บทที่ 6...3/3
เกือบ 5 นาทีผ่านไปมีนาเริ่มคิดว่าหนีกลับบ้านก่อนดีไหม แต่คงไม่ทันเพราะเขมินท์เดินออกมาจากบ้านแล้วพร้อมอะไรก็ไม่รู้ในถุงผ้าใบเล็ก เธอไม่ได้ถามว่าข้างในมีอะไร แต่เดินเคียงเขาไปเงียบๆ ในบางก้าวเธอหันไปมองเสี้ยวใบหน้าของเขา แล้วก้มหน้ายิ้มกับตัวเอง เธอรู้ว่าเขมินท์มีมุมที่อ่อนโยน การที่เขาเดินมาส่งที่บ้านแบบนี้ช่างทำให้ความหล่อของเขาเพิ่มขึ้นอีกเท่าตัว
“มองพี่แล้วยิ้มอย่างนี้หมายความว่ายังไงดี”
มีนาเงยหน้ามองเขมินท์ไม่คิดว่าเขาจะเห็น เขามีตาอีกข้างอยู่ตรงกกหูหรือไง
“ไม่หมายความว่ายังไงหรอกค่ะ แค่อากาศคืนนี้เย็นสบายดีจัง” ใครจะไปยอมบอกเล่าว่าเธอแอบมองเขา แล้วชมว่าเขาหล่อ
เขมินท์หัวเราะเสียงเบา คำตอบของมีนาไม่ใช่เพราะอากาศดีหรอก แต่เขาก็รู้สึกว่าคืนนี้อากาศดีไม่ร้อนไม่หนาว กำลังสบายเหมาะแก่การเดิน แม้จะเพียงไม่กี่นาทีก็ตาม เพราะบ้านของเราสองคนห่างกันไม่เท่าไหร่เอง
มีนาเปิดรั้วบานเล็กแล้วเดินเข้าไป โดยมีเขมินท์เดินตามมา บ้านเงียบเพราะเมษาคงหลับไปแล้วหลังจากที่มีนาโทรมาเล่าว่าเกิดอะไรขึ้นบ้าง ทุกอย่างดูเหมือนจะจบด้วยดี แต่เรื่องของความรักไม่มีใครรู้ได้หรอกว่าการจบลงอาจหมายถึงรอการเริ่มต้นกับคนเดิมหรือคนใหม่ อนาคตเท่านั้นที่จะบอกได้
“พี่เขมจะดื่มกาแฟหรือชาไหมคะ” ที่มีนาถามเพราะเห็นว่าเขาเดินเข้ามาในบ้าน เขาคงไม่มานั่งปรับทุกข์กับเธอแน่ๆ
“นั่งลงสิมีน พี่จะประคบแก้มให้”
“ประคบแก้ม...หรือคะ”
คำตอบที่อยู่ในกระเป๋าผ้า ซึ่งมีถุงประคบเย็นที่ใส่น้ำแข็งบดมาพร้อม เหตุผลที่เขมินท์ให้เธอรอเกือบ 5 นาทีเพราะไปเตรียมสิ่งนี้มาให้อย่างนั้นหรือ
“จะบอกว่าไม่เป็นไร เกรงใจหรือขอทำเองอยู่ใช่ไหม” เขมินท์มั่นใจว่าคิดไม่ผิดไปจากนี้ “การที่มีนปกป้องคินไปขนาดนั้น ตอนนี้พี่แค่ทำอะไรเพื่อมีนบ้างเท่านั้นเอง”
ถ้าเขามีเหตุผลที่ทำแบบนี้ เธอคงไม่ตะขิดตะขวงใจหากจะนั่งแล้วให้เขาช่วยประคบแก้มให้กระมัง มีนานั่งที่เก้าอี้ข้างๆ กัน เธอมองผนังห้องครัวอย่างกับว่ามันมีอะไรตรงนั้น มันช่วยไม่ได้จริงๆ ที่เธอจะรู้สึกเขิน
