ภาพวาดศิลปะไร้นาม
ณ ลานกว้างขนาดใหญ่บนที่ราบสูง ไม่ไกลจากตัวเมืองรูปพ์ที่เต็มไปด้วยกองหิมะหนาโปรยปรายจากผืนนภาสีเทาเป็นที่ตั้งของโบสถ์เก่าขนาดใหญ่ สภาพทรุดโทรมแม้จะไม่มากแต่บ่งบอกถึงช่วงอายุที่ยาวนานยิ่งกว่าโบสถ์ใดที่มีอยู่ในเขตโนซาล์บ กองหิมะหนาถูกเฉือนผิวเนื้อขาวไร้เลือด เทรวมกันข้างๆ
“วู้ว~~ ฉันชักจะเกลียดหิมะมากขึ้นทุกปีซะแล้วสิ” เสียงบ่นจากเด็กชายตัวสูงผู้สวมชุดคลุมหนาเก่าเทอะทะที่กำลังตักกองหิมะออกให้พ้นทางเดินของโบสถ์ ข้างกันมีเพื่อนที่กำลังทำหน้าที่เดียวกันอย่างขันแข็ง “เลิกบ่นได้แล้วเจมส์ เดี๋ยวนายก็โดนคุณพ่อเขกหัวอีกหรอก...” “โอ๊ย!!” ไม่ทันขาดคำ ร่างที่พึ่งจะพึมพำเสร็จถูกกำปั้นปริศนาเขกหัวเข้าอย่างจัง “พะ-พ่อครับ!” เด็กชายหันหน้ากลับไปมองเจ้าของมือปริศนา เป็นชายชราผู้สวมชุดเครื่องแบบบาทหลวงสีเทา ลวดลายแตกต่างจากของบาทหลวงโรเบิร์ตพอสมควร “อืมๆ เจ้าเจมส์ แค่นี้เจ้ายังบ่น ดูพ่อสิพ่อแก่ขนาดนี้ยังไม่บ่นเลย อืมๆ” ลอว์เรนซ์เอ่ยเสียงยานและเหนื่อยแต่ร่างกายที่เหี่ยวย่นกลับไม่อ่อนแรงตาม
“คุณพ่อคะ ที่นี่ให้พวกเราจัดการเถอะค่ะ” เด็กสาวผมเปียเอ่ยขึ้นอย่างเป็นห่วง “อืมๆ ไม่ต้องเป็นห่วงไปคริสตี้ พ่อยังไม่แก่ขนาดที่จะทำอะไรไม่ได้ อืมๆ” ลอว์เรนซ์ยืนกรานในสิ่งที่ทำอย่างไม่ย่อท้อและเดินหน้าตักกองหิมะอีกพักใหญ่
“พ่อครับ มีรถม้าขับตรงมาทางนี้ครับ!!” คริสตี้และบาทหลวงหันมองตาม พวกเขาเห็นรถม้าสีดำหรูกำลังเคลื่อนตัวตรงมาที่โบสถ์ด้วยความเร็ว “อืมๆ คราวนี้ใครไปทำอะไรแผลงๆ มาอีกล่ะ อืมๆ เจ้าเด็กพวกนี้ อืมๆ” ลอว์เรนซ์ถอนหายใจ พวกเด็กต่างถามกันไปมาด้วยความสงสัยขณะที่ลอว์เรนซ์พยายามจ้องรถม้าอย่างยากลำบาก ความแก่ชราทำให้การมองเห็นเป็นเรื่องยาก “อืมๆ คราวนี้ใครมาล่ะ อืมๆ” รถม้าที่เคลื่อนมาจอดประตูโบสถ์ทำให้ดวงตาชราภาพนั้นเบิกกว้างเมื่อเห็นผู้คุมบังเหียนรถม้า “เจ้า—เจ้าหนูดวลปืน?” นิโคลัสเปล่งรอยยิ้มอย่างมีความสุข “อรุณสวัสดิ์ครับ คุณพ่อลอว์เรนซ์” นิโคลัสโค้งตัวทำความเคารพ “อืมๆ ลมอะไรหอบเจ้ามาถึงนี่ เจ้าหนูดวลปืน?” ใบหน้าสงสัยปรากฏขึ้น “ไม่ใช่แค่ผมนะครับที่มา” ประตูรถม้าเปิดออก ปรากฏร่างสูงของชายหนุ่มคนหนึ่ง สีผมที่กลืนเข้ากับหิมะของเขาทำให้ลอวเรนซ์เบิกตากว้างได้อีกครั้ง
