เนื้อที่แข็งกระด้าง
“ภารกิจจับกุมเสร็จสิ้นแล้วเช่นนั้นพวกเราขอตัวกลับครับ ท่านผู้บัญชาการกองกำลังแคปิตอล คอป สังกัดทิศใต้ ท่านโบนกิน” ชายวัยกลางคนผู้สวมเครื่องแบบสีดำเต็มยศโค้งตัวทำความเคารพอย่างอ่อนน้อมและเดินจากไปพร้อมผู้ติดตามและชายร่างท้วมที่ในตอนนี้มีอาการนิ่งสงบ ความเปลี่ยนแปลงทางอารมณ์เหมือนพลิกฝ่ามือ เกิดขึ้นหลังจากกลุ่มแคปิตอล คอป แผนกรักษาความปลอดภัยภายในประเทศ สวมกำไรสีดำบนข้อมือของเขา คงไม่ใช่กำไรธรรมดาแต่เป็นไอเทมพลังจิตที่สามารถสะกดจิตผู้ที่ถูกมันสวมใส่
โทมัสยืนดูเหตุการณ์การจับกุมทุกขั้นตอนจนจบ ความรุ่มร้อนในร่างกายเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วพานให้ใบหน้าขาวซีดเต็มไปด้วยเม็ดเหงื่อ ปฏิกิริยาทางเคมีที่เกิดขึ้นกับตัวเขาสวนทางกับบรรยากาศหนาวเย็นภายนอกในตอนนี้อย่างน่าประหลาด นัยน์ตาที่ไม่เป็นมิตรมองจ้องไปที่กลุ่มแคปิตอล คอป ‘พวกมันไง โทมัส พวกมัน!’ ไม่ใช่เสียงของใครอื่นแต่เป็นเสียงจากจิตใต้สำนึกของตัวเขาเอง ‘แคปิตอล คอปทุกคนต้องหายไป พวกมันต้องชดใช้…’ สีสันทั้งหมดของภาพที่ดวงตามองเห็นแปรเปลี่ยนเป็นความมืดแม้ไม่ได้กำลังหลับตา มองไปทางไหนก็ไม่เห็นทัศนวิสัยอื่นใดนอกจากรัตติกาลอันเป็นนิรันดร์ ไม่มีทั้งกลิ่นและเสียง ไม่อาจบอกได้ถึงอุณหภูมิในร่างกายว่าอุ่นหรือเย็น มันว่างเปล่า ทุกอย่างว่างเปล่า ไม่มีอะไรนอกจากความว่างเปล่า…
‘ฝันหรือ?’ โทมัสคิดในใจ ‘กลัว’ เสียงที่ทั้งแผ่วเบาและหดหู่ดังขึ้น มันเบาราวเสียงกระซิบ ‘กลัวการถูกลืม เรา....’ เสียงนั้นเงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะมีเสียงเสียงหัวเราะแผ่วๆ ดังขึ้น ฟังแล้วทำให้ขนลุกตั้งชัน มันเป็นเสียงหัวเราะที่ดูสะใจมากราวกับคนบ้า ‘นายคือใคร?’ เสียงหัวเราะเงียบหายไปอีกครั้ง ครั้งนี้ใช้เวลาอยู่นานกว่าเสียงปริศนาจะดังขึ้นอีกครั้ง ‘เราคือเรา ร่างกายนี้เป็นของเรา แล้วนายล่ะ…คือใคร?’ ความมืดจางสีลงราวกับสิ่งที่บดบังเปลือกตาที่ปิดอยู่ทั้ง 2 ได้หายไปแล้ว
โทมัสลืมตาด้วยความตกใจ สิ่งแรกที่นัยน์ตาสีเงินมองเห็นคือแสงจากโคมไฟที่ห้อยอยู่บนเพดาน มันมีกำลังแสงพอแค่แสดงสิ่งของภายในห้องแต่ก็ไม่มากนัก เขาพยุงตัวเองให้ลุกขึ้นนั่งบนเตียง ผนังกำแพงห้องโล้นๆ ไร้ซึ่งการตกแต่ง ด้านล่างข้างเตียงคือเพื่อน 2 คนที่กำลังมีความสุขกับการหลับใหลอยู่บนพื้นห้อง เขาหย่อนขาลงจากเตียงและเดินไปเปิดประตู เพียงเสี้ยวนาที แรงลมขนาดมหึมาซัดเข้ากระทบใบหน้าอย่างไม่ทันตั้งตัวและต้องยกมือขึ้นบังลมกระโชก ภาพที่เห็นเพียงชั่วขณะก่อนที่ลมจะกระแทกเข้าใส่คือป่าทึบที่กำลังเคลื่อนผ่านไปอย่างรวดเร็วราวกับมีขา หมายความว่าเขากำลังอยู่บนยานพาหนะบางอย่างที่ไม่น่าจะใช่รถม้าหรือสัตว์ขี่หรือนี่จะเป็นบ้านเคลื่อนที่หรือไอเทมพลังจิตอะไรเทือกนั้น?
