ไม่ถูกชะตากัน
หญิงสาวผู้ที่ได้รับการช่วยเหลือจากตะวันฉายและชลธร เมื่อหล่อนฟื้นขึ้นมาก็จำอะไรที่เกี่ยวกับตัวเองไม่ได้ แม้กระทั่งชื่อตัวเองหรือชื่อบิดามารดา หรือแม้แต่บ้านช่องของหล่อนก็จำไม่ได้ แต่สิ่งเดียวที่หล่อนจำได้ก็คือเหตุการณ์ที่หล่อนเพิ่งจะเผชิญมา เป็นเหตุการณ์ที่สะเทือนใจสำหรับผู้หญิงตัวเล็กๆ อย่างหล่อน เวลาที่หล่อนนึกถึงภาพที่ถูกทำร้ายก็มักจะทำให้หล่อนปวดศีรษะทุกครั้ง เพราะมันเป็นภาพที่น่ากลัว มีผู้ชายสองคนที่ท่าทางไม่น่าไว้ใจอาสาจะซ่อมรถให้หล่อนที่ถนนเปลี่ยวแห่งหนึ่ง แต่กลับชักปืนออกมาจะยิงหล่อน หล่อนจึงวิ่งหนีสุดชีวิต แต่วิ่งไปยังไม่ได้ไกลก็รู้สึกเหมือนมีของแข็งมากระแทกเข้าที่ศีรษะอย่างแรงจนหล่อนร้องและล้มลงไป แล้วต่อจากนั้นหล่อนก็จำอะไรไม่ได้อีกเลย
แต่โชคดีที่มีคนช่วยพาหล่อนมาส่งโรงพยาบาล ไม่อย่างนั้นหล่อนอาจได้ตายและกลายเป็นผีเฝ้าถนนเปลี่ยวนั่นแน่ๆ ผู้ชายสองคนนั้นช่างดีจริงๆ ที่อุตส่าห์ช่วยหล่อน ถ้าพวกเขาให้หล่อนช่วยอะไรเป็นการตอบแทนหล่อนก็พร้อมจะช่วยเสมอ
ตอนนี้ผ้าก๊อซที่พันบนศีรษะหล่อนได้ถูกคุณหมอเอาออกเป็นที่เรียบร้อยแล้ว นั่นเป็นเพราะว่าแผลบนศีรษะหายดีแล้ว แต่ความทรงจำนั้นยังเลือนลางเหลือเกิน เมื่อไหร่ที่หญิงสาวพยายามคิดเรื่องราวต่างๆ ที่เกี่ยวกับตัวเองอาการปวดศีรษะจี๊ดๆ ก็ปรากฏขึ้นมาทันที เพราะฉะนั้นหล่อนจึงหยุดคิดทันที
แล้วตะวันฉายกับชลธรก็มาเยี่ยมหญิงสาว พวกเขาไม่ได้มามือเปล่าแต่ยังถือกระเช้าผลไม้มาเยี่ยมอีกด้วย
“เอ้อ พวกผมมาเยี่ยมคุณครับ ว่าแต่คุณเป็นยังไงบ้างครับ ยังมีอาการปวดหัวอยู่มั้ย” ตะวันฉายถามยิ้มๆ
หญิงสาวยิ้มให้กับคนถาม ก่อนจะตอบว่า
“ก็ยังมีอาการปวดหัวอยู่นิดหน่อยค่ะ มันจะปวดเฉพาะตอนที่ฉันพยายามนึกถึงเรื่องราวที่เกี่ยวกับตัวเอง แต่นึกเท่าไหร่ก็นึกไม่ออกค่ะ”
“ถ้านึกไม่ออกก็อย่าฝืนนะครับ เพราะมันจะปวดหัวเปล่าๆ เอาไว้คุณค่อยๆ นึกนะครับ”
“ค่ะ ฉันขอขอบคุณพวกคุณอีกครั้งนะคะที่ช่วยฉัน ถ้าไม่ได้พวกคุณละก็ ป่านนี้ฉันคง...”
“ไม่เป็นไรครับ เรื่องแค่นี้เอง”
“เพื่อนผมมันเป็นคนจิตใจดีครับ ขนาดหมาข้างถนนยังช่วยเลยครับ หรือแม้กระทั่งนกที่ปีกหักมันยังช่วยเลยครับ” ชลธรพูดยิ้มๆ
เมื่อตะวันฉายเห็นว่าเพื่อนพูดมากเขาก็กระทุ้งข้อศอกเข้าที่ท้องอีกฝ่ายทันที
“นี่แน่ะ แกชักจะพูดเยอะไปแล้วนะไอ้ชล”
“โอ๊ย!” อีกฝ่ายกุมท้องและนิ่วหน้าเจ็บ สักพักก็พูดว่า “ฉันพูดเยอะที่ไหนกัน นี่ฉันอุตส่าห์อวดความดีของแกให้คุณคนนี้เขารู้นะเนี่ย”
“แล้วฉันต้องขอบใจแกมั้ย หา!”
