ตอนที่ 17 น้ำตาลปั้น
หลังจากที่บ้านจางกินข้าวกันเสร็จเรียบร้อยแล้ว สองพ่อลูกจึงพากันออกจากกระท่อมปลายนา พวกเขาถือพะโล้แห้งกับน้ำตาลปั้นสามไม้เดินคุยกันกระหนุงกระหนิงตามประสาอย่างมีความสุขมุ่งไปทางบ้านผู้นำหมู่บ้าน
จางอี้หมิงถามนู่นถามนี่สารพัดแต่อี้เทาก็ตอบด้วยรอยยิ้ม พวกเขาใช้เวลาไม่นานก็มาถึงจุดหมาย ตอนนี้เวลาน่าจะประมาณยามเซิน (15.00 – 16.59) ที่ถึงแม้ว่าจะยังไม่ถึงเหมันต์ฤดู แต่อากาศช่วงนี้เริ่มเย็นลงบ้างแล้ว
ทินกรทอแสงอัสดงเตรียมลับขอบฟ้า แต่ก็ยังมีเวลาเพียงพอให้จางอี้เทาและจางอี้หมิงได้เดินทางกลับบ้านโดยไม่ต้องใช้คบไฟส่องน้ำทาง ในยุคสมัยนี้ชาวบ้านธรรมดา มักใช้คบไฟในการส่องนำทางตอนกลางคืน ยังไม่มีตะเกียงใช้ ตอนกลางคืนใช้ใต้ไฟในการจุดให้แสงสว่างภายในบ้าน ซึ่งข้อเสียของมันทำให้มีควันจำนวนมาก
ดังนั้นชาวบ้านทั่วไปจึงเข้านอนแต่หัวค่ำตามตะวันที่ลับขอบฟ้าไปแล้ว ถ้าไม่จำเป็นจะไม่มีใครจุดใต้ไฟในตอนกลางคืน เทียนไขจะมีใช้แค่ตามบ้านของข้าราชสำนักหรือเศรษฐีมีเงินเพราะราคานั้นแพงมาก ชาวบ้านถือว่าเป็นของสิ้นเปลืองแต่สำหรับผู้มั่งมีแล้วไม่เดือดร้อน
“ท่านพี่เย่ ท่านพี่เย่ อยู่บ้านหรือไม่ ข้าจางอี้เทากับหมิงเอ๋อร์มาเยี่ยมขอรับ”
จางอี้เทาตะโกนเรียกเพื่อนรุ่นพี่ที่คอยช่วยเหลือครอบครัวเขาเป็นอย่างดี นับตั้งแต่ย้ายมาอยู่ที่หมู่บ้านหลัวถงแห่งนี้
“ใครมาส่งเสียงดังอยู่หน้าบ้านข้า” ซุนซูเย่เดินออกมาดู เมื่อเห็นเป็นสองพ่อลูกบ้างจางจึงเอ่ยให้เข้าไปในบ้าน
“อ้าว อาเทาหรอกหรือ มีอะไรหรือเปล่า หรือว่าเจ้าจะมาถามท่านพ่อเรื่องข้อแลกเปลี่ยนกับชาวบ้าน”
“ไม่ใช่ขอรับท่านพี่เย่ วันนี้ข้ากับหมิงเอ๋อร์เอาอาหารมาให้ท่านพี่เย่ลองชิมขอรับ” จางอี้เทาเอ่ยตอบ พลางหันไปจูงมือบุตรชายเข้าไปในบ้านซุนด้วยกัน
“ท่านพ่อ อาเทามาเยี่ยมขอรับ” ซุนซูเย่บอกบิดาขณะพวกเขาเดินเข้ามาด้านใน
“สวัสดีขอรับท่านลุงถง/สวัสดีขอรับท่านปู่ถง” สองพ่อลูกบ้านจางเอ่ยทักทายซุนถง หัวหน้าหมู่บ้าน
“สวัสดี มานั่งลงตรงนี้ก่อน”
