ตามหาคนหาย
“นี่เธอจำได้แค่นั้นจริงๆ เหรอวะ” ตะวันฉายถามเพื่อนขณะกำลังขับรถอยู่ ด้วยความไม่แน่ใจเขาจึงต้องถามออกมา ส่วนเพื่อนนั่งเบาะข้างคนขับ
ชลธรพยักหน้าให้ผู้เป็นเพื่อน
“ก็จริงน่ะสิ...ก็เธอบอกเองนี่ว่าเธอจำได้แค่นั้นจริงๆ จำได้แค่เหตุการณ์ที่เพิ่งจะเผชิญมา แถมคุณหมอก็ยังเคยบอกเราว่าความจำของเธออาจหายไปบางส่วน ซึ่งมันก็จริงอย่างที่คุณหมอบอก เธอจำอะไรที่เกี่ยวกับตัวเองไม่ได้ ทั้งชื่อทั้งพ่อแม่ แต่เธอกลับจำเหตุการณ์ตอนที่ถูกทำร้ายได้”
“แล้วเราจะช่วยเธอได้ยังไงล่ะเนี่ย”
“จากที่เธอเล่า...ฉันว่าคนร้ายไม่น่าจะต้องการแค่ชิงทรัพย์เธออย่างเดียว แต่มันต้องการเอาชีวิตเธอด้วย นั่นหมายความว่าตอนนี้เธอกำลังตกอยู่ในอันตราย ถ้าคนร้ายรู้ว่าเธอยังไม่ตายมันต้องกลับไปทำร้ายเธออีกแน่ๆ เพราะฉะนั้น...”
“เพราะฉะนั้นเราต้องช่วยเธออีก ช่วยให้ถึงที่สุด ถ้าเธอตกอยู่ในอันตรายจริงเรายิ่งต้องช่วยเธอ ส่วนเรื่องที่จะไปแจ้งความยังไม่ต้องหรอก เราต้องช่วยกันดูแลเธอจนกว่าความจำของเธอกลับคืนมา ถ้าเราเอารูปของเธอประกาศลงโซเชียลตอนนี้เดี๋ยวคนร้ายจะรู้ว่าเธอยังไม่ตายแล้วจะย้อนกลับมาทำร้ายเธออีก...เราเป็นสุภาพบุรุษเพราะฉะนั้นเราต้องช่วยสุภาพสตรีนะ” ตะวันฉายบอก
“ครับ พ่อพระเอก” เหมือนชลธรจะพูดประชด
อีกฝ่ายจึงถามว่า
“แล้วแกเป็นตัวร้ายรึไง”
“ฉันเป็นอะไรก็ได้ทั้งนั้น ทั้งพระเอกพระรอง หรือแม้กระทั่งตัวร้าย”
“สรุปแกจะช่วยฉันดูแลผู้หญิงคนนั้นมั้ย”
“ต้องช่วยอยู่แล้วละ เราเป็นมนุษย์ก็ต้องช่วยเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน จะนิ่งดูดายได้ยังไง แล้วอีกอย่าง...”
“อะไรวะ”
“ผู้หญิงคนนั้นทั้งขาวทั้งสวย ดูๆ แล้วคงจะอายุไล่เลี่ยกับเรา ฉันชักจะตกหลุมรักเธอซะแล้วสิ”
“เฮ้ยๆ แกคิดอะไรของแกวะ เรากับเธอเพิ่งจะพบกันแล้วแกมาบอกว่าตกหลุมรักเธอเนี่ยนะ อะไรมันจะปัจจุบันทันด่วนขนาดนั้นวะ ไม่ได้ๆ” ตะวันฉายรีบห้ามเพื่อนทันที
ชลธรมองเพื่อนอย่างสงสัย
“แกจะห้ามฉันทำไมวะ หรือที่แกห้ามฉันเป็นเพราะว่าแกก็ตกหลุมรักเธอเหมือนกันสินะ ใช่มั้ยล่ะ สารภาพมาเถอะ”
“แกจะบ้ารึไง คนอย่างฉันมันเจ็บแล้วจำ ฉันสาบานไว้แล้วว่าชาตินี้ฉันจะไม่รักผู้หญิงคนไหนอีกเป็นอันขาด ฉันจะอยู่เป็นโสดตลอดชีวิต จะดูแลลูกและดูแลไร่องุ่น เพราะฉันกลัว...”
“แกกลัวว่าประวัติศาสตร์ซ้ำรอย เหมือนที่แกกับ...”
“อย่าพูดชื่อผู้หญิงคนนั้น ฉันไม่อยากได้ยิน ฉันลืมเธอไปแล้ว” ชายหนุ่มพูดเกือบจะเป็นตะคอก
“ฉันขอโทษ” ชลธรเอ่ยคำขอโทษเมื่อรู้ว่ากำลังทำให้เพื่อนโกรธ
อีกฝ่ายจึงพูดต่อไปอีกว่า
“ฉันลืมผู้หญิงคนนั้นไปแล้ว ในหัวใจฉันไม่มีผู้หญิงที่ชื่อพิมพ์รดาอีกแล้ว ชีวิตนี้ฉันไม่ขอยุ่งเกี่ยวกับเธออีก แค่ฉันมีอชิ ลูกชายของฉัน แค่นี้ฉันก็มีความสุขมากพอแล้ว เราอยู่กันสองคนพ่อลูกได้”
“แล้วถ้าเกิดวันหนึ่งมีผู้หญิงคนใหม่เข้ามาในชีวิตของแกล่ะ แกจะรับเขาเป็นแม่ใหม่ของอชิมั้ย” เขาลองถามหยั่งเชิงดู
ตะวันฉายเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะตอบว่า
“ก็ฉันบอกแล้วไง ว่าฉันจะเป็นโสดไปตลอดชีวิต ฉันจะไม่ขอยุ่งเกี่ยวกับผู้หญิงคนไหนในโลกนี้อีก ชัดเจนหรือยัง หา!”
