มา มาอยู่กับพระเจ้า
“เป็นบ้ารึ?” เหมือนถูกตัวเองอีกคนด่า โพเอฟที่กำลังนั่งอยู่บนโต๊ะรับแขกในบ้านของเพื่อนเขาที่ชื่อโบสเซน หลุดขำออกมาเบาๆ เพราะตัวเองก็เพิ่งจะด่าคู่หูตัวน้อยออกไปหยกๆ
“แค่คืนเดียวข้าก็แทบเป็นบ้าแล้วนะ นี่ยังจะให้แลกงานกลางวันต่อ เจ้านี่มัน...” โบสเซนทำท่าฟึดฟัดไม่พอ เดินไปทิ้งตัวลงนอนที่เตียง หนึ่งในสิบเตียงที่ตอนนี้มีคนเก้าคนกำลังนอนอยู่โดยที่แสงไฟก็ยังแยงตาอยู่อย่างงั้น แต่พอเห็นว่าเพื่อนยังนั่งไม่ยอมลุก ตัวเองจึงต้องเป็นฝ่ายลุกมานั่นที่เดิมอีกครั้ง
“นี่อย่าบอกนะว่าเจ้าถูกใจไอ้เด็กจอมพูดมากนั่น?” โพเอฟเปลี่ยนสีหน้าเป็นขึงขังในทันที
“บ้าหรือ?” โพเอฟลุกขึ้น “ถือว่าเจ้าตกลงกับข้าแล้วนะ” ไม่รอฟังเสียงปฏิเสธที่เบาราวกับกระซิบของโบสเซน โพเอฟเดินออกมาจากบ้าน พอถึงบ้านก็ล้มตัวนอนบนเตียงด้วยความเหนื่อยแต่เหมือนเสียงคำถามของเพื่อนจะดังกังวานในหัวไม่หายไปไหน
“ถูกใจ? ถูกใจบ้าอะไร” โพเอฟพึมพำกับตัวเองก่อนจะปิดเปลือกตาลงพร้อมแสยะยิ้มออกมาเล็กน้อย
เช้าวันต่อมา โพเอฟทำหน้าที่เดิมกับเด็กชายพูดมาก วันนี้แป็นเขาที่ชวนอีกฝ่ายคุย แต่ก็ยังรู้สึกได้ถึงความเปลี่ยนแปลงหลังจากกลับมาจากเกาะนั้น ถามคำตอบคำแต่สุดท้ายก็ได้ชื่อมา วอปโป
หลังจากเสร็จภารกิจ โพเอฟและวอปโปก็เดินทางกลับไปยังที่พักอาศัย ดูเหมือนวันนี้อาการของวอปโปจะดีขึ้น และมันก็ดีขึ้นเรื่อยๆ ตลอดระยะเวลาหนึ่งสัปดาห์ที่ทำงานร่วมกัน
เช้าวันหนึ่ง ในขณะที่กำลังพายเรือไปยังเกาะหลัก “เมื่อวานข้าเห็นมันอีกแล้ว” โพเอฟชะงักทุกการกระทำ เกือบจะลืมหายใจด้วยซ้ำเมื่อได้ยินคำกล่าวลอยๆ ของวอปโป เงียบไปอยู่นานก่อนจะตอบกลับด้วยเสียงเย็นๆ “เห็นอะไร?” วอปโปไม่ตอบและไม่ถามอะไรอีกเลยเช่นเดียวกับที่โพเอฟเองก็หยุดที่จะยิงคำถามใส่อีกฝ่าย
เข้าสู่ช่วงบ่าย ในขณะที่โพเอฟกำลังง่วนกับการเก็บของจนไม่ทันสังเกตคู่หู พอเก็บของที่เรือเสร็จก็เพิ่งจะนึกขึ้นได้ว่าตัวเองไม่ได้จูงมือวอปโปมาด้วยจึงเดินกลับไปที่เดิมแต่ยังไม่ทันไร เขาได้ยินเสียงโวยวายจากทางขวาไม่ไกลมาก ไม่รู้ทำไมแต่เขารู้สึกสังหรณ์ใจไม่ดีกับภาพชาวบ้านที่กำลังมุงที่ชายป่า