“อ้อ แน่นอนสิ”
หญิงสาวหัวเราะให้กับสองหนุ่มเพื่อนรักที่พูดจาหยอกเย้ากัน
“พวกคุณน่ารักดีนะคะ อย่าบอกนะคะว่าพวกคุณเป็น...”
“ไม่ใช่นะครับ พวกเราไม่ได้เป็นอย่างที่คุณคิด คือพวกเราเป็นเพื่อนกันน่ะครับ เพื่อนที่สนิทกันมาก” ตะวันฉายรีบอธิบายทันที
“อ้าวเหรอคะ ถ้างั้นฉันขอโทษด้วยนะคะที่คิดแบบนั้น ขอโทษค่ะ” หล่อนขอโทษพวกเขา
“ไม่เป็นไรครับ” อีกฝ่ายโบกมือพัลวัน
“ค่ะ” หญิงสาวยิ้ม ก่อนจะถามสองหนุ่มว่า “เอ้อ...แล้วพวกคุณพอจะช่วยฉันตามหาครอบครัวของฉันได้มั้ยคะ”
“แต่พวกผมไม่รู้จักชื่อคุณ นามสกุลคุณ บัตรประชาชนก็หาย”
เจ้าหล่อนทำหน้าเบื่อๆ แล้วก็พลันอารมณ์เสียขึ้นมา “คุณก็หัดฉลาดบ้างสิคะ คุณก็แค่ถ่ายรูปฉันลงเฟซบุ๊กหรืออะไรก็ได้ แค่นี้ๆๆๆ โอเคมั้ยคะ”
“ถ้าคุณฉลาดคุณก็น่าจะรู้นะครับว่าถ้าพวกผมถ่ายรูปคุณลงเฟซบุ๊กแล้วถ้าคนร้ายเห็นว่าคุณยังไม่ตาย บางทีคนร้ายมันก็อาจจะย้อนกลับมาทำร้ายคุณอีกก็ได้ แล้วคุณนั่นแหละที่จะไม่ปลอดภัย ถึงตอนนั้นคุณอย่าโทษพวกผมก็แล้วกัน” ตะวันฉายว่า
เมื่อชลธรเห็นเพื่อนกำลังอารมณ์ขึ้นก็รีบห้าม
“ใจเย็นๆ ไอ้ตะวัน ค่อยๆ พูด ค่อยๆ จากันนะ” แล้วหันไปทางหญิงสาว “ผมต้องขอโทษแทนเพื่อนของผมด้วยนะครับที่มันพูดจาแบบนั้นใส่คุณ”
“ไอ้ชล แกจะขอโทษเขาทำไม เขาน่ะพูดไม่รู้จักคิด” อีกฝ่ายไม่พอใจ
หญิงสาวผู้ที่ความจำเสื่อมจึงพูดว่า
“ทำยังกับนายพูดแบบรู้จักคิดงั้นแหละ”
“ก็ยังดีกว่าคุณก็แล้วกัน”
“นี่นาย...”
“รู้งี้ผมไม่น่าช่วยคุณเลย ถ้าช่วยแล้วมาพูดไม่ดีกับผม น่าจะปล่อยให้นอนตายข้างถนน”
“แล้วใครใช้ให้นายช่วยล่ะ”
แรกๆ เหมือนจะพูดดีๆ กัน แต่ไปๆ มาๆ ทั้งสองคนจะทะเลาะกันเสียแล้ว คงจะกลายเป็นคู่กัดเสียตั้งแต่ตอนนี้แล้วกระมัง
ดูเหมือนฝ่ายชายจะไม่พอใจมาก
“นี่คุณ...ผมทำคุณบูชาโทษแท้ๆ อุตส่าห์ช่วยแล้วยังมาว่าผมอีก ถ้าจะให้ผมเดานะ...ก่อนที่คุณจะความจำเสื่อมคุณคงจะเป็นคนที่ชอบเอาแต่ใจตัวเอง เพราะดูจากลักษณะการพูดของคุณแล้วผมเดาได้ทันที”
“นายกล้าดียังไงมาว่าฉันแบบนี้ หา!”
“ก็ไม่กล้าดียังไงหรอก ผมแค่รู้สึกไม่ชอบใจที่คุณพูดแบบนี้ ผมเสียความรู้สึก”
“โถๆ ฉันพูดแค่นี้เองนายทำเป็นมาพูดว่าเสียความรู้สึก” หล่อนเบะปากมองบน
“คุณลองมาเป็นผมสิ ถ้าคุณไปช่วยเหลือคนอื่นแล้วคนที่คุณช่วยมาพูดกับคุณเหมือนที่คุณพูดกับผมแล้วคุณจะรู้สึกยังไง ลองคิดบ้างสิ”
“แล้วทำไมฉันต้องคิด”
“ใจเย็นๆ กันก่อน ทั้งสองคนนั่นแหละ” เมื่อเห็นว่าท่าไม่ดีชลธรก็รีบห้ามทันที ก่อนจะหันไปทางเพื่อน “ไอ้ตะวัน ฉันว่าแกไปรอข้างนอกก่อนดีกว่า ตอนนี้อารมณ์ของแกกำลังเดือดดาลพอๆ คุณผู้หญิงคนนี้ ขืนแกอยู่ตรงนี้มีหวังโรงพยาบาลได้ไหม้แน่ เพราะไฟกับน้ำมันเจอกัน นะ...เดี๋ยวฉันคุยกับเธอเอง ส่วนแกไปยืนรอข้างนอก โอเคมั้ย”
“เออ ก็ได้” ตะวันฉายจึงต้องยอมเพื่อน ก่อนจะเดินออกไปจากห้องทันที
เมื่อผู้เป็นเพื่อนออกไปแล้วชลธรก็พูดกับหญิงสาวที่นั่งอยู่บนเตียง
“ผมต้องขอโทษคุณแทนเพื่อนของผมด้วยนะครับ ปกติมันไม่ใช่คนนิสัยแบบนี้หรอกครับ แต่นี่มัน...”