เขมินท์แนบถุงประคบลงบนแก้มของมีนา โดยพยายามให้เบามือที่สุด ใบหน้าของหญิงสาวนิ่ง สายตามองตรงไปข้างหน้า ในขณะที่เขามองที่ใบหน้าของเธอเพียงอย่างเดียว
“เจ็บไหม”
มีนาประสานมือตัวเองแน่นเพราะเสียงของเขมินท์ช่างใกล้เหมือนเขามากระซิบอยู่ข้างหู เธอรู้สึกได้ถึงลมหายใจอุ่นๆ ของเขาผะผ่าวที่ลำคอ
“เจ็บน้อยลงแล้วค่ะ ตอนที่ถูกฟาดนี่มีนเห็นดาวเลยล่ะค่ะ หูวิ้งจนเกือบลืมตัวชกกลับไป ยัยเบญเนี่ยมือหนักชะมัด” ถ้าความตลกจะทำให้เธอเลิกประหม่าอยู่คนเดียวได้ เธอยอมเปิดคณะตลกแบบโชว์เดี่ยวตอนนี้แหละ
“ถ้ามีนลืมตัวชกกลับ คืนนี้เราคงต้องพาเบญญาไปหาหมอที่โรงพบาบาลกระมัง”
มีนาหัวเราะเพราะมันต้องเป็นอย่างนั้นแน่ๆ เธอยังจำวีรกรรมของตัวเองตอนมัธยมได้ พ่อถึงย้ำเธอเสมอว่าที่ส่งเธอไปเรียนชกมวยเป็นเรื่องเป็นราวก็เพราะอยากให้ป้องกันตัวเองได้ ไม่ใช่เอาไปทำร้ายคนอื่น
“ตอนนี้เย็นไปหรือเปล่า” เขมินท์ถาม
มีนาเกือบจะลืมตัวหันไปตอบคำถามของเขมินท์ ไม่ได้สิ ถ้าหันไปเธอคงตายแน่ ตั้งแต่เกิดมาเพิ่งมีเขาเป็นคนแรกที่ทำแบบนี้ให้ แถมยังถามอย่างใส่ใจ ไม่ได้ๆ เผื่อเขามีคนที่ชอบอยู่แล้ว เธอได้อกหักกันพอดี
“ก็...นิดนึง แต่มีนทนได้ค่ะ”
เขมินท์ขยับถุงประคบไม่ให้แนบแก้มแน่นจนเกินไป มีนารู้สึกกำลังเย็นสบาย เธออมยิ้มร้องเพลงอยู่ในใจ เขามองนาฬิกาข้อมือตัวเอง พอครบ 20 นาทีจึงขยับถุงประคบออกมาจากแก้ม แล้วเดินไปที่ซิงค์ล้างจานเพื่อเทน้ำแข็งออก ก่อนจะบิดถุงจนหมาดและตากตรงที่วางจาน
“พี่วางถุงประคบให้มีนตรงนี้นะ พรุ่งนี้ก็ประคบแก้มอีกรอบ รอยช้ำจะได้หาย”
มีนาอยากหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาถ่ายรูปเขมินท์กับถุงประคบของเขาเอาไว้ใจจะขาด เขาใจดีกับผู้หญิงที่โดนตบทุกคนเลยหรือเปล่านะ บ้าน่ะสิ ที่เขาทำแบบนี้เพราะเธอไปรับตบมหากาฬจากยัยเบญญาต่างหาก
“ขอบคุณะนะคะพี่เขม”
“อืม พี่กลับบ้านแล้วนะ มีนจะได้พักบ้าง”
เกิดความเงียบที่ไม่ได้อึดอัด แต่ไม่รู้จะพูดอะไรดีเพราะตอนนี้มันดีอยู่แล้ว เขมินท์เดินออกไปที่ประตูรั้วบานเล็ก มีนาเดินตามมาส่งและรอปิดประตู เธอยืนมองเขาไปจนกระทั่งลับสายตา มือบางยกขึ้นมาลูบเบาๆ ที่แก้มตัวเอง การรู้สึกว่าได้รับความห่วงใยมันช่างก่อเกิดพลังที่ทำให้ยิ้มได้อย่างไม่มีเหตุผลและถอนใจอย่างเป็นสุข เธอเพียงขอให้ได้รับความรู้สึกแบบนี้จากเขาสักครั้งเท่านั้นเอง