โพเอฟวิ่งฝ่าฝูงชนเข้าไปก็เห็นกับสิ่งที่น่าตกใจอย่างสุดขีด วอปโปกำลังยืนอยู่ภายในเขตป่าที่โดยปกติแล้วมันจะทึบจนไม่มีช่องลอดเข้าไปภายในแต่ตอนนี้และเวลานี้มันมีเส้นทางแหวกออกอย่างน่าประหลาด
ในขณะที่สายตากำลังจับจ้องมองร่างเล็ก เขาเห็นบางอย่างเคลื่อนไหวในเงามืดที่อยู่ลึกเข้าไปในจุดที่แสงเข้าไปไม่ถึง หูจับเสียงตะโกนของใครคนหนึ่งที่กำลังบอกให้วอปโปรีบออกมาก่อนจะโดนฆ่า
“เจ้าเองก็เห็นมันใช่ไหม โพเอฟ” วอปโปเบนหน้ามองโพเอฟ ทำให้เขาเป็นจุดสนใจของชาวบ้านที่มุงดู
“พูดบ้าอะไร....ออกมา....วอปโป!!” เหมือนมีก้อนอะไรกระจุกที่ปากจนเปล่งเสียงออกมาได้ไม่เต็มกำลัง รู้สึกเจ็บแปล๊บที่หัวจนต้องเอามือจับที่หลังหัว ที่แผลหัวแตก
“เจ้าโกหก มันบอกว่าเจ้าเห็นมัน!!” วอปโปตะโกนออกมา เพียงไม่ถึงเสี้ยววินาทีบังเกิดลมกระโชกที่ทะลวงออกมาจากภายในผืนป่า แต่น่าแปลกที่ตัววอปโปเหมือนไม่โดนกระแสลมเพราะทั้งทรงผมที่ยาวและเสื้อผ้าดูนิ่งจนเหมือนกับข้างหลังของวอปโปมี....!!!
ท่ามกลางเสียงตะโกนว่ามันมาแล้วกับกลุ่มคนที่แตกกระจายราวกับมด หนึ่งในนั้นที่ยืนไม่ห่างจากโพเอฟ ชายวัยกลางคนค่อนไปทางมีอายุพอสมควรง้างมือเปล่าที่ยกขึ้น ทำท่าเหมือนจะปาบางอย่างออกไปจากมือ
‘อย่า!!!!!’ เสียงตะโกนมันจุกที่ลำคออีกแล้ว ภาพที่เห็นอีกทีคือหัวของวอปโปหลุดออกมาจากลำคอราวกับถูกกระชากอย่างแรง เลือดกระเซ็นออกไปกลางอากาศที่หัวนั่นลอยผ่าน และลงมาหยุดที่มือข้างนั้นของชายวัยกลางคนผู้ปาหินแสงอาทิตย์เข้าไปตรงร่างไร้หัวที่กำลังทรุดตัวลง
โพเอฟได้ยินเสียงกรีดร้องดังออกมาจากภายในผืนป่าที่ปิดลงราวกับกลไกของประตูก่อนที่ตัวเขาจะล้มลงกับพื้น
ลืมตาตื่นมาอีกทีก็รีบกระเด้งตัวให้ลุกขึ้นอย่างฉับพลัน เสียงหอบหายใจดังจนปลุกคนบนเตียงอื่นให้ลุกขึ้น โพเอฟกึ่งวิ่งกึ่งเดินออกจากบ้านไปแต่แค่ประตูเปิดออกมาแค่ชั่วขณก็ถูกหมัดชกเข้าใส่ใบหน้าอย่างเต็มแรงจนหงายหลังไปนอนสลบกับพื้น ได้ยินแต่เสียงสาปแช่งของชายหนุ่มที่ไม่คุ้นหูก่อนที่สติจะเลือนราง
