มนุษย์หมาป่าคลั่งรัก ตอนพิเศษที่ 7 (ตอนสุดท้าย)
under the moon มนุษย์หมาป่าคลั่งรัก ตอนพิเศษที่ 7
จอยเหยียดแขนขาอย่างเกียจคร้านก่อนปล่อยตัวนั่งโซฟาตามปกติ มือหยิบโทรศัพท์มือถือมาเปิดแอปที่ใช้เชื่อมต่อกับโทรทัศน์อัจฉริยะ เธอใช้มันแทนรีโมต กดเปลี่ยนช่องไปเรื่อยๆ เพื่อหาช่องใดก็ได้ที่มันดูไม่น่าเบื่อ
รายการโดยส่วนใหญ่ที่เปิดผ่านไป แทบไม่มีตัวละครเป็น มนุษย์ โผล่มาให้เห็น
อันที่จริงก็ไม่ใช่เรื่องแปลก เนื่องจากบ้านที่จอยอยู่นี้มันไม่ได้อยู่ที่ โลกมนุษย์ แต่มันเป็น โลกอีกฟาก ซึ่งมันเป็นดินแดนที่มีแต่พวกสัตว์ในตำนานอยู่อาศัย
ดังนั้นจึงมีแต่พวกสัตว์ตำนานชนิดต่างๆ มาเป็นทั้งพิธีกร นักแสดง ผู้อ่านข่าว และอื่นๆ โดยเฉพาะพวกสัตว์ในตำนานตามท้องถิ่นประจำชาติ
แต่ต่อให้ดูอีกกี่ครั้ง ยังคงไม่ทำให้จอยรู้สึกเห็นเป็นเรื่องปกติ เนื่องจากมันให้ความรู้สึกออกไปทางเหมือนเปิดดูสารคดีชีวิตสัตว์โลก โดยเฉพาะพวกละคร ถ้าหน้าตาของนักแสดงเป็นพวกกึ่งมนุษย์ ยังพอดูออกว่าใครเป็นใคร แต่นี่มันมีแต่พวกหน้าตาเป็นสัตว์ทั้งนั้น มันเป็นปัญหาใหญ่อย่างมาก เพราะเธอแยกแยะไม่ออก
แต่เรื่องนั้นไม่ใช่ปัญหาสำหรับสัตว์ในตำนานพวกนี้ พวกเขามีวิธีแก้ปัญหาสุดน่าทึ่ง อย่างพวกมนุษย์หมาป่า มีโทรทัศน์ที่ขายให้สำหรับพวกเขาโดยเฉพาะ นอกจากโทรทัศน์มีทั้งเสียงและภาพ มันยังมีพัดลมตัวเล็กเพื่อเป่ากลิ่นออกมาด้วย เพื่อใช้สำหรับในการแยกแยะผู้อยู่หน้ากล้อง แต่สำหรับจอย... เธอรู้สึกขยะแขยงที่สุด เพราะกลิ่นแต่ละอย่างไม่ใช่เรื่องน่าสูดดม โดยเฉพาะถ้ามีผู้อยู่หน้ากล้องเป็นมนุษย์หมาป่า ทำจอยแทบคลื่นไส้ ยิ่งมีฉากมนุษย์หมาป่าว่ายน้ำ ความเหม็นของมันจะทรงอำนาจมากขึ้น ภายหลังจอยถึงรับรู้ว่าความจริงที่ร่างมนุษย์หมาป่าของอเล็กซ์มีกลิ่นหอม เขาใช้แชมพูเพื่อเอาใจเธอเพียงผู้เดียว แต่ไม่ใช่สำหรับมนุษย์หมาป่าตนอื่น กลิ่นตัวสำหรับพวกเขาเปรียบได้กับหน้าตา ถ้าไปใช้แชมพูมีกลิ่นหอมมาอาบน้ำ จะไม่แตกต่างจากเอาอาหารบูดๆ มาละเลงใบหน้า ดังนั้นมนุษย์หมาป่าส่วนใหญ่จึงไม่ใช้แชมพู
เพื่อรักษาอากาศภายในบ้านให้บริสุทธิ์ จอยต้องกดปิดระบบตรงส่วนนั้น พร้อมขอร้องอเล็กซ์ว่าอย่าเปิด เธอไม่ไหวจริงๆ กับกลิ่นสาบที่โทรทัศน์ผลิตออกมา
ขณะนิ้วกดเปลี่ยนช่อง จอยมองไปที่รูปถ่ายวันแต่งงาน เธอยังคงจำความรู้สึกครั้งอดีตได้แม่นยำไม่เคยลืม โดยเฉพาะครั้งแรกที่อเล็กซ์พามาที่โลกอีกฟาก
ตอนนั้นเธอต้องอยู่ในสภาพมนุษย์หมาป่าตลอดเวลา เพราะประชากรส่วนใหญ่ในเมืองจะอยู่ในร่างของสัตว์ในตำนานมากกว่าอยู่ในร่างของมนุษย์ ดังนั้นถ้ามีใครกลายร่างเป็นมนุษย์เดินเล่นอยู่ มันจะไม่แตกต่างจากพวกเด็กแนว สวมกางเกงในตัวเดียวเดินโชว์ไปทั่วเมือง
ตลอดของการเดินทาง จอยรู้สึกตื่นตาตื่นใจเป็นอย่างมาก เพราะเป็นครั้งแรกในชีวิต ได้เห็นสัตว์ที่มีแต่ในเทพนิยาย ในระยะใกล้ชิดอย่างนี้
วันแรกที่อเล็กซ์พาเข้าบ้านทางฝั่งโลกอีกฟาก ภายในบ้านของเขาค่อนข้างแปลก ตรงที่มันดูเหมือนเป็นเส้นแบ่งเขตแดนระหว่างนรกและสวรรค์ เนื่องจากบ้านของเขาด้านหนึ่งดูเป็นระเบียบเรียบร้อย ไม่ต่างจากบ้านของผู้ดีมีชาติสกุลสูงส่ง แต่อีกด้านหนึ่งดูตรงข้าม นอกจากดูรกเพราะเก็บของไม่เป็นระเบียบ ยังมีพวกโปสเตอร์ที่ดูเหมือนเป็นนักร้องขาร็อกและภาพของสาวนุ่งน้อยห่มน้อย แปะอยู่เต็มผนัง ดูไม่แตกต่างจากห้องของวัยโจ๋