“ถ้าผมเป็นคุณ ผมจะปิดประตูแล้วกลับมานอนครับ” เจ้าของเสียงที่ยังคงนอนอยู่ในท่าเดิม นัยน์ตาสีชาจ้องมองใบหน้าของร่างที่ยังคงยืนตรง ปล่อยให้กระแสลมพัดกระแทกใบหน้าอยู่อย่างนั้นราวกับเป็นต้นไม้ไร้ความรู้สึกจนกระทั่งโทมัสปิดประตูอีกครั้งแล้วจึงเดินกลับมานอน ไม่ได้กล่าวหรือตอบอะไรเพื่อนที่มองจ้องเขาตลอดเวลา
“อาการตอนนี้ดีขึ้นแล้วใช่ไหมครับ?” คำถามนั้นดังขึ้นในทันทีที่โทมัสทิ้งตัวลงนอน “ครับ” ในใจที่เย็นชานั้นคิดไปเองว่าบางทีอาจมีอะไรเกิดขึ้นระหว่างที่ติดอยู่ในภวังค์มืดนั้น “ตอนที่คุณหมดสติและล้มลง ผมตกใจจนทำอะไรไม่ถูกเลยนะครับ พี่ซาคาเรียสเอาแต่โทษตัวเองที่ทำให้คุณเป็นแบบนี้ เขานั่งเฝ้าคุณข้างเตียง ไม่ยอมหลับไม่ยอมนอน ใช้เวลาอยู่นานโขเลยกว่าจะเกลี้ยกล่อมให้เข้านอนได้สำเร็จ” วิลเลี่ยมยิ้มเมื่อนึกถึงความดื้อดึงของซาคาเรียสในวันนี้ “ขอโทษที่ทำให้พวกคุณเป็นห่วงครับ” วิลเลี่ยมสะอึกทันที “คุณไม่เป็นอะไรก็ดีแล้วครับแต่ก็น่าเสียดายที่คุณกับพี่ซาคาเรียสอดชมศูนย์บำบัดน้ำเสียกับธนาคารโรบัสต้าของอีกวันเลยนะครับ” วิลเลี่ยมหัวเราะแห้งๆ พอให้แก้เขินได้ คงไม่มีใครเชื่อถ้าเขาเล่าให้ใครฟังว่าเจ้าชายเย็นชาผู้นี้สามารถพูดอะไรแบบนั้นได้ด้วย...
“พวกเรากำลังไปไหนหรือครับ?” โทมัสเอ่ยถามในขณะที่ตายังปิดสนิท “ตอนนี้พวกเราอยู่บนรถม้าคันเดิมครับ ที่นี่เรียกว่าห้องนอน หนึ่งในสิ่งอำนวยความสะดวกที่ติดมากับไอเทมเวทมนต์รถม้าแห่งอีเลมครับ กลไกการทำงานก็เหมือนกับห้องรถม้าเลยครับเพียงแต่ประตูห้องนอนจะใช้ร่วมกับประตูทางออกรถม้าและห้องรถม้าครับ” ถึงไม่มีหนอนหนังสืออย่างรูบี้แต่ก็ยังมีวิลเลี่ยมผู้เป็นดั่งพจนานุกรมฉบับสำรองของกลุ่ม จะว่าไปแล้วรูบี้ล่ะ?