“แล้วแกไม่สงสารลูกบ้างหรือไงที่ไม่มีแม่ อชิเห็นเพื่อนๆ มีแม่ บางทีเขาก็อยากจะมีแม่เหมือนเพื่อนๆ ก็ได้”
“ก็ไม่เห็นอชิพูดอะไรเลยนี่”
“เด็กน่ะบางทีเขาคิดแต่ไม่พูดออกมา บางทีเขาอาจเก็บไว้ในใจก็ได้นะใครจะไปรู้ จริงมั้ยวะ”
“หยุดพูดเถอะ ถึงบ้านแล้ว อ้อ แล้วแกก็ไม่ต้องพูดเรื่องนี้อีกนะ เพราะฉันว่ามันไร้สาระสิ้นดี” ชายหนุ่มบอกกับเพื่อนเมื่อมาถึงบ้านไร่แล้ว เขาพูดโดยไม่สนใจในคำแนะนำของเพื่อนเลยสักนิดเดียว
นั่นเป็นเพราะเขาเข็ดแล้วกับเรื่องผู้หญิง ชาตินี้เขาขออยู่เป็นโสดตลอดชีวิตดีกว่า คนอย่างเขาเจ็บแล้วจำ และเขาไม่ยอมกลับไปเจ็บซ้ำซากเพราะผู้หญิงอีกแล้ว หยุดคิดเสียทีเถอะ!
แล้วทั้งสองก็ลงจากรถเมื่อรถจอดสนิทหน้าบ้านของตะวันฉาย ที่ชลธรต้องกลับมาที่นี่กับเพื่อนเพราะรถของเขาจอดอยู่ที่นี่ เขาก็เลยต้องกลับมาเอารถนั่นเอง
“หวังว่าแกคงเข้าใจที่ฉันบอกนะโว้ย” ตะวันฉายหันไปพูดกับเพื่อนเมื่อจัดการล็อกรถเสร็จแล้ว
“เข้าใจ” ชลธรพยักหน้า “แต่ก็ไม่ทั้งหมดหรอกนะ มีอยู่อย่างหนึ่งที่ฉันไม่เข้าใจ”
“อะไรวะ”
“ก็...”
“พ่อกลับมาแล้ว” ยังไม่ทันที่ชลธรบอกเพื่อนเสียงของเด็กชายอชิระก็ดังขึ้นขัดจังหวะ
เด็กชายอชิระเดินออกมาหาบิดาเมื่อได้ยินเสียงรถแล่นเข้ามาที่หน้าบ้าน
“อ้าว! อชิ ลูกยังไม่อีกเหรอครับ” ตะวันฉายถามลูกชาย
“นั่นสิ เป็นเด็กเป็นเล็กนอนดึกมากไม่ดีรู้มั้ย” ชลธรบอกกับเด็กชาย
คนถูกพูดด้วยยิ้มแฉ่งจนเห็นฟันขาวสะอาดที่เรียงกันอย่างสวยงาม พร้อมกับพยักหน้า
“รู้ครับ แต่อชินอนไม่หลับถ้าไม่ได้นอนพร้อมพ่อครับ”
“พ่อบอกแล้วไงว่าไม่ต้องรอพ่อ ถ้าวันไหนพ่อไปทำธุระแล้วกลับดึกก็ให้ลูกนอนก่อนพ่อเลยนะครับ”
“แต่...”
“ไม่มีแต่นะครับลูก”
“ครับ” ผู้เป็นลูกชายพยักหน้ารับ ก่อนจะถามว่า
“เอ...แล้ววันนี้อาชลจะนอนค้างกับเราที่นี่เหรอครับพ่อ”
“เปล่าครับ อาแค่จะมาเอารถที่จอดไว้แล้วจะกลับบ้านเลย นี่ก็ดึกแล้วงั้นอากลับบ้านก่อนนะ ส่วนอชิกับพ่อก็เข้านอนได้แล้วนะ” ชายหนุ่มบอกกับเด็กชายตัวน้อยยิ้มๆ
“ครับ” เด็กชายอชิระพยักหน้ารับ ก่อนจะยกมือไหว้ “สวัสดีครับอาชล”
“ครับ ฝันดีนะ” แล้วหันไปทางเพื่อน “ฉันกลับก่อนนะ เดี๋ยวพรุ่งนี้ฉันจะมาทำงานแต่เช้าเลย”
“อืม ขับรถดีๆ ล่ะ” ตะวันฉายบอกกับเพื่อน
อีกฝ่ายพยักหน้าก่อนจะเดินไปขึ้นรถและสตาร์ทรถขับออกไปทันที
เมื่อรถของชลธรแล่นไปไกลลับตาแล้วหนุ่มผู้เป็นเจ้าของไร่องุ่นก็พูดกับลูกชายว่า
“เข้าบ้านกันเถอะครับลูก เดี๋ยวคืนนี้พ่อจะเล่านิทานก่อนนอนให้ฟัง เรื่องอะไรดี”
“เรื่องสุนัขจิ้งจอกกับอีกาครับ” เด็กชายตอบ
“อ้อ ได้ครับ ไว้เดี๋ยวพ่อจะเล่าให้ฟังเนอะ ปะ! เข้าไปข้างในบ้านกันเถอะ” ชายหนุ่มยิ้มให้ลูกชาย ก่อนจะอุ้มขึ้นมาและหอมแก้มซ้ายขวา จากนั้นก็เดินเข้าบ้านไปทันทีพร้อมกับปิดประตู
วันต่อมา...อรรถพลกับวรเมธยังคงตามหาปาณิสราไปเรื่อยๆ ตามหาทุกหนทุกแห่งในตัวเมืองเชียงใหม่ แต่ตามหาเท่าไหร่ก็หาไม่เจอจนพวกเขาท้อแท้
“โธ่โว้ย! แล้วนี่เราจะไปตามหายายณิสที่ไหนกันอีกล่ะเนี่ยลูก พ่อชักจะท้อแท้แล้วนะ” อรรถพลพูดกับลูกชาย
วรเมธก็มีสีหน้าเครียดไม่ต่างจากบิดา
“มันต้องมีสักที่สิครับคุณพ่อที่คุณณิสไป เราลองไปตามหากันที่อื่นดูมั้ยครับ”
“ที่ไหนล่ะ”
