เจ้าก็เห็นเขาเหมือนกัน
เด็กน้อยวิ่งเล่นอย่างมีชีวิตชีวา วนอยู่รอบฐานหินขนาดใหญ่ทรงกลม ตั้งอยู่ระหว่างบ้านสองหลัง เป็นเส้นตรงไปสุดกำแพงเขตหมู่บ้าน ท่ามกลางแสงแดดจ้ากำลังดี ผู้ใหญ่ถ้าไม่นั่งมองความไร้เดียงสาก็เดินออกไปนอกเขตหมู่บ้าน มีแปลงผัก ข้าวและผลไม้ให้เลือกทำมากมาย
อาทิตย์อัสดงยังไม่ทันลับขอบฟ้า ชาวบ้านต่างทยอยเดินกลับเข้าบ้านของตน รีบบ้าง ช้าบ้าง
เมื่อแสงสุดท้ายจางหายไปจากท้องฟ้า สิ่งน่าอัศจรรย์จึงบังเกิดเป็นประจักษ์แก่สายตา ฐานหินทรงกลมกำลังส่องแสงราวกับดวงอาทิตย์เทียม ไม่แค่นั้นแต่ทั้งตัวบ้านและกำแพงชุมชน ทั้งหมดกำลังทำเหมือนกับกลางคืนไม่มีอยู่จริง
ชายวัยรุ่นและกลางคนทยอยเดินออกจากบ้านพร้อมมือที่จับแท่งไม้ยาว ผูกเชือกสามเส้นกับผ้ามีรูที่กำลังส่องประกายแสงไม่ต่างจากสิ่งก่อสร้างภายใน พวกเขาเดินเป็นแถวยาวออกไปนอกเขตชุมชน หยุดยืนประจำที่ ณ อาณาเขตที่แสงอาทิตย์จากกำแพงชุมชนส่องไม่ถึง ที่นั่นคือดินแดนแห่งความมืด เป็นใหญ่เหนือแม้กระทั่งแสงจันทร์
ชายวันกลางคนคนหนึ่ง ยืนอยู่เพียงลำพังระหว่างอาณาเขตทั้งสอง เขาจ้องมองออกไปข้างหน้า และเห็นบางสิ่งเคลื่อนไหวในเงามืด เร็วอย่างกับแสง วินาทีนั้นไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตัวเองกำลังยื่นแท่งไม้ออกไปข้างหน้าและกวัดแกว่งจนแสงที่ออกมาจากผ้าขาวเปิดเผยสิ่งต่างๆ โดยรอบ แต่กลับไม่พบอะไรนอกจากผืนป่า
“โพเอฟ ตั้งสติ!!” เสียงตะโกนดังมากจนหูแทบดับ
“หน้าที่เจ้าคือสังเกตการณ์ อย่าทำอะไรเกิน” เสียงนั้นซอฟลงมาก คงเพราะเขาเองก็ได้สติกลับมาแล้วพร้อมกับแท่งไม้ที่กลับมาในตำแหน่งเดิม
โพเอฟสัมผัสได้ว่าเขาคนนั้น เจ้าของเสียงตะโกนอันน่าเกรงขามเดินไปทางอื่นแล้วจึงเริ่มกลับมาเพ่งมองออกไปข้างหน้าอีกครั้ง เงียบสงบ ไม่มีการเคลื่อนไหวอีกต่อไป
เช้าอีกวัน โพเอฟขยับตัวไปมาบนเตียงนอนไม้ ท่ามกลางแสงสว่างภายในบ้านที่ภายในตกแต่งด้วยไม้ ตรงกลางมีลูกหินที่ให้แสงอาทิตย์ยามเช้าตั้งเด่น ทุกครั้งที่เขาพยายามปิดตา เขาจะเห็นภาพเดิมๆ ภาพที่มาจากส่วนหนึ่งของความทรงจำ ภาพของการเคลื่อนไหวในความมืดและมันทำให้เขาไม่กล้านอนอีกต่อไป
