STARCIN ภาคที่ 5 Elforia ตอนที่ 12 ไกล่เกลี่ย

-A A +A

STARCIN ภาคที่ 5 Elforia ตอนที่ 12 ไกล่เกลี่ย

เปลวเพลิงที่ลุกโชนปกคลุมผืนป่าบริเวณนั้นเป็นสีแดง หากไม่มีโทลหรือชิมม่อนคอยดูคงได้ลามไปทั่วผืนป่าเป็นแน่

"ทำไมถึงต้องเผาป่าด้วยล่ะ?" ซึฮากิหายใจเข้าออกสงบสติอารมณ์ให้กลับมาเหมือนเดิมอีกครั้ง

"จริง ๆ พวกมันเป็นคนเผาน่ะ พอจัดการได้ก็เลยใช้ไฟของพวกมันเผาตัวมันเองไปเลย" ชิมม่อนตอบกลับด้วยท่าทางสบายใจไม่รู้สึกหวาดกลัวหรือสะอิดสะเอียนกับการฆ่าคนแต่อย่างใดราวกับเขาผ่านสิ่งเหล่านี้มามากแล้ว

"เหรอ...ดับไฟก่อนละกัน" ซึฮากิวาดมีดสั้น ๆ สร้างขอบเขตสุญญากาศดึงออกซิเจนออกทำให้ไฟทั้งหมดดับทันที 

"โห ! ทำได้ยังไง" ทั้งโทลและชิมม่อนต่างก็อุทานออกมาตกใจออกนอกหน้าแทบจะปลิ้นตาออกมาดู

"ยังมีชีพจรอยู่คนหนึ่ง ลองสอบปากคำสักนิดก็คงไม่เสียหายอะไร" ซึฮากิเดินฝ่ากองขี้เถ้าต้นไม้ใบหญ้าเข้าไปดึงร่างของหญิงสาวผู้หนึ่งที่หมดสติอยู่ใต้กองศพเพื่อน ๆ

หลังจากที่เกิดเหตุวุ่นวายขึ้นในป่าโชคดีที่โทลและชิมม่อนสามารถจัดการได้ก่อนที่พวกเด็ก ๆ จะรู้ตัวด้วยซ้ำ ยิ่งกับพวกเธอที่มีความรู้สึกฝังใจคงจิตตกไปหลายวันแน่ ๆ ถ้าได้เห็น

21 พฤศจิกายน พ.ศ.2575

"เธอตื่นหรือยัง?" คานะเอ่ยทักขณะที่กำลังกินอาหารร่วมโต๊ะกัน

บรรยากาศอันสงบสุขกลับมาเหมือนเดิมอีกครั้งพวกเขาต่างก็ทำหน้าที่ตามที่ซึฮากิมอบหมายไว้ต่อไป แผนผังเมืองค่อย ๆ เป็นรูปเป็นร่างใกล้เคียงกับภาพในฝันไปทุกที

"พี่สาวหลงป่ามาเหรอคะ? ลุงโทล" คิโนริส่งยิ้มที่ดูเป็นห่วงถาม

"ใช่แล้วลุงไปเจอเธอมาในป่าน่ะ" ทำไมต้องโกหกด้วยล่ะ กะอีแค่นักฆ่ากระจอก ๆ ไม่เห็นต้องกังวลอะไรเลย

"เดี๋ยวหนูเอาอาหารไปให้นะคะ เผื่อพี่สาวจะตื่นแล้วหิว" ด้วยความใสซื่อของเด็กน้อยกำลังตักอาหารใส่จานวิ่งหน้าตั้งไปยังห้องของหญิงสาวผู้นั้น

"ฮ่า ๆ คิโนริไม่อยู่เนื้อชิ้นนั้นก็เสร็จผมสิ" เอยิ้มเยาะหรี่ตามองก่อนคว้าเอาเนื้อที่ควรจะเป็นของคิโนริไป

"โอ๊ย !" แต่เอยังช้ามากนักไม่อาจรอดพ้นสายตาของซึฮากิไปได้ถูกตีเข้าที่หลังมือพอดี

"คราวหลังจะฉกของใครไปก็ต้องเบี่ยงเบนความสนใจแล้วค่อยลงมือสิ" ขณะที่พูดอยู่จานของเอก็ไปอยู่กับซึฮากิเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

"เหอะ คราวหน้าผมไม่พลาดแน่" เขาเชิดหน้าหนีทำเป็นไม่สนใจการสอนของซึฮากิแต่ก็แอบคิดในใจว่าจะฉกจานใบนั้นคืนยังไงดี

ดูเหมือนเธอจะได้สติแล้วสินะ ซึฮากิลุกออกไปจากโต๊ะอาหารไม่พูดไม่จากับใครทำให้เอมีโอกาสฉกจานกลับมาได้