“ท่านลุงถง ท่านพี่เย่ เมื่อวานข้าไปในเมืองเอาน้ำตาลผักไปขายได้เงินมาเล็กน้อย หมิงเอ๋อร์อยากกินอาหารจานเนื้อ ท่านแม่จึงทำพะโล้แห้ง บ้านข้าเห็นว่ามันอร่อยมาก ข้าคิดจะเอาสูตรพะโล้แห้งนี้ไปขายให้กับเหลาอาหารในเมือง จึงอยากให้บ้านซุนลองชิมดูขอรับ” จางอี้เทาเอ่ยตอบ พร้อมยื่นจานพะโล้แห้งขนาดไม่ใหญ่มากให้กับซุนซูเย่
“ข้าเคยได้ยินมา พะโล้เป็นอาหารที่มีราคาแพงมาก และขั้นตอนการทำก็ยุ่งยาก ใช้เวลานาน มีแต่เศรษฐีหรือข้าราชสำนักเท่านั้นที่สามารถซื้อหามากินได้ ชาวบ้านธรรมดาแบบพวกเราคงยากที่จะได้ลิ้มลองมาก่อน แม้แต่ข้ายังไม่เคยได้รู้รสชาติว่าเป็นเช่นใด หน้าตาของพะโล้เป็นเช่นนี้หรือ” ซุนถงเอ่ยถามจางอี้เทาด้วยความอยากรู้ เพราะตนเองก็ยังไม่เคยเห็นหน้าตาพะโล้มาก่อน
เมื่อเปิดออกดูก็พบว่า อาหารตรงหน้ามีกลิ่นหอมเครื่องเทศเด่นชัด มีน้ำขลุกขลิก ชิ้นหมูสีน้ำตาลอ่อนวางเรียงกันอยู่เต็มจาน ซุนถงถึงกับกลืนน้ำลายลงคอดังเอือก บ้านเขามีฐานะดีที่สุดในหมู่บ้านหลัวถง ยังไม่เคยได้กินอาหารจานเนื้อที่มีแต่เนื้อเต็มจานเช่นนี้ และอาหารตรงหน้ายังเป็นรายการอาหารที่ขายแต่เฉพาะเหลาอาหารในเมืองอีกด้วย
“ขอรับ นี่เป็นหน้าตาของพะโล้แห้งสูตรบ้านจาง พะโล้ที่ขายในเหลาอาหารจะเป็นแบบน้ำขอรับ รสชาติจะแตกต่างกันอยู่มาก ข้าก็ไม่แน่ใจว่าคนที่นี่จะชอบแบบน้ำหรือแบบแห้ง ข้าจึงเอามาให้บ้านซุนลองชิมดูขอรับ”
“ขอบใจมากนะอาเทา ที่ยังคิดถึงบ้านข้า แต่ข้าว่ามันมากเกินไปหรือไม่ พวกเจ้าควรเก็บเอาไว้กินเองจะได้หลายมื้ออยู่นะ” ซุนซูเย่เอ่ยออกมาด้วยความเกรงใจ เขารู้ว่าบ้านจางมีฐานะที่ไม่ดี พอได้มีอาหารจานเนื้อกลับคิดถึงครอบครัวของเขาทั้ง ๆ ที่สามารถเก็บเอาไว้กินเองก็ได้
“ท่านพี่เย่ อย่าได้ปฏิเสธน้ำใจบ้านข้าเลย ในตอนที่ครอบครัวข้าเดือดร้อนก็ได้บ้านซุนช่วยไว้ ในตอนนี้บ้านข้าพอมีเงินนิดหน่อยจึงอยากตอบแทนบ้านซุนบ้าง”
“ได้ ๆ เช่นนั้นข้าไม่ปฏิเสธ ขอบใจเจ้าอีกครั้ง” ซุนเย่พยักหน้าตอบ ในเมื่ออี้เทานั้นยืนยันจะมอบมันให้บ้านซุน เขาก็ไม่อาจปฏิเสธ
“ท่านลุงเย่ พี่ซูลี่กับพี่หมิงเย่ไม่อยู่บ้านหรือขอรับ” จางอี้หมิงเห็นว่าผู้ใหญ่คุยกันเสร็จแล้ว ตนจึงเอ่ยถามถึงลูก ๆ ของบ้านซุนขึ้นมาบ้าง เพราะเขามีน้ำตาลปั้นมาฝาก แต่ตอนนี้ตนกับบิดานั่งอยู่เกือบเค่อแล้วก็ยังไม่เห็นเด็กทั้งสองคน
