บทที่ 9
ภูริชเดินเข้ามาในบ้านด้วยสีหน้าบอกบุญไม่รับหลังกลับจากโรงพยาบาล เป็นเวลาสี่ทุ่มกว่า เขาโกรธมากที่ผู้เป็นยายไล่เขากลับบ้าน เขาไม่ชอบให้ใครไล่เขา
“โธ่เว้ย!” ชายหนุ่มสบถออกมาดังๆ
ปราภพกับพรรณนิภาที่กำลังสวดมนต์อยู่ในห้องพระชั้นบนของบ้านก็ถึงกับหยุดชะงักเมื่อได้ยินเสียงดังของหลานชาย ทั้งสองคนกราบพระเสร็จก็รีบออกมาจากห้องพระและลงไปชั้นล่างเพื่อดูว่าเกิดอะไรขึ้น
“นี่ตาภู เสียงดังอะไรดึกๆ ดื่นๆ รบกวนคนอื่น เขาจะหลับจะนอน...อ้าว แล้วนี่ทำไมถึงกลับมาจากโรงพยาบาล ไหนลุงบอกว่าให้แกอยู่เฝ้ายายไง ทำไมถึงรีบกลับ” ปราภพถามหลานชายทันที
อีกฝ่ายจึงบอกว่า
“ก็คุณยายไล่ผมกลับบ้าน บอกว่าอยากอยู่คนเดียวครับคุณลุง”
“ไปพูดอะไรกับคุณยายล่ะ คุณยายถึงได้ไล่กลับบ้าน” ที่เขาถามเช่นนั้นก็เพราะเขารู้จักนิสัยของภูริชดี
“เอ้อ...” ชายหนุ่มอึกอัก
แล้วก็มีเสียงใครคนหนึ่งดังขึ้น
“เอ๊ะ พี่ปราภพ ทำไมพี่ต้องจับผิดลูกของภาขนาดนั้นด้วยคะ ก็ตาภูบอกว่าคุณแม่อยากอยู่คนเดียว นั่นก็แสดงว่าคุณแม่ไม่อยากให้ใครอยู่เป็นเพื่อน แค่นี้พี่ยังไม่เข้าใจอีกเหรอคะ” เป็นเสียงของประภานั่นเอง!
เธอเดินลงบันไดมากับสามีเมื่อได้ยินเสียงปราภพกำลังถามลูกชายของเธอ เหมือนกำลังจับผิดลูกชายของเธอ เธอจึงต้องลงมาช่วยลูกชาย
“พี่ไม่ได้จับผิด พี่แค่ถามหลานเฉยๆ” ปราภพว่า
แต่ผู้เป็นน้องสาวไม่เชื่อ
“ไม่จริงหรอกค่ะ นี่มันเป็นการจับผิดกันชัดๆ”
“ใจเย็นก่อนนะภา” พรรณนิภารีบไกล่เกลี่ย
“พี่พรรณไม่ต้องมายุ่งค่ะ พี่พรรณเป็นแค่พี่สะใภ้” ประภาตวาดใส่ผู้เป็นพี่สะใภ้
ปราภพไม่พอใจน้องสาวมาก
“มันจะมากไปแล้วนะยายภา ถึงยังไงคุณพรรณเขาก็เป็นพี่สะใภ้แก เขาเป็นคนในครอบครัวของเราตั้งแต่วันแรกที่เขาเข้ามาเหยียบที่บ้านหลังนี้แล้ว แกไม่มีสิทธิ์ไปตวาดใส่เขาแบบนั้น เพราะเท่ากับแกไม่เคารพเขาเลย”
“ไม่เอาค่ะคุณ ไม่เป็นไรค่ะ ฉันไม่ถือ” พรรณนิภาว่า
แต่ผู้เป็นสามีไม่ยอม
“แต่ผมถือ...เพราะว่าคุณเป็นคนใจดีแบบนี้ไง ยายภามันถึง...”
“พอเถอะค่ะ เราขึ้นไปสวดมนต์กันต่อดีกว่านะคะ จิตใจจะได้เย็นขึ้น นะคะคุณ” เธอจับแขนสามี
ปราภพพยักหน้าด้วยสีหน้าบึ้งตึง ก่อนจะเดินออกไป โดยมีภรรยาเดินตามหลัง
เมื่อพี่ชายเดินออกไปแล้วประภาก็พูดกับผู้เป็นสามีและลูกชายว่า
“ฉันพูดกับพี่ปราภพทีไรฉันอารมณ์เสียทุกที พี่ปราภพชอบเข้าข้างแต่เมียของตัวเอง ฉันล่ะไม่ชอบพี่พรรณมากๆ เลย ชอบทำตัวแสนดี น่าหมั่นไส้ ฮึ!”