หญิงสาวที่เต็มไปด้วยบาดแผลเล็กใหญ่รอดหวุดหวิดมาจากความตายอย่างไม่น่าเชื่อกำลังกลอกตามองไปรอบ ๆ ใบหน้าที่กำลังสะลึมสะลือเต็มไปด้วยความสงสัยแต่ก็ไร้เรี่ยวแรงจะลุกขึ้น

"พี่สาวตื่นแล้วเหรอ?" คิโนริช่วยเธอเอนตัวขึ้นนั่ง

"สาวน้อย...ที่นี่คือที่ไหน?" เธอฝืนใช้เสียงที่หยาบแห้งไม่ได้ดื่มน้ำมาหลายวันเอ่ยด้วยถ้อยคำที่ดูสุภาพเกินกว่าจะมาเพื่อฆ่าใครสักคน

"นี่น้ำค่ะพี่สาว" คิโนริไม่ทันได้ตอบคำถามแต่ก็ยื่นน้ำดื่มให้เสียก่อน

ทำไมเราถึงยังไม่ตาย ภาพติดตาสุดท้ายที่เหลือมีเพียงสายลมที่พัดผ่านเฉือนร่างของพรรคพวกของเธอราวกับเป็นเพียงกิ่งไม้ที่ไร้แรงต่อต้าน ความกดดันที่หนักอึ้งจนไม่อาจขยับร่างกายได้ดั่งใจนึกสุดท้ายเธอก็ล้มลงเพราะกลัวจนหมดสติไปเอง

"พี่สาวกินข้าวก่อนจะได้มีแรง" คิโนริยิ้มเบิกตากว้างพร้อมกับส่งจานอาหารให้

"ตื่นแล้วสินะ" ซึฮากิเดินเข้ามากลางคันทำให้หญิงสาวผู้นั้นลุกพรวดพราดจากเตียงตั้งท่าเตรียมสู้โดยสัญชาตญาณแต่ด้วยร่างกายอันอ่อนแอจึงล้มลงในไม่ช้า

"คิโนริกลับไปกินข้าวเถอะ เดี๋ยวพี่จะดูแลต่อเอง" ซึฮากิดึงตัวหญิงสาวคนนั้นขึ้นนั่งบนเตียงด้วยท่าทางทะนุถนอม

"ค่ะ !" 

หลังจากที่คิโนริออกไปซึฮากิก็โยนร่างของหญิงสาวลงบนเตียงไม่เหลียวแลใด ๆ ทั้งสิ้น

"ฉันรู้ว่าเธอยังมีสติอยู่ ฉันจะไม่พูดเยอะเพราะฉะนั้นตอบคำถามให้ชัดเจน" เขาทิ้งก้นนั่งลงบนเก้าอี้เล็ก ๆ ยกขาไขว่ห้างสอดสายตาอันดุร้ายกดดันเธอ

"พวกนายเป็นใคร? ทำไมถึงช่วยฉันไว้"

"โห...น้ำเสียงก็ดูจะใช้ได้ไม่เห็นต้องทำเป็นอ่อนล้ากับเด็กเมื่อกี้เลย"

"เลิกอ้อมค้อมแล้วบอกจุดประสงค์มาซะ" น้ำเสียงแข็งกระด้างต่อปากต่อคำไม่เกรงกลัว

"เธอเป็นนักฆ่าที่ราชาคากิส่งมาใช่ไหม?"

"นี่นายรู้ได้ยังไง !"

"อ้าว ๆ ปริปากมาแบบนี้แสดงว่าใช่จริง ๆ สินะ" ซึฮากิยิ้มเยาะเมื่อได้เห็นปฏิกิริยาของหญิงสาวที่กำลังล่อกแล่กทำตัวไม่ถูก

ซึฮากิก้าวเดินไปรอบ ๆ เตียงพร้อมกับควงมีดสั้นที่อยู่ในมือ

"เธอโชคดีมากเลยนะที่รอดมาได้ แต่ถ้าทำตัวไม่มีประโยชน์ก็คงต้องฆ่าทิ้งซะ" 

เมื่อเธอได้ยินเช่นนั้นก็เอาแต่ส่ายหัวหลับตาปี๋ ซึฮากิเพียงแค่ใช้มีดวางบนแขนเธอก็ตกใจร้องลั่นออกมาทันที

"อะไรที่ฉันไม่ได้ถามก็อย่าพูด" ซึฮากิกลับไปนั่งที่เก้าอี้เหมือนเดิมพร้อมกับเก็บมีดสั้นไปด้วย

"เธอเป็นนักฆ่าที่คากิส่งมาใช่ไหม?"

"ช-ใช่"

"พวกของเธอมีกี่คน?"