“ฉันพูดให้เขาเสียความรู้สึกสินะคะ” หล่อนถามทันที
อีกฝ่ายยิ้มแห้งๆ
“เอ้อ...ครับ”
“คุณนี่ยังนิสัยดีกว่าเพื่อนของคุณอีกนะคะเนี่ย ที่รู้จักมาขอโทษแทน ฉันว่าเพื่อนของคุณควรจะละอายใจบ้างนะคะ” หล่อนพูดออกไปโดยไม่คิดว่าตัวเองก็ผิดเช่นกัน หล่อนก็ควรต้องไปขอโทษตะวันฉายเช่นกัน “เอาละค่ะ ฉันจะยกโทษให้เพื่อนของคุณก็ได้ค่ะ เพราะฉันเห็นแก่คุณที่อุตส่าห์มาขอโทษฉันแทนเขา ฝากไปบอกเพื่อนของคุณด้วยนะคะว่าอย่ามาผยองใส่ฉันแบบนี้อีก”
“ได้ครับ เดี๋ยวผมจะไปบอกมันให้ เอ้อ ผมต้องขอบคุณคุณแทนมันด้วยนะครับ” ชลธรยิ้มดีใจ
“ค่ะ” หล่อนพยักหน้า ก่อนจะขอร้องอีกฝ่ายว่า “ฉันมีเรื่องอยากจะให้คุณช่วยค่ะ คือฉันอยากตามหาครอบครัวของฉัน อยากกลับไปหาครอบครัวของฉัน คุณพอจะช่วยฉันได้มั้ยคะ”
“มันคงยากนะครับ” ชายหนุ่มว่า
“ยากยังไงคะ” ถามอย่างไม่เข้าใจ
อีกฝ่ายจึงอธิบาย
“ผมคิดว่าตอนนี้คุณกำลังอยู่ในอันตราย เหตุการณ์วันนั้นคงจะไม่ใช่แค่ชิงทรัพย์ธรรมดา แต่เป็นการฆ่าโดยตรงซะมากกว่า คนร้ายกะว่าจะฆ่าคุณให้ตาย เพราะแผลที่ศีรษะใหญ่มาก มันคงไม่ใช่แค่จะตีให้คุณสลบแล้วชิงทรัพย์แน่นอน”
“วันนั้นฉันจำคำพูดของพวกมันได้ค่ะ พวกมันมากันสองคน ท่าทางของพวกมันน่ากลัวมากค่ะ...พวกมันควักปืนออกมาแล้วจะลั่นไกใส่ฉัน ฉันก็เลยยื่นกระเป๋าสตางค์ให้พวกมัน แต่พวกมันบอกว่าไม่ได้ต้องการเงินแต่ต้องการชีวิตฉัน...” หล่อนเว้นวรรคแล้วพูดต่อ “ฉันตกใจมากทำอะไรไม่ถูก แล้วฉันก็ถามพวกมันว่าฉันไปทำอะไรให้พวกมัน พวกมันถึงได้ต้องการชีวิตฉัน จากนั้นมีผู้ชายคนหนึ่งตอบว่าไม่ใช่พวกมันที่ต้องการชีวิตฉัน แต่เป็นลูกพี่ของมันมากกว่า ฉันก็เลยถามไปอีกว่าลูกพี่ของมันเป็นใคร มันไม่ตอบแต่เดินเข้าหาฉัน ฉันก็รีบหันหลังวิ่งหนีสุดชีวิต แต่อยู่ๆ เหมือนมีอะไรแข็งๆ มาตีเข้าที่หัวฉันแล้วฉันก็ล้มลงไปนอนบนพื้น แล้วจากนั้น...โอ๊ย!” หล่อนรู้สึกปวดศีรษะขึ้นมา แล้วกุมศีรษะ
ชลธรจึงบอกว่า
“ถ้าคิดแล้วคุณปวดหัวก็ไม่ต้องคิดก็ได้ครับ”
“ฉัน...”