เครื่องบินซึ่งต้นทางจากลอนดอนกำลังลงจอดที่สนามบินสุวรรณภูมิในเวลาเช้าตรู่ หญิงสาวในชุดสูทลำลองขยับตัวด้วยความเมื่อย เนื่องจากเดินทางมาหลายชั่วโมง แม้จะเลือกนั่งชั้นเฟิร์สคลาสแล้วก็ตาม เธอหยิบกระเป๋าถือแล้วตามผู้โดยสายคนอื่นๆ ออกจากเครื่องเดินไปที่สะพานเทียบเครื่องบินและผ่านด่านการตรวจคนเข้าเมือง ก่อนจะไปรอกระเป๋าเดินทางที่สายพานลำเลียง แล้วหยิบกระเป๋าเดินทางของเธอซึ่งมีหลายใบมาไว้ที่รถเข็น หลังจากนั้นเดินไปยังทางออก ป่านนี้ที่บ้านน่าจะส่งคนขับรถมารอแล้ว
ด้านนอกมีคนมายืนรอรถแท็กซี่อยู่หนาตาและอีกไม่น้อยที่เหมือนกับเธอซึ่งรอรถมารับ พริมามองไปทั่วบริเวณนั้น เพียงครู่เดียวคนขับรถของที่บ้านก็โบกมือห่างออกไปไม่กี่ก้าว คนขับรถเดินแกมวิ่งมาช่วยเธอเข็นกระเป๋าเดินทางไปเก็บที่รถ พอนาทีต่อมาหญิงสาวก็เดินทางออกจากสนามบินเพื่อมุ่งสู่บ้านซึ่งไม่ได้กลับมา 5 ปีกว่าแล้ว
“คุณพริมจะแวะที่ไหนไหมครับ” คนขับรถถาม
“ไม่ล่ะ กลับบ้านได้เลยค่ะ”
พริมามองพระอาทิตย์กำลังทอแสงที่ขอบฟ้า ความสลัวรางในตอนแรกแทนที่ด้วยความสว่างที่จัดจ้ามากขึ้นเรื่อยๆ หญิงสาวยกนาฬิกาขึ้นมาปรับเวลา หากเป็นตอนนี้คงจะได้กระมัง โทรศัพท์ของเธอถูกหยิบมาแล้วข้อความที่พิมพ์รอไว้ก็ถูกกดส่งออกไป
‘กลับมาแล้วนะ’
ข้อความนี้ไปถึงเขาแน่ เพียงแต่พริมาไม่รู้เลยว่าเมื่อไหร่ที่เขาจะยอมอ่าน ที่ผ่านมาเธอทำได้เพียงเท่านี้ โทรหาและส่งข้อความ แต่เขาไม่รับสายและไม่อ่านข้อความ แต่ต่อไปจากนี้ เธอจะไม่ยอมอีกแล้ว การกลับมาของเธอไม่ใช่เพียงมาพร้อมความสำเร็จในสิ่งที่วาดฝันไว้ แต่เธอยังต้องการเขากลับมาอีกด้วย
มีนามาถึงที่บริษัทรักษ์บ้านในเวลาที่เฉียดฉิว แม้ว่าวรการจะไม่ได้เคร่งเรื่องเวลาเข้าและออกสำนักงานนัก แต่เธอไม่อยากมาสายหากไม่จำเป็น การเดินทางเกือบ 2 ชั่วโมงและต่อรถหลายสายกว่าจะมาถึงที่นี่ ทำให้มีนายิ่งมั่นใจว่าตัวเองคิดไม่ผิดที่เช่าห้องของเขมินท์