ทว่า ขณะที่สองคนพ่อลูกกำลังเครียดกันอยู่นั้นเองเสียงโทรศัพท์ของฝ่ายบิดาก็ดังขึ้น เขารีบกดรับสายทันที ถึงแม้จะเห็นว่าเป็นเบอร์แปลกก็ตาม
“ฮัลโหลครับ นั่นใครโทร. มาครับ”
“ผมเป็นตำรวจจากโรงพักในตัวเมืองเชียงใหม่ครับ ผมได้รับการประสานงานจากตำรวจที่โรงพักที่กรุงเทพฯ ว่าคุณไปแจ้งความว่าลูกสาวของคุณหายตัวไปขณะมาเที่ยวที่เชียงใหม่ ผมจึงโทร. ไปแจ้งความคืบหน้าของคดีครับ” เป็นตำรวจจากในตัวเมืองเชียงใหม่นั่นเองที่โทร. มาหาเขา
“คุณตำรวจโทร. มาลูก” ผู้เป็นบิดาบอกกับลูกชาย
วรเมธจึงถามอย่างตื่นเต้นว่า
“จริงเหรอครับคุณพ่อ”
อีกฝ่ายพยักหน้า ก่อนจะคุยโทรศัพท์ต่อ
“สวัสดีครับคุณตำรวจ ได้ความคืบหน้าของลูกสาวผมยังไงบ้างครับ”
“เมื่อวานผมไปเจอรถเบนซ์หรูสีขาวคันหนึ่ง ทะเบียน กธ4832 ถูกจอดอยู่ที่อู่ซ่อมรถแห่งหนึ่งในตัวเมืองเชียงใหม่ ซึ่งตรงกับภาพที่ตำรวจจากกรุงเทพฯ ส่งมาให้ เป็นรถคันนี้ทะเบียนนี้เลยครับ”
“จริงเหรอครับคุณตำรวจ” คนถามถามอย่างตื่นเต้นมาก “ตอนนี้ผมก็อยู่ที่เชียงใหม่ครับ อยู่ในตัวเมือง”
“ถ้างั้นก็ดีเลยครับ คุณช่วยมาหาผมที่โรงพักได้มั้ยครับแล้วผมจะบอกอย่างละเอียดอีกที”
“ได้ครับ” อรรถพลรับปากก่อนจะวางสายไป แล้วหันไปบอกกับลูกชาย “คุณตำรวจให้เราไปหาที่โรงพัก”
“ถ้างั้นก็ไปกันเลยสิครับคุณพ่อ” วรเมธว่า
ผู้เป็นบิดาพยักหน้า จากนั้นสองคนพ่อลูกก็เดินไปที่รถซึ่งจอดอยู่ใกล้ๆ ใบหน้าของพวกเขานั้นเต็มไปด้วยความตื่นเต้นและดีใจ มีความหวังที่จะเจอปาณิสราเมื่อคุณตำรวจบอกว่าเจอรถของหล่อนจอดอยู่ที่อู่ซ่อมรถในตัวเมืองเชียงใหม่ ซึ่งนั่นก็หมายความว่าหล่อนไม่ได้หายไปไหนไกล ผู้เป็นบิดาอย่างอรรถพลจึงดีใจอย่างมากที่จะได้เจอลูกสาว เขาจึงยิ้มออกมาได้ในที่สุด!
“งั้นเหรอครับคุณตำรวจ” อรรถพลถามตำรวจอย่างตื่นเต้น เพราะทันทีที่เขาและวรเมธมาถึงสถานีตำรวจคุณตำรวจก็ได้บอกความคืบหน้าของคดีการหายตัวไปของปาณิสราอย่างละเอียดยิบ นั่นจึงทำให้บิดาอย่างเขาถึงกับตื่นเต้นจนเก็บอาการไม่อยู่เลยทีเดียว
คุณตำรวจพยักหน้า
“ครับ จริงครับ”
“งั้นก็หมายความว่าลูกสาวของผมไม่ได้หายไปไหนไกล อยู่แถวนี้เองสินะครับ”
“ครับ ประมาณนั้นครับ แต่...”
“แต่อะไรครับคุณตำรวจ”
“แต่ไม่เห็นเจ้าของรถ เจอแต่รถครับ เจ้าของอู่บอกว่ามีคนโทร. ตามให้เขาไปรับรถไปซ่อมในคืนวันที่เกิดเหตุ ซึ่งจุดที่เจ้าของอู่ไปรับรถก็อยู่แถวถนนเปลี่ยวแห่งหนึ่งครับ”
“แล้วเป็นใครกันที่โทร. ไปบอกเจ้าของอู่ล่ะครับ” อรรถพลถามด้วยความกระวนกระวายใจ
คุณตำรวจจึงบอกว่า
“เป็นผู้ชายครับ แต่ไม่รู้ว่าใคร”
“ผมอยากพบเจ้าของอู่ครับ”
“คุณอรรถพลอยากพบเขาทำไมครับ” ตำรวจถามอีกฝ่ายอย่างแปลกใจ
“เอาเป็นว่าผมอยากพบเขาครับ ได้มั้ยครับ” เขาตัดบทเอาเสียดื้อๆ
ตำรวจจึงต้องพยักหน้ายอม
“โอเคครับ ได้เลยครับ”
“ขอบคุณนะครับคุณตำรวจ” ยิ้มอย่างดีใจที่สุด
ตำรวจพาอรรถพลกับวรเมธมาที่อู่ซ่อมรถแห่งหนึ่งในตัวเมืองเชียงใหม่ ที่บอกว่าเห็นรถของปาณิสราจอดอยู่ โชคดีที่วันนี้เจ้าของอู่อยู่
เมื่อเจ้าของอู่เห็นตำรวจก็ยกมือไหว้
“อ้าว! คุณตำรวจ สวัสดีครับ มีอะไรหรือเปล่าครับ หรือว่ารถเสีย”
“รถไม่ได้เสีย แต่คุณคนนี้เขาอยากพบคุณ” ตำรวจชี้ไปที่อรรถพล
อรรถพลและวรเมธยกมือไหว้ผู้เป็นเจ้าของอู่ อีกฝ่ายรับไหว้ยิ้มๆ
“สวัสดีครับ เอ้อ...”