หญิงสาวผู้เต็มไปด้วยความหวาดกลัวหยุดชะงักปากก่อนที่จะพูดเหมือนกับไม่มั่นใจคำตอบ

"ว่าไงมีกี่คน"

"ฉันบอกจำนวนที่แน่นชัดไม่ได้...แต่น่าจะประมาณสองร้อยคนที่สังกัดอยู่ในอาณาจักรอาฟ"

"แสดงว่ามีมากกว่านั้นสินะ แล้วพวกเธอขึ้นตรงต่อราชาคากิมากน้อยแค่ไหน"

"เรามีหน้าที่ทำตามผู้ว่าจ้างแค่นั้น"

นักฆ่ารับจ้างมีสาขากระจายไปทั่วหลายอาณาจักรแสดงว่าต้องมีอิทธิพลมากแน่ ๆ

"ยังไงพวกของเธอก็ตายหมดแล้ว ถึงจะปล่อยให้กลับไปก็คงจะโดนฆ่าเพราะทำภารกิจพลาดอยู่ดี"

ซึฮากิเอื้อมมือมาจับไหล่แค่นั้นก็ทำให้เธอรู้สึกเจ็บได้พร้อมกับจ้องมองแววตาที่เต็มไปด้วยความโศกเศร้าและความกลัวเกรง

"จะมาเข้าร่วมกับเราหรือไม่?" เท่าที่ลองตรวจสอบดูแล้วเธอไม่น่าเป็นพิษเป็นภัยอะไร เลเวลสามกับสกิลที่มีน้อยนิดแค่มังกี้ก็จัดการได้แล้ว

"เอ่อ...ฉันไม่รู้" 

เธอคงจะกลัวสินะ ใครก็ไม่รู้พึ่งเจอกันจะวางใจได้ยังไง

"ระหว่างที่พักฟื้นก็คิดดูแล้วกัน แล้วก็...อย่าคิดจะทำร้ายคนของฉัน" 

"ฉ-ฉันไม่ทำแบบนั้นแน่นอน" 

"งั้นคำถามสุดท้ายก่อนที่ฉันจะไป ชื่อสังกัดที่เธออยู่คือองค์กร สำนัก บ้าน โรงเรียนหรือ...อะไร"

"เอ่อ...คือ"

"อย่ามัวเล่นแง่อยู่เลย ถึงเธอจะอยากใช้ยาพิษฆ่าตัวตายก็เถอะแต่ฉันเอาออกไปนานแล้ว"

เสียงถอนหายใจสั้น ๆ ราวกับทิ้งความรู้สึกนึกคิดออกไปด้วย

"สำนักมนตร์ดำคือชื่อที่ที่พวกฉันอยู่"

"ดี ! บอกทุกสิ่งที่รู้มา" แต่ก็คงไม่ได้อะไรมากนักหรอกเพราะระดับเธอไม่น่าเข้าถึงข้อมูลภายในได้ขนาดนั้น

"เอ่อ..." เธอชักสีหน้าย้ำคิดกับตัวเองว่าควรพูดออกไปดีหรือไม่

"ไม่ต้องกลัว ป่านนี้พวกเขาก็คงคิดว่าตายทั้งกลุ่มแล้วไม่แน่ก็อาจจะไม่สนใจอยู่แล้วก็ได้"

"ก็ได้...นายช่วยคุ้มกันฉันได้ไหม?" ต้องลองยื้อเวลาไปก่อนรอให้ฟื้นตัวเสร็จค่อยฆ่ามันซะ 

"ได้สิ" ซึฮากิยิ้มตอบรับอย่างเป็นมิตร

ยังคงยึดมั่นกับงานที่ได้รับสินะ สมกับเป็นนักฆ่าที่ฝึกมาจริง ๆ

"สำนักมนตร์ดำนั้นจะฝึกเด็กตั้งแต่เล็กให้เป็นนักฆ่าแต่ก็อาจจะมีสมัครเข้ามาบ้างเหมือนอย่างฉัน สำนักจะแบ่งสาขาออกไปทุกอาณาจักรและส่งผู้บริหารระดับสูงไปควบคุม"

ยอมบอกเรื่องจริงซะด้วย ถ้าคิดแบบบอกไปก็ค่อยฆ่าทีหลังหรือไม่ก็บอกแค่ข้อมูลตื้น ๆ ไม่ส่งผลกับสำนักนั่นอาจจะไม่อย่างใดก็อย่างหนึ่ง

"แล้วผู้บริหารพวกนั้นแข็งแกร่งมากแค่ไหน?"

"ฉันไม่รู้เหมือนกัน แต่เล่ากันว่าเขามีเลเวลเจ็ดและอีกอย่าง...พวกเราสำนักมนตร์ดำเน้นไปที่การลอบสังหารไม่ถนัดการปะทะตรง ๆ"

โห...เน้นการลอบสังหาร แต่ถูกจับได้แถมตายเกลื่อนขนาดนี้เนี่ยนะ

"มีผู้บริหารในอาณาจักรอาฟเท่าไหร่?"