“ที่สำคัญ คุณลุงปราภพชอบจับผิดผมทุกครั้งครับคุณแม่ ทั้งที่ผมไม่ได้ทำอะไรผิด” ภูริชว่า
แล้วประภาก็พูดกับลูกชายว่า
“ลุงของแกน่ะไม่ชอบพวกเราสามคนอยู่แล้ว เขาเป็นลูกคนโปรดของคุณยาย คุณยายชอบให้ท้าย ส่วนแม่น่ะเป็นลูกชังของคุณยาย แม่ทำอะไรก็ผิดไปหมด แกกับพ่อของแกก็พลอยผิดไปด้วย”
“คุณยายลำเอียงชัดๆ” ชายหนุ่มโพล่งออกมา
“ใช่ คุณยายของแกน่ะลำเอียง รักลูกรักหลานไม่เท่ากัน แล้วสมบัติก็คงจะยกให้ครอบครัวของพี่ปราภพทั้งหมด”
“แบบนี้ผมไม่โอเคนะครับคุณแม่” ภูริชบอก
ผู้เป็นแม่ถึงถามว่า
“แกไม่โอเค...แล้วแกจะทำอะไรได้”
“ตอนนี้ผมยังคิดไม่ออกครับคุณแม่ แต่มันต้องมีสักทางสิครับ ที่จะทำให้สมบัติตกเป็นของเราครับ”
“อืมม์ ที่ลูกพูดมันก็ถูก มันต้องมีสักทางแหละที่จะทำให้สมบัติเป็นของเรา มันต้องมีวิธี” เขมนันท์บอกกับภรรยาและลูกชาย
ทั้งสามคนพ่อแม่ลูก เวลาพูดคุยกันก็ต้องพูดถึงแต่เรื่องสมบัติเท่านั้น ไม่พูดเรื่องอื่น ขี้อิจฉาริษยาทั้งพ่อแม่แล้วก็ลูก ยิ่งเห็นคุณนภาลัยชอบเข้าข้างปราภพ พรรณนิภาและปาณัท ความอิจฉาก็ยิ่งทวีคูณขึ้น ไม่ลดลงเลยสักนิด แต่ก็ใช่ว่าคุณนภาลัยจะไม่รักประภา ท่านรักลูกสาวของท่านเหมือนกัน รักเท่าๆ กับปราภพ แต่ท่านไม่แสดงออก และนั่นเองที่ทำให้ประภาเข้าใจผิดคิดว่าผู้เป็นแม่ไม่รัก คิดว่าผู้เป็นแม่รักแต่พี่ชายคนเดียว จึงเกิดความอิจฉาริษยาตั้งแต่เด็กจนโต จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่เปลี่ยน แถมยังมีสามีกับลูกชายที่ขี้อิจฉาริษยาเหมือนกันอีกต่างหาก จึงเข้ากันได้ดีนั่นเอง
“ทำงานวันแรกเหนื่อยไหมลูก” รวัลยาถามผู้เป็นลูกสาว เมื่ออีกฝ่ายกลับมาบ้านในตอนดึกหลังจากเลิกงานแล้ว
รินรดาสั่นศีรษะพร้อมกับตอบคำถามของผู้เป็นแม่
“ไม่เหนื่อยเลยค่ะคุณแม่ สบายๆ ค่ะ” หญิงสาวยิ้มและนั่งลงบนโซฟาข้างๆ ผู้เป็นแม่ในห้องโถงใหญ่
“จ้า ลูกสาวของแม่เก่งอยู่แล้ว” รวัลยาจับแก้มลูกสาวบีบเบาๆ พร้อมกับหัวเราะ
“หนูก็เก่งได้คุณแม่นั่นแหละค่ะ”
“ปากหวานจริงๆ นะลูกสาวแม่” ผู้เป็นแม่ยิ้มแก้มแทบปริ
แล้วก็มีเสียงใครคนหนึ่งดังมาจากหน้าห้องโถง
“เก่งได้แม่คนเดียวเหรอ ไม่เก่งเหมือนพ่อบ้างเหรอ”
ทั้งสองคนแม่ลูกหันขวับไปยังต้นเสียง เมื่อเห็นว่าเป็นเสียงของใครก็ยิ้มออกมา เป็นเสียงของชัชรินทร์นั่นเอง
“อ้าว! คุณชัช” รวัลยาทักผู้เป็นสามี
รินรดาก็ทักผู้เป็นพ่อเช่นกัน
“อ้าว คุณพ่อนั่นเอง!”
