บทที่ 1...3/3
ทีมทำอาหารเรียกให้ทุกคนมากินอาหารกันในเวลาเที่ยงกว่าๆ ทีมงานพากันชมว่าอร่อย อาจารย์ภัทรียิ้มปลื้มยิ่งกว่าใคร พออิ่มท้องกันแล้วก็ไปทำงานกันต่อ ทีมอาหารเที่ยงก็เตรียมของสำหรับอาหารเย็นและเตรียมน้ำสำหรับทุกทีม ทีมจัดของงานเสร็จเรียบร้อยแล้วในตอน 3 โมงเย็น จึงไปเป็นลูกมือให้กับทีมก่อสร้าง
มีนาแยกมาช่วยงานกลุ่มเพื่อนผู้ชายเพราะเขมินท์กับทีมงานมีอแมนดากับวารีเป็นลูกมือแล้ว ความที่เธอทำกิจกรรมเจอเพื่อนกลุ่มนี้บ่อยเวลาแซวเล่นเลยหัวเราะกันเสียงดังไปหน่อย ไม่มีใครว่าอะไรหรอก แค่เขมินท์มองมา ไม่รู้ทำไมมีนารู้สึกเหมือนทำอะไรผิดสักอย่าง
“เดี๋ยวคืนนี้ไปเที่ยวงานวัดกันไหม เมื่อกี้เราคุยกับครูใหญ่มา ครูใหญ่บอกว่ามีงานวัดอยู่ใกล้ๆ นี่เอง” เพื่อนในกลุ่มเอ่ยชวน
“ไปสิๆ” มีนารับปากทันควัน ก่อนจะหันไปถามคนอื่นๆ “ไปไหมพวกนาย วารี อแมนดาด้วย ไปกันนะ สนุกๆ”
ทุกคนพยักหน้าไปกันทั้งหมด วารีมองไปที่เขมินท์แล้วได้ทีชวน
“อาจารย์เขมินท์กับพี่ๆ ไปกันไหมคะ”
“ดีเหมือนกัน” เขมินท์ตอบ “คนอื่นล่ะ”
ทีมงานของเขมินท์พยักหน้าไปกันทุกคน เป็นอันว่าหลังจากกินข้าวเย็นแล้วพวกเราจะไปเที่ยวงานวัดกัน
เมื่อโครงสร้างด้านข้างของอาคารเสร็จแล้ว ฝาผนังสำเร็จรูปก็ถูกนำมาเชื่อมต่อได้ทันที ทีมเสริมต้องขยับห่างออกมาเพราะประกายไฟตอนเชื่อมเหล็กทำให้ระคายเคืองตาได้
‘โอ๊ะ!”
“เป็นอะไรน่ะมีน” เพื่อนผู้ชายที่กำลังเชื่อมเหล็กรีบตะโกนถาม “อ้าว เลือดออก”
“มีนไม่ทันระวังมือเลยไปโดนปลายเหล็กที่มันคมเข้าน่ะ” มีนาใช้ทิชชูที่พกติดมือมาพอดีซับเลือดของตัวเองและบอกเพื่อนๆ ว่าแค่นี้สบายมาก ความที่มัวแต่ก้มดูแผล ทำให้เธอไม่ทันเห็นว่าพลาสเตอร์ยาของใครที่ยื่นมาตรงหน้า
“ไปล้างแล้วปิดแผลซะ” เขมินท์ส่งพลาสเตอร์ยาให้มีนา ก่อนจะปีนขึ้นไปทำงานต่อ
มีนาเม้มปากกลัวจะยิ้มกว้างออกไป แต่ปลื้มปริ่มได้แป๊บเดียว เขมินท์ก็ส่งพลาสเตอร์ยาให้ทีมงานและเพื่อนๆ ของเธอที่ยกมือขอกันยกใหญ่ การคิดเข้าข้างตัวเองนี่มันง่ายนิดเดียวจริงๆ มีนาไปที่ก๊อกน้ำซึ่งอยู่ห่างไปนิดเดียวเพื่อล้างแผล ก่อนจะใช้พลาสเตอร์ยาจากคนใจดีติดปิดแผลไว้