เหมือนฉากเดิมกลับมาฉายอีกครั้ง โพเอฟลืมตาขึ้นอีกครั้ง พบว่าอยู่บนเตียงนอนเดิมของตัวเอง เขาเห็นหญิงวัยใกล้ชราที่ดูแก่ลงจากที่จำความได้กำลังประคบหน้าผากด้วยผ้าขาวที่ชุบน้ำเย็น
“แม่ ทำไมมาที่นี่? วอปโปล่ะ?” โพเอฟลุกขึ้นนั่งบนเตียง ตอนนี้ไม่มีใครอื่นภายในบ้านนอกจากเขากับแม่ ใบหน้าที่เขากำลังมองเห็นหวนให้นึกถึงอดีตในวันที่เปลวไฟดับสนิท
“วอปโปล่ะ?” โพเอฟย้ำอีกครั้งแต่แม่ของเขากลับทำเพียงส่ายหน้าด้วยใบหน้าที่เศร้าหมอง “เจ้าอยากไปเจอวอปโปไหม?” โพเอฟได้ยินแบบนั้นก็ลุกขึ้นทันที “สบายดีใช่ไหม? อยากเจอ....ข้าอยากเจอวอปโป”
‘ฝันสินะ ทั้งหมดเป็นแค่ฝัน’ โพเอฟถอนหายใจอย่างมีความหวัง
เพราะความแก่ชราจึงทำให้โพเอฟต้องช่วยพยุงผู้เป็นแม่เดินไปที่กลางหมู่บ้าน ที่นั่นเขาเห็นคนจำนวนหนึ่งกำลังนั่งอยู่บนเก้าอี้ที่ตั้งรายล้อมแท่นหินทรงเครื่องหมายบวก หนึ่งในนั้นเขาจำได้ดีว่าเป็นเจ้าของหมัด พอทั้งสองสบตากัน อีกฝ่ายก็ปรี่จะเข้ามาทำร้ายเขาทันทีแต่ถูกชาวบ้านแถวนั้นล็อกตัวไว้ทัน แต่ก็ยังไม่วายส่งเสียงสบถแบบไม่เกรงใจคนอื่น
เสียงแตรดังขึ้นหนึ่งครั้งพลันเสียงสบถด่าเงียบลงและร่างนั้นรวมถึงพวกชาวบ้านที่คอยจับตัวเขาไว้ต่างเดินกลับไปนั่งที่แต่ก็ไม่วายส่งสายตาอาฆาตมาที่โพเอฟ สักพักทั้งหมดก็เห็นชายวัยกลางคนซึ่งโพเอฟจำได้ดีว่าเป็นคนเดียวกับที่อยู่ในฝันร้าย กำลังเดินออกมาจากอีกฟากของแท่นหิน และอ้อมมาที่ด้านหน้าของมันซึ่งมีแท่นหินอีกแท่นวางอยู่ตรงหน้า ลักษณะคล้ายจานที่ทำจากหินซึ่งตรงกลางบุ๋มลงไปและมีดอกไม้สีขาวประดับโดยรอบด้านล่างของแท่นหินทั้งสอง ก่อนที่เขาจะนั่งลงกับเก้าอี้ว่างอีกตัว
โพเอฟใจหวิวในทันทีที่มองเห็นแท่นหินนั่น สมองสั่งให้เขาลุกขึ้นและก้าวออกไปข้างหน้าโดยที่เจ้าตัวไม่ได้สั่ง พอไปถึงพอที่จะเห็นสิ่งที่วางอยู่ในนั้น ตาค้างไปดื้อๆ อาการเหมือนกับจะอ้วกออกมาแต่ก็ไม่ เขาล้มทั้งยืน โห่ร้องออกมาราวกับคนเสียสติ มันคือหัวของวอปโป หน้าผากเป็นรูกลวงโบ๋ ดวงตาเบิกกว้างโพลน และตาดำเหลือบขึ้นจนเกือบจะเห็นแต่ตาขาว ปากอ้ากว้างเหมือนกำลังร้องให้ช่วยจากความเจ็บปวดฉับพลัน จนชาวบ้านแถวนั้นต้องพยุงตัวเขาไปนั่งที่เดิมอีกครั้ง