“เจ้าหนูตัวสูง?!!” ไม่ใช่แค่เขาแต่มีอีก 2 เด็กชายกับผมสีข้าวบาร์เล่ย์และเด็กสาวกับผมสีโทนเดียวกัน “พวกเจ้า?” ใบหน้าที่คุ้นเคยของคนพวกนี้มันทำให้ลอว์เรนซ์มองตรงเข้าไปในเงามืดภายในรถม้าอย่างมีความหวังและเมื่อผู้โดยสารคนสุดท้ายปรากฏตัวออกมาจากเงามืด ใบหน้านั้นคมเข้ม มองตรงไปข้างหน้าอย่างสงบนิ่ง ไม่มีรอยยิ้ม เขากำลังเดินตรงมาและหยุดยืนที่เบื้องหน้าลอว์เรนซ์ สีหน้าและแววตาสั่นคลอนด้วยความรู้สึกที่ยากต่อการอธิบายเป็นคำพูด ภาพที่ฉายผ่านดวงตาปรากฏการณ์ความพร่ามัวเพราะกำลังมีของเหลวล้นทะลักออกมา
“คุณพ่อครับ” เสียงเรียกอันอบอุ่นจากริมฝีปากแดงก่ำของโทมัสคือสิ่งเร้าที่ทำให้ลอว์เรนซ์ไม่อาจกลั้นน้ำตาที่เอ่อท่วมได้อีกต่อไป “จะ-จะ-เจ้าลูกชาย...” ลอว์เรนซ์เอ่ยเสียงสั่น ความปีติยินดีปรากฏในรูปแบบของสายธารที่ไหลอาบแก้มตอบทั้ง 2 แม้ดวงตาจะมองเห็นไม่ชัดตามความเสื่อมของกาลเวลาแต่หากเป็นเขาคนนั้น แม้จะบอดสนิทแต่ได้ยิน เสียงที่คุ้นเคยนั้นมันเพียงพอแล้วกับช่วงเวลาว่างเปล่าและเงียบเหงา โทมัสกับความอ่อนโยนที่แสดงออกบนใบหน้า ไม่มีความแข็งกร้าวและไร้ชีวิตชีวาเหมือนปกติและรอยยิ้มนั้น
โทมัสก้าวออกไปข้างหน้าและสวมกอด มือลูบแผ่นหลังนั้นอย่างอ่อนโยน วิลเลี่ยมและรูบี้รับรู้ได้ถึงความอบอุ่นจากโทมัสและมันเป็นสิ่งที่ทำให้พวกเขารู้สึกอบอุ่นอย่างน่าประหลาด “เจ้าลูกชาย เจ้าหายไปไหนมา?” ลอว์เรนซ์เอ่ยถามทั้งน้ำตา “ผมขอโทษครับ คุณพ่อ ผมขอโทษครับ คุณพ่อ ผมขอโทษครับ” น้ำตารินไหลอาบแก้มโทมัส นั่นเป็นสิ่งที่ทำให้วิลเลี่ยมยิ้มออกมาโดยไม่รู้ตัว
ณ ห้องโถงภายในโบสถ์ สถานที่สำหรับประกอบพิธีกรรมทางศาสนาอาทาซ อีกทั้งยังเป็นห้องเรียนสำหรับเด็กที่มีอายุตั้งแต่ 5 ถึง 14 ขวบเพื่อเตรียมตัวก่อนเข้าเรียนโรงเรียนมัธยมฟรานซิสโก้ เก้าอี้ยาวสีน้ำตาลเข้มวางเรียงขนาบฝั่งซ้ายและขวา เว้นพื้นที่ตรงกลางสำหรับเป็นทางเดินที่ปูด้วยพรมแดงทอดยาวไปจนสุดแท่นพิธีกรรม มันคือที่ตั้งของประติมากรรมรูปปั้นที่มีรูปร่างคล้ายเครื่องหมายบวก เหนือแท่นพิธีมีดอกไม้สีขาวสว่าง