แล้วชัชรินทร์ก็เดินเข้ามานั่งบนโซฟาอีกตัว ก่อนจะถามว่า
“สองคนแม่ลูกกำลังคุยอะไรกันอยู่เหรอ”
“ก็คุยเรื่องการทำงานวันแรกของลูกน่ะค่ะคุณชัช” รวัลยาเป็นคนตอบ
“อ้อ” ประมุขของบ้านพยักหน้ายิ้มๆ ก่อนจะหันไปถามผู้เป็นลูกสาว “แล้วเป็นยังไงบ้างล่ะลูกริน ทำงานวันแรกโอเคไหม”
“ชิลล์ๆ ค่ะคุณพ่อ รุ่นพี่ที่โรงพยาบาลและผอ. ของโรงพยาบาลให้การต้อนรับดีมากค่ะ แถมทำงานวันแรกก็มีเคสผ่าตัดหัวใจ ทุกอย่างผ่านไปด้วยดีค่ะ และพวกพี่ๆ ยังเอ่ยชมหนูว่าเก่ง เหมือนศัลยแพทย์มืออาชีพอีกด้วยนะคะคุณพ่อ” รินรดาพูดพลางยิ้ม
“ก็ลูกของพ่อเก่งนี่ ตั้งใจเรียนด้วย ลูกถึงได้ทำงานออกมาสำเร็จตั้งแต่ครั้งแรกไง” ผู้เป็นพ่อเอ่ยชมลูกสาวด้วยความภาคภูมิใจ
“เก่งได้ทั้งคุณพ่อแล้วก็คุณแม่เลยค่ะ หนูรักคุณพ่อกับคุณแม่มากนะคะ” หญิงสาวทั้งกอดทั้งหอมแก้มผู้เป็นแม่ จากนั้นก็ลุกขึ้นไปกอดผู้เป็นพ่อ ก่อนจะกลับมานั่งที่เดิม
แล้วเหมือนรินรดาเพิ่งจะนึกอะไรขึ้นได้ เธอจึงบอกพ่อกับแม่
“อ้อ คนไข้รายแรกของหนูเป็นภรรยาของเจ้าของบริษัทจิวเวลรี่ชื่อดังของประเทศไทยเลยนะคะคุณพ่อ แต่ตอนนี้สามีของท่านไม่อยู่แล้วค่ะ เสียชีวิตเมื่อหลายปีก่อน เห็นคุณหมอกรเล่าให้ฟังค่ะ และท่านมีลูกชายกับลูกสาวสองคน ตัวท่านชื่อคุณนภาลัย บวรเทพค่ะคุณพ่อ”
“หา! คนไข้รายแรกของลูกคือคุณป้านภาเองเหรอ แล้วแกเป็นอะไรล่ะ” เมื่อได้ยินชื่อชัชรินทร์ก็เบิกตากว้าง
“อ้าว! คุณพ่อรู้จักคุณนภาลัยด้วยเหรอคะ” ผู้เป็นลูกสาวทำหน้าแปลกใจ
อีกฝ่ายพยักหน้า ก่อนจะถามว่า
“ลูกจำคุณย่านภาไม่ได้เหรอ ตอนเด็กๆ พ่อชอบพาลูกไปเล่นที่บ้านของท่านบ่อยๆ เพราะพ่อกับเจ้าปราภพ ลูกชายของท่านเป็นเพื่อนรักกัน แล้วเจ้าปราภพก็มีลูกชายคนหนึ่งชื่อปกป้อง ลูกกับเจ้าปกป้องชอบวิ่งเล่นไล่จับกันน่ะ จำได้ไหม”
“โธ่! คุณคะ ลูกไปเรียนอยู่ที่เมืองนอกตั้งแต่อายุสิบขวบ ไปอยู่กับน้าของเขา วันเวลาผ่านไปหลายปีก็อาจจะลืมบ้างนะคะ” รวัลยาว่า
“อ้อ หนูจำได้แล้วค่ะ” หญิงสาวนึกออกทันที “คุณย่าคนที่ใจดี ชอบซื้อขนมให้หนูกินตอนเด็กๆ เวลาท่านซื้อขนมให้หลานชายของท่าน หนูก็จะต้องได้ขนมด้วย คุณย่าใจดีมากๆ ค่ะ แต่หน้าของท่านหนูจำไม่ค่อยได้ หนูรู้แค่ว่าท่านใจดีที่สุด”