“เท่าที่ผมฟังจากที่คุณเล่า...ผมเดาได้เลยว่าคนร้ายที่ทำร้ายคุณถูกจ้างมา แล้วคนที่จ้างพวกมันก็คือลูกพี่ของพวกมันเอง ผมจะถามคุณว่าคุณเคยมีศัตรูที่ไหนหรือเปล่าก็กลัวคุณจำไม่ได้”
“ค่ะ ฉันจำไม่ได้เลย สิ่งที่ฉันจำได้ฉันก็เล่าให้คุณฟังไปหมดแล้ว แค่นั้นจริงๆ ค่ะ”
“เอาเป็นว่าตอนนี้คุณอย่าเพิ่งประกาศตามหาครอบครัวของคุณ เพราะถ้าคนร้ายมันรู้ว่าคุณยังไม่ตายมันต้องย้อนกลับมาทำร้ายคุณอีกแน่ๆ”
“แล้วฉันต้องทำยังไงคะ ไอ้นั่นก็ไม่ได้ ไอ้นี่ก็ไม่ได้” หญิงสาวรู้สึกหงุดหงิดขึ้นมาทันที
อีกฝ่ายจึงบอกว่า
“เอาเป็นว่าตอนนี้...ระหว่างที่คุณยังจำอะไรไม่ได้คุณก็อยู่กับผมแล้วกัน เอ้อ ผมหมายถึงว่าให้คุณอยู่กับผมแล้วจะดูแลคุณจนกว่าคุณจะจำทุกอย่างที่เกี่ยวกับคุณได้ แล้วเมื่อคุณจำทุกอย่างได้คุณก็กลับไปหาครอบครัวของคุณ แต่ไม่ต้องกลัวว่าผมจะทำอะไรคุณนะครับ เพราะผมเป็นสุภาพบุรุษพอ”
“เอ้อ...” หล่อนลังเล
“ไว้ใจผมได้ครับ ผมพูดคำไหนต้องเป็นคำนั้น คุณไม่ต้องกังวลนะครับ มันก็ดีกว่าที่คุณจะต้องไปเผชิญกับอันตรายอีกครั้ง...สรุปว่าคุณจะตกลงมั้ยครับ”
“เอ้อ...” หล่อนนิ่งคิด สักพักก็บอกกับเขาว่า “ก็ได้ค่ะ ฉันจะอยู่กับคุณจนกว่าฉันจะจำทุกอย่างได้ ว่าแต่คุณจะพาฉันไปอยู่ที่ไหนคะ”
“บ้านพักที่ไร่องุ่นครับ”
“ไร่องุ่นของคุณเหรอคะ”
“ของเพื่อนผมครับ”
“อย่าบอกนะคะว่าเป็นไร่ของนายคนที่มากับคุณเมื่อกี้ ฉันขอไม่ไปอยู่ที่ไร่ของนายนั่นนะคะ” หล่อนรู้สึกอารมณ์เสียขึ้นมาทันที
ชลธรจึงบอกว่า
“คุณอย่าเพิ่งอารมณ์เสียสิครับ คุณแค่ไปอาศัยอยู่ที่นั่นไม่นาน แล้วเมื่อคุณจำทุกอย่างได้คุณก็ไปจากที่นั่นทันที ตอนนี้คุณมีทางเลือกอยู่สองทาง ทางที่หนึ่งคือคุณต้องไปอยู่ที่ไร่องุ่นของนายตะวันฉาย ซึ่งเป็นที่ๆ ปลอดภัยที่สุด...และทางเลือกที่สองคือคุณจะต้องกลับไปเผชิญหน้ากับคนร้ายที่ไม่รู้ว่าใคร อาจเป็นคนใกล้ชิดหรือที่รู้จักกับคุณก็ได้ คุณไม่มีเวลาคิดเยอะนะครับ”
“ถ้าฉันไปอยู่ใกล้นายนั่นมีหวังว่าฉันได้เป็นประสาทแน่เลยค่ะ ดูก็รู้ว่านายนั่นชอบพูดจาฉะฉาน”
“เดี๋ยวผมจะพูดกับมันให้เองครับ มันค่อนข้างที่จะเชื่อฟังผม”
“เอ้อ แล้วคุณอยู่ที่นั่นด้วยหรือเปล่าคะ”
“ครับ ผมอยู่ที่นั่นด้วย เพราะผมเป็นผู้จัดการไร่องุ่นของนายตะวันฉาย”
“ดีค่ะ ถ้ามีคุณอยู่ที่นั่นด้วยฉันก็อยู่ได้”
“นี่หมายความว่าคุณจะไปอยู่ที่นั่นใช่มั้ยครับ”
“ค่ะ” หญิงสาวพยักหน้า “ตอนนี้ฉันมีทางเลือกไม่มาก เพราะฉะนั้นฉันต้องเลือกทางเลือกที่สองไว้ก่อน”
“ดีครับ” ชลธรมองหน้าหญิงสาวแล้วยิ้มน้อยยิ้มใหญ่เพราะดีใจที่หล่อนจะไปอยู่ใกล้เขา