จนกระทั่งอเล็กซ์อธิบาย จอยถึงเข้าใจว่าเหตุใดสภาพบ้านของเขาถึงเป็นอย่างนี้ มันเป็นเพราะมาจากตัวชายหนุ่มลูกครึ่ง มีสองตัวตนที่ออกมาใช้ชีวิตบ่อยมากที่สุด บ้านจึงต้องแบ่งออกเป็นสองส่วนอย่างที่เห็น
ความจริงอเล็กซ์ไม่จำเป็นต้องอธิบายละเอียดว่าส่วนไหนเป็นของใคร จอยพอจะเดาได้ด้วยตัวเอง ทางฝั่งที่ดูรกต้องเป็นของบิ๊กแน่นอน เพราะเธอสังเกตเห็นถุงยางอนามัยหลายยี่ห้อในกล่องที่เปิดอ้าอยู่ แต่เธอไม่มองมันนานเกินไป เดี๋ยวอเล็กซ์หันมาเห็น จะทำให้เขาเขินอายเปล่าๆ ส่วนอีกฝั่งต้องเป็นของเขาเอง จากที่สังเกตชายหนุ่มมาหลายครั้ง เขาเป็นคนมีระเบียบเรียบร้อย ดังนั้นทางฝั่งที่ดูสะอาดตาต้องเป็นของเขา
จอยเดินตามคู่ชีวิตไปเรื่อยๆ จนกระทั่งมาถึงห้องนอน ซึ่งเป็นห้องสุดท้ายที่เขาบอกว่าห้องนี้ใช้ทำอะไร
ภายในห้องก็มีสภาพไม่แตกต่างจากข้างล่างมากนัก จอยหันไปเห็นรูปหล่อของมนุษย์หมาป่าที่มุมหนึ่งของห้อง มันตั้งอยู่บนหิ้งขนาดใหญ่ แต่หิ้งที่วางนั้นทำให้เธอรู้สึกว่ามันไม่ใช่รูปหล่อธรรมดา เนื่องจากหิ้งวางมันมีทั้งดอกไม้สด หนังสือเล่มหนา และสิ่งของที่ดูเหมือนไว้ใช้สำหรับทำพิธีกรรม ทำให้รูปหล่อตัวนั้นเหมือนเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์
แต่เธอไม่คิดลึกซึ้งไปไกล เธอคิดแค่ว่ามันเป็นรูปหล่อของตัวอเล็กซ์เอง ไม่ใช่สิ่งศักดิ์สิทธิ์อะไรทั้งนั้น จึงพูดหยอกเย้าเขาว่าหล่อมาก แต่อเล็กซ์ปฏิเสธว่านั่นไม่ใช่รูปหล่อของเขา ความจริงรูปหล่อนั้นเป็นพระเจ้าของเผ่าพันธุ์มนุษย์หมาป่า ท่านมีชื่อว่า ไลเคน
แม้อเล็กซ์อธิบายด้วยน้ำเสียงเรียบง่าย เหมือนไม่ได้คิดอะไรมากมาย แต่ในแววตาของเขาเหมือนแสดงความโกรธออกมา จอยรู้ได้ทันทีว่าเทพองค์นี้ต้องเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์เอามากๆ สำหรับเผ่าพันธุ์พวกเขา เขาจึงเกิดความไม่พอใจที่เธอพูดเล่นอย่างนี้ เธอจึงรีบขอโทษ เพราะอย่างไรก็ตามเรื่องเกี่ยวข้องกับศาสนามันเป็นเรื่องละเอียดอ่อนอย่างมาก บางศาสนาถึงกับฆ่าผู้ที่ดูหมิ่นพระเจ้าของพวกเขาก็มี
อเล็กซ์รีบโบกมือเหมือนไม่ใช่เรื่องใหญ่ ความจริงเธอจะเข้าใจผิดก็ไม่แปลก ในเมื่อเธอเพิ่งมาเป็นส่วนหนึ่งของโลกอีกฟาก จึงยังไม่รู้จักศาสนาต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับผู้ที่อาศัยอยู่ในดินแดนแห่งนี้
แม้เขาบอกด้วยน้ำเสียงไม่คิดมากอะไร แต่แววตาของเขาคราวนี้สื่อออกมาอย่างชัดเจน ไม่มีความโกรธหลงเหลืออยู่อีก พอเขาหันไปมองรูปหล่อนั้น แววตาของเขาก็เปี่ยมไปด้วยความศรัทธา
จอยมองสำรวจภายในห้องต่อ จนมาเห็นหนังสือกองหนึ่งที่อยู่บนเตียงนอน มันดูสะดุดตาเอามาก เนื่องจากหน้าปกมันเหมือนภาพของหมาสองตัวกำลังผสมพันธุ์กันอยู่ แต่เธอไม่มั่นใจว่าใช่อย่างที่คิดหรือไม่ เนื่องจากเธอมองได้ไม่นาน อเล็กซ์รีบเดินเข้าไปเก็บอย่างลนลาน ราวกับมันเป็นสิ่งของผิดกฎหมาย
จนกระทั่งเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝัน ด้วยความเร่งรีบของอเล็กซ์ ทำให้หนังสือเล่มหนึ่งหล่นจากมือ เขาจึงรีบคว้าขึ้นมา แต่อาจด้วยความตกใจ กลายเป็นว่าเขาโยนหนังสือลอยมาทางเธอ จนมันมาตกตรงปลายเท้า
จอยเบิกตากว้าง ‘ท่าจ๊วบตับจ๊วบในตำนาน !’