โพเอฟลุกจากเตียงและเดินออกจากบ้าน อย่างกับหมู่บ้านร้าง ไม่มีใครอยู่ภายในเลยสักคน เขาเดินออกจากเขตหมู่บ้าน ไปที่ชายหาดทิศตะวันออกอย่างจงใจ ที่นั่นมีเรือไม้จอดเทียบท่าอยู่เป็นสิบลำ และมีชาวบ้านชายฉกรรจ์ยืนอยู่ประปราย หนึ่งในนั้นเป็นชายรุ่นราวคราวเดียวกันกำลังรีบดิ่งตัวตรงมาหาเขา
“โพเอฟ เจ้าเสียสติรึ ทำไมไม่นอน?” ชายคนนั้นกล่าวไปหันซ้ายหันขวาไปมาอย่างมีพิรุธ
“นอนไม่หลับ” โพเอฟได้ยินเสียงถอนหายใจ
“อยากตายรึไง!!” ชายคนนั้นตะโกนขึ้นแต่เหมือนจะรู้ตัวว่าทำตัวเองเป็นจุดสนใจ “กลับไป” เสียงดูซอฟและเบาจนเหมือนกระซิบแต่โพเอฟกลับยังยืนนิ่ง จ้องหน้าอีกฝ่ายไม่กะพริบตา
“เปลี่ยนหน้าที่กับข้า คืนนี้ ข้าจะทำงานแทนเจ้า” อีกฝ่ายขมวดคิ้วเล็กน้อยก่อนจะถอนหายใจออกมาอีกครั้งโดยปราศจากซึ่งคำพูดอื่นใดอีก
เช้าตรู่ของอีกวัน โพเอฟออกมาจากบ้านพบว่าแสงอาทิตย์จริงยังไม่ขึ้นเลย มีก็แต่แสงอาทิตย์ปลอมเท่านั้นที่ทำให้เขารู้สึกประหลาดเป็นประจำ ในขณะกำลังซึมซับความประหลาด เขาเห็นเพื่อนคนเมื่อวานเดินตรงไปที่บ้านตรงข้าม ทำหน้าเหมือนกำลังโกรธปนง่วงซึ่งดูน่าขบขันสำหรับเขามาก
เสียงแตรถูกเป่าขึ้นพลันชายวัยรุ่นที่ยืนรออยู่หน้าบ้านแต่ละหลังต่างเดินต่อแถวเป็นสองแถวก่อนจะออกเดินไปที่ชายหาดพร้อมกับแสงอาทิตย์จริงที่กำลังส่องประกายนำทางไปข้างหน้า
โพเอฟประจำที่ที่หัวเรือจุดหนึ่งพร้อมกับเด็กชายวัยราวแปดขวบเห็นจะได้ ไม่นานก็ออกเรือไปพร้อมกับเรือของคนอื่น เขาสังเกตว่าเด็กชายคนนี้ดูไม่เหมือนเด็กทั่วไปที่เขาได้เจอเวลาขอสลับงานกับเพื่อน เพราะส่วนใหญ่จะร้องไห้หาแม่หาพ่อหรืออยากกลับบ้านอะไรเทือกนั้นแต่เด็กคนนี้กลับพูดจ้อจนน่ารำคาญ ขนาดที่เขาไม่ตอบโต้ก็กลายเป็นอีกฝ่ายพูดเองตอบเอง
“เจ้า หุบปากเจ้าเสียก่อนที่มันจะถูกตัดออก” โพเอฟกล่าวเสียงเรียบแต่เด็กคนนั้นกลับไม่ฟัง หนักข้อถึงขั้นเอามือไปสัมผัสผืนสมุทรจนโพเอฟดุด่าเป็นการใหญ่เพราะอันตราย แต่กระนั้นเด็กนั่นกลับไม่ร้องไห้สักแอะ แถมยังส่งยิ้มกวนโอ๊ยให้เขาอีก
เรือทั้งหมดเข้าเทียบท่าอย่างพร้อมเพรียง จะมีก็แต่เรือของโพเอฟที่มาช้าสุดเพราะต้องคอยจัดการสั่งสอนเจ้าเด็กพูดมากคนนี้ตลอดทางทั้งที่มันไม่ใช่นิสัยของเขา และกลายเป็นว่าเขาก็โดนหางเลขไปด้วยจนหูแทบชา