นั่นเป็นเพราะว่าเขากำลังตกหลุมรักผู้หญิงคนนี้อยู่ ก็แน่ละ ก็หล่อนทั้งสาวทั้งสวยแล้วใครเล่าจะอดใจไหว มีแต่ตะวันฉายคนเดียวละมั้งที่ตาบอดมองไม่เห็นความสวยของหล่อน แต่สำหรับเขาหล่อนสวยที่สุด เขากล้าพูดได้เลยเต็มปากเต็มคำ สวยจริงไรจริง สวยยังกับเจ้าหญิงที่หลุดออกมาจากเทพนิยายเสียอย่างนั้นละ เมื่อคิดไปชายหนุ่มก็ยิ้มไป
หญิงสาวมองหน้าคนที่ยิ้มให้อย่างงงๆ ก่อนจะถามว่า
“คุณยิ้มอะไรคะ”
“อ้อ เปล่าครับ” เมื่อได้สติเขาจึงหุบยิ้มทันที
“อ้อค่ะ” หล่อนเชื่อที่เขาบอก “เอ้อ ว่าแต่คุณชื่ออะไรคะ ฉันจะได้เรียกถูก”
“ผมชื่อชลธร หรือเรียกสั้นๆ ว่าชลก็ได้ครับ”
“ค่ะ คุณชล ยินดีที่ได้รู้จักนะคะ” หล่อนยิ้ม
“เช่นกันครับ” ชายหนุ่มพยักหน้า
แล้วตะวันฉายก็เปิดประตูเข้ามาและตะโกนถามว่า
“คุยอะไรเยอะแยะวะ นานฉิบหาย ฉันรอจนเมื่อยแล้วเนี่ย”
“เออ เดี๋ยวฉันก็ออกไปแล้ว” ชลธรหันไปบอกเพื่อน แล้วหันกลับมาบอกหญิงสาว “ถ้างั้นผมกลับก่อนนะครับ ไว้ถ้าคุณหมออนุญาตให้คุณออกจากโรงพยาบาลวันไหนเดี๋ยวผมมารับ”
“ค่ะ แต่อย่าพานายปากหมามาด้วยนะคะ”
“ครับ” เขาแอบขำกับคำที่หญิงสาวใช้เรียกตะวันฉาย เขายิ้มให้หล่อนอีกครั้งก่อนจะเดินออกไปจากห้อง
หญิงสาวมองตามผู้ที่เพิ่งจะเดินออกไป ก่อนจะพึมพำกับตัวเองว่า
“คุณชลธรก็ออกจะน่ารัก ไม่น่าเลย ไม่น่ามีเพื่อนปากหมาอย่างนายตะวันฉายเลย”
“ยายนั่นว่ายังไงบ้างล่ะ” ตะวันฉายถามเพื่อนขณะที่นั่งอยู่บนรถ โดยที่เขาอาสาเป็นโชเฟอร์เหมือนเดิม
“ก็...” ชลธรยิ้มให้เพื่อน ก่อนจะตอบว่า “ฉันบอกเขาว่าให้เขาพักที่ไร่องุ่นของแกจนกว่าความจำของเขาจะกลับคืนมา ดีกว่าที่เธอจะต้องไปเผชิญกับอันตรายอีกครั้ง ซึ่งเขาก็ตอบตกลง”
“แกจะทำอะไรทำไมไม่มาปรึกษาฉันก่อนวะ ฉันเป็นเจ้าของไร่นะโว้ย จะพาใครไปอยู่ต้องถามความคิดเห็นจากฉันก่อน” ดูเหมือนว่าชายหนุ่มจะไม่พอใจมาก
“อะไรกันวะ ไหนแกเคยพูดว่าจะช่วยผู้หญิงคนนั้นให้ถึงที่สุดไง เราจะช่วยกันดูแลเขาจนกว่าความทรงจำของเขาจะกลับมา อย่าบอกนะว่าตอนนี้แกคิดจะกลับคำน่ะ อย่านะ เป็นลูกผู้ชายพูดคำไหนต้องเป็นคำนั้น ห้ามกลืนน้ำลายตัวเองเด็ดขาด”
“แกก็เห็นนี่ว่ายายนั่นพูดจาไม่ดีกับฉัน”
“แกใช่ย่อย แกก็พูดจาไม่ดีกับเขาเหมือนกัน”
“ตกลงแกเป็นเพื่อนฉันหรือว่าเป็นเพื่อนยายนั่นกันแน่ หา!”
“ฉันเป็นเพื่อนแกแหละ” ชลธรบอก “แต่แกก็ต้องมีเหตุผลบ้างสิ ปกติแกเป็นคนมีเหตุผลนี่ แล้ววันนี้แกจะกลายเป็นคนไม่มีเหตุผลหรือไง อย่ามีอคติกับผู้หญิงคนนั้นจนเกินไปสิ...แกเคยพูดอะไรไว้ก็ทำตามที่พูด ส่วนเรื่องวันนี้ทำเป็นลืมมันบ้างก็ได้นะ”
“ฉัน...”
