซึ่งอีกฝ่ายก็ได้พยักไหล่ให้เชิงว่าก็คงงั้น “บางครั้งนะ ความดีที่แม้จะมีเยอะกว่าแต่ก็ไม่สามารถจัดการความเลวที่ยิ่งใหญ่ได้หรอก เพราะคนเลวพวกนั้นมันมีคนที่เลวและยิ่งใหญ่กว่านั้นหนุนหลังยังไง มันเลยจัดการไม่ได้ง่ายๆ ถ้ามันจัดการง่ายเมืองนี้ก็พัฒนาไปไกลกว่านี้แล้วล่ะ” อลันอารมณ์เสียเพราะต้องมาอธิบายในเรื่องที่ใครๆก็ต้องเข้าใจได้ง่ายๆ ให้กับคนที่ควรจะรู้เรื่องมากที่สุดฟัง
“งั้นมาเข้าเรื่องละกัน ผมจะบอกว่าขุนนางคนไหนทำอะไรบ้าง แล้วพวกคุณก็จะเอาข้อมูลไปทำอะไรก็ตามใจ”
อลันเริ่มไล่ชื่อขุนนางที่ทำหน้าที่ต่างๆภายในเมือง และหน้าที่ในโลกใต้ดินที่ทำงานผิดกฏหมายไปด้วย โดยที่ไบรอันต์นั้นเป็นคนจดรายชื่อและรายละเอียดต่างๆลงในสมุดที่พกมา ส่วนเอซก็เป็นคนแย้งข้อมูลต่างๆที่ดูน่าจะผิดสังเกต แต่อลันก็ตอบกลับด้วยเหตุผลที่ฟังขึ้นตลอด จนมาถึงรายชื่อสุดท้าย
“เออออ ผมลืมชื่อน่ะ ขอเวลาแปปนึงนะ ผมต้องใช้เวลานึกน่ะ” อลันหลับตานึกพร้อมกับส่ายหัวไปมา จนเวลาล่วงเลยไปหลายนาที
ตึง
เสียงบางอย่างกระแทกลงบนโต๊ะก่อนที่อลันจะลืมตาขึ้นมาดู และพบกับถุงที่มีเงินไหล่ออกมาจำนวนหนึ่ง เขาเอื้อมมือหยิบถุงขึ้นมาก่อนจะใช้เวลานับไม่นาน
“รายชื่อสุดท้ายไม่ใช่ขุนนาง แต่เป็นนักวิทยาศาสตร์คนหนึ่ง ที่ผมก็เพิ่งจะได้ยินมาไม่นานเหมือนกัน สายข่าวบอกว่าเขาเป็นคนสนิทของเจ้าเมือง และเหมือนกำลังทำอะไรที่ดูไม่น่าไว้ใจกันอยู่ ส่วนชื่อนั้นน่าจะแมดด็อกซ์มั้ง ที่น่าจะมาจากไดมอทัส” อลันตอบพร้อมลูบคางเพราะไม่ค่อยมั่นใจในข่าวที่ได้ยินมา แต่อย่างน้อยบอกไปก็คงไม่เสียหายอะไร
เอียด
เสียงเก้าอี้เลื่อนจากเอซที่ไปชนเข้า ก่อนที่เจ้าตัวจะบอกให้คุยกันต่อเลย
“เอาไปแค่นั้นก่อนละกัน เดี๋ยวพวกคุณจัดการพวกมันหมดเมื่อไหร่ค่อยมาเอาเพิ่ม คุณตัวแทน” พูดจบอลันก็เปลี่ยนร่างเป็นชายแก่เหมือนเดิม ทิ้งให้ทั้งสองงุนงงว่าอีกฝ่ายรู้ได้ยังไง เพราะนี่ก็น่าจะยังไม่ถึงชั่วโมงที่พวกเขาได้เข้าไปในปราสาท ทำไมข่าวถึงออกมาเร็วเหลือเกิน
ไบรอันต์ไล่ดูรายชื่อที่จดมาก่อนจะเริ่มไล่เรียงว่าควรจะจัดการปัญหาตรงไหนก่อนดี เนื่องจากถ้าเริ่มจัดการคนหนึ่งคนที่เหลือก็อาจจะไหวตัวทัน การตัดสินใจเลือกจึงเป็นอะไรที่ต้องรอบคอบและวางแผนมาอย่างดี
