บทที่ 7...1/3
แม้จะเพียรพยายามทั้งโทรหาและส่งข้อความมาตลอดทั้งคืนจนถึงเช้า แต่ภาคินไม่เหมือนคนเดิมที่เบญญาเคยรู้จักอีกต่อไป เขาใจแข็งและใจร้ายกับเธอมาก ทั้งที่เธอควรมีโอกาสได้อธิบายมากกว่าการที่เขาบอกว่า ‘เราเลิกกัน’ มันไม่ใช่คำขอร้อง แต่มันคือการบอกแล้วจากไป เธอควรได้รับโอกาสมากกว่านั้นสิ เขาควรฟังเธอก่อน หรืออะไรก็ได้ที่ไม่ใช่การเดินจากไปเอง ทั้งที่เธอไม่ได้ตกลงว่าจะเลิกสักคำ
เพราะฉะนั้นเบญญาจึงขับรถมาที่นี่ ภาคินรวมหุ้นกับเพื่อนเปิดบริษัททำโฆษณาในทุกช่องทาง ทั้งทางออนไลน์ ป้ายต่างๆ รวมทั้งทางโทรทัศน์ แม้ว่าครอบครัวของเขามีธุรกิจรับเหมาก่อสร้างแบบครบวงจร แต่เขากลับเลือกเปิดบริษัทของตัวเองซึ่งน่าภูมิใจไม่น้อย
“คินอยู่ไหมคะ” เบญญาถามพนักงานประจำเคาน์เตอร์ภายในอาคารพาณิชย์ 3 ชั้นที่ใช้เป็นสำนักงานหลัก
“พี่คินออกไปหาลูกค้าค่ะคุณเบญ น่าจะไม่เข้าบริษัทแล้ว”
เบญญาพยายามมองเข้าไปด้านใน เธอไม่เห็นภาคิน แต่เขายังสามารถมาทำงานได้จริงๆ หรือ ทั้งที่เธอแทบไม่มีอารมณ์จะทำอะไรด้วยซ้ำ
“ถ้างั้นฝากบอกคินด้วยนะว่าฉันมาหา”
“ได้ค่ะคุณเบญ” พนักงานสาวมองข้อความที่ภาคินเขียนไว้แล้วก็นึกได้ว่ามีบางอย่างที่เบญญาต้องรู้ “เอ่อ คุณคินฝากไว้ก่อนไปพบลูกค้าด้วยค่ะว่าคุณเบญอย่ามาที่นี่อีก”
เบญญาเลิกคิ้วพยายามใจเย็นเพราะอาจจะมีอะไรที่เข้าใจผิด แต่พอเห็นข้อความที่พนักงานสาวส่งให้ก็รีบคว้ามาดู ซึ่งเป็นลายมือของภาคินจริงๆ เสียด้วย หญิงสาวขยำกระดาษแผ่นนั้นทิ้งด้วยความโกรธ ก่อนจะเดินฉับๆ เพราะความโมโหไปที่รถ ทว่าพอได้อยู่คนเดียวเธอกลับร้องไห้ ทั้งเสียใจและแค้นใจที่เขาทำกันถึงขนาดนี้ ไหนว่ารักกันไง ทำไมเขาถึงตัดใจจากเธอได้เร็วนัก
การประชุมจบลงในช่วงบ่ายของวัน ทำให้เขมินท์มีเวลาในการเคลียร์เอกสารต่างๆ ที่เลขานำมาไว้ในห้องทำงานของเขา ภายในห้องซึ่งมีชายหนุ่มอยู่เพียงคนเดียวเงียบมากเพราะเขากำลังต้องการสมาธิในการอ่านเอกสารก่อนเซ็นอนุมัติ ในห้องจึงมีแต่เสียงเปิดเอกสารและปากกายามที่จรดลงเซ็นเท่านั้น
การต้องรับผิดชอบบริษัทของครอบครัว ทำให้เขาหนักใจอยู่บ้างในตอนแรกเริ่มเพราะเพิ่งเสียพ่อแม่ได้ไม่นาน แต่พอเวลาผ่านไป เขาคิดว่านี่ล่ะเป็นสิ่งที่เขาถนัดและทำได้ดีสมกับที่เขาเรียนวิศวกรรมโยธาและมาต่อบริหาร แล้วนำความรู้จากทั้งสองสาขาวิชามาเป็นอาชีพเลี้ยงครอบครัว เสียดายเพียงอย่างเดียวเท่านั้น หากภาคินไม่พาตัวเองออกไปแล้วเปิดบริษัท ตอนนี้เขาคงมีคนที่ไว้ใจได้บ้าง
ติ๊ง...