“ผมอยากพบคุณครับ” อรรถพลบอกยิ้มๆ
“คุณอยากพบผม? ” ผู้เป็นเจ้าของอู่รู้สึกแปลกใจ
อีกฝ่ายพยักหน้า
“ครับ” แล้วสายตาของเขาก็เหลือบไปเห็นรถเบนซ์ของลูกสาวที่จอดอยู่ เขาจึงบอกกับเจ้าของอู่ “รถคันนั้นเป็นรถของลูกสาวผมครับ ไม่ทราบว่ามาจอดอยู่ที่นี่ได้อย่างไรครับ”
“หา! นี่รถของลูกสาวคุณงั้นเหรอครับ” ดูเหมือนชายผู้เป็นเจ้าของอู่วัยกลางคนจะตกใจกับสิ่งที่อีกฝ่ายบอก
อรรถพลพยักหน้าอีกครั้ง
“ใช่ครับ รถคันนั้นเป็นรถของลูกสาวผม ผมจำทะเบียนรถได้ กธ4832 แล้ว...”
“เอ้อ...เมื่อกลางดึกของวันอาทิตย์มีคนโทร. มาบอกให้ผมไปรับรถที่เสียมาซ่อม โดยบอกว่ารถจอดอยู่แถวถนนเปลี่ยวไม่ไกลจากตัวเมืองเท่าไหร่นัก ผมเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าคนที่โทร. มาบอกผมเป็นใคร แต่ผมก็ตัดสินใจพาลูกน้องไปรับรถครับ”
“ผมขอเบอร์โทรของคนที่โทร. มาหาคุณหน่อยครับ”
“เอ้อ ได้ครับ รอสักครู่นะครับ” เจ้าของอู่หายไปในห้องพักสักพัก ก่อนจะเดินกลับออกมาพร้อมกับกระดาษเล็กๆ แผ่นหนึ่ง “นี่เป็นเบอร์โทรของคนที่โทร. มาหาผม”
“ขอบคุณครับ” อีกฝ่ายรับกระดาษมา
อรรถพลมองกระดาษแผ่นเล็กในมือแล้วยิ้มกว้างอย่างดีใจ ในกระดาษจดเบอร์โทรของคนที่โทร. ให้เจ้าของอู่ไปรับของลูกสาวเขามาซ่อม เขาเองก็อยากจะรู้เหมือนกันว่าเจ้าของเบอร์โทรนี้เป็นใครแล้วทำไมถึงได้เกี่ยวข้องกับรถของปาณิสรา แล้วปาณิสราไปไหน หรือหล่อนถูกผู้ชายที่เป็นเจ้าของเบอร์โทรนี้จับตัวไป คนเป็นบิดาอย่างเขาก็ได้แต่คิดไปต่างๆ นานาด้วยความเป็นห่วงลูกสาว เขาก็อยากจะรู้เหมือนกันว่าตอนนี้ปาณิสราอยู่ที่ไหน แล้วจะเป็นอย่างไรบ้างนะ
“เอ้อ รถของลูกสาวผมซ่อมเสร็จหรือยังครับ” เขาถามเจ้าของอู่
อีกฝ่ายจึงบอกว่า
“อ้อ ยังครับ ตอนนี้รออะไหล่อยู่ครับ อะไหล่ยังไม่มาส่ง คาดว่าน่าจะอีกราวหนึ่งอาทิตย์ครับถึงจะซ่อมเสร็จ”
“ถ้าซ่อมเสร็จแล้วก็โทร. ไปบอกผมตามเบอร์โทรที่อยู่ในนามบัตรนี่เลยนะครับ เดี๋ยวผมจะให้ลูกชายมาเอารถ” เขายื่นนามบัตรให้ ก่อนจะหันไปทางตำรวจ “แล้วทำยังไงผมถึงจะเจอลูกสาวล่ะครับคุณตำรวจ”
“ก็ลองโทร. ไปหาผู้ชายคนที่โทร. บอกให้เจ้าของอู่ไปรับรถของลูกสาวคุณมาซ่อมดูสิครับ เผื่อลูกสาวของคุณจะอยู่กับเขา” ตำรวจบอก
อีกฝ่ายพยักหน้ายิ้มๆ
“ครับ เอ้อ ถ้างั้นผมขอไปดูรถของลูกสาวผมหน่อยนะครับ”
“ได้ครับ” เจ้าของอู่พยักหน้า
แล้วจากนั้นสองคนพ่อลูกก็เดินไปดูรถเบนซ์ของปาณิสราที่จอดรอซ่อมทันที ส่วนเจ้าของอู่ก็เดินตามไป
อรรถพลเดินสำรวจรถของลูกสาวไปด้วยพูดไปด้วย
“รถก็ไม่ได้มีรอยถลอกอะไรเลยครับ ข้างนอกปกติดี แล้ว...”