“ถ้ามันตัดสินใจยากก็ค่อยๆคิดเอาทีหลังก็ได้ ยังไงพวกเราก็ไม่ได้รีบกลับขนาดนั้น พักสักวันสองวันคงไม่เป็นอะไรหรอก” เอซที่นั่งมองไบรอันต์เคร่งเครียดก็ได้ให้คำแนะนำไป ก่อนที่ตัวเองจะเดินไปสั่งเบียร์มาดื่ม
“แต่ฉันก็สงสัยนะทำไมนายถึงไม่เอาทหารในหน่วยพวกเรามาด้วย มากันแค่สองคนเมื่อไหร่งานจะเสร็จ” เอซที่ดื่มเบียร์ตรงบาร์หันมาถาม ในสิ่งที่ตัวเองยังคงไม่เข้าใจการกระทำอีกฝ่าย
“ฉันไม่อยากให้คนอื่นเสียเวลาฝึกซ้อมน่ะ แถมบางคนก็มีธุระอีก ถ้าพามาด้วยก็จะวุ่นวายเปล่าๆ ทำงานสองคนมันสะดวกกว่า” ไบรอันต์ตอบกลับขณะนั่งไล่ดูรายชื่อไปพลาง
“แต่ดูเหมือนหัวหน้าก็ยังแอบช่วยอยู่นะ งั้นนายก็ใช้พวกนั้นให้เป็นประโยชน์ละกัน ยังไงพวกมันตอนนี้ก็เป็นลูกน้องเรา แถมดูท่าจะมีลูกน้องของหัวหน้าอยู่ที่เมืองนี้อีก ใช้คนที่น่าจะชำนาญพื้นที่กว่าพวกเราน่าจะดีกว่า” เอซแนะนำไปพร้อมกับดื่มเบียร์
“ตอนนี้พวกเราก็จัดการกันเอาเองก่อนละกัน เพราะเราก็ไม่รู้ว่ามีใครในนั้นเป็นสายให้พวกใต้ดินรึเปล่า” พูดจบไบรอันต์ก็เดินออกไปก่อนที่เอซจะตามไปทีหลังเพราะยังดื่มไม่หมด
วันถัดมา
วันนี้ลุคก็ยังคงดูแลเรื่องการฝึกซ้อมเหมือนเดิม ซึ่งการพัฒนาของลอยด์และอีฟนั้นถือว่าดีมากในระดับที่น่าเหลือเชื่อ เพราะเพียงแค่วันเดียวอีฟก็สามารถใช้อาวุธจนชำนาญ และผสมทักษะการใช้เวทย์ไปด้วยก็ยิ่งทำให้เจ้าตัวอันตรายขึ้นมาก ส่วยลอยด์ที่ตอนแรกยังไม่จริงจังกับการฝึก แต่พอมาวันนี้กลับขึงขังแปลกๆจนลุคสังเกตได้ และลูเทียร์ที่ฝึกใช้เวทย์ควบคุมนั้น แม้จะยังไม่ค่อยจะเห็นผลมากเท่าไหร่ แต่ด้วยระยะเวลาหนึ่งวันก็ทำให้เธอสามารถจับหลักการได้อยู่ แม้จะนิดนึงก็ตาม
“เรามาเปลี่ยนของดีกว่า” ลุคเดินไปไปหยิบแอบเปิ้ลออกมา ก่อนจะยัดลูกเหล็กหนักหนึ่งกิโลกรัมเข้าไปแทน
“นายจะบ้าหรอ ถ้ามันชนหัวฉันก็ตายพอดีนะสิ” ลูเทียร์ตกใจมากกลับลูกเหล็ก เพราะหน้าผากมันฝึกกันไม่ได้เหมือนกล้ามเนื้อส่วนอื่น ถ้าโดนทีไม่หลับก็หัวโนแน่นอน
“วันนี้ฉันไม่อนุญาตออกจากวงกลมนี้ ดังนั้นวันนี้ต้องฝึกให้ได้” ลุควาดวงกลมรอบตัวลูเทียร์ที่นั่งอยู่กับพื้น