“ว่าแต่ท่านเป็นอะไรถึงเข้าโรงพยาบาลเหรอ ไม่เห็นเจ้าปราภพบอกพ่อเลย”
“ท่านโรคหัวใจกำเริบน่ะค่ะคุณพ่อ ผลเอกซเรย์พบว่ามีก้อนเนื้องอกอยู่ใกล้หัวใจค่ะ ท่านจึงต้องได้รับการผ่าตัดด่วนที่สุด แล้วท่านก็ปลอดภัยดีค่ะ เคสแรกหนูก็ทำสำเร็จค่ะคุณพ่อคุณแม่”
“ก็บอกแล้วว่าลูกของพ่อเก่ง” ประมุขของบ้านยิ้มภาคภูมิใจลูกสาว ก่อนจะหันไปพูดกับภรรยา “พรุ่งนี้เราไปเยี่ยมคุณป้านภากันดีไหมคุณวัน เจ้าปราภพนะเจ้าปราภพ คุณป้านภาเข้าโรงพยาบาลไม่บอกพี่บ้างเลย”
“ไปสิคะคุณ เพราะคุณป้านภาก็ถือว่าเป็นญาติผู้ใหญ่ของเรา แต่อาจไม่สนิทนัก” ผู้เป็นภรรยาว่า
“แล้วคุณย่านภาจะนอนโรงพยาบาลกี่คืนล่ะลูก” เขาหันไปถามลูกสาว
อีกฝ่ายจึงตอบว่า
“ทางโรงพยาบาลให้นอนดูอาการสามคืนค่ะคุณพ่อ ถ้าอาการดีขึ้นก็ให้กลับได้ค่ะ”
“เดี๋ยวพรุ่งนี้พ่อว่าจะชวนแม่จะไปเยี่ยมท่านสักหน่อย”
“ค่ะ คุณพ่อ” เธอพยักหน้ารับ
แล้วสักพักเสียงโทรศัพท์ของศัลยแพทย์สาวก็ดังขึ้น เธอรีบล้วงโทรศัพท์ออกมาจากกระเป๋าสะพาย เมื่อเห็นชื่อปรากฏบนหน้าจอเธอก็รีบกดรับทันที
“ฮัลโหลค่ะ ว่ายังไงนะคะ มีเคสผ่าตัดหัวใจด่วนอีกเหรอคะ ได้ค่ะ เดี๋ยวดิฉันจะรีบไปนะคะ ค่ะๆ สวัสดีค่ะ” แล้วก็วางสายไป
หลังจากวางสายผู้เป็นพ่อก็ถาม
“มีเคสผ่าตัดด่วนเหรอลูก”
“ค่ะ คุณพ่อ” รินรดาพยักหน้ารับ
“เพิ่งกลับมาบ้านยังไม่กี่ชั่วโมงเลยก็ต้องไปอีกแล้วเหรอ หายเหนื่อยหรือยังล่ะลูก” ผู้เป็นแม่ถาม
“ไม่เป็นไรค่ะคุณแม่ ไม่เหนื่อยค่ะ เรื่องงานสำคัญกว่าค่ะ หนูขอตัวก่อนนะคะคุณพ่อคุณแม่” แล้วหญิงสาวก็ลุกเดินออกไปอย่างเร่งรีบ
ชัชรินทร์กับรวัลยามองตามผู้เป็นลูกสาวแล้วยิ้มด้วยความภูมิใจ เพราะมีลูกสาวคนเดียว ทั้งรักทั้งหวง เมื่อรินรดาเติบโต มีงานทำที่ดีพ่อแม่ก็หมดห่วง ยิ่งลูกสาวขยันทำงานทั้งสองคนก็ยิ่งภูมิใจมาก
เคสผ่าตัดที่สองของศัลยแพทย์หญิงรินรดา คนไข้รายนี้เป็นผู้ชาย จากคำบอกเล่าของภรรยาคนไข้ คนไข้รายนี้เป็นคนชอบสูบบุหรี่ แถมมีสภาวะความเครียดอีก เมื่อตอนเย็นวันนี้ขณะที่เธอไปตามผู้เป็นสามีทานข้าวที่ห้องนอน เธอเปิดประตูเข้าไปก็พบว่าอีกฝ่ายนอนอยู่ก็เลยไปเขย่าเรียก ปรากฏว่าสามีไม่รู้สึกตัว เธอตกใจร้องไห้เพราะคิดว่าสามีจะตาย จึงเรียกให้ลูกชายมาส่งโรงพยาบาลทันที
