บทที่ 8

สุภาพบุรุษสุดดวงใจ
คุณกำลังอ่าน: สุภาพบุรุษสุดดวงใจ

-A A +A

บทที่ 8

วันนี้เป็นวันที่รินรดาเริ่มทำงานวันแรก หญิงสาวอยู่ในชุดคุณหมอขาวสะอาด ใบหน้าอวบอิ่มถูกตกแต่งด้วยเครื่องสำอาง เธอจึงดูสวยทีเดียว สวยจนคุณหมอหลายคนต่างหันมองเธอด้วยสายตาชื่นชมและชื่นชอบ แต่เธอก็หาได้สนใจไม่ เพราะเธอมาทำงาน ไม่ได้มาให้ใครชื่นชมหรือชื่นชอบ

ศัลยแพทย์หญิงรินรดามาทำงานวันแรกก็เจอเคสผ่าตัดหัวใจ เป็นผู้ป่วยหญิงวัยหกสิบกว่าๆ ซึ่งก็คือคุณนภาลัยนั่นเอง ท่านเป็นโรคหัวใจมานานแล้ว และท่านทานยาตลอดตามที่หมอสั่ง แต่วันนี้ท่านเองก็ทานยา แต่ทำไมอาการถึงได้กำเริบจนล้มหมดสติไป ปราภพกับปาณัทจึงพามาโรงพยาบาล โดยผลการตรวจและเอกซเรย์พบว่ามีเนื้องอกที่กำลังเริ่มก่อตัวอยู่ใกล้หัวใจ จึงต้องได้รับการผ่าตัดเอาเนื้องอกเล็กๆ ออกโดยด่วน

“ผู้ป่วยเคยได้รับการผ่าตัดหัวใจไหมคะ” หญิงสาวถามลูกชายกับหลานชายของผู้ป่วย

“ไม่เคยครับ” ปราภพเป็นผู้ตอบ “คุณแม่ของผมไม่เคยได้รับการผ่าตัดหัวใจสักครั้งเลยครับ ตั้งแต่เป็นโรคหัวใจมา”

“กี่ปีแล้วคะ” เธอถามรายละเอียดต่อไป

“ก็ประมาณสี่ปีเห็นจะได้ครับ”

“แปลกนะคะ เป็นโรคหัวใจมานานตั้งสี่ปีแต่ไม่เคยได้รับการผ่าตัด” ศัลยแพทย์หญิงรินรดาทำหน้าแปลกใจ “เอาละค่ะ แต่ตอนนี้ผู้ป่วยต้องได้รับการผ่าตัดโดยเร็วที่สุด ดิฉันเป็นศัลยแพทย์หัวใจ ดิฉันจะพยายามทำให้ดีที่สุดนะคะ ผู้ป่วยจะต้องหายค่ะ”

“ขอบคุณนะครับ คุณหมอ” ทั้งสองคนพ่อลูกประนมมือไหว้แทบจะพร้อมกัน

คุณหมอคนสวยรับไหว้ด้วยรอยยิ้มหวานๆ

“ไม่เป็นไรค่ะ ดิฉันขอตัวก่อนนะคะ” พูดจบเธอก็เดินเข้าไปในห้องผ่าตัดทันที

เมื่อเห็นผู้เป็นพ่อมีสีหน้าเครียดปาณัทจึงพูดปลอบใจ

“ไม่ต้องเครียดนะครับคุณพ่อ ยังไงคุณย่าจะต้องหายครับ คุณหมอสมัยนี้เก่งจะตาย”

อีกฝ่ายพยักหน้าแต่ไม่พูดอะไร

สักพักพรรณนิภาก็วิ่งกระหืดกระหอบเข้ามาด้วยสีหน้าตกใจ พร้อมกับถามสามี

“คุณแม่เป็นยังไงบ้างคะคุณ”

“คุณหมอกำลังผ่าตัดอยู่น่ะ” ผู้เป็นสามีตอบ แต่น้ำเสียงนั้นค่อนข้างจะเครียดนิดหนึ่ง

อีกฝ่ายจึงพูดปลอบใจ

“คุณแม่จะต้องหายค่ะคุณ ยังไงคุณหมอจะต้องช่วยคุณแม่ได้แน่นอนค่ะ”

“ผมก็ได้แต่หวังว่าคุณแม่จะหาย”

“ต้องหายค่ะ” เธอย้ำ

ปราภพมองผ่านไหล่ของภรรยา ก่อนจะถามว่า

“อ้าว! แล้วนี่ยัยภาไม่มาด้วยเหรอคุณพรรณ”

“อ้อ ไม่ได้มาค่ะ เห็นบอกว่าขี้เกียจนั่งรถ” พรรณนิภาว่า

“ยัยภานี่มันยังไงนะ คุณแม่ไม่สบายแท้ๆ แทนที่จะมาดูท่านหน่อย กลับบอกว่าขี้เกียจนั่งรถ แย่จริงๆ” เขาตำหนิน้องสาว

“อย่าไปว่าคุณอาภาเลยครับคุณพ่อ” ปาณัทว่า

“จะไม่ให้ว่าได้ยังไง อาของแกมันทำไม่ถูก คุณย่าไม่สบายแทนที่มันจะมาดู ทั้งๆ ที่คุณย่าเป็นคนคลอดมันออกมา...” ปราภพเว้นระยะ ก่อนจะพูดว่า “อ้อ พ่อลืมไป มันไม่เคยสนใจคุณย่าตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว แล้วก็ไม่เคยเห็นหัวคุณย่า มันทำอะไรมันเคยเกรงใจคุณย่าไหม ไม่...ไม่เคยเลย แล้วแบบนี้ลูกยังจะ...”