การทำงานในช่วงบ่ายจนเย็นเป็นไปอย่างรวดเร็ว ทำให้พรุ่งนี้ใส่หลังคาก็เป็นอันเรียบร้อยเพราะแผ่นผนังสำเร็จได้เชื่อมติดกับเสาเหล็กเรียบร้อยแล้ว เรือนนอนสำหรับเด็กๆ น่าจะเสร็จทันกำหนด
การไปงานวัดเป็นไปอย่างเรียบง่าย โดยใช้รถของทีมงานเขมินท์ ทุกคนพร้อมใจกันขึ้นไปที่กระบะท้าย ส่วนอาจารย์ทั้งหมดอยู่ในแคปด้านหน้ารถ ครูใหญ่ขี่มอเตอร์ไซค์นำทางไปยังวัดที่จัดงาน ซึ่งห่างจากโรงเรียนไปแค่ 3 กิโลเมตรเท่านั้น ทางมีหลุมให้หลบพอสมควร แต่ไฟข้างทางสว่างทำให้ไม่น่ากลัวในเวลากลางคืน
เสียงเพลงคือสิ่งแรกที่ต้อนรับผู้มาถึง ตามมาด้วยรวงไฟหลากสี แต่ละคนแยกย้ายไปกันเป็นกลุ่มๆ มีนากับเพื่อนตรงดิ่งไปที่ซุ้มปาเป้าทันที ส่วนผู้ชายพากันไปที่รถบั๊ม คนอื่นที่เหลือกระจายไปตามเครื่องเล่นบ้าง ร้านขนมต่างๆ บ้าง
“เดี๋ยวเรากับด้าไปซื้อขนมตรงโน้นก่อนนะมีน” วีราชี้ไปที่ร้านขนมครกที่อแมนดาอยากกิน
“โอเค มีนจะไปเข้าห้องน้ำ” มีนาบอก
มีนาเห็นห้องน้ำของวัดอยู่ห่างออกไปพอสมควร แต่ไฟสว่างทั่วบริเวณทำให้ไม่น่ากลัวอะไร พอออกมาจากห้องน้ำมีนาเดินเล่นไปเรื่อยๆ เพราะคนค่อนข้างเยอะ การเดินตามหาเพื่อนคงเสียเวลาเปล่าๆ อีกประเดี๋ยวคงเจอกันเอง
บรรดาอาจารย์กำลังสนุกกับซุ้มปาเป้าที่มีนักศึกษามาแข่งด้วย เกิดเสียงเชียร์กันไปมา ก่อนจะแยกกันไปซุ้มอื่นๆ ภัทรีอยากลองยิงปืนจุกน้ำปลา วิชัยกับเขมินท์เดินตามไปแล้วจ่ายเงินสำหรับปืนจุกน้ำปลาคนละอัน แล้วยิงเพื่อพิชิตตุ๊กตา
“อาจารย์วิชัยแม่นเหมือนกันนะคะ” ภัทรีชมวิชัย แต่หันไปมองเขมินท์
“ผมเคยเล่นบ่อยๆ น่ะครับ คุณเขมก็เกือบชนะผมแล้วนะนั่น” วิชัยยกนิ้วโป้งให้อาจารย์พิเศษ
เขมินท์ยิ้ม “ลองเล่นกันอีกสักตาไหมล่ะครับ”
“ได้สิครับ ส่วนตุ๊กตา ผมให้อาจารย์ภัทรีแล้วกัน”
ภัทรีรับตุ๊กตามา “คราวนี้อาจารย์เขมสู้ๆ นะคะ”
เขมินท์แค่ยิ้มไม่ได้พูดอะไร การแข่งขันระหว่างสามอาจารย์เริ่มขึ้นอีกครั้ง ภัทรีพยายามเล็งแล้ว แต่ก็พลาดเป้าโดนตุ๊กตาแบบเฉียดๆ ในขณะที่วิชัยกับเขมินท์ต่างแม่นทั้งคู่ แต่สุดท้ายวิชัยก็ชนะไปอีก
“น่าเสียดาย เกือบชนะแล้วเชียวค่ะเขม”
“นั่นสิครับ ไม่ได้ออมมือให้ผมหรือเปล่า” วิชัยแซว
“ไม่หรอกครับ” เขมินท์ตอบ “เดี๋ยมผมขอตัวไปหาซื้อของใช้ก่อนนะครับ พอดีลืมใส่กระเป๋ามา”