หากเย็นนี้เธอไม่ทำงานจนติดพันคงต้องไปย้ายของได้แล้วเพราะอีกไม่กี่วันก็จะสิ้นเดือนตามที่สัญญากับเจ้าของห้องคนใหม่ไว้
พอมาถึงมีนายังไม่ทันได้นั่งด้วยซ้ำ วนัทก็ขอความคิดเห็นจากมีนาเรื่องออกแบบเรือนหอ เธอบอกความชอบกลางๆ ไม่เจาะจง เพราะว่าความชอบที่แท้จริงต้องเป็นของคนอยู่นั่นล่ะ
“มีนว่างไหม มาหาพี่ที่ห้องทำงานหน่อย” วรการเปิดประตูออกมาพูดเสียงดังกว่าปกตินิดหนึ่ง
ถ้าวรการเรียกไปที่ห้องทำงานแบบนี้ มีนามั่นใจมากว่ามีงานใหม่เพราะงานล็อบบี้โรงแรมของคุณภูบดีเหลือแค่ให้ช่างไปจัดการให้ตรงแบบเท่านั้น ซึ่งใช้เวลาไม่เกินสองสัปดาห์ก็น่าจะเรียบร้อย หากไม่มีปัญหาอื่นแทรกเข้ามา
“มีนมาแล้วค่ะคุณการ มีงานใหม่ใช่ไหมคะ”
วรการพยักหน้าแถมยังยิ้มกว้างพลางส่งแฟ้มงานล่าสุดมาให้มีนา
“ตกแต่งห้องเสื้อน่ะ ที่ห้าง... พอดีว่างานนี้อาจจะด่วนหน่อยนะ ลูกค้าคนนี้เป็นดีไซเนอร์ดังเลยล่ะ ไปทำงานที่ต่างประเทศมาหลายปี มีนน่าจะเคยได้ยินชื่อมาบ้าง”
“ใครหรือคะ” มีนาชักหนักใจเพราะแฟชั่นกับเธอมันคงเหมือนตะปูกับกรรไกร มันแทบไม่เข้ากันเลย
“แบรนด์ Phoebe น่ะ”
ใจจริงมีนาก็อยากจะร้อง อ๋อ หรือ อืม ออกไป แต่ให้ตายเถอะ เธอไม่รู้จริงๆ ไม่ใช่เพราะแบรนด์นี้ไม่ดัง แต่เป็นเพราะเธอไม่ใช่สาวที่ตามแฟชั่นมาแต่ไหนแต่ไรแล้ว โปรเจคนี้วรการน่าจะเลือกผิดคนแล้วกระมัง
“ถ้ามีนไม่รู้จักไม่เป็นไรนะ พี่ให้เลขาใส่ข้อมูลต่างๆ ไว้ในแฟ้มงานนี้แล้ว มีนอ่านดูก่อน แล้วลองใส่ไอเดียดูว่าจะออกมาเป็นประมาณไหน วันพุธหน้ามาคุยแบบร่างกับพี่แล้วกันนะ”
วรการน่ารักก็ตรงนี้ล่ะ เขาไม่เคยทำให้ลูกทีมในบริษัทรู้สึกเสียกำลังใจหรือกดดันเกินไป
“ได้ค่ะ คุณการ”
มีนาเดินจากห้องพร้อมกับโปรเจคใหม่ที่น่าปวดหัวเหมือนกัน ห้องเสื้อที่ต้องออกแบบมีพื้นที่กว้างพอสมควร ถ้าวันไหนพอจะว่างเธอคงต้องเดินทางไปดูหน้างาน เผื่อว่าร้านข้างๆ เกิดเป็นห้องเสื้อเหมือนกัน เธอจะได้ออกแบบให้ไม่ซ้ำและทำให้โดดเด่นกว่า แต่ก่อนอื่นเลยเธอต้องไปศึกษาก่อนว่าแบรนด์ Phoebe ขายเสื้อผ้าแนวไหนและดีไซด์เนอร์คนดังที่ว่าเป็นใคร
ขอบคุณที่เข้ามาอ่านนะคะ
บรรพตี
สารบัญ / นำทาง
- 👁️ ยอดวิว 282
แสดงความคิดเห็น