“จากผลตรวจปรากฏว่าคนไข้มีภาวะหลอดเลือดหัวใจตีบ ดังนั้นคนไข้จะต้องได้รับการผ่าตัดโดยด่วนที่สุด คุณหมอจะทำการผ่าตัดบายพาสให้คนไข้ค่ะ” คุณหมอสาวอธิบายกับภรรยาของคนไข้
“จะทำอะไรก็ทำเถอะค่ะคุณหมอ ขอให้สามีของฉันปลอดภัยและอยู่กับฉันไปอีกนานก็พอค่ะ” อีกฝ่ายพูดพลางร้องไห้พลางเพราะเป็นห่วงผู้เป็นสามี
รินรดาพยักหน้า
“รับรองค่ะว่าคนไข้จะต้องปลอดภัย ดิฉันขอตัวก่อนนะคะ” เธอประนมมือไหว้อีกฝ่าย ก่อนจะเดินเข้าไปในห้องผ่าตัดทันที
ผู้เป็นภรรยาของคนไข้ได้แต่ประนมมือไหว้ท่วมหัว
“สาธุ! เจ้าประคู้ณ ขอให้สามีของดิฉันปลอดภัยด้วยเถิด”
ในห้องผ่าตัด...ศัลยแพทย์หญิงรินรดาหยิบเสื้อกาวน์สำหรับใส่ผ่าตัดมาใส่ ส่วนอุปกรณ์ในการผ่าตัดก็ถูกเตรียมไว้เรียบร้อยแล้ว
“พร้อมนะคะทุกคน” หญิงสาวหันไปถามทีมพยาบาลที่รอช่วยเหลือ
“พร้อมค่ะคุณหมอริน” ตอบอย่างพร้อมเพรียงกัน
แล้วการผ่าตัดก็เริ่มต้นขึ้น ศัลยแพทย์หญิงรินรดาบรรจงผ่าตัดอย่างประนีต ช้าๆ ค่อยๆ แบบไม่เร่งรีบ
แล้วเวลาก็ผ่านไปสามชั่วโมง ผ่าตัดเสร็จเป็นที่เรียบร้อย พร้อมกับเย็บเสร็จสรรพ
“เสร็จเรียบร้อยค่ะ” เธอบอกกับพยาบาลและคุณหมอที่อยู่ในห้องผ่าตัดด้วย
“ฝีมือการผ่าตัดเคสที่สองคุณหมอรินก็ไม่ตกเลยนะคะ” พยาบาลคนหนึ่งพูดขึ้น
“ขอบคุณค่ะ” คนถูกชมประนมมือไหว้อย่างสวยงาม แต่ก็มิได้หลงใหลในคำชื่นชมนัก “ดิฉันก็ผ่าตัดตามที่อาจารย์สอนมานั่นแหละ ก็อย่างที่เคยบอกค่ะ ว่าอาจารย์เขาสอนมาดี สอนละเอียดยิบ เอ้อ คุณพยาบาลนันคะ ไปบอกภรรยาของคนไข้นะคะว่าคนไข้ปลอดภัยแล้ว”
“ได้ค่ะ” พยาบาลนิชานันท์รับคำสั่งเสร็จก็รีบเดินออกไป
แล้วศัลยแพทย์หญิงรินรดาถอดถุงมือออกและไปล้างมือด้วยน้ำ จากนั้นก็เช็ดให้แห้งและล้างด้วยน้ำยาฆ่าเชื้ออีกที เพื่อฆ่าเชื้อโรคอีกที
วันถัดมา...ปราภพ พรรณนิภาและปาณัทมาเยี่ยมคุณนภาลัยแต่เช้า เมื่อคืนท่านนอนอยู่คนเดียวทั้งคืน ไม่มีใครอยู่ด้วย เพราะท่านไล่ให้ภูริชกลับบ้าน เมื่อพูดไม่เข้าหูท่าน
“คุณแม่เป็นยังไงบ้างครับ” ปราภพถามเป็นคนแรก
“ดีขึ้นแล้วล่ะ แต่ก็เจ็บแผลอยู่หน่อยๆ แค่นี้แม่ทนได้ อ้อ คุณหมอบอกว่าพรุ่งนี้แม่จะออกจากโรงพยาบาลได้แล้ว” คุณนภาลัยพูดยิ้มๆ
แล้วปาณัทก็พูดว่า