ตอนแรกคิดว่าหนังสือที่อยู่บนเตียงของอเล็กซ์เป็นหนังสือสอนวิธีขยายพันธุ์หมา ทำจัดจำหน่ายขึ้นมาเพื่อให้สำหรับผู้ที่อยากเป็นเจ้าของฟาร์มสัตว์เลี้ยง จนกระทั่งภาพหน้าปกมาให้เห็นเต็มสองตา อยู่ในระยะลมหายใจแทบรดต้นคอ ถึงได้รู้ว่ามันเป็นหนังสืออย่างว่า มีให้สำหรับพวกผู้ชายเปล่าเปลี่ยวหัวใจ ใช้เพื่อสร้างจินตนาการ แต่ภาพหน้าปกที่ว่า... มันไม่ใช่มนุษย์ มันกลับเป็นภาพของมนุษย์หมาป่าสองตัว อยู่ในท่ายอดฮิตของการขยายเผ่าพันธุ์
อเล็กซ์รีบมาเก็บอย่างไว ใบหน้าของเขายังแดงระเรื่อด้วยความอับอาย จอยมั่นใจว่าเขาแทบอยากจมหายลงไปในดิน แต่ก็เป็นไปไม่ได้ เขาทำได้แค่ชี้แจง ความจริงหนังสือพวกนี้เป็นของอีกตัวตนหนึ่ง แต่การพูดอย่างเร่งรีบของเขา กลายเป็นว่าฟังเหมือนข้ออ้างแก้ตัว
จอยรู้ว่าเขาไม่อยากให้มองใบหน้าเท่าไรนัก เพราะจะยิ่งทำให้เขารู้สึกอายมากขึ้น เธอจึงเปลี่ยนเรื่องคุย พร้อมมองไปทางอื่นภายในห้อง
แต่การหันศีรษะไปอีกด้านหนึ่งของห้อง เป็นเรื่องไม่ควรทำจริงๆ เพราะเธอเห็นภาพของวัตถุอยู่ชิ้นหนึ่ง มีลักษณะคล้ายดอกเห็ดขนาดใหญ่ ตั้งโดดเด่นอยู่บนหิ้ง
จอยมองด้วยดวงตาเบิกโตมากกว่าหนังสือที่เพิ่งเห็นมาเมื่อกี๊หลายเท่า ‘พระเจ้าปลัดขิก !’
ตอนนั้นเธอคิดอย่างนี้จริงๆ นอกจากสิ่งที่มีหน้าตาคล้ายกับของสิ่งหนึ่งในความคิดเธอแล้ว ยังเห็นทั้งหนังสือสอนกระบวนท่าเล่นบนเตียงกับคู่ชีวิต ยังมีแผ่นซีดีเกี่ยวกับหนังอย่างว่า ยังมีถุงยางหลากหลายยี่ห้อ ยังมียาชูกำลังและยาเสริมพลังแห่งความเป็นชายอีกมากมาย ถูกวางอยู่บนหิ้ง ทำให้มันดูเหมือนเป็นของบูชาสำหรับดอกเห็ดนั้น
ถ้าจะให้ว่าตามจริงก็เป็นเช่นนั้น เพราะว่านั่นมันเป็นหิ้งบูชาพระเจ้าที่บิ๊กศรัทธา
ตั้งแต่วันนั้น อเล็กซ์ไม่กล้าสบตาเธอไปเกือบครึ่งเดือน เนื่องจากเขาอายมากที่เธอไปเห็นอะไรอย่างนั้นเข้า จอยคิดว่าเขาคงไม่อยากให้เกิดเรื่องอย่างนี้ตั้งแต่แรก แต่อาจด้วยเหตุผลลืมเก็บก่อนล่วงหน้านี้ หรือไม่ก็บิ๊กขัดขวางไม่ให้มีโอกาสได้เก็บ จนกระทั่งเขาก็ลืมเรื่องนี้ไปสนิท
จอยนึกขึ้นได้ จึงเลิกมองรูปถ่าย เปลี่ยนไปมองที่นาฬิกาตรงผนัง ตอนนี้เป็นเวลาที่จะมีข่าวพอดิบพอดี เธอจึงกดหมายเลขบนโทรศัพท์ เพื่อไปยังช่องที่ต้องการ
หลังจากเปิดมาเจอช่องข่าวของทวีปป่าหิมพานต์ ใบหน้าแรกที่ปรากฏให้เห็น คือนักข่าวเสือสมิงสาว ซึ่งเป็นนักข่าวภาคสนามหลักของรายการนี้ หล่อนมีชื่อว่า เขี้ยวคม
ความจริงเกี่ยวกับพวกเสือสมิง จอยมารู้หลังจากที่มาอาศัยที่โลกอีกฟาก พวกมันไม่มีลักษณะเหมือนเสือธรรมดา โครงสร้างทางร่างกายของพวกมันค่อนข้างแปลกๆ เหมือนกับมนุษย์หมาป่า พวกมันทั้งสามารถเดินด้วยสองขาหลังได้ หรือจะเปลี่ยนมาเป็นเดินเหมือนสัตว์เดรัจฉานก็ยังได้