“มันเสียที่เครื่องยนต์ครับ” เจ้าของอู่บอก
“เอ...แต่ว่ารถคันนี้เพิ่งจะออกได้ไม่ถึงเดือนเลยนะครับ แล้วจะเป็นไปได้อย่างไรที่เครื่องยนต์จะเสีย” เขาหันไปพูดกับเจ้าของอู่อย่างแปลกใจ
วรเมธเองก็ไม่เชื่อ
“นั่นสิครับ มันจะเป็นไปได้อย่างไรที่เครื่องยนต์จะเสีย ทั้งที่รถของคุณณิสเพิ่งออกไม่ถึงเดือนเลย”
“อันนี้ผมก็ไม่ทราบเหมือนกันครับ แต่เท่าที่ผมตรวจสอบก็พบว่ามีน้ำมันรั่วครับ รั่วเยอะด้วยครับ นี่เป็นสาเหตุที่ทำให้เครื่องยนต์เสียและสตาร์ทรถไม่ติดครับ”
“อย่างนั้นเองเหรอครับ” อรรถพลถาม
อีกฝ่ายพยักหน้า
“ครับ ใช่ครับ”
“เอ...แล้วในรถมีของสำคัญเหลือมั้ยครับ”
“อ้อ ไม่มีอะไรเลยครับ มีแค่รถเปล่าๆ ของมีค่าอะไรก็ไม่มีเลยครับ”
“สงสัยผู้ชายคนนั้นจะเอาไป” ประโยคนี้อรรถพลพึมพำกับตัวเอง ก่อนจะบอกกับเจ้าของอู่ว่า “เอ้อ ถ้าซ่อมเสร็จก็โทร. บอกผมได้เลยนะครับ แจ้งยอดค่าซ่อมว่าหมดเท่าไหร่”
“ได้ครับ เดี๋ยวถ้าซ่อมเสร็จผมจะแจ้งไปนะครับ” รับปากทันที
อรรถพลยิ้มให้อีกฝ่าย ก่อนจะยกมือไหว้
“ถ้างั้นผมกับลูกขอตัวก่อนนะครับ”
“ครับคุณพ่อ” วรเมธพยักหน้า ก่อนจะหันไปยกมือไหว้เจ้าของอู่ “ผมกลับก่อนนะครับ”
“ครับ” เจ้าของอู่รับไหว้
แล้วจากนั้นสองคนพ่อลูกก็เดินออกไปจากอู่ซ่อมรถทันที ส่วนตำรวจตามไปอีกคน
เมื่อแขกทั้งสามคนออกไปจากอู่แล้ว ผู้เป็นเจ้าของอู่ก็หันไปสั่งลูกน้อง
“ไอ้จ๊อด โทร. เช็คดูอีกทีสิว่าอะไหล่รถคันนี้จะมาถึงวันไหน”
“ได้ครับลูกพี่” ลูกน้องที่มีนามว่า ‘จ๊อด’ รับคำทันที
“โอ๊ย! ตาวิชญ์ ทำไมพ่อแกถึงไปเชียงใหม่หลายวันจัง แม่โทร. ไปหาก็ไม่ยอมรับสาย” ธัญวณีย์เดินไปเดินมาอยู่ในห้องรับแขก ขณะที่ผู้เป็นลูกชายนั่งเล่นโทรศัพท์อยู่บนโซฟา แต่ดูเหมือนชายหนุ่มจะไม่ได้ยินที่มารดาพูดด้วยเพราะมัวแต่เล่นโทรศัพท์ จนผู้เป็นมารดาต้องเรียกอีกครั้ง
“นี่ตาวิชญ์ นี่แกไม่ได้ยินที่แม่พูดด้วยหรือไงฮึ”
“หา! อะไรครับคุณแม่ คุณแม่พูดกับผมเหรอครับ” อติวิชญ์ได้สติและละสายตาจากหน้าจอโทรศัพท์ ก่อนจะหันไปถามมารดา
ผู้เป็นมารดาทำหน้าเบื่อหน่ายใส่ลูกชาย ก่อนจะพูดว่า
“ก็ใช่น่ะสิ ในห้องมีแค่แม่กับแก แล้วแกจะให้แม่พูดกับใคร แม่ไม่ได้บ้านะที่จะพูดคนเดียว”
“เอ้อ ผมไม่ได้หมายความว่าอย่างนั้นนะครับคุณแม่”
“เอาเถอะ ช่างมันเถอะ ตอนนี้แม่ร้อนรนกระวนกระวายอยากรู้เรื่องยายณิส โทร. หาพ่อแกก็ไม่ยอมรับสาย ไม่รู้มัวทำอะไรอยู่”
“คุณพ่อก็คงจะกำลังตามหาพี่ณิสอยู่นั่นแหละครับคุณแม่”
“ก็น่าจะรับโทรศัพท์แม่บ้างนะ”
“อันนี้ผมก็ไม่รู้สิครับ” ผู้เป็นลูกชายส่ายหน้า
ธัญวณีย์นิ่งอย่างใช้ความคิด แล้วทันใดนั้นเองจิตรา สาวใช้ของบ้านก็เดินเข้าคุกเข่ามารายงานว่า
“คุณผู้หญิงคะ มีคนมาขอพบคุณผู้หญิงค่ะ”
“ไปบอกเขาว่าตอนนี้ฉันยังไม่อยากพบใครทั้งนั้น ฉันกำลังเครียดเรื่องของลูกสาวฉันอยู่” หล่อนบอกอย่างอารมณ์เสีย
“เอ้อ...” ผู้เป็นสาวใช้อึกอัก
อีกฝ่ายจึงบอกอีกครั้งว่า
“ไปสิ จะมัวเอ้ออ้าอยู่ทำไม”
แล้วจู่ๆ เสียงหนึ่งก็ดังขึ้นจากหน้าห้องรับแขก เป็นเสียงคุ้นหูสำหรับคนบ้านนี้
“แม้กระทั่งผมคุณน้าก็ยังไม่อยากพบเหรอครับ”
ธัญวณีย์หันขวับไปมองยังต้นเสียง เมื่อเห็นว่าเป็นใครหล่อนก็เบิกตากว้างด้วยความตกใจ ก่อนจะแสร้งทำเป็นยิ้มให้ เมื่ออีกฝ่ายเดินเข้ามาหล่อนก็พูดว่า
“อ้าว! ตาพอร์ชนั่นเอง น้านึกว่าใคร!”