“นั่งพักก่อนนะครับคุณพ่อ อีกนานกว่าคุณย่าจะผ่าตัดเสร็จ นะครับ...คุณพ่อ” ชายหนุ่มบอกผู้เป็นพ่อ

แต่อีกฝ่ายตั้งท่าจะปฏิเสธ

“พ่อ...”

“นั่งพักก่อนเถอะครับ นะครับ” เขาขอร้อง

แล้วพรรณนิภาก็ช่วยลูกชายพูด

“อย่าดื้อสิคะคุณ ลูกบอกให้นั่งพักก็นั่ง คุณหมอผ่าตัดไม่เสร็จง่ายๆ หรอกค่ะ อีกนานแน่ะ”

สุดท้ายปราภพก็ยอมไปนั่งตรงเก้าอี้หน้าห้องผ่าตัดแต่โดยดี เมื่อถูกภรรยากับลูกชายรบเร้า

เมื่อผู้เป็นพ่อนั่งลงแล้วปาณัทก็พูดว่า

“เดี๋ยวผมไปซื้อน้ำก่อนนะครับ คุณพ่อคุณแม่”

“จ้ะลูก รีบมานะ” ผู้เป็นแม่บอกยิ้มๆ

อีกฝ่ายพยักหน้า

“ครับ คุณแม่” แล้วก็เดินออกไป

“อย่าเครียดนะคะคุณ คุณแม่ต้องหายค่ะ คุณหมอสมัยนี้เขาเก่งอยู่แล้วค่ะ” พรรณนิภาบอกกับสามี

อีกฝ่ายพยักหน้ายิ้มแห้งๆ

“อืมม์ ผมจะพยายามไม่เครียดแล้วกัน”

“ดีค่ะ” ผู้เป็นภรรยาจับมือสามีให้กำลังใจ

 

สองชั่วโมงผ่านไป...การผ่าตัดเอาเนื้องอกในหัวใจของคุณนภาลัยเป็นไปอย่างราบรื่น ด้วยฝีมือของศัลยแพทย์มือใหม่ ศัลยแพทย์หญิงรินรดาทำผลงานออกมาดีเยี่ยม ไม่มีที่ติ ถึงแม้เธอจะเป็นศัลยแพทย์มือใหม่แต่ก็ทำได้ดีไม่แพ้มืออาชีพเลยทีเดียว เพราะเธอเรียนมาจากมหาวิทยาลัยที่ต่างประเทศนั่นเอง ที่นั่นเขาสอนทุกขั้นตอนในการผ่าตัด ซึ่งเธอก็ตั้งใจเรียนมาก

การผ่าตัดหัวใจเสร็จสิ้น เสียงปรบมือของเพื่อนหมอกับพยาบาลที่อยู่ในห้องก็ดังขึ้น

“เยี่ยมมากเลยครับคุณหมอริน” คุณหมอผู้ชายพูดยิ้มๆ

“แทบจะไม่เชื่อเลยนะคะ ว่าคุณหมอรินจะเป็นคุณหมอมือใหม่ เพราะการผ่าตัดเหมือนมืออาชีพมากๆ เลยค่ะ” พยาบาลอีกคนว่า

“ไม่ขนาดนั้นหรอกค่ะ คุณพยาบาลนิต” รินรดาเองก็ถ่อมตนอยู่ไม่น้อย “พอดีว่าอาจารย์ที่มหา' ลัยที่ประเทศลอนดอนเขาสอนมาดีค่ะ สอนทุกขั้นตอนเกี่ยวกับการผ่าตัด และอีกหลายอย่างเลยค่ะ”

“มีอาจารย์ดี เขาก็สอนเราดีค่ะคุณหมอริน ถือว่าคุณหมอรินโชคดีมากนะคะเนี่ยที่มีอาจารย์สอนดี ดูสิคะ การผ่าตัดและการเย็บเนี๊ยบมากเลยค่ะ ราวกับเคยเป็นศัลยแพทย์หัวใจมาก่อน”

“เพราะว่ามีอาจารย์สอนดีมั้งคะ ถึงทำได้ดีแบบนี้ค่ะ” หญิงสาวหัวเราะออกมาเบาๆ จนเห็นฟันขาวสะอาดที่เรียงกันสวยงาม

“คงจะอย่างนั้นแหละค่ะ”

พยาบาลทั้งสองคนหัวเราะตาม

แล้วคุณหมอผู้ชายก็บอกกับรินรดาว่า

“เอ้อ คุณหมอริน เดี๋ยวออกไปบอกญาติของผู้ป่วยด้วยว่า...ผู้ป่วยปลอดภัยแล้วนะ”

“ได้ค่ะ” พูดจบศัลยแพทย์หัวใจคนใหม่ก็เดินออกไป

 

ทางด้านปราภพก็เดินไปเดินมาด้วยความกระวนกระวายเป็นห่วงผู้เป็นแม่ จนกระทั่งประตูห้องผ่าตัดเปิดออกและศัลยแพทย์หญิงรินรดาเดินออกมาเขาจึงรี่ไปถาม

“เอ้อ! คุณแม่ของผมเป็นยังไงบ้างครับคุณหมอ”

“ปลอดภัยแล้วค่ะ” เธอตอบยิ้มๆ

“ขอบคุณครับ คุณหมอ”

“แต่ต้องนอนรอดูอาการที่โรงพยาบาลสักสองถึงสามวัน ถ้าไม่มีอะไรน่าเป็นห่วงก็กลับบ้านได้ค่ะ ถ้างั้นหมอขอตัวก่อนนะคะ” พูดจบรินรดาก็เดินออกไปทันที