“ช่วยเขาในฐานะเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน ส่วนเรื่องอื่นค่อยว่ากันทีหลังนะ แกเชื่อฉันเถอะ”
“เออ ก็ได้ ฉันจะยอมเพราะเห็นแก่สิ่งที่ฉันเคยพูดเอาไว้ ฉันจะไม่ยอมเสียคำพูดของตัวเอง” ตะวันฉายยอมในที่สุด
ชลธรยิ้มพอใจ
“ดีมากเพื่อน”
อีกฝ่ายไม่พูดอะไรอีก ได้แต่ตั้งใจขับรถต่อไป
อรรถพลมาทำงานที่บริษัทตามปกติ เขาไม่ไปตามหาลูกสาวอีก เพราะเขาได้ฝากให้ตำรวจที่เชียงใหม่ช่วยตามหาแล้ว ความหวังเดียวของเขาคือตำรวจเท่านั้น จะเจอปาณิสราหรือไม่เจอก็ขึ้นอยู่กับการทำงานของเจ้าหน้าที่ตำรวจแล้วละ แต่เขาภาวนาขอให้เจอปาณิสราเร็วๆ หวังว่าลูกสาวของเขาจะปลอดภัย ปราศจากรอยขีดข่วดใดๆ ทั้งสิ้นเลย
ขณะที่เขานั่งคิดอะไรไปเรื่อยเปื่อยก็ได้ยินเสียงเคาะประตูหน้าห้องทำงาน ตามด้วยเสียงพูด
“ขออนุญาตเข้าไปนะคะท่านประธาน”
“เข้ามาได้” เขาตอบกลับไป
จากนั้นประตูห้องก็ถูกเปิดเข้ามา ตามด้วยหญิงวัยกลางคนร่างระหงเดินเข้ามา หล่อนคือจันทิพา ผู้เป็นเลขาของอรรถพลนั่นเอง ในมือของหล่อนมีแฟ้มเอกสารถึงสองสามแฟ้ม หล่อนยื่นแฟ้มให้ผู้เป็นเจ้านาย
“ดิฉันเอาเอกสารมาให้ท่านประธานเซ็นค่ะ เป็นเอกสารสำคัญมาก เป็นหนังสือสัญญาการลงทุนร่วมกันระหว่างบริษัทเรากับบริษัทที่ต่างประเทศค่ะ”
“นี่ทางนั้นเขายอมร่วมลงทุนกับบริษัทเราแล้วงั้นเหรอ” เขาถามอย่างพึงพอใจ
ผู้เป็นเลขาพยักหน้ายิ้มๆ
“ค่ะ ทางนั้นเขาติดต่อกลับมาแล้วว่าจะยอมร่วมลงทุนกับทางบริษัทเรา ส่วนรายละเอียดก็อยู่ในแฟ้มนี้ค่ะ อ้อ แล้วอีกสองแฟ้มเป็นเอกสารรายงานรายได้ของบริษัทเราค่ะ นี่ค่ะ”
ท่านประธานรับทั้งสามแฟ้มมาวางไว้บนโต๊ะ ก่อนจะพูดกับเลขาว่า
“โอเค เดี๋ยวผมจะอ่านรายละเอียดสัญญาดูนะ”
“ค่ะ ถ้างั้นดิฉันขอตัวก่อนนะคะ” จันทิพายกมือไหว้เจ้านายก่อนจะเดินออกไปจากห้องทันที
อรรถพลหยิบแฟ้มหนังสือสัญญาขึ้นมาเปิดดู แต่อ่านได้แค่สองบรรทัดประตูห้องก็ถูกเปิดพรวดเข้ามาโดยไม่มีคำขออนุญาตจากผู้เปิดเลย คนที่เข้ามาก็คือธัญวณีย์นั่นเอง ในตอนนี้ใบหน้าของหล่อนนั้นคล้ายกับบอกบุญแล้วไม่รับเสียอย่างนั้น
หล่อนมองผู้เป็นสามีอย่างไม่ค่อยพอใจเท่าไหร่นัก ก่อนจะถามว่า
“ลูกหายไปตั้งเป็นอาทิตย์แล้วคุณยังมีกะจิตกะใจมาทำงานอีกเหรอคะ คุณไม่เป็นเดือดเป็นร้อนอะไรบ้างเลยเหรอคะที่ลูกหายไป ยังทำเป็นใจเย็นอยู่ได้นะคะคุณพล”
“แล้วคุณจะให้ผมทำยังไงเล่า” อรรถพลถามอย่างไม่ค่อยพอใจเช่นกัน
ผู้เป็นภรรยาจึงบอกว่า
“คุณก็ไปตามหาลูกสิ ไม่ใช่มานั่งทำงานอย่างสบายใจเฉิบแบบนี้ ทำเป็นไม่รู้ร้อนรู้หนาวอะไรเลย”
“หน้าที่ตามหาลูกผมมอบให้ตำรวจแล้ว คาดว่าอีกไม่นานคงจะเจอยายณิส คุณไม่กังวลไปหรอก”