“อ้าว! พี่พอร์ช สวัสดีครับ” อติวิชญ์ยกมือไหว้แขกที่มาเยือน
คนที่มาเยือนก็คือพลวัตหรือพอร์ชนั่นเอง! เป็นลูกชายของเจริญศรี เพื่อนของธัญวณีย์ ซึ่งธัญวณีย์หมายมั่นอยากได้ชายหนุ่มผู้นี้มาเป็นลูกเขย และตอนนี้พลวัตกับปาณิสราก็กำลังคบหาดูใจกันอยู่ นั่นจึงเป็นที่พอใจของผู้เป็นมารดาอย่างธัญวณีย์ที่สุด
“สวัสดีครับน้องวิชญ์ สวัสดีครับคุณน้าณีย์” พลวัตรับไหว้อติวิชญ์และยกมือไหว้ธัญวณีย์
อีกฝ่ายจึงรับไหว้ยิ้มๆ
“สวัสดีจ้ะ เชิญนั่งก่อนสิจ๊ะ” ผายมือเชื้อเชิญ
ชายหนุ่มผู้มาเยือนนั่งลงตามคำเชิญ แล้วผู้เป็นเจ้าของของบ้านก็นั่งลงเช่นกัน ก่อนที่จะอธิบายว่า
“เอ้อ เมื่อกี้น้าเครียดๆ อยู่น่ะจ้ะก็เลยพูดออกไปอย่างนั้น และอีกอย่าง น้าเองก็ไม่รู้ด้วยว่าตาพอร์ชจะเป็นแขกที่มาหาน้า ถ้าน้ารู้น้าก็คงจะพูดออกไปอย่างนั้นและจะให้จิตราไปเรียกเธอเข้ามาทันที”
“ไม่เป็นไรหรอกครับคุณน้า” พลวัตตอบยิ้มๆ ก่อนจะถามอีกฝ่ายต่อไปอีกว่า “เอ้อ ว่าแต่คุณน้ากำลังเครียดเรื่องอะไรอยู่เหรอครับ พอจะบอกผมได้มั้ยครับ เผื่อผมจะช่วยได้”
“เอ้อ...” ธัญวณีย์กำลังลังเลว่าจะบอกดีหรือไม่
อติวิชญ์ตัดสินใจพูดแทนมารดา
“ก็พี่ณิสน่ะสิครับพี่พอร์ช ไปเที่ยวเชียงใหม่อีท่าไหนไม่รู้ถึงได้หายไป ติดต่อก็ไม่ได้ นี่คุณพ่อกับไอ้ลูก เอ้อ กับวรเมธก็กำลังไปตามพี่ณิสที่เชียงใหม่อยู่ครับ”
“ตาวิชญ์ นี่แกจะพูดทำไมฮึ!” ผู้เป็นมารดาดุลูกชาย
เมื่อได้ยินที่อติวิชญ์พูดพลวัตก็ถึงกับตกใจ
“อะไรนะครับ น้องณิสหายไปงั้นเหรอครับ”
“เอ้อ...จ้ะ” ธัญวณีย์ยิ้มเจื่อนๆ
“เรื่องใหญ่แบบนี้แล้วทำไมคุณน้าไม่บอกผมครับ แฟนของผมหายไปทั้งคนนะครับ ผมมีสิทธิ์ที่จะต้องรับรู้” ดูเหมือนชายหนุ่มจะไม่ค่อยพอใจเท่าไหร่นัก
อีกฝ่ายตกใจกับสิ่งที่พลวัตพูด แต่ต่อมาก็รีบอธิบาย
“ใจเย็นๆ ก่อนนะตาพอร์ช คือที่น้าไม่อยากบอกตาพอร์ชก็เพราะว่าน้าไม่อยากให้ตาพอร์ชไม่สบายใจน่ะ นะ อย่าโกรธน้าเลยนะจ๊ะ”
“ผมจะไปช่วยคุณน้าอรรถพลตามหาน้องณิสอีกแรงครับ” พลวัตลุกขึ้นทันที เขาไม่ตอบคำถามของธัญวณีย์เลย แล้วเขาก็ยกมือไหว้หล่อน “ผมขอตัวก่อนนะครับคุณน้า สวัสดีครับ” พูดจบก็ผลุนผลันออกไป
ธัญวณีย์รับไหว้แทบไม่ทัน หล่อนรีบตะโกนถาม
“อะไรกันจ๊ะ เพิ่งจะมาถึงเองกลับแล้วเหรอจ๊ะ” แต่ก็ไม่มีเสียงตอบกลับมา หล่อนจึงหันไปตีแขนลูกชายดัง เผียะ!ด้วยความหมั่นไส้ “นี่แน่ะ แกไม่น่าไปบอกตาพอร์ชเลย ดูสิ เห็นมั้ย เขาโกรธแม่เลย”
“โอ๊ย! ผมเจ็บนะครับคุณแม่” อติวิชญ์ลูบแขนตัวเองอย่างเจ็บๆ “อ้าว! ผมผิดตรงไหนครับคุณแม่ ผมแค่บอกความจริงกับพี่พอร์ชก็เท่านั้นเอง”
“ผิดสิ ผิดที่แกพูดให้ตาพอร์ชโกรธแม่ แม่อุตส่าห์ไม่บอกตาพอร์ชแล้วเชียว ดูสิ ตาพอร์ชโกรธแม่เลย”