“สบายใจได้แล้วนะคะคุณ คุณแม่ปลอดภัยแล้วค่ะ” พรรณนิภาพูดกับสามีหลังจากที่คุณหมอเดินออกไปแล้ว

“ครับ คุณพรรณ” ปราภพพยักหน้ายิ้มๆ สีหน้าของเขาเบิกบานขึ้นมาทันตาเห็นทีเดียว

“ผมว่าแล้วครับ ว่าพระจะต้องคุ้มครองคนดีอย่างคุณย่าให้ปลอดภัย ผมดีใจที่สุดเลยครับ” ขณะที่พูดสีหน้าของปาณัทบ่งบอกถึงความดีใจสุดๆ แต่สักพักคิ้วก็ขมวดเข้าหากันเมื่อชายหนุ่มสงสัยบางอย่าง “คุณพ่อคุณแม่ว่าแปลกไหมครับ ทั้งที่วันนี้คุณย่าก็ทานยาตามที่คุณหมอสั่งเหมือนทุกวันแล้ว แต่ทำไมอาการถึงได้กำเริบขึ้นมา”

“นั่นสิคะคุณ” พรรณนิภาหันไปพูดกับสามี

“ก็คงจะเป็นเกี่ยวกับเนื้องอกนั่นแหละ” ปราภพว่า แต่สีหน้านั้นแสดงออกว่าสงสัยเช่นกัน

ผู้เป็นลูกชายกลับส่ายหน้าไม่เห็นด้วย

“ไม่น่าใช่นะครับคุณพ่อ มันไม่น่าจะเป็นแค่ทางเดียวครับ”

“ถ้างั้นแล้วเมื่อตอนเย็นใครเป็นคนเอายาให้คุณย่าทาน”

“แม่ใบบัวครับ คุณพ่อ” ปาณัทบอก

“ถ้างั้นก็คงต้องถามแม่ใบบัว เผื่อว่าบางทีแม่ใบบัวอาจจะหลงหยิบยาให้คุณย่าทานผิด”

 

ประภานั่งยิ้มอยู่หน้ากระจกโต๊ะเครื่องแป้งเหมือนมีเรื่องให้ดีใจ ทั้งที่ผู้เป็นแม่กำลังผ่าตัดหัวใจอยู่ที่โรงพยาบาล แต่เธอกลับนั่งยิ้มหน้าระรื่นอยู่ที่บ้าน ส่วนผู้เป็นสามีก็ยืนอยู่ใกล้ๆ แล้วเขมนันท์ก็ถามขึ้นว่า

“คุณภา ผมถามจริงๆ นะ ทำไมวันนี้คุณถึงดูยิ้มเบิกบานผิดปกติ ทั้งที่คุณแม่ของคุณนอนอยู่ที่โรงพยาบาล”

“แล้วคุณจะให้ฉันร้องไห้ฟูมฟายเหรอคะ” ผู้เป็นภรรยาถามกลับ

“ไม่ใช่อย่างนั้น” อีกฝ่ายสั่นศีรษะปฏิเสธ “แต่ผมว่ามันแปลกนะ วันนี้คุณแม่ก็ทานยาตามที่หมอสั่งเหมือนทุกวัน แต่ทำไมถึงได้...”

“ฉันแอบเปลี่ยนยาคุณแม่เองค่ะ” ประภาโพล่งขึ้น ที่แท้สาเหตุที่ทำให้คุณนภาลัยต้องเข้าโรงพยาบาลก็มาจากเธอนั่นเอง เธอแอบเปลี่ยนยาผู้เป็นแม่ อาการของท่านถึงได้กำเริบ

“หา! คุณแอบเปลี่ยนยาคุณแม่” เขมนันท์อุทานด้วยความตกใจ

ผู้เป็นภรรยาลุกขึ้นมองสามีอย่างไม่พอใจ

“คุณจะพูดเสียงดังทำไม เดี๋ยวก็มีคนได้ยินหรอก”

“ไม่มีใครอยู่หรอก ไปโรงพยาบาลกันหมด”

“ก็อีพวกคนใช้คนสวนมันอยู่ไง” เธอว่า

“แล้วตกลงคุณเปลี่ยนเอายาอะไรให้คุณแม่ทาน” เขายังคงถามต่อไป

ประภายิ้มมุมปาก ก่อนจะตอบผู้เป็นสามีว่า

“ยาวิตามินซีค่ะ”

“หา!” เขมนันท์ตาโต จากนั้นก็พูดว่า “อ้อ แบบนี้เองอาการของคุณแม่ถึงได้กำเริบ แล้วอะไรที่ทำให้คุณคิดทำอย่างนั้น ทั้งที่ท่านเป็นคุณแม่ของคุณ อีกอย่าง ลูกที่ดีเขาไม่ทำกันแบบนี้หรอก”

“คุณกำลังจะว่าฉันเป็นลูกอกตัญญูใช่ไหมคะ คุณเขม” เธอไม่พอใจ

“เอ้อ ไม่ใช่นะครับ...ไม่ใช่...ผมไม่ได้คิดอย่างนั้น” ปฏิเสธเป็นพัลวัน

“แล้วคุณเห็นด้วยกับฉันไหมคะ”

“เห็นด้วยสิครับ คุณทำอะไรผมก็เห็นด้วยทั้งนั้นแหละ”

“ช่วยไม่ได้ค่ะ คุณแม่อยากลำเอียง รักลูกไม่เท่ากัน คุณแม่บังคับให้ภาต้องทำแบบนี้เอง” เธอยิ้มร้าย