“ถ้าควบคุมมันไม่ได้ก็ปล่อยมันไว้ที่นี่” ชายวัยกลางคนตักเตือนเสร็จก็เดินไปคุมงานที่อื่น โพเอฟมองไปที่ด้านหน้า มันเป็นป่าลึกขนาดใหญ่ กว้างไพศาล และดูเหมือนป่าพวกนี้มันจะทึบมากจนเหมือนกำแพงไม้ที่ไม่ต้องการให้ใครย่างกรายเข้าไป
“เริ่มงานได้!!” เสียงแตรดังขึ้นอีกครั้งพลันทุกคนต่างพุ่งเข้าไปที่กำแพงหินที่ตั้งอยู่ห่างจากตัวกำแพงป่า เป็นกำแพงหินที่ดูเหมือนจะกำลังอยู่ในระหว่างการสร้าง
โพเอฟเดินไปที่ชายหาดอีกครั้งเพราะลืมอุปกรณ์เสียสนิทแต่ผ่านไปไม่กี่ก้าวก็ต้องหันกลับมาเพราะเจ้าเด็กบ้านั่นไม่ยอมตามมาด้วยและเอาแต่จ้องเข้าไปในกำแพงไม้นั้นตาเป็นมันจนน่าประหลาด เขาไม่รอช้าเดินกลับไปและกระชากแขนของเด็กคนนั้นมาด้วยตัวเอง ฉุดกระชากลากไปอย่างทุลักทุเลท่ามกลางสายตาของชาวบ้านและคู่หูซึ่งก็เป็นเด็กรุ่นราวคราวเดียวกันแต่กลับให้ความร่วมมือและความเคารพกับผู้สอนงาน
‘ซวยจริง’ โพเอฟคิดแบบนั้นแต่ก็ไม่วายต้องสอนงานให้คู่หูจอมรั้น เริ่มตั้งแต่การเทียบท่าเรือ การรับหินแสงอาทิตย์จากเดเออร์นท์ สิ่งมีชีวิตคล้ายเต่าที่หลังยุบลงไปซึ่งไว้สำหรับใส่สิ่งของภายในเพื่อการลำเลียงจากเกาะที่พวกเขาอยู่มาที่นี่ ปิดฉากด้วยการฉาบหินแสงอาทิตย์ให้กลายเป็นกำแพงที่ทอดยาวอย่างไม่มีที่สิ้นสุด
กว่าจะเสร็จงานก็ปาไปช่วงบ่ายหนึ่งเห็นจะได้ซึ่งถือเป็นเวลาที่เร็วเกินไปสำหรับการทำงานนี้ โพเอฟในขณะที่กำลังพายเรือกลับไปยังเกาะที่ตนอยู่ เห็นว่าคู่หูตัวน้อยในตอนนี้ซึมผิดกับขาไปเป็นคนละคน แถมยังเอาแต่หันหน้ามองไปที่เกาะที่เพิ่งออกมาอีก
“อะไร?” เสียงที่เหมือนติดในลำคอของโพเอฟ น่าแปลกที่เบาแต่อีกฝ่ายได้ยินและตอบกลับมาเพียงสั้นๆ ว่า “เจ้าเองก็เห็นใช่ไหม?” โพเอฟเผลอปล่อยมือจากไม้พายไปอันหนึ่งแต่ดีที่มันไม่ได้ลอยไปไกลเกินเอื้อม
“เป็นบ้ารึ?” เขาเริ่มพายเรือต่อไปแต่เร็วขึ้นจนน่าฉงนใจและกลายเป็นว่าขากลับนี้พวกเขามาเทียบท่าเป็นกลุ่มแรก
ก่อนจะแยกย้ายกันไปนอน โพเอฟแอบชำเลืองไปเห็นใบหน้าของเด็กชายที่เขาเพิ่งบอกว่าเป็นบ้า กำลังมองมาที่เขาด้วยแววตาประหลาด เต็มไปด้วยความสงสัยจนพานให้การนอนหลับของเขาไร้ประสิทธิภาพไปอีกวันเต็ม
สารบัญ / นำทาง
- 👁️ ยอดวิว 338
แสดงความคิดเห็น