“ผมขอให้คุณย่าหายไวๆ นะครับ คุณย่าของผมเป็นคนเก่ง ทานข้าวเยอะๆ นะครับ” เขาเลื่อนโต๊ะคร่อมเตียงที่มีถ้วยข้าวต้มที่พยาบาลเตรียมมาไว้ให้ เอามาให้ผู้เป็นย่า พร้อมกับถามว่า “ให้ผมป้อนข้าวไหมครับคุณย่า”
“ไม่เป็นไรจ้ะ ย่าทานเองได้ มือของย่ายังใช้ได้อยู่” ตอบแล้วท่านก็หัวเราะ
“โอเคครับ คุณย่า งั้นทานข้าวเลยครับ”
ก่อนลงมือทานข้าวคุณนภาลัยก็ถามผู้เป็นลูกชายว่า
“ตั้งแต่แม่เข้าโรงพยาบาล แม่ไม่เห็นยายภามาเยี่ยมแม่เลยสักครั้ง มันทำอะไรอยู่ฮึ! ตาปราภพ”
“มันไม่ได้ทำอะไรหรอกครับคุณแม่ มันแค่ไม่อยากมา คุณแม่ก็น่าจะรู้นิสัยมันดีนะครับ” ปราภพว่า
“แม่ผิดเองแหละที่ไม่ค่อยดูแลเอาใจใส่ยายภา มันเลยกลายเป็นคนแบบนี้ ขี้อิจฉาริษยา อยากได้อะไรก็ต้องได้” พูดแล้วทำหน้าเศร้า
แล้วผู้เป็นลูกชายก็พูดว่า
“ไม่ใช่ความผิดของคุณแม่ครับ ทุกอย่างที่เกิดขึ้นมันทำตัวเองทั้งนั้นครับ คุณแม่ไม่เกี่ยว ทั้งที่คุณแม่เป็นคนคลอดมันออกมา แต่มันกลับไม่สนใจไยดีคุณแม่ มันรู้ทั้งรู้ว่าคุณแม่เข้าโรงพยาบาลแต่มันก็ไม่มา เอาละครับ มันจะมาหรือไม่มาก็ช่างเถอะครับคุณแม่ แต่ตอนนี้คุณแม่ทานข้าวก่อนดีกว่าครับ จะได้ทานยาแล้วนอนพักผ่อนนะครับ”
“อืมม์!” ท่านพยักหน้ารับ ก่อนจะลงมือตักข้าวทาน ทานได้ประมาณห้าคำก็วางช้อนลง “อิ่มแล้ว”
“ทานอีกหน่อยสิครับคุณย่า เหลือนิดเดียวเองครับ” ปาณัทบอกยิ้มๆ
แต่ผู้เป็นย่ากลับส่ายศีรษะ
“ย่าอิ่มแล้วจริงๆ ตาป้อง”
“โอเคครับ อิ่มก็อิ่มครับ” ชายหนุ่มเลื่อนโต๊ะคร่อมเตียงออกไป ก่อนจะจัดการเทน้ำใส่แก้วและยื่นให้ผู้เป็นย่า “นี่น้ำครับคุณย่า อ้อ ทานยาด้วยครับ” ยื่นแก้วเล็กๆ ที่มียาอยู่ในนั้นให้อีกด้วย
เมื่อผู้เป็นย่าทานยาเสร็จเขาก็เก็บแก้วน้ำไว้ที่เดิม ก่อนจะบอกท่านว่า
“นอนพักผ่อนเถอะครับคุณย่า”
“อืมม์!” คุณนภาลัยพยักหน้า
พรรณนิภาช่วยประคองผู้เป็นแม่สามีนอนลง พร้อมกับบอกว่า
“พักผ่อนเยอะๆ นะคะคุณแม่ จะได้หายไวๆ”
“จ้ะ ขอบใจจ้ะ” ท่านพยักหน้าอีกครั้ง
แล้วทันใดนั้นเองเสียงเคาะประตูดังขึ้น ทั้งสี่คนต่างมองหน้ากันอย่างสงสัย
“ใครกันนะ” ปราภพเป็นคนที่พูดขึ้น