“ผมคิดถูกจริงๆ ที่มาแต่งงานกับคุณ เพราะคุณเป็นคนที่ใจเด็ดเดี่ยวมาก แล้วผมเองก็ใจเด็ดเดี่ยวเหมือนกัน” พูดจบก็หัวเราะ

‘คุณนี่โง่จริงๆ ผมไม่ได้รักคุณเลย ที่ผมแต่งงานกับคุณก็เพราะว่าผมหวังสมบัติของคุณต่างหาก เมื่อผมได้สมบัติของคุณแล้วคุณก็หมดประโยชน์เท่านั้นแหละ...คุณภา’

ความจริงเขมนันท์ก็ไม่ได้ต่างอะไรกับแมงดาที่คอยเกาะผู้หญิงกิน เขาถนัดทำเรื่องแบบนี้อยู่แล้ว และก่อนหน้าที่จะมาเจอประภาเขาก็เคยมีแฟนที่รวยมาก แต่ก็รวยไม่เท่าประภา เมื่อเขารู้ว่าตระกูลของเธอทำธุรกิจใหญ่โตและมีสมบัติมากมายเขาจึงทิ้งแฟนคนนั้นเพื่อมาตามจีบเธอ ด้วยความที่เขาคนช่างพูดและปากหวานจึงทำให้ประภาติดกับได้ไม่ยากนัก หลงลมปากผู้ชายอย่างเขาอย่างง่ายดาย โดยไม่เอะใจอะไรเลยสักนิดว่าจะถูกหลอกหรือเปล่า

“ฉันก็คิดไม่ผิดเหมือนกันค่ะ ที่รักและเชื่อใจคุณ เพราะคุณเป็นผู้ชายที่ดีที่สุดเท่าที่ฉันเคยพบเจอมาค่ะ ฉันรักคุณนะคะ...เขม” ประภาลุกขึ้นไปกอดผู้เป็นสามีด้วยความรัก ก่อนจะบอกอีกว่า “อ้อ แล้วคุณก็ห้ามมีใครนอกจากภานะคะ ไม่งั้นภาไม่เอาคุณไว้แน่” ประโยคท้ายเป็นคำขู่ แล้วก็คลายอ้อมกอดจากผู้เป็นสามี

“ผมจะมีใครล่ะ อายุปูนนี้แล้ว ผมไม่คิดที่จะมีใครหรอก อีกอย่าง ผมมีเมียมีลูกแล้วด้วย แค่นี้ผมก็มีความสุขมากแล้ว” เป็นคำพูดที่เขมนันท์ฝืนพูดออกมา ทั้งที่ใจไม่ได้คิดอย่างที่พูดเลยสักนิด

“จริงนะคะ”

“จริงสิครับ”

“ฉันรักคุณที่สุดในโลกเลยค่ะ”

“ผมก็รักคุณที่สุดในสามโลก”

ขณะที่ทั้งสองคนพูดคุยก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้นแทรก

“ใครน่ะ” เขมนันท์ตะโกนถามออกไป

“ผมเองครับ คุณพ่อ” เป็นภูริชนั่นเอง

เมื่อเห็นว่าเป็นลูกชายผู้เป็นพ่อจึงบอกว่า

“เข้ามาสิลูก พ่อไม่ได้ล็อกประตู”

แล้วประตูห้องก็ถูกเปิดออก ตามด้วยร่างสูงของภูริชที่ก้าวเดินเข้ามายืนตรงหน้าพ่อกับแม่

“มีอะไรเหรอลูก” ประภาถามผู้เป็นลูกชายยิ้มๆ

อีกฝ่ายจึงถามกลับว่า

“คุณพ่อกับคุณแม่ไม่ไปเยี่ยมคุณยายที่โรงพยาบาลเหรอครับ”

“แกจะไปเยี่ยมท่านทำไม ในเมื่อท่านไม่เคยสนใจพวกเราสามคนพ่อแม่ลูกเลย แล้วทำไมแกถึงอยากไปเยี่ยมท่าน หา! ตาภู” เธอพูดอย่างคนเห็นแก่ตัว ทั้งที่คุณนภาลัยเป็นแม่

“ถึงยังไงคุณยายก็ยังเป็นคุณยายของผมนะครับ จะให้ผมทำใจดำไม่ไปเยี่ยมท่านผมทำไม่ได้ครับ” ดูเหมือนว่าชายหนุ่มจะมีเหตุผลมากกว่าผู้เป็นแม่เสียอีก

“แล้วท่านเห็นว่าแกเป็นหลานไหม ท่านเคยสนใจแกไหม อะไรๆ ก็ไอ้ป้องมาก่อน แกรู้ตัวบ้างไหมว่าแกอยู่ข้างหลังไอ้ป้องตลอด” ประภากำลังยุยงให้ลูกชายเกลียดปาณัท

เมื่อได้ยินเช่นนั้นภูริชก็กำมือแน่นด้วยความโกรธแค้น และด้วยความที่เกลียดปาณัทเป็นทุนเดิมอยู่แล้วก็ยิ่งทำให้เขาเกลียดปาณัทเพิ่มขึ้นไปอีก ก่อนจะพูดว่า

“นั่นสิครับ ที่ผ่านมาผมมักได้อยู่ข้างหลังไอ้ป้องตลอด อะไรๆ คุณยายก็เรียกหาแต่ไอ้ป้อง ผมเกลียดมันครับคุณแม่ ต่อไปผมจะไม่ยอมอยู่ข้างหลังมันอีกแล้ว”