"น่าจะสองคนมั้งฉันเองก็ไม่แน่ใจ"

ไม่ได้โกหกซะด้วยแต่เจตนาฆ่านั้นก็ยังคงอยู่ไม่เปลี่ยน แต่เธอก็น่าจะเอาไปใช้ประโยชน์ได้มากกว่าฆ่าทิ้งและที่สำคัญเลเวลเธอก็แค่สามยังไงก็จัดการได้สบาย ๆ

ซึฮากิกระตุกยิ้มก่อนจะจากลากันไปพร้อมกับทิ้งร่างโคลนคอยเฝ้าสังเกตการณ์ไว้ด้วยหนึ่งตัว

 "[เปิดใช้งานการสื่อสาร]" เขาเข้าไปในห้องของตัวเองที่ที่เก็บหินสื่อสารไว้แสงริบหรี่เปล่งออกจากหินก่อนจะมีเสียงชายหนุ่มตอบกลับมา

"ใคร?"

"ฉันเอง...คุณถั่วเน่า" ซึฮากิตอบกลับด้วยน้ำเสียงเย็นชาแฝงไปด้วยความกวนประสาท

"เหอะ คงไม่ได้โทรมาเพราะแค่จะกวนประสาทเฉย ๆ สินะ" นัตโตะใช้จังหวะที่ทุกคนกำลังฝึกแยกตัวออกมาคนเดียวเพื่อรับสายจากซึฮากิ

"มันแน่อยู่แล้วคิดว่าฉันอยากจะติดต่อมานักหรือยังไง"

"พูดให้มันดี ๆ หน่อยสิ ฉันเป็นคนสร้างเจ้ามือถือหินโง่ ๆ นี่เองนะให้เกียรติผู้สร้างบ้างก็ดี" 

"นัตโตะ ! ผู้กองกำลังจะมาแล้ว" เสียงตะโกนเรียกจากเพื่อนร่วมกองร้อยของเขาท่าทางลุกลี้ลุกลนอย่างกับกลัวถูกทำโทษ

"ได้ยินแล้วสินะกิ รีบเข้าเรื่องเถอะ"

"นายรู้จักสำนักมนตร์ดำไหม? ฉันอยากจะให้ช่วยหาข้อมูลพวกนั้นให้หน่อย" น้ำเสียงอันแข็งกระด้างอีกทั้งฟังแล้วยังรู้สึกเบื่อหน่ายไม่มีความน่าสนใจ

"ก็พอได้ยินอยู่บ้างแต่ทำไมถึงต้องสนใจด้วยล่ะ?"

"ฉันเจอกับพวกมันมา ถึงเลเวลจะไม่มากแต่อาจจะเป็นปัญหาในอนาคตได้จึงต้องรู้ข้อมูลไว้"

"เหรอ-"

"พลทหารนัตโตะไปอยู่ไหน !" ขณะที่กำลังคุยอยู่ก็มีเสียงตะโกนเรียกขัดจังหวะพอดี

"แค่นี้ก่อนเดี๋ยวฉันหาข้อมูลเท่าที่ทำได้ [ปิดใช้งานการสื่อสาร]" นัตโตะรีบเร่งฝีเท้าออกจากพุ่มไม้ข้างป่ากลับไปหาครูฝึกของเขาทำท่าทางกุมท้องเหมือนกับพึ่งปลดทุกข์มา

ซึฮากิที่ได้ยินเช่นนั้นก็รู้สึกวางใจได้ก่อนจะกลับไปหาพวกคิโนริอีกครั้ง

"พวกกอนด้าเป็นยังไงบ้าง?" ซึฮากิสอดสายตามองออกไปนอกหน้าต่างที่ที่พวกกอนด้านั่งกินอาหารกันแต่สิ่งที่เห็นก็ดันแปลกใจจนต้องออกไปดู

"อ-อร่อย ของพวกนี้มัน" พวกเขากินอาหารอย่างเอร็ดอร่อยยิ่งกว่าพวกเซนเสียอีกคงเพราะติดอยู่ในดันเจี้ยนมานาน

"ข้า...ข้าซาบซึ้งใจยิ่งนัก" เคานต์ถึงกับเข่าอ่อนลงไปนั่งบนพื้นหลั่งน้ำตาที่เต็มไปด้วยความปลื้มปีติไร้ซึ่งคำพูดที่จะอธิบายได้

"รสสัมผัส กลิ่น รสชาติไม่ว่าจะอะไรก็สุดยอดที่สุด" ขณะที่ร้องไห้เขาก็ยังเคี้ยวอาหารไม่หยุดปากลิ้มรสชาติที่ราวกับสวรรค์ประทานมาให้