มันเป็นระยะเวลาที่ไม่นานมากแต่เพราะเวลาที่ไม่มีเสียงของบทสนทนาที่ดับเงียบไปนานจนเกินไปทำให้คิดว่าเวลาในความเงียบนั้นผ่านมาอย่างรวดเร็ว แม้วิลเลี่ยมจะอยากรู้ความเป็นไปของคนบนเตียงแต่ด้วยองศาในตอนนี้มันทำให้เขาไม่สามารถมองเห็นอะไรอยู่ดี ‘….หลับแล้วรึ?’ คิดแบบนั้นก็จึงหลับตาและเตรียมเข้าสู่ห้วงนิทราอีกครั้ง
วันที่ 3 ของการเดินทาง รถม้านำนักเรียนมาถึงเมืองถัดไปตั้งแต่เช้าตรู่ หิมะยังคงมีให้เห็นตามทางที่วิ่งผ่าน เหมือนที่เยนอม เดดวอร์ซเป็นเมืองที่มีขุนนางปกครองเช่นกันและเป็นคนจากตระกูลที่นามสกุลคุ้นหูเป็นอย่างมากตระกูลเล็กเซอร์ แม้ในวันที่หิมะตกโปรยปรายไม่บดบังสีทองสว่างที่แสนโดดเด่นทั้งโดยรอบสิ่งก่อสร้างขนาดใหญ่และกองทัพอัครเทวทูตผู้สวมกายเนื้อทองหล่อ โบสถ์ใหญ่แห่งเดดวอร์ซหรือรู้จักอย่างเป็นทางการว่าโบสถ์หลวงแห่งตระกูลกษัตริย์ฟรานซิสโก้ ด้านหน้าประตูที่ปรากฏสัญลักษณ์ของปีกทั้ง 2 ฝั่งที่กำลังถูกเปิดออกโดยกลุ่ม ชายวัยหนุ่มและกลางคนในชุดยาวรุ่มร่ามสีขาว สัญลักษณ์กากบาทที่หน้าอกเป็นสีทองที่เด่นอย่างน่าสนใจ ภายในกลุ่มนักเรียนและนิโคลัสได้พบกับโรเบิร์ต หัวหน้าบาทหลวงของที่นั่น เพียงแว็บแรกก็ทำให้โทมัสจำได้ถึงใบหน้าอันใจดีของชายผู้นี้ เขาคือ 1 ใน 6 สมาชิกสภานักเรียน ที่กำลังยืนต้อนรับขับสู้กลุ่มนักเรียนอย่างอบอุ่นร่วมกับบาทหลวงในอาณัติอีกจำนวนหนึ่ง
“อรุณสวัสดิ์ลูกๆ ทุกคน พ่อชื่อโรเบิร์ตเป็นผู้สืบทอดแห่งโบสถ์หลวงแห่งตระกูลกษัตริย์ฟรานซิสโก้” โรเบิร์ตเผยรอยยิ้มกว้าง ภายในเป็นเสมือนท้องพระโรงขนาดใหญ่ ที่กึ่งกลางตั้งรูปปั้นทองคำของพระเจ้าที่พวกเขานับถือ พระเจ้ามิคาเอล รายล้อมด้วยเก้าอี้ยาว 6 แถวที่หันเข้าหาพระองค์อย่างพร้อมเพรียง มองไปโดยรอบ ที่ซึ่งแสงลอดผ่านและแปลงเป็นสีสันที่แตกต่างอย่างสวยงาม เปิดเผยภาพความเชื่อที่เต็มไปด้วยสีสันที่ชัดเจน ทองและขาวคือความดีที่มิอาจแปดเปื้อนด้วยสีแดงและดำของเหล่าปีศาจ “มนุษย์ผู้โง่เขลามักเป็นเหยื่อของปีศาจให้ครอบงำ คุณคิดว่ายังงั้นไหมครับ?” คำถามที่ดังขึ้นอย่างฉับพลันไม่ได้ชักชวนให้ใบหน้าเย็นชาของโทมัสหันกลับไปตามเสียง ไม่แม้แต่จะพยักหน้ารับ คงเพราะศิลปะกระจกตรงหน้าที่มันทำให้สติเขาถูกดึงดูดลงไปในความนิทราของมนต์สะกด