“พี่พอร์ชโกรธไม่นานหรอกครับคุณแม่”
“แกรู้ได้ยังไง”
“เอ้อ ผมเดาเอาน่ะครับ” อติวิชญ์ยิ้มแหยๆ
“โอ๊ย!” ผู้เป็นมารดารู้สึกหงุดหงิดมาก ก่อนจะกระแทกตัวนั่งลงบนโซฟาทันที
ที่ไร่องุ่น ‘พงศ์พิริยะศักดา’ ...ตะวันฉายกำลังตัดแต่งกิ่งองุ่นกับคนงานคนสนิทและคนงานอีกหลายคน ชายหนุ่มทำอย่างชำนิชำนาญเพราะอยู่กับไร่องุ่นมาตั้งแต่เกิด รู้ทุกเรื่องที่เกี่ยวกับต้นองุ่น ตั้งแต่วิธีการปลูกยันวิธีการเก็บผลผลิต เขามีความสุขที่ได้ทำงานในไร่มากกว่าที่จะนั่งอยู่เฉยๆ เพราะบิดาของเขาสอนให้เขาทำงาน ไม่ใช่สอนให้เขานั่งชี้นิ้วสั่งคนงานอย่างเดียว และนั่นแหละที่ทำให้คนงานรักนายจ้างอย่างเขา ส่วนตะวันฉายเองก็ดูแลคนงานทุกคนเป็นอย่างดี ดูแลเสมือนเป็นครอบครัวของเขาเอง
“เหนื่อยมั้ยครับนาย” นายวินถามผู้เป็นเจ้านาย
ตะวันฉายส่ายหน้ายิ้มๆ บนใบหน้าของเขามีเหงื่อไหลโชก ถึงแม้จะสวมหมวกแต่ก็ใช่ว่าจะทำให้หายร้อนได้
“ฉันไม่เหนื่อยหรอก งานแค่นี้ฉันทำสบายมาก ฉันน่ะทำกับคุณพ่อมาตั้งแต่เด็กๆ แล้ว ความเหนื่อยไม่เคยมีอยู่ในตัวของฉันหรอก”
“เอ้อ ครับ...นายของผมเก่งเสมอ” คนงานคนสนิทพยักหน้ายิ้มๆ
แล้วคนงานชายวัยกลางคนที่ทำงานอยู่ใกล้ๆ กันได้ยินเข้าจึงพูดว่า
“ไอ้วิน แกก็พูดแปลกนะ ถ้านายตะวันฉายไม่เก่งก็คงจะไม่ได้เป็นนายของพวกเราหรอก”
“ก็จริงนะ” นายวินยิ้มแหยๆ
ตะวันฉายรีบหยุดทำงานแล้วหันไปพูดกับคนงานทั้งสองคน
“ผมก็ไม่ได้เก่งอะไรมากมายหรอก ผมก็ทำไปตามที่พ่อสอนมาก็เท่านั้นเอง มีพ่อสอนดีก็เหมือนมีครูดีๆ คนหนึ่งอยู่ข้างๆ เอาเถอะ รีบๆ ทำงานกันต่อเถอะ อย่ามัวแต่พูดอยู่เลย นี่ก็ใกล้จะเที่ยงแล้ว” พลางมองดูนาฬิกาข้อมือ
คนงานทั้งสองคนพยักหน้ายิ้มๆ ก่อนจะพากันลงมือทำงานต่อ ผู้เป็นนายก็ทำงานต่อเช่นกัน
ขณะที่ตะวันฉายกำลังทำงานกันอยู่ก็ได้ยินเสียงปรบมือของใครคนหนึ่งดังขึ้นจากข้างหลังเขา
“โอ๊ะโอ๊ย ขยันจริงๆ พาคนงานทำงานอย่างขยันขันแข็ง เยี่ยมยอดไปเลย”
ชายหนุ่มหันขวับไปมองเจ้าของเสียงปรบมือก็เห็นว่าเป็นกฤษพล ชายวัย ๓๐ ต้นๆ ผู้เป็นเจ้าของไร่องุ่นคู่แข่งของเขาที่ปลูกติดๆ กัน กฤษพลชอบหาเรื่องเขาบ่อยๆ เพราะอิจฉาที่ผลผลิตองุ่นของเขานั้นขายได้กำไรมหาศาลต่อปี ทั้งไวน์เอย ผลองุ่นสดๆ เอย ล้วนแต่ขายดีทั้งสิ้น ส่วนไร่ของอีกฝ่ายน่ะหรือแทบขายไม่ออกเลยละ นี่คือเหตุผลที่ทำให้กฤษพลอิจฉาและชอบมาหาเรื่องตะวันฉายบ่อยๆ แต่ถูกชายหนุ่มก็ตอบกลับไปอย่างแสบๆ ทุกครั้งเลยทีเดียว
“ว่าไง วันนี้แกจะมาหาเรื่องอะไรฉันอีก” ตะวันฉายยิงคำถามไปทันที
กฤษพลถึงกับหัวเราะ ก่อนจะตอบคำถามว่า
“โอ๊ะๆ อย่าถามฉันแบบนั้นสิ นายเห็นฉันเป็นคนชอบหาเรื่องขนาดนั้นเลยหรือไงฮึ!”