จุดอ่อนที่บอกว่าเป็นอาหารคงเพราะแบบนี้สินะ ผู้ที่ชื่นชอบในการกินแต่กลับถูกกักขังไม่ได้ลิ้มรสชาติหลายร้อยปี

"อาหารเป็นยังไงบ้าง?" ซึฮากินั่งลงข้าง ๆ สอดสายตามองไปทั่ว

"หาที่ติมิได้" เคานต์ตอบกลับแทบจะทันที

"ข้าไม่เคยกินอะไรที่มันอร่อยขนาดนี้มาก่อนเลย" เจ้ามิโนทอร์เองก็ไม่อาจทนต่ออาหารอันโอชะตรงหน้าได้

"ถ้ามาเข้าร่วมกับพวกเรา พวกนายทุกคนก็จะได้กินอาหารแบบนี้ทุกวันเลยนะ" 

คำเชื้อเชิญที่ดูมีความหมายแฝงแต่ก็ไม่อาจละสายตาไปจากอาหารพวกนี้ได้ พวกเขาหันหน้าหลบตาไปนึกคิดพินิจหาคำตอบที่ดีที่สุด

"เราต้องทำอะไรบ้างถ้าจะเข้าร่วม" เคานต์เอ่ยถามเป็นเสมือนตัวแทนของพวกเขา

"ช่วยเหลือผู้ที่ควรช่วยเหลือ สั่งสอนผู้ที่ควรสั่งสอนและกำจัดผู้ที่ควรกำจัด"

"แค่นั้นเหรอ? ไม่เห็นมีอะไรยา-"

"มีอีกอย่าง" ซึฮากิพูดแทรกเสียก่อนที่เคานต์จะพูดจบ

"มีอะไรอีก?"

"เชื่อในตัวฉัน..." คำพูดคำจาที่สมกับเป็นหัวหน้าที่ดีแต่ทำไมถึงกลับรู้สึกขนลุกแปลก ๆ โดยไม่มีสาเหตุ

เชื่อสิฉันจะใช้งานทุกคนให้คุ้มเลย ซึฮากิทิ้งรอยยิ้มเลศนัยไว้เบื้องหลังก่อนจะเดินออกจากวงสนทนาไป

บรรยากาศแสนสงบยังคงดำเนินต่อไปแม้จะมีพวกที่มาใหม่บ้างแต่พวกเขาก็พยายามปรับตัวเข้าหาจะมีปัญหาก็คงเป็นเจ้ามิโนทอร์นั่นที่มักจะหัวรุนแรงทะเลาะกับเซนบ่อย ๆ อาจจะเพราะเป็นมนุษย์หรือเพราะเคยประมือกันก็ได้

"กิฉันขอคุยด้วยสักหน่อยสิ" โทลกระซิบคุยขณะที่ซึฮากิกำลังเดินตรวจงาน

"ว่ามา"

"ทำไมนายต้องรับคนเข้ามาเพิ่มเยอะขนาดนี้ แถมพวกเขายังดูไม่น่าไว้ใจสักเท่าไหร่"

"การสร้างเมืองจำเป็นต้องอาศัยแรงงานจำนวนมาก ต่อให้เราจะใช้เวทมนตร์ช่วยแต่มันก็ยังไม่เร็วพอ"

"ทำไมต้องเร่งขนาดนั้น...ฉันล่ะสงสัยจริง ๆ ว่านายต้องการอะไรกันแน่ ไม่ว่าจะสร้างเมืองสร้างพันธมิตรอย่างกับจะทำสงครามกับใครเลย" พวกเขาสองคนเหม่อมองไปยังแรงงานอันน้อยนิดถ้าไม่มีพวกเอลฟ์มาเสริมคงเหงาเป็นแน่

"ฉันแค่ไม่อยากหนีไปตลอด...ฐานที่มั่นที่แข็งแรง พรรคพวกที่แข็งแกร่งไม่ต้องมาคอยกังวล ที่ถามว่าทำไมถึงเชื่อใจพวกนั้นได้ก็คงเพราะจุดประสงค์ ไม่ว่าจะมิโนทอร์ กอนด้าหรือเคานต์พวกเขาเคยสูญเสียความหมายของชีวิตแต่กลับมีโอกาสอีกครั้ง เจ้ามิโนทอร์เองก็คงยังแค้นไม่หายแต่ดูจากนิสัยเป็นพวกที่ถือศักดิ์ศรีเป็นหลักไม่มีทางลอบกัดแน่ ๆ กอนด้าก็เป็นมังกรที่ไม่ได้อารมณ์ร้ายอะไรถ้าไม่มีใครไปกระตุ้น เคานต์เป็นพวกคิดเยอะแต่พอเป็นเรื่องอาหารก็เผลอตัวตลอด แต่ที่ต้องระวังมากที่สุดก็คือมือสังหารที่จับไว้"