หลังเสร็จสิ้นการเยี่ยมชมที่โบสถ์หลวงก็ไปยังสถานที่อีกแห่ง มันเป็นลานกว้างที่คลุมด้วยหิมะขาวกว้างใหญ่สุดลูกหูลูกตา ภายในมีอาคารแยกย่อยถึง 16 แห่ง ตั้งกระจัดกระจายโดยแต่ละอาคารมีรถม้าจอดอยู่ก็หลากหลายคันพอสมควร “ที่นี่คืออาณาเขตของศาลากลางเมืองเดดวอร์ซ พวกคุณสามารถทำอะไรได้มากมายที่นี่ เอาล่ะ การบ้านของพวกคุณคือการสำรวจและสรุปสิ่งที่สามารถทำได้ในพื้นที่แห่งนี้มาให้ครบถ้วนนะครับ” นิโคลัสกล่าว “เราจะอยู่กันที่นี่สัก 2 ถึง 3 วันนะครับ” จริงอยู่ที่มีเพียง 16 อาคาร แต่การเดินทางไปแต่ละจุดย่อมใช้เวลาพอสมควรเช่นกัน
โทมัสได้เรียนรู้หลายอย่างเกี่ยวกับพื้นที่แห่งนี้ ทั้งหน้าที่ที่แตกต่างของแต่ละอาคาร สัญลักษณ์กระทรวงที่ติดตั้งอยู่เหนือสุดของอาคารและเสาธงขององค์กรที่ไม่เคยได้ยินที่ไหนมาก่อน เฮาซ์ ออฟ อีลิทส์ ถ้าถามถึงกระทรวงไหนที่น่าสนใจก็คงมีกระทรวงคมนาคมกับงานการลงทะเบียนขอออกนอกประเทศชั่วคราวซึ่งเป็นการอนุญาตให้ผู้ลงทะเบียนสามารถออกไปทำธุระนอกประเทศได้ ธุระนั้นอาจเป็นการออกล่า การท่องเที่ยวหรือการทำภารกิจฮอเนอร์ กระทรวงพลังจิต กระทรวงเวทมนต์ กระทรวงพลังธาตุและกระทรวงสิ่งมีชีวิต โดยหลังครบตามกำหนดพวกเขาก็เดินทางไปยังเมืองถัดไป
รถม้าได้มาถึงยังเมืองรูปพ์ จุดหมายที่ใครหลายคนอาจเบื่อที่จะเดินทางมาเพราะความกันดารและไม่ค่อยมีสิ่งน่าสนใจเหมือนสองเมืองที่ผ่านมาแต่กับโทมัส มันกลับเป็นจุดหมายที่เขารอคอยมาอย่างยาวนาน รถม้าหยุดจอดที่ลานกว้างขนาดใหญ่และเงียบสงบ อาจเรียกได้ว่าไร้ซึ่งผู้คน จะมีก็แต่บรรดานักเรียนโรงเรียนมัธยมฟรานซิสโก้ที่เดินเกาะกลุ่ม โทมัสสังเกตเห็นสัญลักษณ์บนผืนเสื้อคลุมที่มีทั้งรูปนกอินทรี หมาป่า หมูป่าและแพะและดูเหมือนประชากรเหยี่ยวจะมีมากเป็นอันดับหนึ่ง รองลงมาคือหมูป่าและหมาป่า ส่วนแกะเห็นแค่ไม่กี่คน