“แล้วแกจะทำยังไง” เขมนันท์ถามลูกชาย

“ผมจะไปโรงพยาบาล ผมจะไปเอาหน้ากับคุณยาย เมื่อคุณยายฟื้นขึ้นมาคุณยายจะเห็นหน้าผมเป็นคนแรก แล้วผมจะบอกว่าผมเป็นคนพาคุณยายไปส่งโรงพยาบาล”

“ดีมากลูก มันต้องแบบนี้สิลูกแม่” ผู้เป็นแม่ยิ้มพอใจ

แล้วผู้เป็นพ่อก็พูดขึ้นว่า

“รีบไปเถอะลูก เดี๋ยวคุณยายจะฟื้นซะก่อน แล้วเดี๋ยวไอ้ป้องกับพ่อแม่ของมันจะได้หน้าก่อนแก”

“ครับ คุณพ่อ ถ้างั้นผมขอตัวก่อนนะครับ” พูดจบภูริชก็เดินออกไปจากห้องทันที

หลังจากที่ลูกชายเดินออกไปแล้วเขมนันท์ก็พูดกับผู้เป็นภรรยา

“คุณนี่สุดยอดจริงๆ ที่ไปเสี้ยมลูกอย่างนั้น”

“คุณเขม...” ประภามองผู้เป็นสามีอย่างไม่พอใจ

“เอ้อ ผมแค่หยอกเล่นเท่านั้นเอง”

“หยอกเล่นแรงไปไหมคะ ฉันไม่ชอบ”

“ผมขอโทษ”

“อ้อ แล้วฉันขอบอกคุณไว้ตรงนี้เลยนะ ว่าฉันไม่ได้ไปเสี้ยมลูก แต่ฉันพูดความจริงต่างหาก อีกอย่าง ตาภูมันก็เกลียดไอ้ป้องเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว ถึงฉันไม่พูดอย่างนั้นตาภูมันก็เกลียดไอ้ป้องอยู่ดี”

“ผมหวังว่าตาภูมันจะทำให้คุณแม่ประทับใจได้ไม่ยากนะคุณภา” เขมนันท์ว่า

“แน่นอนค่ะ ตาภูทำได้อยู่แล้ว เพราะว่าเขาได้เลือดแม่ไปเต็มๆ” ผู้เป็นภรรยาพูดอย่างมั่นใจ

“ได้เลือดพ่อสิ เลือดพ่อมันแรง” เขาเถียง

แต่อีกฝ่ายไม่ยอม

“ตาภูมันได้เลือดแม่ เลือดแม่มันเข้มและแรง”

“โอเค ตาภูมันได้ทั้งเลือดพ่อและเลือดแม่” รีบตัดบท เพราะไม่อยากจะเถียง

“ดีค่ะ และฉันมั่นใจว่าตาภูต้องทำได้”

ทั้งเขมนันท์และประภาต่างก็หวังว่าผู้เป็นลูกชายจะทำให้คุณยายประทับใจได้ไม่ยาก เพราะชายหนุ่มได้ทั้งเลือดพ่อและเลือดแม่มาเต็มๆ พ่อแม่เป็นอย่างไรลูกก็เป็นอย่างนั้น

 

ในครัวของร้านอาหารแห่งหนึ่ง เป็นเอกกำลังทำหน้าที่เชฟอย่างขะมักขะเม้น ชายหนุ่มพิถีพิถันเรื่องปรุงอาหารเป็นพิเศษ ใส่ใจทุกขั้นตอน คล่องแคล่วว่องไว สมกับตำแหน่งเชฟประจำร้านที่ชยุตพงศ์มอบให้เขาจริงๆ และลูกค้าที่ได้ทานต่างก็พูดเป็นเสียงเดียวกันว่าอร่อยถูกปาก แต่ละเมนูนั้นล้วนแต่น่ารับประทานทั้งสิ้น

เมื่อได้รับคำชื่นชมเยินยอก็ทำให้ชายหนุ่มมีกำลังใจขึ้นมา แต่ว่าเขาเองก็เป็นคนถ่อมตัว ไม่ได้หลงในคำยกยอปอปั้นของใครเท่าไหร่นัก เขาเพียงแต่ทำหน้าที่ของตัวเองให้ดีที่สุดก็เท่านั้นเอง

ข้างๆ ชายหนุ่มมีผู้ช่วยอยู่สองคน ชื่อ ‘ปิ๊ก’ กับ ‘ป้อ’ คอยช่วยเขาหยิบนู่นจับนี่ หรือแม้กระทั่งช่วยเตรียมเครื่องปรุง ทำหน้าที่ได้ดีทีเดียว ส่วนเชฟอีกสองคน เชฟชัชกับเชฟชิตก็ทำอาหารอยู่อีกฝั่ง เวลาทำอาหารก็ส่งเสียงพูดคุยกัน อย่างสนุกสนาน แต่ก็มักจะถูกพี่พงศ์ของพวกเขาเอ็ดอยู่เสมอ เพราะมีกฎข้อห้ามว่าไม่ให้พูดคุยกันขณะทำอาหารนั่นเอง

“ตี๊ด...อาหารของโต๊ะสามเสร็จแล้วนะ เอาไปเสิร์ฟได้เลย” เป็นเอกหันไปบอกบริกรที่ยืนอยู่ใกล้ๆ กัน