“ก็ใช่น่ะสิ” ชายหนุ่มตอบอย่างไม่สบอารมณ์เท่าไหร่นัก “ทุกครั้งที่แกเข้ามาเหยียบไร่ของฉันก็มีเหตุผลเดียวเท่านั้นแหละ นั่นก็คือมาหาเรื่องฉัน แกอย่าเถียงฉันว่ามันไม่จริง เพราะฉันมีพยานมากมายที่จะบอกว่าทุกครั้งที่แกมาเหยียบไร่นี้ก็เพราะมาหาเรื่องฉัน คนงานของฉันทุกคนเป็นพยานให้ฉันได้”
“ผมเป็นพยานให้นายได้ครับ” นายวินว่า
ผู้มาเยือนแค่นหัวเราะ
“อะไรกันๆ อย่ามองฉันในแง่ร้ายนักสิ บางครั้งการที่ฉันมาเหยียบไร่นี้อาจมีเหตุผลที่ดีก็ได้ อย่างเช่นวันนี้”
“วันนี้ทำไม”
“เอาละ ฉันจะไม่พูดพร่ำทำเพลงแล้วกันนะ ฉันจะบอกจุดประสงค์ที่ฉันมาเหยียบไร่นี้ในวันนี้...ที่ฉันมาหานายก็เพราะว่าฉันจะมาเจรจาขอซื้อไร่นี้และโรงบ่มไวน์ นายต้องการเงินเท่าไหร่ว่ามาเลยฉันพร้อมเขียนเช็คให้” กฤษพลบอกจุดประสงค์ทันที
ผู้เป็นเจ้าของไร่มองผู้มาเยือนด้วยความโกรธระคนโมโห นี่ถ้าฆ่าอีกฝ่ายให้ตายได้ตะวันฉายจะทำเลย
“ฉันบอกแกกี่ครั้งแล้วว่าฉันไม่ขาย ไม่ขายแกได้ยินมั้ย หรือว่าแกฟังภาษาคนไม่รู้เรื่อง หา!”
“ขายๆ ให้ฉันเหอะน่า เดี๋ยวฉันจะให้มากกว่าราคาของไร่นี้เป็นสองเท่าเลย”
“จะสิบเท่าฉันก็ไม่ขายโว้ย อ้อ แล้วก็กรุณาออกไปจากไร่ของฉันได้แล้ว ถ้าไม่ออกฉันจะแจ้งตำรวจจับแกข้อหาบุกรุกไร่ของฉัน อ้อ แล้วอย่านึกว่าฉันแค่ขู่นะ คนอย่างฉันน่ะเอาจริง” ตะวันฉายพูดด้วยสีหน้าขึงขัง เอาจริงเอาจัง
แต่ทว่าอีกฝ่ายกลับไม่สะทกสะท้าน ไม่เกรงกลัวเอาเสียเลย
“โธ่! ไม่เห็นต้องแจ้งตำรงแจ้งตำรวจอะไรเลย เราคุยกันดีๆ ก็ได้นี่”
“คนอย่างแกฉันไม่อยากคุยดีๆ ด้วยหรอก เสียเวลาเปล่าโว้ย”
“ฉันว่า...”
“ไม่ต้องว่าอะไรทั้งนั้น แกออกไปจากไร่ฉันได้แล้ว หรือจะให้ฉันโทร. แจ้งตำรวจจริงๆ หา!” ตะวันฉายล้วงหยิบโทรศัพท์ออกจากกระเป๋ากางเกงและทำท่าจะกดโทร.
แต่อีกฝ่ายก็ยังแสร้งยิ้มพลางพูดว่า
“ใจเย็นๆ ก่อนสิ อย่าเพิ่งกดโทร. ฉันจะออกไปก็ได้ แต่ถ้านายตัดสินใจจะขายไร่กับโรงบ่มไวน์ได้เมื่อไหร่ก็บอกฉันได้นะ เดี๋ยวฉันจะรับซื้อไว้เอง บาย...” โบกมือลาแล้วเดินออกไป แต่ก่อนที่จะไปเขาได้ฝากรอยยิ้มเยาะให้ผู้เป็นเจ้าของไร่องุ่นแห่งนี้
ตะวันฉายและคนงานทุกคนมองตามคนที่เพิ่งจะเดินออกไปอย่างไม่พอใจมากๆ
“นายจะขายไร่นี้ให้นายกฤษพลมั้ยครับ” คนงานวัยกลางคนคนหนึ่งถามผู้เป็นนาย
คนถูกถามจึงตอบว่า
“ก็ผมบอกมันไปแล้วว่าผมไม่ขาย มันมาพูดกับผมไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้งผมก็ให้คำตอบมันเหมือนเดิม แต่ดูเหมือนมันจะฟังภาษาคนไม่รู้เรื่อง ผมไม่มีทางขายไร่องุ่นที่พ่อของผมสร้างมากับมือและเป็นสมบัติเดียวที่พ่อทิ้งไว้ให้ผม ทุกคนสบายใจได้เลยนะครับ”
“ดีครับนาย มันต้องแบบนี้สิครับ” นายวินยกนิ้วโป้งให้ผู้เป็นนายเป็นเชิงว่า ‘เยี่ยม’
อีกฝ่ายยิ้มรับ ก่อนจะบอกว่า
“เอาละๆ ทุกคน ทำงานกันต่อเถอะ เดี๋ยวจะถึงเที่ยงแล้ว”
“ครับ”
“ค่ะ” ทุกคนตอบพร้อมกัน
จากนั้นทุกคนก็ลงมือทำงานต่อทันที ตะวันฉายไม่เคยสนใจกับคำพูดของกฤษพลเลย แม้อีกฝ่ายจะมาเจรจาขอซื้อไร่องุ่นกับโรงบ่มไวน์ของเขาหลายต่อหลายครั้ง แต่เขาก็ให้คำตอบเช่นเดิมนั่นก็คือ ‘ไม่ขาย’ แต่ดูเหมือนอีกฝ่ายจะยังคงตื้อไม่เลิก สงสัยคงจะต้องการซื้อไร่ของเขาให้ได้กระมัง แต่ฝันไปเถอะว่าเขาจะยอมขายไร่องุ่นนี้ที่เป็นสมบัติของบิดาที่ทิ้งไว้ให้เขาและบิดาเป็นคนสร้างไร่นี้เองกับมือ และกว่าจะมาเป็นไร่องุ่นนี้ได้มันไม่ใช่ง่ายๆ ยากลำบากเหมือนกัน ฉะนั้นแล้วชายหนุ่มจึงยืนยันคำเดิมว่าไม่ขาย หรือต่อให้กฤษพลหว่านล้อมยังไงเขาก็ไม่ยอมขายแน่นอน!
สารบัญ / นำทาง
- 👁️ ยอดวิว 388
แสดงความคิดเห็น