“หมิงหมิงน้อย ลี่เอ๋อร์กับเย่เอ๋อร์ไปซักผ้าที่แม่น้ำกับท่านป้าเจียวเม่ยนะ อีกไม่นานคงกลับมาแล้ว หมิงหมิงน้อยมีอะไรหรือเปล่า” ซุนซูเย่ตอบและถามกลับในคราวเดียว
“ข้ามีขนมมาฝากพี่ซูลี่กับพี่หมิงเย่ขอรับ”
“หมิงหมิงน้อยช่างเป็นเด็กมีน้ำใจ รออีกสักหน่อยคงกลับมาแล้วล่ะ” ยังไม่ทันที่ซุนซูเย่จะได้กล่าวจนจบดี สามแม่ลูกก็ถือกะละมังผ้าที่ซักแล้วกลับมา เจียวเม่ยเดินแยกตัวไปตากผ้า ส่วนลูก ๆ ของนางก็เดินเข้ามาในบ้าน
“นั่นไง พวกพี่ ๆ กลับกันมาแล้ว” ซุนถงบอกกับจางอี้หมิง
“สวัสดีท่านอาอี้เทาเจ้าค่ะ/สวัสดีท่านอาอีเทาขอรับ/สวัสดีหมิงหมิงน้อย” ซุนซูลี่กับซุนหมิงเย่เอ่ยทักทายสองพ่อลูกบ้านจาง
“สวัสดีลี่เอ๋อร์ เย่เอ๋อร์ / สวัสดีขอรับพี่ซูลี่ พี่หมิงเย่” เสียงแรกเป็นการทักทายกับของจางอี้เทาส่วนอีกเสียงคือจากอี้หมิง
“พี่ซูลี่ พี่หมิงเย่ ข้ามีขนมมาฝากขอรับ” จางอี้หมิงบอก เขารีบหยิบน้ำตาลปั้นออกมาและยื่นให้กับสองพี่น้องคนละไม้ ส่วนไม้สุดท้ายตัวเขาเก็บเอาไว้เอง
“เอ๊ะ น้ำตาลปั้นจริงด้วย หมิงหมิงน้อย ข้ารับไม่ได้หรอก มันมีค่ามากเกินไป” ซุนซูลี่อุทานออกมา ขนมราคาถึงเพียงนี้เด็กสาวไม่กล้ารับเอาไว้หรอก ซึ่งตรงกันข้ามกับซุนหมิงเย่ที่เอาแต่เงียบ เด็กชายยืนหลบอยู่ข้างหลังพี่สาวตนเอง แต่ก็ยื่นหน้าออกมาแล้วกลืนน้ำลายดังอึก
เหตุที่ซุนซูลี่บอกว่ามันมีค่ามาก เพราะน้ำตาลปั้นถึงแม้ว่าจะราคาเพียง 6 อีแปะต่อไม้ แต่นับว่าเป็นสินค้าฟุ่มเฟือยไม่น้อย ขนมไม้เดียวแต่หากเพิ่มเงินอีกไม่กี่อีแปะก็ได้เครื่องเทศแล้ว นางกับน้องชายจึงเคยทานแค่ไม่กี่ครั้ง
“ข้าตั้งใจนำมาฝากพี่ซูลี่กับพี่หมิงเย่จริง ๆ นะขอรับ ถ้าพี่ๆ ไม่รับไว้ ข้าคงได้แต่เสียใจมากเป็นแน่ หรือว่าท่านพี่ทั้งสองรังเกียจข้า...ขอรับ” จางอี้หมิงได้ทีเล่นบทโศก เขาทำหน้าหงอยคล้ายจะร้องไห้ ท้ายประโยคก็ดูแผ่วเบาราวกับเสียใจหนักหนา
“มะ ไม่ใช่เช่นนั้นหมิงหมิงน้อย ข้าไม่ได้รังเกียจเจ้า แต่ว่า......” ซุนซูลี่ทำตัวไม่ถูก นางไม่ได้ต้องการให้หมิงหมิงน้อยคิดเช่นนั้น เรียวปากสวยยังพูดไม่จบ จางอี้เทาจึงพูดขึ้นก่อน