นักเรียนทั้งหมดถูกสั่งให้มายืนล้อมรอบสถาปัตยกรรมรูปปั้นขนาดใหญ่ ตั้งอยู่กึ่งกลางของลานกว้าง รูปปั้นมังกรที่ดูทรงอำนาจและน่าเกรงขาม ลักษณะของมันดูแตกต่างจากรูปปั้นมังกรตัวอื่นที่พบเห็นได้ทั่วไปแม้จะมีความคล้ายคลึงแต่มีบางอย่างที่ทำให้มันแตกต่างออกไป ลำตัวเพรียวไม่หนา แขนสองข้างปรากฏที่ปีกส่วนบน ดูคล้ายค้างคาว หางมีลักษณะเหมือนปลายหอกแหลม “ทุกคนฟังทางนี้นะครับ” นิโคลัสยืนอยู่ที่ด้านหน้าของรูปปั้นมังกร “รูปปั้นมังกรที่พวกคุณเห็นตรงหน้านี้คือรูปปั้นมังกรไวเวิร์น พระสหายของกษัตริย์ฟรานซิสโก้ อเล็กซิน ปฐมกษัตริย์ผู้บุกเบิกประเทศโนซาล์บจนเจริญรุ่งเรืองจนถึงปัจจุบันครับ” เพียงได้ฟังประวัติคร่าวๆ ก็ทำให้รู้สึกขนลุกด้วยความปิติยินดี
‘มังกรคู่ใจของบรรพบุรุษเรา ท่านอเล็กซิน’ โทมัสแหงนหน้ามองรูปปั้นตรงหน้า บางส่วนถูกคลุมด้วยหิมะ ส่วนลึกในจิตใจบอกเขาว่ามันไม่ใช่รูปปั้นธรรมดาตามรูปภายนอก โทมัสก้าวเท้าเดินตรงไปที่รูปปั้นราวกับถูกมนต์สะกด ขาทั้งสองก้าวจนเกือบจะถึงพื้นต่างระดับซึ่งเป็นหลุมลึกราว 15 เซนติเมตรที่ใต้ฐานรูปปั้น ในขณะที่ขากำลังจะสัมผัสพื้นด้านล่าง เขารู้สึกถึงแรงมหาศาลที่ดึงให้เขาออกห่าง “ตรงนั้นมันอันตรายนะครับ” นิโคลัสเอ่ยในขณะที่มือยังคงจับไหล่ของโทมัสแน่น ใบหน้าที่มักจะแสดงออกอย่างสุขุมดูจริงจังและตึงเครียดจนน่าฉงนใจและไม่นานก่อนที่บรรยากาศการยืนจ้องหน้าของคนทั้งสองจะทวีความตึงเครียดมากกว่านี้ เสียงร้องตะโกนเรียกชื่อของโทมัสดังขึ้นและพอหันกลับไปมองจึงพบว่าเป็นซาคาเรียสที่ยืนอยู่กับเพื่อนอีก 2 คนที่ต่างก็มองมาที่พวกเขาด้วยความสงสัย นิโคลัสปล่อยมือจากโทมัสก่อนจะหันกลับไป
“ทุกคนสามารถแยกย้ายสำรวจเมืองรูปพ์ได้ตามอัธยาศัยแค่อย่ากลับช้ากว่าที่เวลากำหนดครับ สำหรับใครที่ยังไม่รู้ว่าจะไปไหน ผมแนะนำให้นั่งรถม้ารับจ้างชมเมืองนะครับ ผมเชื่อว่าความเป็นชนบทของเมืองนี้จะช่วยเพิ่มสีสันในการมองโลกของพวกคุณได้มากขึ้นครับ” นักเรียนส่วนใหญ่ยังคงนั่งปักหลักอยู่ที่ลานรูปปั้นมังกร ในขณะที่บางกลุ่มทำตามคำแนะนำของนิโคลัส
วิลเลี่ยมกับรูบี้ไม่ได้มีแผนการท่องเที่ยวของเมืองนี้ ต่างจากโทมัสและซาคาเรียสผู้เตรียมพร้อมเป็นอย่างดีแต่ก่อนที่ทั้งหมดจะแยกย้ายกันไปตามทาง “พวกคุณคนไหนกำลังจะไปโบสถ์บาโธโรมิวครับ?” เสียงตะโกนดังขึ้นจากด้านหลังของพวกเขา เป็นนิโคลัสที่คุมบังเหียนรถม้าแห่งอีเลม ซาคาเรียสไม่รอช้า รีบเดินไปเปิดประตูรถม้าทันที
สารบัญ / นำทาง
- 👁️ ยอดวิว 347
แสดงความคิดเห็น