“9 ปีแล้วนะครับที่ผมและเจ้าชายไม่ได้มาที่นี่” ซาคาเรียสนั่งคุยกับลอว์เรนซ์อย่างเป็นกันเองบนเก้าอี้โดยมีนิโคลัสนั่งอยู่ที่เก้าอี้ตัวหลัง สีหน้ายิ้มแย้มสะท้อนอยู่บนผิวน้ำในแก้วที่ซาคาเรียสถือและกำลังมีไอขาวลอยพวยพุ่งออกมาอย่างไม่ขาดสาย “อืมๆ พ่อเองก็ดีใจเหมือนกันที่ได้เจอพวกเจ้า อืมๆ” ลอว์เรนซ์กล่าว “เห~ พวกเขาไม่ได้เจอคุณพ่อตั้งนาน ทำไมถึงไม่พูดอะไรที่ลึกซึ้งกว่านี้หน่อยล่ะครับ?” นิโคลัสเอ่ย “อืมๆ เจ้าหนูดวลปืน เจ้านี่ยังน่ารำคาญทุกครั้งที่ได้เจอเลยนะ อืมๆ” ลอว์เรนซ์หันไปต่อว่า “ฮ่าๆๆ มันเป็นนิสัยไปแล้วนี่ครับ” นิโคลัสหัวเราะร่า “อืมๆ ว่าแต่ตอนนี้เด็กๆ ของเจ้าหายไปไหนหมดแล้วล่ะ เจ้าหนูดวลปืน?” ลอว์เรนซ์สอดส่ายสายตามองไปโดยรอบวิหารซึ่งตอนนี้มีเพียงแค่พวกเขา 3 คนเท่านั้น
“เอ~ ถ้าผมจำไม่ผิด คุณวิลเลี่ยมกับคุณรูบี้น่าจะกำลังเล่นกับนักเรียนของคุณพ่อที่นอกโบสถ์แต่จะว่าไปผมไม่เห็นคุณโทมัส.....” ซาคาเรียสลุกพรวดอย่างกะทันหัน สร้างความประหลาดใจให้ทั้ง 2 “ผมขอตัวไปหาเจ้าชายก่อนนะครับ” ใบหน้าที่แสดงถึงความตึงเครียดและเป็นกังวลถูกอ่านผ่านนัยน์ตาสีน้ำตาลของลอว์เรนซ์ “เจ้าหนูตัวสูง เจ้าไม่ต้องตื่นตระหนกไป” ลอว์เรนซ์จิบน้ำในแก้วอย่างสุขุม “เจ้าลูกชายของข้าหาตัวไม่ยากนักหรอก” ลอว์เรนซ์เหลือบมองประตูทางขวามือจากแท่นพิธีกรรมที่กำลังเปิดแง้มอยู่
หลังประตูไม้ของห้องที่ถูกใช้เก็บของสำคัญในโบสถ์ สิ่งของภายในเปรอะเปื้อนฝุ่นที่จับตัวหนา แทบมองไม่ออกว่าสิ่งที่ถูกเคลือบมีหน้าตาเดิมเช่นไร กระนั้นความสกปรกไม่อาจหยุดเขาคนนั้นให้ใช้เวลาส่วนใหญ่คลุกคลีอยู่ภายในนี้ได้ ผ้าขาวถูกกระชากออกและโยนลงพื้นจนฝุ่นคลุ้ง โทมัสยกมือป้องปากและจมูก นัยน์ตาจ้องรูปวาดที่เคยถูกคลุม มันเป็นผลงานชิ้นยอดหากแต่ไร้ซึ่งนาม ชื่อศิลปินและที่มาที่ไป ภาพของภูเขามนุษย์ ทับถมด้วยร่างไร้วิญญาณหลายหมื่น โลหิตแห่งเหล่าผู้วายชนม์หลั่งรินอาบผืนดินให้แดงฉานแม้แต่ทองคำอร่ามที่เรียงรายตามผืนพสุธาก็ถูกย้อมด้วยสีเลือดแห่งผู้ครองโทสะ เหนือกองภูเขาปรากฏทวยเทพผู้ร้องเพลงสรรเสริญ ถือแตรหรือดาบและโล่ สายธารแดงฉานซึมลงสู่พื้นดินอันดำมืด เหล่าปีศาจเขายาวดั่งแพะแลบลิ้นยาวรองหยดน้ำแห่งความตาย