อีกฝ่ายพยักหน้ารับ

“ได้ครับ” พูดจบก็ถือถาดเดินไปรับจานอาหาร ก่อนจะเดินออกไปจากห้องครัวทันที

เมื่อตี๊ดเดินออกไปแล้วชัชก็หันมาพูดกับเป็นเอก

“เอ้อ...เอก...ถ้าเลิกงานแล้วขึ้นรถพี่กลับบ้านพร้อมกันสิ เพราะว่าทางไปบ้านพี่กับทางไปบ้านเอกมันทางเดียวกัน นะ” เขามีรถเก๋งที่ซื้อด้วยน้ำพักน้ำแรงตั้งแต่ทำอาชีพเชฟนั่นเอง แต่เป็นรถเก๋งธรรมดา ไม่ได้หรูอะไรนัก

แต่เป็นเอกกลับปฏิเสธ เพราะเขาเป็นคนขี้เกรงใจ

“ไม่เป็นไรครับพี่ ผมนั่งวินไปก็ได้ครับ วินแค่ไม่กี่บาทเองครับ”

“เก็บเงินนายไว้จ่ายค่าเช่าบ้านเถอะ ไปกับพี่นี่แหละ ไม่ต้องเสียค่าวิน อ้อ แล้วก็ไม่ต้องพูดว่าเกรงใจพี่ด้วย พี่ไม่ชอบคำนี้ โอเคไหม” ชัชพูดแกมบังคับ

ซึ่งคราวนี้ทำให้อีกฝ่ายไม่กล้าปฏิเสธ

“โอเค...ก็ได้ครับพี่ ขอบคุณมากครับที่พี่ให้ผมติดรถไปด้วย”

“ไม่เป็นไร เพราะถึงยังไงนายก็เหมือนน้องชายของพี่คนหนึ่ง ไม่ต้องเกรงใจพี่หรอก” เขายิ้ม ก่อนจะพูดต่อว่า “ทำอาหารต่อเถอะ ลูกค้ารอทานอยู่”

“ครับ” ชายหนุ่มพยักหน้ารับ แล้วจากนั้นก็ลงมือทำอาหารต่อ

เขาไม่ได้ใส่เพียงแค่เครื่องปรุงลงไปในอาหาร แต่เขายังใส่ใจลงไปอีกด้วย และใช่สักแต่เขาจะทำให้เสร็จๆ ไป แต่เขาค่อยๆ ทำเพื่อให้ถูกปากถูกใจลูกค้า เพราะด้วยความที่เขาเป็นคนใจเย็น แต่ก็ทำทันให้ลูกค้าได้รับประทานนั่นเอง!

แล้วเวลาก็เดินผ่านไปอย่างรวดเร็ว จนกระทั่งถึงเวลาเลิกงาน นั่นก็คือเวลาสองทุ่มครึ่ง พนักงานพากันกลับบ้านไปหมดแล้ว เหลือเพียงแต่เชฟทั้งสามคนและผู้จัดการร้าน ทั้งสี่คนเดินออกมาหน้าร้าน ชยุตพงศ์พูดขึ้น

“พวกนายเดินทางกลับบ้านดีๆ นะ”

“ครับ พี่พงศ์” ทั้งสามหนุ่มตอบพร้อมกัน

“ถ้างั้นพวกผมกลับบ้านก่อนนะครับ” ชัชว่า

ผู้จัดการร้านพยักหน้า

“อืมม์ ไปเถอะ นี่พี่ก็จะไปเหมือนกัน”

แล้วทั้งสามหนุ่มก็เดินไปขึ้นรถของชัช และชัชก็สตาร์ทรถขับออกไปทันที

 

“วันนี้ทำงานเหนื่อยไหมลูก” เมื่อลูกชายกลับมาถึงบ้านนางเพียรก็ถามขึ้นทันที

เป็นเอกนั่งลงข้างๆ ผู้เป็นแม่บนพื้นในบ้านเช่า ซึ่งอยู่ในสลัมแห่งหนึ่ง ชายหนุ่มยิ้มให้แม่ ก่อนจะสั่นศีรษะและตอบว่า

“ไม่เหนื่อยเลยครับแม่ ผมมีความสุขกับการทำงานเป็นเชฟ เพราะเป็นอาชีพที่ผมใฝ่ฝัน คำว่าเหนื่อยจึงไม่อยู่ในสมองของผมครับ ว่าแต่แม่เหนื่อยไหม วันนี้ขายผลไม้ทั้งวันเลย”

“ไม่เหนื่อยหรอกจ้ะลูก” นางตอบยิ้มๆ

ผู้เป็นลูกชายจับมือแม่ขึ้นมาและพูดว่า

“แม่ครับ...แม่เลิกขายผลไม้เถอะครับ ผมเลี้ยงแม่ได้ นะครับแม่”

อีกฝ่ายดึงมือออก ก่อนจะตอบว่า

“นี่...แม่บอกหลายครั้งแล้วว่าแม่จะไม่เลิกขาย มันเป็นอาชีพที่แม่ทำมาตั้งแต่แม่ยังสาวๆ แล้วแม่ก็จะทำจนถึงวันตาย ไม่มีทางเลิกทำ”

“แต่แม่...”