ซึฮากิสาธยายยาวเหยียดเพื่อตอบข้อสงสัยของโทลให้กระจ่างแต่ก็เหมือนจะยังไม่ชัดเจน

"ก็รู้นี่ว่าต้องระวังเป็นพิเศษแต่ทำไมยังเก็บเธอไว้ล่ะ สู้กำจัดไปเลยไม่ง่ายกว่าเหรอ"

"ฉันก็เคยคิดแบบนั้นแต่พอได้วิเคราะห์หลาย ๆ อย่างก็เลยไว้ชีวิตเธอไว้ เลเวลก็ต่ำสกิลก็มีน้อย ความสามารถในการซ่อนตัวก็ยังอ่อนหัดพอเราเอาอาวุธของเธอออกหมดก็ไม่เหลือพิษสงแล้ว"

"แต่ฉันก็ยังไม่เห็นเหตุผลที่ควรจะไว้ชีวิตเลยนะ พวกมันฆ่าคนมามากมายถึงเวลาให้มันชดใช้บ้างเถอะ"

"พวกเขาทำงานฆ่าคนเพื่อแลกเงิน ก็ไม่ต่างอะไรกับฉันที่ฆ่าคนเพื่อมีชีวิตรอด"

"เหอะ นายอายุเท่าไหร่เนี่ย? อย่างกับทหารผ่านศึกไม่มีผิดเลย" โทลที่ได้ยินเช่นนั้นก็ยิ้มเยาะพร้อมกับเอ่ยออกมาติดตลก

โทลหัวเราะอยู่ในลำคอหยอกล้อพอเป็นเรื่องตลกแต่ซึฮากิกลับเงียบใส่ทำเอาบรรยากาศอึดอัดขึ้นมาทันที

"คิดว่าก่อนที่จะหนีมาที่นี่ได้พวกเราต้องผ่านอะไรมาบ้าง? โชคดีที่รอดมาได้แม้จะบาดเจ็บหนักเจียนตาย...ดูเหมือนเราจะคุยกันมากเกินไปแล้วกลับไปทำงานต่อเถอะ" ซึฮากิเดินทิ้งห่างออกไปตรวจงานส่วนอื่น ๆ ต่อ

1 ธันวาคม พ.ศ.2575 

ช่วงเวลาหลายวันผ่านไปอย่างรวดเร็วงานการอันหนักหนาสาหัสที่แต่ละคนได้รับไปทำเอาล้าไปทั่วทั้งตัว 

"ขอพี่ดูหน่อยสิว่าไปถึงไหนกันแล้ว" 

เหล่าเด็กตัวน้อยร่ายเวทโชว์ฝีไม้ลายมือให้ซึฮากิได้รับชม

"คุมมานากันได้เสถียรแล้วสินะ งั้นมาลองฝึกขั้นต่อไปกันดีกว่า" เขาเหลือบตาเห็นสภาพร่างกายที่ใช้งานอย่างหนัก แผลเป็นเล็กใหญ่อีกทั้งยังมือไม้ด้านไม่สมเป็นเด็กทำให้ซึฮากิฉุกคิดได้ว่าเขาเข้มงวดเกินไปหรือเปล่า?

"พี่จะให้พักกันสักสองวันแต่ก็อย่าลืมออกกำลังกายประจำวันด้วย สิ่งพวกนั้นห้ามขาด" 

"หนู ๆ อยากเรียนเวทมนตร์อีก" คิโนริยกมือกระโดดโลดเต้นเด่นยิ่งกว่าใคร

"พวกเราก็อยากเรียนอีก"

เสียงร้องเรียกที่เต็มไปด้วยความมุ่งมั่นไม่เหมือนกับที่เด็ก ๆ ควรจะเป็น ความขยันหมั่นเพียรเรียนรู้สิ่งใหม่ ๆ แม้จะลำบากตรากตรำแต่คงเพราะพวกเธอได้เห็นคนอื่นทำงานหนักเลยไม่อยากพักก็อาจเป็นไปได้

"ไม่ได้ ๆ พักสองวันแล้วพี่จะสอนเวทมนตร์ให้" ซึฮากิฉีกยิ้มอ่อนดูอบอุ่นเมื่อได้เห็น

"เย้ ! พี่กิจะสอนเวทมนตร์ล่ะ" คิโนริเผลออุทานออกมาด้วยความดีใจแต่เมื่อเธอเหลือบมองเพื่อน ๆ พวกเขายิ้มระรื่นดีใจจนเนื้อเต้นเช่นเดียวกัน