“ไม่ให้ฉันกังวลได้ยังไง ลูกหายไปทั้งคนนะ จะให้ฉันนั่งเฉยๆ อย่างไม่รู้ร้อนรู้หนาวแบบคุณฉันทำไม่ได้หรอกค่ะ”
“ใครว่าผมไม่รู้ร้อนรู้หนาวอะไร อาทิตย์ที่แล้วผมก็ไปตามหาลูกแต่ก็ไม่พบ ไม่มีเบาะแสสำคัญอะไรเลย เอารูปยายณิสไปให้หลายคนดูก็ไม่มีใครเคยเห็น ไม่มีใครเคยพบ แล้วอย่างนี้คุณจะให้ผมทำยังไง งานที่บริษัทผมก็ต้องทำ งานมีมากมาย...แล้วอีกอย่าง ผมมอบทุกอย่างให้ตำรวจจัดการแล้ว”
“โอ๊ย ฉันอยากจะบ้าตาย” ธัญวณีย์ทำหน้าเบื่อหน่ายใส่สามี
“คุณหมดธุระแล้วใช่มั้ย ผมจะอ่านเอกสารต่อ”
“ค่ะ” หล่อนสะบัดหน้าแล้วหันหลังเดินออกไปจากห้องทำงานของสามีทันที
อรรถพลมองตามหลังภรรยาแล้วส่ายหน้าเบื่อๆ เขาชินแล้วกับนิสัยขี้เอาใจของหล่อน หล่อนจะเอาทุกอย่างให้ได้ดั่งใจหล่อนเลย โดยไม่สนใจว่าสิ่งๆ นั้นจะมีความยุ่งยากหรือง่ายเพียงใด สิ่งที่หล่อนสนใจก็คือจะทำให้ได้อย่างใจหล่อนต้องการ อย่างเรื่องของลูกสาวเช่นกัน หล่อนอยากให้เขาไปตามหาลูกสาวอีก ทั้งที่เขาก็เคยบอกหล่อนไปแล้วว่าเขาเคยไปตามหาปาณิสรามาแล้วแต่ไม่พบ พบเพียงรถเบนซ์ และรถเบนซ์ก็เอากลับมาบ้านแล้ว ส่วนเรื่องตามหาลูกสาวเขาก็มอบหมายให้ตำรวจช่วยแล้ว เพราะเขาไม่ค่อยมีเวลาว่างและงานที่บริษัทก็เยอะ จะให้เขาตามหาลูกสาวอย่างเดียวโดยไม่ทำงานทำการก็ไม่ใช่เรื่อง เพราะฉะนั้นทุกอย่างจึงปล่อยให้เป็นหน้าที่ของตำรวจไป ถ้ามีความคืบหน้าอะไรตำรวจก็โทร. มาบอกเขาเองละ ส่วนเขาก็ทำงานตามปกติต่อไป
“ผ่านมาหนึ่งอาทิตย์แล้วแต่ก็ไม่มีข่าวคราวของน้องณิสเลย ไม่รู้ว่าป่านนี้เธอจะเป็นตายร้ายดียังไง ผมชักจะเป็นห่วงเธอแล้วครับคุณพ่อคุณแม่” พลวัตพูดกับบิดาและมารดาขณะที่นั่งอยู่ในห้องโถงของบ้าน
ด้วยความที่ชายหนุ่มเป็นห่วงแฟนสาวจึงต้องมาพูดคุยกับทั้งบิดาและมารดา เป็นห่วงปาณิสรามาก ไม่รู้ว่าป่านนี้จะเป็นอย่างไรบ้าง จะถูกโจรดักปล้นอะไรหรือเปล่าเขาก็ได้แต่คิดไปเรื่อยเปื่อยเลยเชียวละ
“ใจเย็นๆ สิตาพอร์ช คงไม่มีเรื่องอะไรที่ร้ายแรงเกิดขึ้นกับหนูณิสหรอกมั้ง แกอย่าเพิ่งคิดไปไกลเลย” พลากรบอกกับลูกชาย
ส่วนเจริญศรีก็บอกกับลูกชายว่า
“นั่นสิลูก ที่คุณพ่อพูดก็ถูกนะ คงไม่มีเรื่องอะไรร้ายแรงเกิดขึ้นกับหนูณิสหรอก ลูกไม่ต้องเครียดนะ”
“ถ้าไม่มีเรื่องร้ายแรงเกิดขึ้นกับเธอแล้วทำไมป่านนี้ตำรวจถึงยังตามหาตัวเธอไม่พบอีกล่ะครับ แล้วเธอจะไปอยู่ที่ไหนได้ คุณน้าณีย์บอกว่าน้องณิสไม่มีเพื่อนที่เชียงใหม่ เพราะฉะนั้นตัดประเด็นที่เธอจะไปอยู่กับเพื่อนได้เลยครับ” พลวัตว่า
“นั่นสินะ ถ้าหนูณิสไม่มีเพื่อนที่เชียงใหม่ก็น่าจะไปอยู่กับเพื่อนได้ ตัดประเด็นนี้ออกไปได้” ผู้เป็นมารดาคิดตามลูกชาย