ไม่ว่าจะมองอีกกี่ครั้ง จอยยังคงอดขนลุกไม่ได้เหมือนเดิม กับนักข่าวเสือสมิงตนนี้ โดยเฉพาะตอนที่เจ้าหล่อนยิ้ม ต้องเห็นเขี้ยวแหลมเกือบทั้งปาก
จอยถอนใจ พยายามคิดในแง่ดี ถึงแม้น่าหวาดหวั่นไปบ้าง อย่างน้อยมันก็พูดภาษาที่เธอฟังรู้เรื่อง
แต่ความจริงน่าจะเรียกว่าไม่มีทางเลือก เนื่องจากช่องนี้เป็นเพียงช่องเดียวที่ใช้ภาษาบ้านเกิด จึงต้องฝืนดูนักข่าวน่ากลัวนี่ ถ้าเธอต้องการดูรายการอื่นๆ ต้องเปิดดูผ่านทางอินเทอร์เน็ตเท่านั้น ส่วนใหญ่จะเป็นรายการที่ออกอากาศไปนานแล้ว แต่จอยไม่ชอบ เธอชอบความสดใหม่ของข่าวมากกว่า
“วันนี้เรามาสัมภาษณ์ชาวบ้านที่ได้รับความเดือดร้อนทางเศรษฐกิจ คุณรู้สึกยังไงคะกับสภาวะเศรษฐกิจย่ำแย่อย่างนี้ ?”
สาวนักข่าวยื่นไมโครโฟนไปให้เสือสมิงรุ่นป้า แววตาของป้าแกดูอ่อนล้าอย่างมากและยังเคร่งเครียด
“มันแย่มากเลยค่ะ นอกจากขายของไม่ดี ฉันยังไม่สามารถไปยืมเงินใครมาใช้ก่อนได้ ไม่มีใครให้ยืม ของก็ไม่มีอะไรไปจำนำเพื่อเปลี่ยนเป็นเงิน ไปกู้ธนาคารก็ไม่ได้ เพราะฉันเป็นแค่ชาวบ้านธรรมดา ไม่มีใครมาเป็นผู้ค้ำประกันให้ฉัน”
นักข่าวเขี้ยวคมเอาไมโครโฟนกลับมาพูดต่อ “เดี๋ยวก่อนนะคะ คราวที่แล้วที่ฉันมาสัมภาษณ์คุณป้า คุณป้าไม่ได้ลำบากอย่างนี้นี่”
จากนั้นภาพหน้าจอโทรทัศน์ตัดมาเป็นวิดีโอที่บันทึกไว้เมื่อหลายเดือนก่อน มีภาพของคุณป้าเสือสมิงพูดใส่ไมโครโฟนด้วยใบหน้าเบิกบานใจ
“นโยบายปราบปรามพวกปล่อยเงินนอกระบบมันดีมากจริงๆ ค่ะ ทำให้ฉันลืมตาอ้าปากได้โดยไม่ต้องลำบากอีก”
“แสดงว่าคุณป้าเคยถูกขู่ทำร้ายมาก่อนใช่ไหมคะ ?” นักข่าวสาวสมิงถามเพื่อให้ขยายความหมาย
“เปล่าค่ะ ทุกเจ้าที่ปล่อยเงินกู้ ไม่มีใครมาทำร้ายฉัน นอกจากโทรศัพท์มาทวงหนี้ หรือไม่ก็มายืนด่าที่หน้าบ้าน ฉันจึงไปแจ้งความจับ ส่วนในหมู่บ้านที่ฉันอยู่ ฉันก็ไปยืมแล้วชักดาบมาจนหมดทุกหลัง ใครมาขู่หรือด่าฉัน ฉันไปร้องเรียนอย่างเดียว ทำให้ไม่มีใครกล้ามาทวงฉัน ตอนนี้ฉันจึงรวยเละเลยค่ะ” คุณป้าเสือสมิงหัวเราะดังลั่น
จากนั้นภาพตัดกลับมาที่ปัจจุบัน แต่ตอนนี้ใบหน้าของคุณป้าไม่มีความเหน็ดเหนื่อย ไม่มีความท้อแท้ ไม่มีความสิ้นหวังให้เห็นอีก ใบหน้าของแกตอนนี้ดูเหมือนออกไปทางคนทำผิดแต่ถูกจับได้มากกว่า
“ที่คุณป้าบอกว่าไม่มีใครให้ยืมเงินในยามเดือดร้อน ไม่ใช่ว่าคุณป้าไปแจ้งจับพวกเขาหมดแล้วเหรอคะ ? จึงไม่มีใครให้เงินคุณป้าอีก” นักข่าวถามต่อ แต่คราวนี้เหมือนถามจี้ถูกจุด
“อุ๊ย !” ป้าเสือสมิงอุทานด้วยน้ำเสียงตอแหลชัดเจน “ฉันลืมปิดไฟที่เตาแก๊ส เดี๋ยวฉันขอตัวไปก่อนนะคะ”
แกพูดจบ ถลกผ้าถุงแล้ววิ่งหายเข้าไปในบ้านอย่างรวดเร็ว จากนั้นภาพหน้าจอโทรทัศน์ตัดมาเป็นฉากที่ห้องส่ง มีนักข่าวประจำสถานีเป็นเสือสมิงสองตน นั่งอยู่ด้านหลังโต๊ะข่าว