“อืมๆ นี่เจ้าลูกชายเจ้ามาอยู่ในนี้อีกแล้วรึ? อืมๆ” โทมัสเบิกตากว้างด้วยความตกใจและหันกลับไป “คุณพ่อ?!!” โทมัสตอบรับ “ขะ-ขอโทษครับ” เสียงนี้ไม่ใช่ของเขา มันดังมาจากความว่างเปล่าตรงหน้า ก่อร่างของเด็กชายผมสีดำ “อืมๆ พ่อไม่ได้จะกล่าวโทษเจ้าสักหน่อย อืมๆ” ถึงตอนนี้โทมัสชักไม่แน่ใจแล้วว่าร่างหลังค่อมที่ยืนอยู่ต่อหน้าคือตัวจริงหรือภาพหลอนกันแน่ “คุณพ่อครับ ภาพวาดนี้มีความหมายว่ายังไงหรือครับ?” เด็กชายยิ้มออดอ้อน ใบหน้าจิ้มลิ้มมากพอที่จะทำให้ลอว์เรนซ์ใจอ่อน “…..อืมๆ พ่อก็อยากบอกเจ้านะแต่พ่อไม่รู้ความหมายเหมือนกับเจ้านั่นแหละ อืมๆ” ลอว์เรนซ์ตอบ “อ่าว! ไม่ใช่ว่าคุณพ่อเป็นคนวาดภาพหรอกหรือครับ?” เด็กชายตาโตด้วยความสงสัย “อืมๆ พ่อมีงานต้องสอนเด็กอย่างพวกเจ้าแล้วจะมีเวลาที่ไหนมานั่งวาดรูปกันล่ะ อืมๆ” ลอว์เรนซ์ตอบเสียงหน่าย “ขอโทษครับ...” เด็กชายก้มหน้าต่ำ ใบหน้าเศร้าหมองเรียกคะแนนสงสารจากลอว์เรนซ์ได้อีกครั้ง
“อืมๆ ถ้างั้นพ่อจะบอกความหมายของภาพนั่นให้เจ้าฟังแต่นี่เป็นความเห็นส่วนตัวของพ่อนะ อืมๆ” ลอว์เรนซ์ถอนหายใจเฮือกใหญ่ก่อนที่ร่างทั้ง 2 จะจางหายไป คืนความเงียบสู่ห้องอีกครั้ง ‘....ไร้เดียงสาซะจริงนะตัวเราในอดีต’ โทมัสนั่งลงและหลับตา ปล่อยให้ร่างกายอันเหนื่อยล้าได้พักผ่อนในห้วงแห่งความมืดมิดและความเงียบสงัดที่กำลังถูกแทนที่ด้วยเสียงของสายฝนและฟ้าร้อง เม็ดฝนร่วงหล่นลงจากเพดานเมฆสีดำทะมึน แสงสีขาวปรากฏขึ้นแทนที่ความหม่นหมองบนฟากฟ้าแต่ส่องสว่างอยู่เพียงชั่วครู่ก็ดับหายไป คืนความเศร้าหมองอีกครั้ง แสงสว่างครั้งที่ 2 ลอดผ่านบานหน้าต่างตรงหน้าโทมัสผู้กำลังนั่งสัปหงก ฝ่ามือทั้ง 2 วางทาบกับพื้นที่เต็มไปด้วยฝุ่นเขรอะ เปลือกตาไม่อาจปกปิดแสงของฟ้าแลบแต่ก็ไม่ทำให้เขาลืมตาขึ้นมา
‘หากนั่นคือการต่อสู้ระหว่างความดีและความชั่ว หากเปรียบให้ท้องฟ้าคือโลกของเหล่าผู้เขลาและหากเปรียบให้สีทั้ง 2 เป็นตัวแทนของ 2 สิ่ง แสงสว่างเล็กน้อยนั้นคงไม่อาจส่องประกายพอที่จะขับไล่ความมืดบนฟากฟ้าทั้งหมดและพลันต้องหายไปอย่างไร้ร่องรอย’ โทมัสคิดในใจ แสงสว่างวาบเข้ามาสู่ภายในตัวโบสถ์เพียงชั่วครู่ สายฝนในยามนี้ชั่งน่ากลัวจับใจ