"โห...ทำไมพวกเธอถึงดูชอบนายขนาดนั้นล่ะ?" โคเอ่ยถามขณะที่เฝ้ามองอยู่ในมุมเงียบ ๆ

ซึฮากิเงี่ยหูรับฟังก่อนจะหันใบหน้าที่เฉยชามอง

"ไม่รู้สิ ฉันอาจจะเข้ากับพวกเด็ก ๆ ได้ดีกว่าผู้ใหญ่ พวกเธอมักจะแสดงออกตรงไปตรงมาและสามารถปรับตัวเรียนรู้อะไรใหม่ ๆ ได้ดี"

"ฉันก็คิดอย่างงั้นเหมือนกัน...แต่สำหรับพวกเราเผ่าเอลฟ์การมีเด็กถือเป็นเรื่องยาก อัตราการเกิดน้อยมากแต่ก็แลกมากับอายุขัยที่ยืนยาวรวมทั้งสามารถแต่งงานในสายใกล้เคียงกันได้ไม่มีปัญหาทำให้เรายังคงเผ่าพันธุ์ไว้ได้"

"อืม ถ้าเป็นมนุษย์การมีลูกกับสายเลือดใกล้เคียงจะมีโอกาสที่ลูกเกิดมามีปัญหา เพราะยืนจะไม่มีการเปลี่ยนแปลงมากนักจุดเด่นจุดด้อยของแต่ละยีนก็เหมือนเดิม" ซึฮากิเดินกลับออกมาอยู่มุมเงียบเพื่อให้พวกเธออยู่กันเองตามประสาเด็ก ๆ

"ท่านยูกิเป็นลูกชายคนสุดท้องขององค์ราชา ลูกที่พวกเขาไม่คิดว่าจะกำเนิดได้เพราะอายุทั้งองค์ราชาและราชินีเริ่มมากแล้ว"

"ที่ว่าอายุมากแล้วนี่เท่าไหร่?"

"น่าจะหนึ่งพันปีได้แล้วมั้งแต่ฉันเองก็ไม่แน่ใจเหมือนกัน"

"หนึ่งพันปีเหรอ ถ้ามนุษย์มีอายุยืนแบบนั้นก็ดี...หรือไม่ มนุษย์เป็นสิ่งมีชีวิตที่มีลูกง่ายกว่ามากและถ้าวิทยาการของอาณาจักรเซียก้าวหน้าต่อไปจนกระทั่งตามโลกทัน เมื่อถึงตอนนั้นอัตราการตายจะน้อยลงแต่อัตราการเกิดกลับเพิ่มขึ้นทำให้ประชากรล้นโลก" ซึฮากิเผลอพูดเพลินไปครู่หนึ่งกว่าจะหยุดชะงักได้

"ท่าทางจะลำบากน่าดูเลยนะเรื่องที่ว่านั่น แต่สิ่งเหล่านี้คงเป็นประสงค์ของพระองค์ที่ช่วยปรับสมดุลให้กับสิ่งมีชีวิต"

"พระองค์เหรอ? คงจะเป็นพระเจ้าอะไรนั้นสินะ" ซึฮากิกระตุกยิ้มท่าทางประชดประชัน

"คุณโค !" ขณะที่กำลังคุยกันเพลินก็มีเสียงเรียกจากเอลฟ์สาวไม่ใกล้ไม่ไกล

"เอแลน? เธอมีธุระอะไรถึงถ่อมาถึงที่นี่ ไม่ใช่ว่ากำลังทำงานกับพวกโทลเหรอ?" 

ใบหน้าของเอลฟ์สาวตนนั้นมีรอยเหี่ยวย่นบนหน้าผากเกิดจากสีหน้าที่มักจะขมวดคิ้วเกร็งเพราะโมโหง่าย แม้จะพูดคุยกับโคที่เปรียบเสมือนผู้นำของเหล่าเอลฟ์ก็ยังขึ้นเสียงใส่เป็นเรื่องธรรมดา

ปล่อยให้พวกเขาคุยกันไปละกัน ซึฮากิเดินแยกตัวออกมาหลังจากที่เอแลนส่งสายตาดุดันใส่

สถานที่ที่เคยเป็นป่าไม้ค่อย ๆ กลายสภาพเป็นเมืองเล็ก ๆ เมืองหนึ่ง การก่อสร้างที่ใช้ไม้เป็นหลักแม้บางครั้งจะทำพลาดจนต้องสร้างใหม่ทั้งหลังแต่ก็ไม่สามารถหยุดความมุ่งมั่นของพวกเขา

ฤดูหนาวแล้วสินะคงต้องเตรียมเสื้อผ้าหนา ๆ พวกคิโนริจะได้ไม่หนาวกัน ซึฮากิเปิดห้องของตัวเองที่เหมือนไว้เก็บของเสียมากกว่า เขาค้นเอาผ้าที่ซื้อไว้ออกมาและเย็บต่อเป็นเสื้อกันหนาวด้วยตัวคนเดียว