“ลี่เอ๋อร์ น้องอี้หมิงตั้งใจนำขนมมาฝากพวกเจ้าสองคนพี่น้องจริง ๆ ดูสิ” อี้เทาพยักหน้าไปทางขนมน้ำตาลปั้นในมือบุตรชาย“หมิงเอ๋อร์น่ะ เพื่อจะได้กินพร้อมกันกับพี่ ๆ เขาไม่ยอมกินในส่วนของตนเอง ทั้งที่อาซื้อมาตั้งแต่เมื่อวาน เช่นนั้นแล้ว ลี่เอ๋อร์กับเย่เอ๋อร์ อย่าได้ปฏิเสธ หมิงเอ๋อร์เลยนะ”
ซุนซูลี่ได้ยินจางอี้เทากล่าวเช่นนั้นจึงได้หันไปขอความเห็นจากบิดา เมื่อเห็นซุนซูเย่พยักหน้าแล้วเด็กน้อยจึงยิ้มกว้างออกมา หันไปพูดกับจางอี้หมิงด้วยน้ำเสียงหวานใส
“หมิงหมิงน้อย ข้าขอบใจเจ้ามากนะ และข้าไม่ได้รังเกียจเจ้า ข้าขอโทษที่ทำให้เจ้ารู้สึกไม่ดี ไหนล่ะน้ำตาลปั้นของข้า”
“พี่ซูลี่ไม่รังเกียจข้าจริง ๆ ใช่ไหม ขอบคุณมากขอรับ นี่น้ำตาลปั้นของพี่ซูลี่ ส่วนอันนี้ของพี่หมิงเย่ขอรับ” จางอี้หมิงสดใสขึ้นมาทันที ถ้าในสมัยก่อนคงถูกหาว่าเป็นกิ้งก่าเปลี่ยนสีได้ไวมาก แต่ใครสนกันเล่า ตอนนี้เขาคือจางอี้หมิง เด็กน้อยอายุ 5 ขวบ ช่วงเป็นเด็กเขาจะทำอะไรก็ได้ ยิ่งท่าทางเช่นนั้นทำแล้วไม่มีใครว่าเสแสร้งเป็นแน่
อีกอย่างเขาก็ไม่ได้เสแสร้งจริงๆเสียหน่อย ก็แค่อยากให้ซูลี่และหมิงเย่ได้กินขนมด้วยกันเท่านั้นเอง
ซุนซูลี่เอื้อมมือไปรับมาถือไว้ แต่ซุนหมิงเย่ยังคงแอบอยู่หลังพี่สาวเช่นเคย ทำให้จางอี้หมิงต้องเดินเข้าไปหาพลางยื่นน้ำตาลปั้นไม้นั้นไปตรงหน้าของท่านพี่หมิงเย่
“พี่หมิงเย่ ท่านก็รังเกียจข้าเช่นนั้นหรือขอรับ”
“ปะ เปล่า ข้าเพียงแค่......” ซุนหมิงเย่เอ่ยตะกุกตะกัก
“อาเย่ รีบรับไว้สิและอย่าลืมขอบใจหมิงหมิงน้อยด้วย” ซุนซูลี่เอ่ยเตือนน้องชาย
“หมิงหมิงน้อย ขอบใจเจ้ามาก” ซุนหมิงเย่ยิ้มให้กับจางอี้หมิงและเอื้อมมือไปหยิบน้ำตาลปั้นมาถือไว้
“อันนี้ของข้า ข้าอยากกินพร้อมกับพี่ซูลี่และพี่หมิงเย่ พวกเราไปเล่นกันเถอะขอรับ ท่านพ่อ ท่านปู่ถง และท่านลุงเย่ ข้าขออนุญาตไปเล่นกับพี่ซูลี่กับพี่หมิงเย่นอกบ้านได้หรือไม่ขอรับ” จางอี้หมิงรู้สึกเบื่อหน่ายเล็กน้อยที่ต้องอยู่คุยกับผู้ใหญ่ เขาอยากถือโอกาสสร้างความสัมพันธ์กับเด็กทั้งสองคนตรงหน้า เด็กรุ่นราวคราวเดียวกันอาจจะมีเรื่องให้สนุกและตื่นเต้นมากกว่า