“แหม น่าสงสารคุณป้าจริงๆ นะคะ ดูสิ คุณป้ารีบวิ่งจนผ้าถุงเกือบหลุดเลยค่ะ” นักข่าวสาวสมิงหัวเราะคิกคัก
“เราไปดูอีกข่าวหนึ่งกันต่อดีกว่าครับ ตอนนี้เราสามารถทำการเชื่อมต่อกับคุณเขี้ยวคมได้แล้ว เธอกำลังสัมภาษณ์ท่านประธานาธิบดีอยู่พอดิบพอดี”
สิ้นเสียงเสือสมิงหนุ่ม ภาพหน้าจอพลันเปลี่ยนมาเป็นกลุ่มนักข่าวที่รายล้อมผู้นำประเทศ ซึ่งอยู่ตรงจุดใกล้แม่น้ำขนาดใหญ่ แต่ภาพนี้ไม่ใช่วิดีโอที่เตรียมไว้ตั้งแต่แรก หากแท้จริงแล้วมันเป็นภาพถ่ายทอดสด
“ท่านประธานาธิบดีคะ ท่านมีความคิดเห็นยังไงกับนโยบายพัฒนาคุณภาพชีวิตของผู้พิการ”
เขี้ยวคมที่เป็นผู้สอบถาม เธอยื่นไมโครโฟนไปให้ประธานาธิบดี ซึ่งเป็นนาคเกล็ดสีส้ม หรือที่คนไทยรู้จักในนามของพญานาค หรือเรียกอีกอย่างคืองูขนาดใหญ่ยักษ์
ลักษณะของพวกนาคนั้น ทุกตนต้องมีอัญมณีรูปวงรี อยู่ตรงกึ่งกลางของหน้าผาก สีสันแตกต่างกันออกไป ตามแล้วแต่ดวงที่เกิดมาว่าจะได้สีอะไร แต่ส่วนใหญ่จะเป็นสีแดงเหมือนเลือดหมู ดูๆ ไปก็เหมือนกับเหรียญสีทองที่ติดอยู่กลางหน้าผากของตัวการ์ตูนแมวพูดได้ที่ชื่อว่า เนียส หนึ่งในตัวละครของแก๊งร็อคเก็ต จากเรื่องโปเกม่อน นาคทุกตนต้องมีครีบเหมือนกับปลา อยู่ตรงเหนือหน้าผากขึ้นไปเล็กน้อยและใต้คาง ซึ่งมันสามารถพับเก็บแนบไปกับตัวได้ เมื่อยามมันกลางออก มันจะเหมือนสวมมงกุฎบนหัว แล้วใต้คางจะดูเหมือนกับหงอน
“นโยบายพัฒนาผู้พิการถือว่าลุล่วงไปด้วยดี ทำให้ผู้พิการได้มีพื้นที่ยืนอยู่ในสังคมมากขึ้น ไม่ใช่เป็นภาระให้กับครอบครัวอย่างเดียว”
ขณะท่านประธานาธิบดีกล่าว เปลี่ยนภาพมาเป็นวิดีโอที่ศูนย์พัฒนาชีวิต ซึ่งมีภาพของผู้พิการกำลังทำงาน ฉายให้ผู้ชมทางบ้านได้รับชม
“เราสนับสนุนให้คนพิการมีงานทำ ไม่ว่าจะทำงานเป็นเจ้าหน้าที่รัฐ หรือทำงานโรงงาน ผมจะไม่ทอดทิ้งผู้พิการแน่นอน” เสียงประธานาธิบดีหัวเราะอย่างอารมณ์ดี
“ท่านอยากฟังความรู้สึกดีๆ จากพวกเขาไหมคะ ? พวกเราได้ไปถ่ายมาด้วยค่ะ”
ทันทีที่มีเสียงของสาวสมิง ตัดภาพกลับมาเป็นฉากกลุ่มนักข่าวรายล้อมท่านประธานาธิบดีต่อ
“จริงหรือครับ ?” ประธานาธิบดีดวงตาฉายความแปลกใจ กลางครีบออกก่อนพับเก็บดังเดิม “ดีๆ เปิดมาเลยครับ ผมอยากฟังเสียงพวกเขา”
จากนั้นหน้าหน้าจอเปลี่ยนมาเป็นวิดีโอที่บันทึกเอาไว้ เป็นภาพของภายในห้องนวดแผนโบราณ มีพวกนาคไร้ซึ่งดวงตาในการมองเห็น กำลังใช้ลำตัวโอบรัดแขกที่มารับบริการ แต่กล้องนั้นจับภาพของนักข่าวเสือสมิงที่เป็นตัวหลักของรายการเพียงผู้เดียว
ขณะสาวนักข่าวเดินเข้าไปหานาคตนหนึ่ง ปากก็บรรยายหน้ากล้องไปด้วย “ที่นี่คือห้องนวดของสำนักงานนวดแผนโบราณ เราจะมาถามถึงความรู้สึกพวกเขากันค่ะ ว่ารู้สึกยังไงกับนโยบายช่วยเหลือผู้พิการ” หล่อนยื่นไมโครโฟนไปใกล้ปากผู้ถูกสัมภาษณ์ “ไม่ทราบว่าคุณรู้สึกยังไงคะกับนโยบายของทางรัฐ ?”