ความเงียบภายในห้องถูกแทนที่ด้วยเสียงเตือนเบาๆ ก่อนที่จะเงียบต่อไปดังเดิม เขมินท์หยิบโทรศัพท์มาดู พอเห็นว่าเป็นมีนาที่ส่งข้อความมาจึงเปิดดู ไม่ใช่ปล่อยผ่านอย่างที่ทำเมื่อได้รับข้อความจากคนในอดีต
‘วันนี้มีนจะย้ายของแล้วนะคะ เผื่อว่าพี่เขมจะใช้ห้องวันนี้ มีนจะได้เลื่อนไปก่อนค่ะ’
เรียวปากหนาคลี่คล้ายยิ้มอ่อนใจ ก่อนจะพิมพ์ตอบกลับไป
‘ไม่ต้องเลื่อนหรอก’
เขมินท์วางโทรศัพท์แล้วทำงานต่อ ไม่แม้จะสนใจเปิดข้อความที่เพิ่งได้รับมาเมื่อเช้า ซึ่งหากรวมกับข้อความก่อนๆ ออกมาเป็นตัวเลขคงได้เกินร้อยข้อความไปนานแล้ว แต่มันยังคงอยู่ตรงนั้นและไม่เคยถูกเปิด ทว่าไม่เคยถูกลบ ราวกับอดีตที่แก้ไขไม่ได้ เขาจำได้ทุกอย่าง แม้อยากลืมก็ตาม
ของในกล่องที่แพคไว้หลายใบถูกเลื่อนมาไว้ที่ประตูห้องของมีนาซึ่งเปิดค้างไว้ หญิงสาวดันกล่องทั้งหมดออกไปจนครบ ก่อนจะกดรหัสที่ประตูห้องของเขมินท์ โดยเป็นตัวเลข 050717 คงจะเป็นวันสำคัญของใครสักคนกระมัง มีนาสั่งตัวเองไว้ว่าอย่าได้ไปสืบเสาะเชียวว่าเป็นวันสำคัญของใคร หากมันเป็นความทรงจำหรืออาจจะเป็นความลับของเขมินท์กับใครสักคน เธอก็ไม่ควรไปวุ่นวาย
ภายในห้องของเขมินท์มีกลิ่นหอมจางๆ ที่น่าจะมาจากเทียนหอมหน้าตาเหมือนดอกไม้ที่เขาวางไว้ตรงแจกันในห้องนั่งเล่น ถ้าเธอไม่ได้เข้าข้างตัวเองโพสต์อิทที่ติดไว้ตรงหน้าจอโทรทัศน์น่าจะเป็นของเธอ
‘นอกจากห้องของพี่ มีนอยากจะจัดห้องยังไงก็ได้ตามที่ชอบ’
นี่เองเหตุผลที่เขิมน์ตอบข้อความเธออย่างห้วนๆ จนมีนาไม่แน่ใจว่าเขาตอบคำถามเธอจริงๆ หรือเปล่า เธอเปิดประตูห้องอีกบานซึ่งอยู่ฝั่งตรงข้ามกับห้องของเขา ภายในห้องมีเตียงนอน โต๊ะ ตู้ ผ้าห่ม หมอนและสิ่งต่างๆ สำหรับการพักอาศัยครบอยู่แล้ว เธอยกลังเข้าไปในห้องนั้น แล้วจัดการแต่งห้องให้เป็นแบบที่เธอชอบ
โต๊ะตรงข้างหน้าต่างช่างเหมาะกับการเขียนแบบ รูปครอบครัวที่เธอต้องมีติดตัวมาด้วยถูกวางไว้ที่หัวเตียง เธอนำบอร์ดเล็กๆ มาติดไว้ที่ประตู เผื่อว่าอยากส่งข้อความถึงเขมินท์ในตอนที่เขามาพัก แล้วเธอกลับบ้าน
มีนาวาดรูปดอกไม้ที่แมวตัวน้อยๆ มอบให้สิงตัวโต เขมินท์คงไม่เข้าใจผิดว่าเขาเป็นแมวแล้วเธอเป็นสิงโตกระมัง ส่วนที่ประตูห้องของเขมินท์ มีนาวาดรูปเหมือนเขมินท์ใส่กระดาษมาแล้วจึงนำมาแขวนที่ลูกบิดประตู แทนคำขอบคุณจากเธอ