แล้วประตูก็เปิดออก ชายหญิงคู่หนึ่งเดินเข้ามาและปิดประตู ทั้งสองคนนั้นก็คือชัชรินทร์กับรวัลยานั่นเอง! เมื่อคุณนภาลัย ปราภพ และพรรณนิภาเห็นผู้มาเยือนก็ยิ้ม เพราะทั้งสองตระกูลสนิทกันมาก ไปมาหาสู่กันบ่อยๆ ตั้งแต่รุ่นพ่อแม่ยันรุ่นลูก ปราภพกับประภา ส่วนชัชรินทร์เองก็เป็นเพื่อนรุ่นพี่ของปราภพ
“อ้าว! พี่ชัชพี่วัน สวัสดีครับ” ปราภพทักทายทันที
“สวัสดี” ชัชรินทร์ไหว้ตอบ ก่อนจะหันไปประนมมือไหว้คุณนภาลัย “สวัสดีครับคุณป้านภา เป็นยังไงบ้างครับ คุณป้าเข้าโรงพยาบาลไม่เห็นปราภพบอกผมเลยครับ โชคดีที่ลูกสาวผมเป็นศัลยแพทย์หัวใจของโรงพยาบาลนี้ เขาเพิ่งเรียนจบด้านคณะแพทยศาสตร์จากประเทศลอนดอน ตอนอยู่ที่นั่นก็สมัครงานที่โรงพยาบาลในกรุงเทพฯ ผ่านอีเมลไว้หลายที่ ปรากฏว่าโรงพยาบาลนี้รับ แต่โรงพยาบาลอื่นไม่รับ พอกลับมาประเทศไทยก็ได้เข้ามาทำงานทันทีครับ แถมเขายังเล่าให้ฟังอีกว่าคุณป้าเป็นผู้ป่วยคนแรกที่เขาผ่าตัดให้ครับ”
แล้วก็ยื่นกระเช้าผลไม้ให้ผู้ป่วย
“ผมเอาผลไม้มาเยี่ยมคุณป้าครับ ขอให้คุณป้ามีสุขภาพร่างกายแข็งแรง หายไวๆ นะครับ”
“ขอบใจจ้ะ” ท่านรับมา ก่อนจะยื่นให้ปาณัทต่อ แล้วพูดกับผู้มาเยี่ยม “ความจริงไม่เห็นต้องเปลืองเงินซื้อผลไม้มาเยี่ยมป้าเลย มาเยี่ยมเฉยๆ ก็ได้ ไม่ต้องเอามาเยี่ยมหรอก”
“แค่นี้ไม่เปลืองหรอกครับคุณป้า แล้วอีกอย่าง มาเยี่ยมเฉยๆ ก็กระไรอยู่ครับ ต้องมีของติดไม้ติดมือเยี่ยมด้วยครับจึงจะเหมาะสม”
“จ้ะ” คุณนภาลัยยิ้ม
“สวัสดีครับคุณลุงชัช คุณป้าวัน” ปาณัทประนมมือไหว้ชัชรินทร์กับรวัลยาทันที
อีกฝ่ายรับไหว้และตบไหล่ปาณัทเบาๆ ก่อนจะถามขึ้นว่า
“อ้าว! นี่ตาป้องใช่ไหม แหม โตขึ้นหล่อมากเลยนะ หล่อเหมือนพ่อเลย”
“ขอบคุณครับคุณลุงชัช” ชายหนุ่มประนมมือไหว้อีกครั้ง
ปราภพถึงกับหัวเราะเมื่อถูกชม แต่เขาก็มิได้หลงใหลในคำชมเท่าไหร่นัก แล้วจากนั้นเขาก็ถามอีกฝ่ายเรื่องลูกสาว
“อ้อ! คุณหมอที่ผ่าตัดหัวใจให้คุณแม่ก็คือลูกสาวของพี่ชัชกับพี่วันเองเหรอครับ ผมนี่ไม่รู้เลยครับ โตขึ้นสวยจนผมจำไม่ได้”
“สวยจริงๆ ค่ะ สวยเหมือนคุณรวัลยา ถ้าไม่บอกว่าเป็นลูกสาวของคุณชัชรินทร์กับคุณรวัลยานี่ฉันไม่รู้เลยนะคะเนี่ย” พรรณนิภายิ้ม
รวัลยาถึงกับหลุดหัวเราะเบาๆ
“ตายละ คุณพรรณเล่นชมดิฉันแบบนี้ดิฉันก็เขินแย่สิคะ”
“ดิฉันพูดความจริงค่ะ” อีกฝ่ายยืนยัน
แล้วคุณนภาลัยก็พูดกับชัชรินทร์