“รู้สึกดีมากเลยค่ะ ฉันไม่คิดไม่ฝันว่าจะมีวันนี้ ปกติผู้ที่จะบรรจุได้ต้องมีเงินไปเรียนสูงๆ แต่เดี๋ยวนี้ไม่จำเป็นแล้ว มีวุฒิการศึกษาไหนก็บรรจุได้หมด”
สาวนักข่าวเอาไมโครโฟนกลับมาที่ปากตัวเอง “หมายความว่าไงคะ ? ช่วยอธิบายให้เพื่อนๆ แฟนข่าวเข้าใจหน่อยค่ะ” จากนั้นหล่อนก็ยื่นไมโครโฟนกลับไปให้นาคตนนั้นพูดต่อ
“ผู้พิการส่วนใหญ่จะลำบากในเรื่องการเรียนอย่างมากค่ะ โดยเฉพาะมองไม่เห็นตั้งแต่เกิดอย่างดิฉัน บางตนไม่ได้เล่าเรียนก็มีค่ะ สุดท้ายก็ไม่สามารถทำงานเป็นเจ้าหน้าที่รัฐ ต้องไปประกอบอาชีพส่วนตัวเท่านั้นค่ะ ส่วนผู้ที่มีโอกาสได้เรียนสูงๆ จะได้ไปเป็นอาจารย์สอนตามโรงเรียน หรือไม่ก็ทำงานอื่นๆ ที่ทางภาครัฐเปิดโอกาสให้บรรจุค่ะ แต่ถ้าเรียนมาน้อยหรือไม่ได้เรียน อย่างตัวดิฉันก็ไม่มีหวัง อย่างมากสุดก็เป็นลูกจ้างชั่วคราว ได้แค่ค่าแรงขั้นต่ำ นี่ถ้าเป็นสมัยก่อน ฉันต้องไปอยู่ที่บ้าน เปิดรับนวด วันไหนไม่มีลูกค้าก็ต้องรอคอยจนกว่าญาติพี่น้องไปจับหนูมาให้กินค่ะ แต่เดี๋ยวนี้ไม่ลำบากเหมือนเมื่อก่อนแล้ว ฉันได้สิทธิเหมือนเจ้าหน้าที่รัฐที่ร่างกายสมประกอบหมดทุกอย่าง วันหยุดก็ยังได้เงิน หรือไม่ก็เปิดรับนวดเพิ่มเติมที่บ้านตัวเองก็ยังได้เงินมาเพิ่ม หลังเกษียณก็ยังได้บำนาญ ไม่สร้างภาระให้ลูกหลาน ต่อให้นอนติดเตียงหายใจทำปากพะงาบๆ ก็ยังมีเงินมาให้ลูกหลานเอาไปช่วยค่าใช้จ่ายในการดูแลได้อยู่ค่ะ”
ขณะผู้ถูกสัมภาษณ์พูดด้วยน้ำเสียงมีความสุข กล้องเปลี่ยนเป้าหมายมาที่ใบหน้าของแขกต่างชาติ ซึ่งเป็นมนุษย์หมาป่าตัวใหญ่ ดวงตาดูเหมือนกำลังถลนออกมานอกเบ้า ลิ้นเริ่มจุกปาก แล้วยังมีเสียงเหมือนกระดูกหักดังกรอบแกรบ
นักข่าวสมิงสาวหันขวับกลับมาที่หน้ากล้อง แต่ความจริงน่าจะหันกลับมาเพราะถูกตากล้องสะกิด จากนั้นหล่อนก็หันไปตามนิ้วชี้ของตากล้องที่อยู่เบื้องหลัง
“ดูเหมือนว่าเขากำลังแย่นะคะ” สาวสมิงยิ้มแหยๆ พูดด้วยน้ำเสียงราวกับต้องการทำให้เป็นเรื่องตลก แต่ความจริงต้องการเตือนนาคตนนี้ว่าแขกกำลังจะตายเพราะถูกรัด
“อุ๊ย ! ขอโทษจริงๆ ค่ะ” ผู้พิการทางสายตารีบคลายตัวออกอย่างลนลาน
จากนั้นภาพหน้าจอพลันเปลี่ยนมาอีกที่หนึ่ง เป็นสถานที่อยู่ตรงหน้าบันไดขึ้นตึกสำนักงานของเจ้าหน้าที่รัฐ มีสาวสมิงและนาคหนุ่มที่เป็นผู้พิการนั่งวีลแชร์ ทั้งสองอยู่ตรงทางขึ้น
“คุณรู้สึกยังไงคะกับนโยบายช่วยเหลือจากทางภาครัฐ ?”