“ไปเถอะ ลี่เอ๋อร์ ดูแลเย่เอ๋อร์กับหมิงหมิงน้อยด้วยนะ อย่าได้ออกไปไกลบ้านมาก เข้าใจหรือไม่” ซุนซูเย่เอ่ยอนุญาตและกำชับด้วยความเป็นห่วง
“เข้าใจแล้วเจ้าค่ะท่านพ่อ ข้าจะดูแลน้อง ๆ เอง พวกเราไปกันเถอะ” ซุนซูลี่ตอบบิดาก่อนที่จะหันหลังเดินออกมาพร้อมกับน้อง ๆ พวกเขาสามคนกำลังจะออกไปกินน้ำตาลปั้นและเล่นนอกบ้านด้วยกัน
“หมิงเอ๋อร์ อย่าไปไหนไกลเล่า ใกล้จะมืดค่ำแล้ว เมื่อพ่อคุยธุระกับท่านลุง ท่านปู่เสร็จแล้ว พวกเราจะได้กลับบ้านกัน” จางอี้เทาเอ่ยไล่หลังบุตรชายไปเสียงไม่เบานัก
“ข้าทราบแล้วขอรับ” จางอี้หมิงขานรับแล้วจึงเดินตามสองพี่น้องบ้านซุนออกไป
ซุนซูลี่เป็นฝ่ายเดินนำมานั่งที่แคร่นอกบ้าน จางอี้หมิงถึงกับทนไม่ไหว เด็กน้อยลงมือกินน้ำตาลปั้นด้วยความเอร็ดอร่อย
“โห้ มันอร่อยแบบนี้นี่เอง ถึงว่าในนิยายเรื่องไหน ๆ ก็เป็นขนมยอดฮิตของทุกเรื่อง” อี้หมิงพูดออกมาทั้งที่น้ำตาลปั้นยังอยู่ในปาก
“หมิงหมิงน้อยพูดอะไร ข้าไม่เห็นเข้าใจ” ซุนซูลี่เอ่ยถาม พลางนั่งลงบนแคร่ไม้ไผ่เช่นกัน
“อ้อ พี่ซูลี่ข้าว่าน้ำตาลปั้นนี้อร่อยมากขอรับ พี่ซูลี่ พี่หมิงเย่ ลองกินดู อร่อยใช่หรือไม่ขอรับ”
“อืม อร่อย ข้าจำไม่ได้แล้วว่ากินน้ำตาลปั้นล่าสุดเมื่อไหร่ ของอร่อยแบบนี้พวกเราคงได้กินไม่บ่อย” ซุนซูลี่ตอบ ส่วนซุนหมิงเย่นอกจากจะไม่พูดไม่จาเป็นปกติอยู่แล้ว ยิ่งได้กินขนมอร่อยๆก็ยิ่งเงียบมากกว่าเดิมแต่ดวงตาทอประกาย ซึ่งนั่นคงจะเป็นคำตอบให้อี้หมิงได้แล้ว
“พี่หมิงเย่ ชอบหรือไม่ขอรับ” เขาถามย้ำ
“อืม” หมิงเย่พยักหน้าเบาๆ
“พี่ซูลี่ เด็ก ๆ ในหมู่บ้านส่วนมากไปเล่นที่ไหนหรือขอรับ” จางอี้หมิงเริ่มสืบความคืบหน้าของหมู่บ้านนี้จากมุมมองเด็ก ๆ บ้าง หลังจากที่ท่านย่าของเขาเล่าให้ฟังเมื่อหลายวันก่อน
“พวกเราเด็ก ๆ มักตามท่านพ่อท่านแม่ที่ไปทำงานในไร่แล้วก็เล่นกันอยู่แถวนั้น หรือบางทีก็ไปเล่นจับปูในทะเล แต่ท่านพ่อข้าห้ามไปเล่นในน้ำทะเล เห็นบอกข้าว่าทะเลน่ากลัว”