โพเอฟตั้งสติอยู่นาน เขาไม่กล้าแม้แต่จะมองไปที่แท่นหินนั้นในขณะที่ผู้ทำพิธีกำลังสวดมนต์อ้อนวอนต่อพระเจ้าเพื่อขอให้อัครเทวทูตรากูเอลเปิดประตูสวรรค์เพื่อรับวิญญาณบริสุทธิ์นี้ไปยังดินแดนแห่งความรักอันเป็นนิรันดร์ “โปรดทรงอย่าให้วิญญาณของเด็กไร้เดียงสาต้องตกเป็นทาสของเจ้าแห่งความมืดด้วยเถิด พระผู้เป็นเจ้าผู้ยิ่งใหญ่”
แม้จะเสียใจมากแค่ไหนแต่งานก็คืองาน โพเอฟกลับไปทำงานกลางคืนตามเดิม ไม่สนใจที่จะตอบคำถามของใคร คืนนี้ท้องฟ้ามืดบอดไร้แสงจันทร์ ทุกอย่างดูปกติดี ไม่มีอะไรน่าสนใจนอกจากความจริงที่ว่าวอปโปตายไปแล้ว ในขณะที่กำลังคิดถึงวอปโป ใบหน้าที่เห็นในแท่นพิธีนั่นก็เข้าครอบงำจิตใจของโพเอฟจนเขาทรุดตัวลงกับพื้น ใช้เวลากับตัวเองอยู่พอสมควรจึงค่อยค่อยลุกขึ้นจากพื้น ทว่าในขณะที่สายตากำลังเปลี่ยนจุดมองไปยังความมืดตรงหน้า เขาเห็นบางสิ่งเคลื่อนที่ ทำให้หวนนึกถึงคำพูดของวอปโปว่า “มันบอกว่าเจ้าเห็นมัน” ประจวบกับคำสวดของบาทหลวงในวันนี้ที่บอกว่ามัน
‘เจ้าแห่งความมืด...’
โพเอฟเบิกกว้างด้วยความตกตะลึงกับร่างที่กำลังมองเห็น เขาจำได้จากส่วนสูงว่าเป็นวอปโปและเพราะร่างนั้นมันไร้หัว กำลังยืนอยู่ในเงามืด ตัวดำสนิทเหมือนเคลือบด้วยโคลนที่ขยับเองได้ทุกส่วนพร้อมกันราวกับกำลังจะหยดลงพื้น ร่างนั้นไม่พูดอะไรนอกจากกำลังกวักมือ โพเอฟไม่รอช้าเดินตรงออกไปข้างหน้า ไม่สนใจเสียงร้องทักของชาวบ้านที่ประจำเวรด้วยกันจนกระทั่งเมื่อเขากำลังจะเข้าสู่อาณาจักรแห่งความมืด
วี๊ดดดด!! ความเจ็บอย่างแสนสาหัสแล่นเข้าสู่ร่างกาย แต่ไม่มีโอกาสได้ร้องออกมาเพราะไม่นานความเจ็บก็หายไปเองพร้อมกับภาพสุดท้ายที่ชัดเจน ภาพของวอปโปไร้หัวก่อนที่ทุกอย่างจะดับมืดไปในที่สุด
สารบัญ / นำทาง
- 👁️ ยอดวิว 285
แสดงความคิดเห็น