นักข่าวเขี้ยวคมถามจบก็ยื่นไมโครโฟนไปทางนาคหนุ่ม
“ดีมากเลยครับ แค่งานรับสายโทรศัพท์ก็บรรจุได้ นโยบายนี้ช่วยเหลือผู้พิการได้จริงๆ ทำให้ผมมีงานทำ สามารถเลี้ยงดูครอบครัวได้ ไม่เป็นภาระใครทั้งสิ้น ผมขอบคุณภาครัฐมากครับ”
สมิงสาวเอาไมโครโฟนกลับมา ทำใบหน้ายิ้มแย้มเล่นกับกล้อง พูดด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น “คุณจะว่าอะไรไหม ถ้าเราอยากไปดูห้องทำงานของคุณด้วย” หล่อนพูดจบก็ยื่นหัวไมโครโฟนกลับไปอีกครั้ง
“ได้เลยครับ โอ้ะ !” นาคหนุ่มอุทานเหมือนเพิ่งนึกได้ “เมื่อกี๊ผมลืมบอกไปว่าข้างบนก็มีผู้พิการตนอื่นอยู่ด้วย เดี๋ยวผมแนะนำให้รู้จักเพื่อนร่วมงานของผมเพิ่มด้วยครับ”
จากนั้นนาคหนุ่มเอียงคอซ้ายขวา งับโซ่ที่ผูกกับวีลแชร์มาพันกับตัวเอง จนกระทั่งเสร็จ เขาก็งับคันโยก ทันใดนั้นตัวของนาคถูกดีดออกไป แต่ความแรงของมันไม่มากนัก แค่ส่งตัวของนาคตนนี้ออกไปจากวีลแชร์ ห่างออกไปประมาณหนึ่งเมตร ทำนักข่าวเกิดตะลึงไปชั่วขณะ ก่อนรีบเข้าไปช่วยด้วยความเป็นห่วง
“คุณเป็นอะไรหรือเปล่าคะ ?”
“ผมไม่เป็นอะไรครับ ผมแค่จะขึ้นบันไดเท่านั้น” นาคพูดจบก็เปลี่ยนมาเป็นตะแคง ขยับปากเพื่อใช้เขี้ยวลากร่างกายไปที่บันได ทำให้เกิดเสียงดังครืดทุกครั้งที่เขาลากร่างกายท่อนล่างและวีลแชร์
สาวสมิงตะลึงอีกรอบ “เอ่อ... นี่คือ ?”
นาคขึ้นไปถึงขั้นที่สามก็หันมาพูดด้วยน้ำเสียงเริงร่า “ขึ้นไปทำงานครับ ผมขึ้นอย่างนี้ประจำอยู่แล้วครับ”
“อย่างนี้ก็ลำบากแย่สิคะ แล้วทำไมไม่ใช้ลิฟต์แทนคะ ?” สาวสมิงถามด้วยน้ำเสียงสงสัยอย่างมาก
“มันไม่มีให้ใช้ครับ แต่ไม่ต้องห่วงครับ ผมไม่ได้ลำบากอะไรมากมาย เป็นไงครับ ตัวผมเหมือนตำนานสยองป๊อกๆ ครืดไหมเอ่ย ?” นาคหัวเราะตกท้ายให้กับมุกตลกตัวเอง ก่อนกลับไปใช้เขี้ยวลากร่างกายขึ้นบันไดต่อ
แต่ไม่ทันถึงขั้นที่สี่ เกิดมีเสียงเหมือนกระดูกท่อนเล็กๆ หักดังป๊อก แววตาที่มีความสุขของนาคหนุ่มเปลี่ยนมาเป็นตกใจ
“อ๊าาาาา~ ! เขี้ยวผมหัก ช่วยพาผมไปโรงพยาบาลต่อเขี้ยวที”
เสียงร้องดังลั่นของนาคหนุ่มมีอยู่ไม่กี่วิก็ตัดภาพหายไป กลับมาเป็นภาพของกลุ่มนักข่าวและประธานาธิบดีต่อ
“ผมได้ฟังแล้วรู้สึกชื่นใจจริงๆ” ประธานาธิบดีหัวเราะอย่างอารมณ์ดี
“เราได้ยินมาว่าทางภาครัฐมีการช่วยเหลือทางด้านอื่นด้วย อย่างเช่นอำนวยความสะดวกทางสถานที่ การเดินทาง และอื่นๆ ที่ใช้ในชีวิตประจำวัน จริงไหมคะ ?” นาคตนหนึ่งในกลุ่มนักข่าวถาม
“จริงครับ อย่างเช่นเงินตราที่ใช้แลกเปลี่ยน พวกคุณเอาเหรียญสิบออกมาดูได้ ทางภาครัฐสั่งให้ของพวกนี้ออกแบบมาต้องมีอักษรเบรลล์”
จากนั้นกลุ่มนักข่าวรีบล้วงกระเป๋าเอาออกมาตามคำพูดของประธานาธิบดี
“เห็นไหมครับ ทางภาครัฐเราใส่ใจผู้พิการมากแค่ไหน”