หญิงสาวเดินกลับมาห้องตัวเองเพื่อนำเสื้อผ้าบางส่วนไปเก็บใส่ตู้ พอนำของที่ต้องใช้มาไว้ในห้องน้ำ ซึ่งเดิมทีเขมินท์ใช้เพียงคนเดียว เธอก็ชักรู้สึกผิดที่ผิดทางที่นำแปรงสีฟันของตัวเองมาแขวนไว้ใกล้ๆ กับของเขา
“อย่าดีกว่า”
แก้วน้ำใบเดียวที่ใส่แปรงสีฟันคงช่วยให้มีนารู้สึกว่ามันพอดีๆ ไม่ทำให้รู้สึกแปลก เธอกลับมาดูพวกของใช้ภายในครัวคิดว่าจะซื้อพวกจาน ชามช้อนมาเพิ่ม ไม่อยากไปถือวิสาสะใช้ของเขมินท์ แต่ของที่ว่านั้นมีเกือบโหลด้วยซ้ำ เขมินท์เตรียมของเอาไว้มากมาย ทั้งที่มาอยู่แค่สัปดาห์ละ 2 วัน เขาช่างเป็นคนที่หาจุดบกพร่องได้ยาก แม้แต่เรื่องเล็กน้อยยังทำให้สมบูรณ์แบบ
ภูบดีเคลียร์งานในช่วงสายของเขาทั้งหมด เพื่อที่จะได้ว่างพบมีนาและทีมงานที่คงกำลังเดินทางมา หลายวันก่อนเขาเพิ่งได้ข่าวบางอย่างมาจากญาติของตัวเองโดยบังเอิญ กลายเป็นจิ๊กซอว์ที่เขานำมาปะติดปะต่อได้ออกมาเป็นเรื่องราวที่เกี่ยวกับมีนาในที่สุด แม้เขาไม่ได้ผิดอะไร แต่ญาติของเขาก็ทำผิดเต็มๆ เขาไม่รู้ว่าเธอจะรู้ไหม แต่เขาคงไม่สบายใจหากไม่ได้บอกเธอ แทนการไปรู้เรื่องจากคนอื่น
รอไม่นานสักเท่าไหร่มีนาก็ลงมาจากรถของบริษัทซึ่งมาพร้อมกับรถอีกคันซึ่งบรรทุกของที่ต้องใช้สำหรับงานตกแต่งล็อบบี้ มีนาคุยกับหัวหน้าทีมอยู่ครู่หนึ่งจึงเดินมาหาภูบดี
“มีนพาพี่พจมาแนะนำค่ะคุณภูบดี”
ภูบดีรอมีนาแนะนำหัวหน้างานและพูดคุยเรื่องงานกันเรียบร้อยแล้ว เขาจึงขอคุยกับมีนาต่อ เธอแปลกใจแต่ก็นั่งลงรอฟังว่าเขามีอะไรเพิ่มเติมงานจากเดิมอีกหรือเปล่า
“วันนั้นที่คุณมีนเห็นชายหญิงคู่หนึ่งจำได้ไหมครับ”
มีนาพยักหน้า “จำได้สิคะ คุณภูบดีโกรธมีนหรือเปล่าคะที่ไปปิดปากแบบนั้น”
ภูบดียิ้มกว้างใครจะไปโกรธมีนาลง “ไม่ใช่อย่างนั้นหรอกครับ คือว่าผู้ชายที่มากับผู้หญิงคนนั้นเป็นลูกป้าของผมเอง เป็นญาติห่างๆ กันน่ะครับ ที่วันนั้นผมไม่ได้บอกคุณมีนเพราะยังไม่ค่อยแน่ใจ แต่ตอนนี้แน่ใจแล้วเลยต้องบอก ไม่อย่างนั้นผมคงรู้สึกไม่สบายใจ”
ภูบดีไม่ได้เจอกับพิธยาบ่อยนัก หากมีงานในหมู่เครือญาติถึงจะได้เจอหน้ากันสักที เท่าที่รู้พิธยาเปิดบริษัทเกี่ยวกับการรับเหมาก่อสร้าง ได้ข่าวว่าลงทุนไปมากโข ถ้าเจริญรุ่งเรืองได้ดี เขาก็ยินดีด้วย
มีนาห่อปากร้อง...โอ้มายก๊อด!