“คุณน้าพลบอกว่าพบแต่รถของน้องณิส แต่ไม่พบตัวน้องณิส มีคนเอารถของน้องณิสไปซ่อมที่อู่ ผมคิดว่าไอ้คนที่เอารถของน้องณิสไปซ่อมนั่นแหละครับคือคนที่ลักพาตัวน้องณิสไป” เขาพูดไปโดยไม่รู้ข้อมูลเท็จจริงอย่างไร
“แล้วทำไมคุณพลไม่แจ้งความจับไอ้คนที่เอารถของปาณิสราไปซ่อมล่ะ เขาจะนิ่งเฉยทำไม” ผู้เป็นบิดาถาม
อีกฝ่ายจึงตอบว่า
“ก็เพราะว่าเบอร์โทรของไอ้คนนั้นที่เจ้าของอู่ให้มามันติดต่อไม่ได้ ผมคิดว่ามันต้องเปลี่ยนเบอร์ใหม่แน่เลยครับคุณพ่อ”
“ก็น่าคิดนะพ่อว่า”
“แต่ตอนนี้คุณน้าพลมอบหมายให้ตำรวจที่เชียงใหม่ช่วยตามหาน้องณิสแล้วครับ ผมก็ได้แต่หวังว่าอีกไม่นานจะต้องพบตัวน้องณิสแน่นอนครับ”
“พ่อก็ภาวนาให้พบตัวหนูณิสเร็วๆ”
“แม่ก็ภาวนาเช่นกัน”
ทั้งสามคนพ่อแม่ลูกได้แต่ภาวนาว่าขอให้พบตัวปาณิสราเร็วๆ และอีกไม่นานคงจะพบแน่นอน
วันถัดมา...วันนี้ตะวันฉายหยุดอยู่บ้านครึ่งวัน ตอนบ่ายเขาจะเข้าไปทำงานในไร่ ที่เขาหยุดอยู่บ้านครึ่งวันเพราะมีเรื่องจะสั่งป้าจิต เรื่องนั้นก็คือ...
“ป้าจิตครับ เดี๋ยวป้าจิตช่วยไปจัดการทำความสะอาดเรือนรับรองให้หน่อยนะครับ”
“มีใครจะมาอยู่เหรอคะ คุณตะวันฉาย” แม่บ้านวัยห้าสิบกว่าถามเจ้านายด้วยความอยากรู้
อีกฝ่ายจึงตอบว่า
“ผู้หญิงคนที่ผมกับเจ้าชลช่วยเหลือเขาจะมาอยู่พักฟื้นที่นี่จนกว่าความทรงจำของเขาจะกลับคืนมาครับ”
“จริงเหรอคะ” หล่อนถามอย่างตื่นเต้น
“ครับ” เจ้านายหนุ่มพยักหน้า
“ก็ดีแล้วละค่ะ ถ้าเราช่วยเหลือใครก็ต้องช่วยให้สุดเลยนะคะ ถ้างั้นเดี๋ยวป้าจะไปทำความสะอาดให้ทันทีเลยค่ะ...เอ้อ ว่าแต่เธอจะมาอยู่วันไหนคะ”
“วันที่หมออนุญาตให้ออกจากโรงพยาบาลได้ครับ”
“โอเคค่ะ งั้นป้าขอตัวไปทำความสะอาดเรือนรับรองเลยนะคะ”
“ครับ” ชายหนุ่มพยักหน้ายิ้มๆ
แล้วป้าจิตก็หันหลังเดินออกไปเลยทันที
ตะวันฉายมองตามหลังแม่บ้านสูงวัยไปจนลับตา ก่อนจะเดินกลับไปนั่งที่ห้องรับแขก แต่ปรากฏว่าเมื่อเขาไปถึงพบว่าลูกชายนั่งสะลืมสะลืออยู่บนโซฟาเพราะเพิ่งตื่น วันนี้เป็นวันเสาร์เด็กน้อยจึงหยุดอยู่บ้านนั่นเอง
“อ้าว อชิ ลูกพ่อตื่นแล้วเหรอครับ เดี๋ยวลูกไปล้างหน้าแปรงฟันนะ แล้วเดี๋ยวพ่อจะหาอะไรให้กิน” เขาบอกพลางลูบศีรษะลูกชายยิ้มๆ
“ครับพ่อ” เด็กน้อยลุกขึ้นเดินตรงไปเข้าห้องน้ำอย่างว่าง่าย
ก็แน่ละ ผู้เป็นบิดาสอนมาดีนี่นา ทำให้อชิระเป็นเด็กที่ว่านอนสอนง่าย บิดาบอกอะไรก็ทำตามทุกอย่าง เชื่อฟังทุกอย่าง ถ้าใครเห็นก็ต้องหลงรักเด็กน้อยกันทุกคน เพราะทั้งน่ารักและยิ้มเก่งอีกด้วย ที่สำคัญ อชิระเป็นลูกชายที่บิดาหวงและห่วงที่สุด หวงแหนมากด้วย หวงราวไข่ในหินเลยทีเดียว ขอแค่มีลูกเขาก็ไม่ต้องการสิ่งอื่นใดแล้ว แค่นี้เขาก็มีความสุขมากพอแล้วละ
สารบัญ / นำทาง
- 👁️ ยอดวิว 306
แสดงความคิดเห็น