“แพทไปช่วยไหมคะ” ภัทรีเอ่ย
“ไม่เป็นไรครับ ผมไปซื้อเองดีกว่า” เขมินท์ปฏิเสธ “ถ้างั้นไปเจอกันที่รถเลยแล้วกันนะครับ จะได้ไม่ต้องรอกัน”
วิชัยพยักหน้าแล้วชวนภัทรีไปเดินดูของเผื่อจะซื้ออะไรกลับไปกินเป็นอาหารเช้าในวันพรุ่งนี้ เขมินท์เดินไปร้านค้าซึ่งมีของให้เลือกพอสมควร เขาซื้อพวกของกินอย่างกาแฟให้ทีมงานที่มักกินกันประจำ ก่อนจะซื้อของใช้ที่เขาลืมใส่กระเป๋ามาด้วย
มีนามายืนต่อคิวเพื่อซื้อตั๋วสำหรับขึ้นชิงช้าสวรรค์ แม้จะดูแปลกๆ เพราะมีเด็กๆ และคู่รักทั้งนั้น ทำไมหรือ การขึ้นชิงช้าสวรรค์คนเดียวมันประหลาดตรงไหน ก็คนไม่มีแฟนเท่านั่นแหละ อย่ามองมาบ่อยๆ ถึงจะมั่นแบบนี้ก็เขินได้ แถวค่อนข้างยาว ทำให้กว่าจะถึงคิวของมีนาก็เหลือกระเช้าสุดท้ายพอดี
“มีสองคน แต่เหลือตั๋วใบเดียวนะน้อง”
มีนาหันไปมองข้างหลังเพิ่งรู้ว่ามีคนมาต่อคิวเพิ่ม
“พี่เขม...”
เขมินท์จ่ายเงินค่าตั๋ว แล้วยกมือมาดันหลังให้มีนาเดินเข้าไปในกระเช้าที่ทางเข้าบานเหล็กดัดเล็กๆ เปิดรออยู่
“ถ้าพี่เขมอยากนั่งคนเดียว...”
“มีนก็อยากนั่งเหมือนกันไม่ใช่หรือ เราสองคนเข้าไปนั่งด้วยกันก็หมดปัญหา” เขมินท์จับเหล็กดัดบานเล็กไว้
มีนาหันมาเลยเห็นหน้าของเขมินท์เต็มๆ ตอนนี้เธอรีบเข้าไปในกระเช้าน่าจะดีกว่า เขมินท์ตามเข้ามานั่งอีกฝั่ง พอบานเหล็กดัดปิดลง กระเช้าก็ลอยขึ้นไปเรื่อยๆ ทำให้เห็นวิวในมุมสูงของงานวัดได้ มีนาไม่เคยคิดว่าจะมีวินาทีแบบนี้กับเขมินท์ เขาห่างไปเพียงเข่าชนเข่า แต่เธอจะคุยอะไรกับเขาดี
“พี่เขมเหนื่อยไหมคะ” มีนาอยากจะเขกหัวตัวเอง มีอะไรให้ถามตั้งเยอะแยะ แต่เธอมาถามว่าเขาเหนื่อยไหมเนี่ยนะ
“เหนื่อย แต่หายแล้ว” เขมินท์เลิกคิ้ว “ที่ผ่านมามีนแค่เกร็งเวลาเจอพี่ หรือว่ามีนเกลียดพี่กันแน่”
มีนาแทบจะอ้าปากค้าง เธอเนี่ยนะเกลียดเขมินท์ ทำไมเขาถึงคิดแบบนั้น สายตาของเขาที่มองมาทำให้เธอประหม่าอีกแล้ว
“มีน...”
มีนายังไม่ทันได้พูดไฟก็ดันมาดับ กระเช้าค้าง! แล้วกระเช้าที่เขมินท์กับมีนานั่งดันมาอยู่สูงสุดเสียด้วย แม่เจ้า! เสียงแอ๊ดๆ ตึกๆ นี่มันคืออะไร ไม่ใช่ว่าชิงช้าสวรรค์จะเสียสมดุล แล้วเกิดถล่มคว่ำลงกับพื้นอย่างที่เธอเคยเห็นในข่าวหรอกนะ
สารบัญ / นำทาง
- 👁️ ยอดวิว 260
แสดงความคิดเห็น