“ตั้งแต่มีนได้พบคุณภูบดี มีนว่าโลกมันกลมมากจริงๆ ค่ะ”
ภูบดีเชื่อว่าโลกนี้มีเรื่องบังเอิญ แต่พักนี้มันเกิดขึ้นกับเขาบ่อยอย่างกับมีใครมาบงการอย่างไรอย่างนั้น
“ขอโทษด้วยที่วันนั้นผมไม่ได้บอกคุณมีนว่าพิธยาเป็นใคร”
“ไม่ต้องขอโทษหรอกค่ะ ไม่ใช่ความผิดของคุณภูบดีสักหน่อย” คนที่ต้องขอโทษคือญาติห่างๆ ที่ชื่อพิธยาของเขาต่างหาก แต่ดูจากที่เทเบญญาแรงมาก เธอเดาว่าหมอนี่คงมีเป้าหมายรายต่อไปแล้วกระมัง “ใครจะไปรู้มาก่อนล่ะคะ ถ้ามีนไม่ได้ไปคุยงานกับคุณภูบดีในวันนั้น มีนคงไม่ได้ไปเห็นแฟนของเพื่อนกำลังนอกใจ เพื่อนของมีนคงไม่รู้ไปอีกนาน”
ได้ฟังอย่างนี้ภูบดีค่อยยิ้มออก “ถามได้ไหมครับว่าเพื่อนของคุณมีนเป็นยังไงบ้าง”
“อกหักค่ะ แต่อีกไม่นานก็ดีขึ้น เพื่อนของมีนเข้มแข็ง” ภาคินบอกมีนาว่าหลังจากร้องให้มา 1 คืน กับ 1 วัน ทำให้เขาหายจากอาการเหมือนคนจมน้ำใกล้ตาย เธอไม่เคยอกหักเลยได้แต่เก็บเป็นความรู้ไว้ “คุณภูบดีสบายใจแล้วนะคะ ถ้างั้นมีนขอไปดูงานตรงนั้นก่อนค่ะ”
ภูบดีมองมีนาเดินไปหาทีมงานของบริษัทรักษ์บ้านแล้วจึงสั่งเลขาให้เอาโน้ตบุ๊กกับงานต่างๆ มาที่ห้องรับรองชั้นล่างแทน สายตาของเขามองไปยังหญิงสาวที่ตอนแรกแสนจะธรรมดา ทว่ากลับโดดเด่นท่ามกลางทีมงานที่มาด้วยกัน อีกทั้งยังชัดขึ้นในสายตาของเขาอีกด้วย มันจะเป็นอย่างไรนะหากเขาจะพิจารณาคนที่บังเอิญเจอกัน จนกระทั่งตอนนี้เขาตั้งใจที่จะเจอเธอบ้าง
สายอบอุ่นแบบพี่เขมหรือสายรุกแบบภูบดี หรือจะเก็บไว้ทั้งสองคน ^_^ ขอบคุณที่เข้ามาอ่านนะคะ
บรรพตี
สารบัญ / นำทาง
- 👁️ ยอดวิว 282
แสดงความคิดเห็น