“แม่อยู่เฉยๆ ไม่ได้หรอกลูก แม่ต้องทำงาน”

“แม่คนเดียวผมเลี้ยงได้ครับ ผมไม่อยากเห็นแม่ลำบาก ผมรักแม่” เขาให้เหตุผลกับผู้เป็นแม่

“แม่ก็รักลูก” นางเพียรว่า “แต่แม่ขอยืนยันเลยว่าแม่จะทำอาชีพนี้ต่อ แม่รักอาชีพขายผลไม้ ลูกอย่าห้ามแม่เลย”

เป็นเอกทำหน้าหนักใจ

“นี่ตกลงผมห้ามแม่ไม่ได้แล้วใช่ไหมครับ”

ผู้เป็นแม่พยักหน้า

“จ้ะ”

“โอเคครับ ผมจะไม่ห้ามแม่ แต่ถ้าแม่เหนื่อยมากๆ แม่ต้องหยุดพักบ้างนะครับ ผมเป็นห่วง”

“จ้ะลูก ขอบใจนะที่เป็นห่วงแม่ งั้นแม่ขอตัวไปนอนก่อนนะ”

“ครับ”

นางเพียรยิ้มให้ผู้เป็นลูกชาย ก่อนจะลุกเดินเข้าห้องไป

เป็นเอกมองตามผู้เป็นแม่แล้วทำหน้าหนักใจ เขาอยากให้แม่พัก ไม่อยากเห็นแม่ลำบาก แต่แม่กลับยืนยันว่าจะทำอาชีพขายผลไม้ต่อไป ไม่อยากอยู่เฉยๆ เขาจึงจำต้องปล่อยผู้เป็นแม่ให้ทำตามความต้องการของตัวเอง เพราะห้ามไม่ได้แล้ว แล้วเขาก็ลุกขึ้นเดินไปหยิบผ้าเช็ดตัวและเดินไปเข้าห้องน้ำ

 

คุณนภาลัยถูกย้ายมาที่ห้องพักพิเศษ ขณะนี้ท่านยังไม่ฟื้น และในห้องภูริชนั่งเฝ้าอยู่บนโซฟาข้างๆ เตียง ในมือกำลังกดโทรศัพท์มือถือเล่นเกมส์อย่างสบายใจ ส่วนปราภพ พรรณนิภาและปาณัทกลับบ้านไปก่อนแล้ว เพราะภูริชอาสาเฝ้าไข้คุณยาย เมื่อท่านฟื้นก็ให้โทรศัพท์ไปบอก

พลันนิ้วมือของคุณนภาลัยก็เริ่มขยับ แล้วต่อมาก็มีประโยคหนึ่งหลุดออกจากปากของท่าน

“ขอน้ำหน่อย หิวน้ำ”

แต่ภูริชกลับไม่ได้ยิน เพราะมัวแต่เล่นเกมส์ จนกระทั่งผู้เป็นยายต้องพูดซ้ำ

“ขอน้ำหน่อย หิวน้ำ”

คราวนี้ชายหนุ่มได้ยิน เขารีบวางโทรศัพท์มือถือและลุกเดินไปหาผู้เป็นยายด้วยท่าทีดีใจ

“คุณยายฟื้นแล้ว”

แล้วเขาก็หยิบเหยือกน้ำที่วางอยู่บนโต๊ะตรงหัวเตียงและรินใส่แก้ว และใส่หลอดเล็กๆ จากนั้นป้อนน้ำผู้เป็นยาย พร้อมกับบอกท่านอีกว่า

“ค่อยๆ ดื่มนะครับ คุณยาย”

ท่านดื่มได้นิดหนึ่งก็ดันหลอดออก

“พอแล้วจ้ะ” เสียงของท่านแหบแห้ง

แล้วภูริชก็วางแก้วลงบนโต๊ะ ก่อนจะกดปุ่มที่อยู่บนหัวเตียงเรียกพยาบาล

“คุณพยาบาลครับ คุณยายของผมฟื้นแล้วครับ”

“คุณยายเป็นยังไงบ้างครับ” เขาถามผู้เป็นยาย

“แล้วนี่ตาปราภพ ยายพรรณ แล้วก็ตาป้องล่ะ” แทนที่ท่านจะตอบคำถามของภูริช แต่กลับถามถึงครอบครัวของปราภพ นั่นทำให้ชายหนุ่มรู้สึกไม่พอใจและน้อยใจในเวลาเดียวกัน เขาอุตส่าห์มานั่งเฝ้า แต่ท่านกลับไม่สนใจ แถมยังถามถึงคนอื่น

“กลับบ้านไปตั้งแต่หนึ่งทุ่มแล้วครับ”

แล้วหมอกับพยาบาลก็เดินเข้ามา คุณหมอรีบตรวจร่างกายของคุณนภาลัย ก่อนจะรายงานว่า

“ทุกอย่างปกติดีครับ ถ้าไม่มีอะไร...อีกสองวันกลับบ้านได้ครับ”

“ขอบคุณนะคะ คุณหมอ” คุณนภาลัยประนมมือไหว้คุณหมอ

ภูริชก็ทำเช่นกัน

“ขอบคุณนะครับ คุณหมอ”

“ไม่เป็นไรครับ คนไข้พักผ่อนเยอะๆ นะครับ และทานยาตามที่หมอสั่งจะได้หายไวๆ” คุณหมอพูดยิ้มๆ

แล้วคนไข้ก็ทำหน้าฉงน ก่อนจะพูดว่า

“แปลกนะคะคุณหมอ ปกติดิฉันก็ทานยาตามที่หมอสั่ง แต่ทำไมอาการถึงได้กำเริบก็ไม่รู้”

“แต่จากผลตรวจที่ออกมา บ่งบอกว่าคนไข้ไม่ได้ทานยาโรคหัวใจตามที่หมอสั่ง แต่คนไข้ทานยาวิตามินซีเข้าไป เมื่อหัวใจไม่ได้รับยาที่รักษาโรคหัวใจเข้าไปอย่างต่อเนื่องจึงทำให้อาการกำเริบครับ”

“คุณหมอว่าอะไรนะคะ” ท่านตกใจเมื่อได้หมอบอกว่าตัวท่านได้วิตามินซีเข้าไป ไม่ใช่ยารักษาโรคหัวใจอย่างที่ท่านเข้าใจ

ท่านนึกสงสัย หรือว่าใบบัวจะจัดยาให้ท่านทานผิด อาจไปได้แน่นอน!