“ทะเลหรือขอรับ ใช่แล้วท่านย่าของข้าเองก็เคยเล่าให้ฟังว่าหมู่บ้านหลัวถงข้างหลังเป็นป่าเขา ด้านหน้าเป็นทะเล เช่นนั้นวันหลังพวกเราไปเล่นหรือไปดูทะเลดีไหมขอรับ ข้าไม่เคยเห็นทะเลมาก่อน” จางอี้หมิงเอ่ยถามเสียงออดอ้อน จ้องมองซุนซูลี่ตาใสซื่อ
“ได้สิ ถ้าวันไหนหมิงหมิงน้อยมาที่บ้านข้า พี่สาวคนนี้จะพาพวกเจ้าไปรู้จักเด็ก ๆ ในหมู่บ้านและพาเจ้าไปดูทะเลดีหรือไม่”
“ดีมากขอรับ ข้าอยากเห็นทะเล” อี้หมิงรีบตอบ เขาหันไปถามเด็กชายอีกคน “พี่หมิงเย่ จะไปกับข้าไหมขอรับ”
“อือ”
อือ... คำเดียว
โอ้ย หัวจะปวด มันจะขี้อายและขี้เกียจพูดอะไรปานนั้น หรือกลัวดอกพิกุลจะร่วง เอ๊ะ! ถ้าพิกุลร่วงมาเป็นทองก็ดีสิ พวกเขาจะได้มีเงินใช้ ตื่น ๆ ไอ้นนท์ เพ้อไปไกลแล้ว
จางอี้หมิงได้แต่ถอนหายใจด้วยความเบื่อหน่ายและความขยันเงียบของซุนหมิงเย่เหลือเกิน ถามคำตอบคำ และคำนั้นก็วนแค่อยู่สองคำคือ อือ และ อืม
แต่คิดเหรอว่าแค่นี้จะทำให้เขายอมแพ้ได้ ไม่มีทางหรอก
“หมิงเอ๋อร์ กลับบ้านได้แล้ว เดี๋ยวจะมืดค่ำไปซะก่อน” จางอี้เทาเดินออกมาเรียกบุตรชาย หลังจากที่พวกเด็ก ๆ ออกมาเล่นนอกบ้านกันได้ประมาณสองเค่อ ส่วนตนเองก็เสร็จธุระกับบ้านซุนเรียบร้อยแล้ว
“ขอรับ พี่ซูลี่ พี่หมิงเย่ ข้ากลับบ้านก่อนนะขอรับ อย่าลืมสัญญานะขอรับว่าจะพาข้าไปเที่ยวทะเลวันหลัง”
“ได้ พี่สาวคนนี้ไม่ลืมแน่นอน แล้วพบกันนะหมิงหมิงน้อย” ซุนซูลี่เอ่ยปากรับคำ
“บาย บาย” จางอี้หมิงลืมตัว เขายกมือโบกลาสองพี่น้องบ้านซุนทำให้สองพี่น้องขมวดคิ้ว จางอี้เทาจึงคว้ามือน้อย ๆ ของบุตรชายมากุมไว้และเดินกลับบ้านพร้อมกัน
ระหว่างทางจางอี้เทาซึ่งสงสัยอยู่ก่อนจึงเอ่ยถามบุตรชายขึ้นมา
“บาย บาย คือการบอกลาของชาวสวรรค์หรือหมิงเอ๋อร์”
“ใช่แล้วขอรับ ท่านพ่อว่าชาวบ้านจะยอมแลกเปลี่ยนแรงงานกับบ้านเราไหมขอรับ”
“พ่อก็บอกไม่ได้นะ หมิงเอ๋อร์ แต่พ่อก็หวังว่าชาวบ้านจะยอม วันมะรืนท่านลุงถงให้พ่อมาฟังคำตอบจากชาวบ้านด้วยตนเอง”
จางอี้หมิงพยักหน้าน้อยๆ ในใจก็แอบหวั่นเหลือเกิน
อีกสองวัน ถ้าชาวบ้านไม่ยอมแลกเปลี่ยนแรงงานกับบ้านเขา งานคงเข้าบ้านจางอย่างช่วยไม่ได้เป็นแน่ ขอร้องล่ะสวรรค์ อย่าได้ส่งบททดสอบที่หนัก ๆ มาให้เขาบ่อยนักเลย
สารบัญ / นำทาง
- 👁️ ยอดวิว 293
แสดงความคิดเห็น