หลังจากจบประโยคนั้นเสียงก่นด่ามากมายก็ได้ดังขึ้นอย่างต่อเนื่อง แต่ลุคก็ไม่ได้สนใจอะไรแถมยังกลับไปนั่งอ่านหนังสือพร้อมกับดูลอยด์และอีฟฝึกต่อสู้กันไปพลาง และสุดท้ายเสียงบ่นก็จะเงียบลงโดยลูเทียร์ก็ได้หันไปสนใจการฝึกแทน เพราะเหมือนว่าบ่นไปอีกฝ่ายก็ไม่ได้สนใจ
หลายชั่วโมงผ่านไปหน้าผากของลูเทียร์แดงจนเห็นได้ชัด เนื่องจากหลบลูกเหล็กไม่ทันเพราะตั้งสมาธิกับการหยุดเกินไป ซึ่งลุคที่นั่งเฝ้าอยู่นานก็เหมือนจะเริ่มสังเกตเห็นอะไรบางอย่าง และเขาก็หวังว่ามันจะเป็นอย่างที่ตัวเองคิด
“เอาล่ะ น่าจะต้องฝึกอย่างจริงจังกันซักที” ลุคเดินไปจับลูกเหล็กก่อนจะดันมันสูงขึ้น จนเชือกที่มัดอยู่ตึง
“อย่าบอกนะ!” เธอพอจะคาดเดาได้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นต่อจากนี้ และเหมือนว่าอีกฝ่ายจะไม่ให้เวลาเตรียมใจเลยสักนิดเดียว
ลูกเหล็กในมือของลุคถูกปล่อยออกมา ก่อนที่ความสูงและน้ำหนักจะทำให้การเหวี่ยงครั้งนี้รุนแรงกว่าเก่า ซึ่งแรงพอที่จะทำให้ชายตัวใหญ่สลบได้เลย โดยครั้งนี้ลุคได้คาดหวังว่ามันอาจจะเกิดเหตุการณ์ได้สองอย่างคือลูเทียร์หยุดเอาไว้ได้ทัน ส่วนอีกทางก็คือลูกเหล็กกระแทกเข้าที่หน้าผากอีกฝ่ายเต็มๆ และต้องพาไปรักษาโดยด่วน แต่เขาก็หวังว่ามันจะไม่เกิดเหตุการณ์ที่สองขึ้น
เสี้ยววินาทีลูเทียร์เอื้อมมือออกไปข้างหน้าหวังจะหยุดลูกเหล็กด้วยมือ แต่ด้วยความตกใจจึงทำให้เธอเอามือออกไปช้าเกินไป จนมันเกือบจะถึงตัวเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
เอียด อาด เอียด อาด
เสียงเชือกสีกับกิ่งไม้ดังขึ้น ก่อนจะพบว่าลูเทียร์ไม่เป็นอะไร
‘ฮู่ นึกว่าจะไม่รอด’ ลุคคิดในใจ
“ลืมตาได้”
“ฉันไม่เป็นอะไรหรอ?” ลูเทียร์ค่อยๆลืมตาขึ้นมา ก่อนจะจับหัวตัวเองดูว่าเป็นอะไรรึเปล่า
“หยุดเอาไว้ได้ก่อนชนพอดี ตอนนี้ก็กลับไปฝึกซะ” ลุคบ่นออกมาเพราะดูเหมือนว่าอีกฝ่ายจะดีใจจนวิ่งไปบอกลอยด์และอีฟ
“หวังว่าจะทันนะ” ลุคกลับมานั่งเก้าอี้ พร้อมกับคิดทบทวนเรื่องการฝึกซ้อม และสิ่งประดิษฐ์ที่ทำค้างไว้ ก่อนที่จะนึกอะไรขึ้นมาได้อีกอย่าง
“ลอยด์! มานี่หน่อย” ลุคตะโกนไปยังเด็กหนุ่ม ก่อนที่อีกฝ่ายจะวิ่งมาถามว่ามีอะไรเกิดขึ้น
“ได้เวลาฝึกบทเรียนพิเศษให้นายแล้ว เอาไว้ใช้ตอนจำเป็น” ลอยด์ทำหน้าดีใจพร้อมกับสงสัยว่ามันคืออะไร
สารบัญ / นำทาง
- 👁️ ยอดวิว 238
แสดงความคิดเห็น