“สงสัยแม่ใบบัวจะหยิบยาให้คุณยายทานผิด แบบนี้ต้องไล่ออก” ภูริชว่า เพราะเขาหารู้ไม่ว่าแม่ของเขาเป็นคนเปลี่ยนยาให้คุณยายของเขาทาน จึงโทษว่าเป็นความผิดของใบบัว

“ไล่ออกเลยหรือตาภู มันจะเกินไปมั้ง” คุณนภาลัยไม่ชอบที่หลานชายพูดเช่นนั้น

แต่ชายหนุ่มกลับบอกว่า

“ไม่เกินไปหรอกครับ นี่มันคือความเป็นความตายของคุณยายเลยนะครับ”

“ยายไม่เป็นอะไรแล้ว”

“แล้วถ้าคุณยายเป็นอะไรขึ้นมาล่ะครับ”

“ถ้างั้นผมขอตัวก่อนนะครับ” เมื่อเห็นว่าสองยายหลานกำลังพูดคุยกัน คุณหมอกับพยาบาลจึงเดินออกไปจากห้อง

เมื่อคุณหมอเดินออกไปแล้วคุณนภาลัยก็พูดต่ออีกว่า

“แม่ใบบัวอาจจะหลงลืม”

“แบบนี้ใช้ไม่ได้ครับ”

“เอาเถอะ อย่าไปโทษใครเลย ในเมื่อตอนนี้ยายไม่ได้เป็นอะไรแล้ว” ท่านว่า

“ก็เพราะว่าคุณยายเป็นคนใจดีแบบนี้ไงครับ คุณยายไว้ใจคนมากจนเกินไป จนเกือบถูก...”

“หยุดพูดเลยตาภู แล้วก็กลับบ้านไปซะ ยายอยากอยู่คนเดียว”

“แต่คุณยายครับ...”

“ฉันบอกให้กลับไป” ผู้เป็นยายพูดเสียงเข้ม

“ก็ได้ครับ” พูดจบภูริชก็เดินออกไปจากห้องพักฟื้นของผู้เป็นยายอย่างหัวเสีย

หลังจากที่หลานชายเดินไปแล้วคุณนภาลัยก็พูดขึ้นว่า

“ทุกวันฉันก็ทานยาตามที่แม่ใบบัวจัดมาให้ก็ไม่เห็นเป็นอะไร แต่ทำไมเมื่อวาน...มันเกิดอะไรขึ้น ออกจากโรงพยาบาลฉันต้องถามแม่ใบบัวให้รู้เรื่อง”

ท่านมองตามหลานชายแล้วสั่นศีรษะแรงๆ ท่านรู้สึกเอือมระอาต่อหลานชายคนนี้มาก ภูริชเป็นคนที่ชอบกล่าวหาคนอื่นโดยไม่มีหลักฐาน ตัดสินเองอะไรเองทั้งนั้น ท่านไม่ชอบนิสัยเช่นนี้ แต่ก็ทำอะไรไม่ได้ ได้แค่สั่งสอนและตักเตือนเท่านั้น ดูๆ ไปภูริชก็มีนิสัยเหมือนพ่อกับแม่ของเขานั่นแหละ เรียกว่าลูกไม้หล่นไม่ไกลต้นก็ว่าได้ และนั่นเองที่ทำให้ท่านหนักใจมากๆ แล้วท่านก็หยุดคิด เพราะคิดไปก็ปวดศีรษะเปล่าๆ ก่อนจะเอนกายลงนอนพักผ่อนต่อไป

สารบัญ / นำทาง

แสดงความคิดเห็น

 
 

ข้อควรทราบ เนื่องจากผู้ดูแลหลักของเว็บไซต์เป็นคนตาบอด หากพบการแสดงผลที่ผิดเพี้ยนและสร้างความไม่สะดวกต่อการใช้งาน โปรดแจ้งทีมงานได้ในทุกช่องทาง

เราอยากให้สมาชิกทุกท่านอยู่กันอย่างครอบครัวที่อบอุ่น ให้สังคมภายในเว็บ เป็นสังคมที่ดี ดังนั้น สมาชิกทุกท่านโปรดเคารพในสิทธิของตนเองและผู้อื่น

ผลงานที่ถูกเผยแพร่บนเว็บ ให้ถือว่าลิขสิทธิ์เป็นของผู้เผยแพร่เอง ห้ามมิให้บุคคลอื่นนำไปเผยแพร่ ก็อปปี้ หรือนำไปดัดแปลง โดยไม่ได้รับอนุญาตจากเจ้าของผลงานโดยเด็ดขาด หากมีการฝ่าฝืน แล้วถูกดำเนินคดีจากเจ้าของผลงาน ทางเว็บมิขอเกี่ยวข้อง เพราะได้แจ้งเตือนเอาไว้อย่างชัดเจนแล้ว

หากพบบทความที่มีเนื้อหาไปในทางใส่ร้ายผู้อื่น หรือทำให้ผู้อื่นเสียหาย แจ้งเข้ามาได้ตามช่องทาง Email keangun2018@gmail.com ได้ตลอด 24 ชั่วโมง ทางทีมงาน จะทำการตรวจสอบ และหากเป็นจริง จะนำผลงานดังกล่าวออกจากเว็บไซต์ ไม่เกิน 1 วัน

Copyright © 2018-2024 keangun. All Right Reserved.