“อ้าว! ถ้าเธอไม่บอกป้าว่าลูกสาวของเธอเป็นศัลยแพทย์หัวใจของโรงพยาบาลนี้ป้าก็ไม่รู้เลยนะเนี่ย โธ่! ป้าก็นึกว่าคนที่ผ่าตัดหัวใจให้เป็นคนอื่นคนไกล ที่ไหนได้คนใกล้ชิดนี่เอง แต่ป้าเองไม่ได้เห็นหน้าหรอก แต่ตอนนี้ป้าชักอยากจะเห็นหน้าหนูรินรดาแล้วสิ”
“เดี๋ยวผมลองโทรถามดูว่าตอนนี้ยายรินมีเคสที่จะต้องผ่าตัดหรือเปล่าครับ ถ้าไม่มีก็ให้มาหาที่นี่” ชัชรินทร์บอก
อีกฝ่ายโบกไม้โบกมือพัลวัน
“ไม่ต้องไปรบกวนเขาหรอก ไว้วันหลังก็ได้ ให้หนูรินเขาทำงานไปเถอะ แล้วอีกอย่าง ตอนนี้ป้าก็รู้สึกง่วงๆ อาจเป็นเพราะฤทธิ์ยา”
“ถ้างั้นคุณป้าก็พักผ่อนนะครับ ผมไม่รบกวนแล้วครับ”
“งั้นเรากลับกันเถอะครับ ปล่อยให้คุณย่าพักผ่อน เพราะเมื่อกี้คุณย่าเพิ่งทานยาไป และยาที่คุณย่าทานก็มีฤทธิ์ทำให้ง่วงนอน” ปาณัทบอก
“อืมม์!” ปราภพพยักหน้ารับ ก่อนจะหันไปประนมมือไหว้ผู้เป็นแม่ “งั้นพวกผมกลับก่อนนะครับคุณแม่ เดี๋ยวตอนเย็นผมจะให้ตาป้องมาเฝ้า”
“ไม่เป็นไรหรอก เดี๋ยวพรุ่งนี้ก็ออกจากโรงพยาบาลแล้ว ไม่ต้องเฝ้าก็ได้” คุณนภาลัยว่า
“งั้นก็ได้ครับคุณแม่”
แล้วทั้งหมดก็ประนมไหว้คุณนภาลัย
“ผมกลับก่อนนะครับคุณป้า ไว้ว่างๆ ผมจะไปเยี่ยมที่บ้านต่อครับ”
“ดิฉันกลับก่อนนะคะคุณป้า”
“หนูกลับก่อนนะคะคุณแม่”
และคนสุดท้ายคือปาณัท
“ผมกลับก่อนนะครับคุณย่า เดี๋ยวพรุ่งนี้ผมกับคุณพ่อ แล้วก็คุณแม่จะมารับคุณย่ากลับบ้านนะครับ พักผ่อนเยอะๆ นะครับ”
“ขอบใจจ้ะ ตาป้อง” ท่านยิ้มให้หลานชาย
แล้วทั้งหมดก็ออกไปจากห้อง เหลือเพียงคุณนภาลัยคนเดียว อยู่ๆ ท่านก็เกิดคิดถึงหลานชายฝาแฝดอีกคนที่ถูกขโมยไป
“ปิติกร...ตอนนี้หลานของย่ายังมีชีวิตอยู่ไหม ย่าหวังเหลือเกินว่าสักวันเราจะได้พบกัน นี่เวลาก็ผ่านมาตั้งยี่สิบหกปีแล้ว แต่ตำรวจยังจับคนร้ายไม่ได้ ย่าอยากจะรู้เหลือเกินมันเป็นใคร แล้วทำไปเพราะอะไร ย่าอยากให้หลานมาอยู่พร้อมหน้าตาป้อง คงมีความสุขมากกว่านี้ ไม่นานเราคงได้พบกันนะ”
แล้วท่านก็หลับตาลง แต่ใจของท่านนั้นยังคงคิดถึงหลานชายฝาแฝดอีกคนที่ถูกพลัดพรากไปเมื่อ ๒๖ ปีที่แล้ว ท่านยังไม่ลืม ท่านอยากจะพบหน้า และหวังว่าหลานปิติกรของท่านจะยังมีชีวิตอยู่ แล้วกลับมาหาท่าน มาอยู่กับครอบครัวที่แท้จริง
สารบัญ / นำทาง
- 👁️ ยอดวิว 344
แสดงความคิดเห็น