“หึย~ เสียงฟ้าร้องเนี่ยมันน่ากลัวจริงๆ” ซาคาเรียสวางแก้วชาลงบนเก้าอี้ไม้ “อืมๆ โตขนาดนี้แล้วทำตัวเป็นเด็กขี้แยไปได้ อืมๆ” ลอว์เรนซ์ยิ้มแหยะๆ “ก็ผมยังเด็กนี่นา ฮ่าๆ” ซาคาเรียสหัวเราะร่า “ว่าแต่พวกเจ้าจะกลับกันตอนไหนล่ะ อืมๆ” ลอว์เรนซ์เอ่ยถามด้วยโทนเสียงที่แตกต่างออกไปจากเดิม ใบหน้าแห้งกร้านที่เคยยิ้มแย้มแปรเปลี่ยนเป็นใบหน้าของคนชราผู้กลัวการถูกทอดทิ้งจากลูกหลานของตน “เรื่องนั้นคงต้องถามคุณนิโคลัสเพราะเขาเป็นอาจารย์ผู้รับผิดชอบการทัศนศึกษาในครั้งนี้ครับ” ซาคาเรียสหันไปหานิโคลัสแต่กลับไม่เห็นใครเสียแล้ว “เอ~ หายไปไหนกันนะครับ?” ซาคาเรียสเลิกคิ้วด้วยความสงสัย “อืมๆ เจ้าหนูดวลปืนกับเจ้าลูกชายมีอะไรที่คล้ายคลึงกันอยู่นะ อืมๆ” ลอว์เรนซ์ยกแก้วน้ำขึ้นจิบอย่างมีความสุข ปล่อยให้อีกฝ่ายนั่งสงสัยกับคำพูดปริศนาของเขา
ท้องฟ้าที่เคยถูกบดบังด้วยความหม่นหมองของเมฆฝนหนาทึบปรากฏแสงสว่างจากดวงอาทิตย์แรกที่ลอดผ่านผืนเมฆ หยาดน้ำค้างตามใบไม้และหญ้าเป็นภาพหายาก ไม่ต่างจากรุ้งกินน้ำที่กำลังแสดงให้เห็นเหนือหลังคาโบสถ์ เด็กชายและเด็กสาวพากันออกมา กระโดดโลดเต้นบนแอ่งน้ำขัง บางคนแหงนมองดูรุ้งกินน้ำอย่างอิ่มเอมใจ โทมัสมองผ่านกระจกหน้าต่างโทรมของห้องเก็บของ รู้สึกสงสัยและในเวลาเดียวกันก็ทำให้รู้สึกอิจฉา
มือเอื้อมไปเปิดหน้าต่างออกกว้างพลางมีลมเย็นปะทะเข้าที่ใบหน้า เส้นผมสีดำไหวอิงตามแรงลม ดวงตาอันไร้แสงแห่งชีวิตมองไปยังสุดฟากฟ้าสีคราม เสียงลมหายใจเฮือกใหญ่ที่พ่นออก การมองสายรุ้งจากตรงนี้ไม่ได้ทำให้มีความสุขเหมือนคนพวกนั้น บานหน้าต่างปิดลง “เป็นเพราะสายรุ้งไม่สวยเท่ารูปวาดหรือครับจึงทำให้คุณถอนหายใจซะดังขนาดนั้น?” เสียงทักดังขึ้นจากด้านหลังของโทมัส “ไม่ใช่ครับ” เขาเดินออกจากห้องไปอย่างเงียบสงบ ทิ้งให้นิโคลัสยืนอยู่ภายในตามลำพัง
เมื่อหมดเวลาในเมืองรูปพ์ กลุ่มโทมัสไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องเดินทางออกจากโบสถ์เพื่อไปยังเมืองถัดไป การจากลาชั่งมีแต่ความโศกเศร้า ลอว์เรนซ์แทบจะไม่อยากพละกายออกจากร่างที่กำลังสวมกอด ไม่มีเสียงร่ำไห้แม้ในยามที่ล้อรถม้าเคลื่อนออกจากตัวโบสถ์ มีเพียงคำสัญญาที่ดังกังวานอยู่ในจิตใจของพวกเขาและดึกคืนนั้นไม่มีใครกล้าคุยกับโทมัสผู้ยังมีสีหน้าเศร้าหมอง แม้แต่วิลเลี่ยมผู้ชอบตั้งคำถามก็ดูไม่กล้าสงสัยใดๆ ในเวลาแบบนี้
สารบัญ / นำทาง
- 👁️ ยอดวิว 264
แสดงความคิดเห็น