ถ้าซื้อเป็นชุดเลยมันก็จะแพงไปหน่อยสู้ซื้อแค่ผ้าแล้วมาเย็บเองดีกว่า

"กิ ! ฮา...โหล" น้ำเสียงอันยียวนขัดอารมณ์คนกำลังเย็บปักถักร้อย

"มีอะไร?" ซึฮากิรีบเก็บเสื้อผ้ากลับเข้าที่ก่อนจะออกไปหาเซน

ดวงตากลมโตเต็มไปด้วยไฟทำงานกำลังจ้องมองมาที่ซึฮากิแต่มันดันเป็นเซนที่มักจะทำเป็นเล่นไปเสียทุกอย่าง 

"ฉันว่าจะลองเรียนการควบคุมมานาจริง ๆ จัง ๆ บ้างน่ะ เห็นยัยสเตล่าใช้เวทมนตร์ได้คล่องกว่าแล้วมันยอมไม่ได้"

"อีกสองวันมาเจอกันที่สนามฝึก ฉันจะสอนไปพร้อม ๆ กับพวกคิโนริด้วย" ซึฮากิกระตุกยิ้มตอบกลับ

"เยี่ยมไปเลย !" เซนยกนิ้วโป้งฉีกยิ้มด้วยความดีใจ

เหล่าเอลฟ์ที่เคยหยิ่งยโสค่อย ๆ เปิดใจคุยกับพวกเซนแม้จะมีกระทบกระทั่งกันบ้างแต่ก็ไม่ได้รุนแรงถึงขั้นเลือดตกยางออก กอนด้าที่อยู่ในร่างแปลงยังไม่เปิดเผยตัวตนว่าเป็นมังกรเพื่อไม่ให้เกิดความวุ่นวายแถมร่างกายอันใหญ่โตของเธอคงทำบ้านเมืองพังพินาศเป็นแน่

"ว่าไงเจ้ามิโนทอร์ !" ทุกครั้งที่เซนกับมิโนทอร์เจอหน้ากันก็มักจะมีปากเสียงอวดเบ่งใส่กันไม่เว้นวัน

"ฮ่า ๆ ๆ ลุงตัวใหญ่มากเลย" คิโนริจ้องมองมิโนทอร์ตาเป็นประกายอยากจะขึ้นไปขี่คอของมันคงให้ความรู้สึกว่าตัวโตเป็นผู้ใหญ่จะมีมุมมองแบบไหน

ทุกอย่างเหมือนจะกลับมาสงบสุขอีกครั้งแต่หญิงสาวผู้ซึ่งเป็นนักฆ่ายังคงใช้ชีวิตร่วมอยู่ด้วยไม่อาจวางใจได้แต่สำหรับซึฮากินั้นต่างออกไป เขามองดูการกระทำและคาดเดาสิ่งที่เธอจะทำได้หมดและมีร่างโคลนคอยสังเกตการณ์ตลอดเพื่อไม่ให้เกิดเหตุไม่คาดฝันได้

สารบัญ / นำทาง

แสดงความคิดเห็น

 

ข้อควรทราบ เนื่องจากผู้ดูแลหลักของเว็บไซต์เป็นคนตาบอด หากพบการแสดงผลที่ผิดเพี้ยนและสร้างความไม่สะดวกต่อการใช้งาน โปรดแจ้งทีมงานได้ในทุกช่องทาง

เราอยากให้สมาชิกทุกท่านอยู่กันอย่างครอบครัวที่อบอุ่น ให้สังคมภายในเว็บ เป็นสังคมที่ดี ดังนั้น สมาชิกทุกท่านโปรดเคารพในสิทธิของตนเองและผู้อื่น

ผลงานที่ถูกเผยแพร่บนเว็บ ให้ถือว่าลิขสิทธิ์เป็นของผู้เผยแพร่เอง ห้ามมิให้บุคคลอื่นนำไปเผยแพร่ ก็อปปี้ หรือนำไปดัดแปลง โดยไม่ได้รับอนุญาตจากเจ้าของผลงานโดยเด็ดขาด หากมีการฝ่าฝืน แล้วถูกดำเนินคดีจากเจ้าของผลงาน ทางเว็บมิขอเกี่ยวข้อง เพราะได้แจ้งเตือนเอาไว้อย่างชัดเจนแล้ว

หากพบบทความที่มีเนื้อหาไปในทางใส่ร้ายผู้อื่น หรือทำให้ผู้อื่นเสียหาย แจ้งเข้ามาได้ตามช่องทาง Email keangun2018@gmail.com ได้ตลอด 24 ชั่วโมง ทางทีมงาน จะทำการตรวจสอบ และหากเป็นจริง จะนำผลงานดังกล่าวออกจากเว็บไซต์ ไม่เกิน 1 วัน

Copyright © 2018-2024 keangun. All Right Reserved.