นักข่าวทุกตนต่างทำคิ้วขมวด หรี่ตาราวกับพยายามเพ่งอย่างหนัก มือจับพลิกซ้ายพลิกขวาไปมา บางตนพยายามใช้ปลายนิ้วลูบหาอักษรเบรลล์
จนกระทั่งนักข่าวเขี้ยวคมชูเหรียญสิบขึ้นมา “ท่านคะ ดิฉันไม่เห็นอักษรเบรลล์เลยค่ะ นิ้วลูบก็ไม่เจอ”
“มันเป็นเหรียญรุ่นเก่าหรือเปล่า ? ถ้าเป็นรุ่นเก่ามันจะไม่มี นโยบายนี้ทางรัฐเพิ่งสั่นให้มีไม่กี่ปี”
“ไม่นะคะ เหรียญนี้ดิฉันเพิ่งไปแลกมาจากธนาคารเมื่อวาน ส่วนวันผลิต เขียนบอกว่าเพิ่งออกมาเมื่อสามเดือนที่แล้วค่ะ”
“อ้อ งั้นคุณก็ลองมองดูตรงขอบเหรียญ มันจะมีจุดเล็กๆ อยู่”
สิ้นเสียงประธานาธิบดี สัตว์ตำนานทุกตนรีบมองดูใหม่ แต่ยังคงเหมือนเดิม ไม่มีผู้ใดหาเจอ แม้กระทั่งใช้นิ้วลูบ ยังคงไม่รู้สึกถึงสิ่งที่มีลักษณะนูนๆ
จนกระทั่งมีเสียงแหลมๆ เหมือนหนูอุทานขึ้นมาอย่างดีใจ “เจอแล้ว ฉันเจอแล้วค่ะ”
นักข่าวทุกตนหันขวับไปทางต้นเสียง ปรากฏว่าเจ้าของเสียงเป็นพิกซี่ ที่อยู่บนมือของนักข่าวตนหนึ่ง
ลักษณะของพิกซี่ตนนี้เป็นเหมือนมนุษย์ตัวเล็ก มีความสูงประมาณสิบเซนติเมตร มีปีกคล้ายแมลงปออยู่ด้านหลัง สิ่งมีชีวิตลักษณะนี้เคยทำให้จอยเข้าใจผิดว่าเป็นนางฟ้ามาแล้ว แต่ตอนนั้นไม่มีเครื่องขยายเสียง ทำให้จอยฟังไม่ออกว่าพิกซี่พูดอะไร
“นี่ไง เห็นกันไหมคะ ?”
นักข่าวทุกตนพยายามเพ่งอีกครั้ง แต่ยังคงไม่เห็นเหมือนเดิม จนกระทั่งนักข่าวตนหนึ่งมีความคิดดีๆ ล้วงกระเป๋าเอาโทรศัพท์มาถ่ายรูปเหรียญ แล้วใช้แอปขยายภาพหนึ่งพันเท่า ถึงสามารถมองเห็น ที่ปลายนิ้วชี้ของพิกซี่ มีอักษรเบรลล์จุดเล็กๆ อยู่จริงๆ
“คราวนี้เห็นหรือยังครับ ?”
พวกนักข่าวอ้ำอึ้ง มองหน้ากัน จนกระทั่งสาวสมิงตนเดิมพูดออกมาแทนนักข่าวตนอื่นในกลุ่ม
“ดิฉันว่าขนาดของมันเล็กเกินไป ถ้าทำให้ใหญ่กว่านี้ได้จะดีกว่าไหมคะ ?”
“คุณลืมไปหรือเปล่าว่านาคอย่างผมสามารถขยายขนาดร่างกายได้ แค่เราลดขนาดตัวลงมาเหลือความยาวยี่สิบเซนติเมตร ก็สามารถสัมผัสรับรู้ได้ว่าตรงไหนเป็นอักษรเบรลล์ มันเล็กเท่าปลายเข็มแค่นี้ก็พอแล้ว”
“อย่างนี้เผ่าพันธุ์อื่นที่ไม่สามารถลดหรือขยายร่างกายได้ก็ไม่รู้สึกถึงอักษรเบรลล์สิคะ ?” นักข่าวเขี้ยวคมชี้ให้เห็นถึงปัญหา
“เรื่องนั้นผมขอไม่รับรู้ ผมทำเพื่อประชาชนในประเทศเท่านั้น”
คำพูดของประธานาธิบดีทำสาวสมิงอ้ำอึ้ง ดูเหมือนว่าหล่อนคงไม่คาดคิดว่าจะได้รับคำตอบอย่างนี้กลับมา ไม่แตกต่างจากนักข่าวตนอื่น แต่ไม่กี่วินาที นักข่าวทุกตนก็ทำใบหน้าเหมือนไม่ได้ยินคำพูดเมื่อครู่ อาจเป็นเพราะไฟของนักข่าวมันแรง สนใจอย่างเดียวคือทำยังไงก็ได้ให้ได้ข่าวมา ส่วนใครจะตอบอะไรยังไงไม่สน
“นอกจากเหรียญแล้ว ทางภาครัฐสั่นให้ทำแบงก์ยี่สิบมีอักษรเบรลล์ด้วย พวกคุณหยิบมาดูได้”
เหล่านักข่าวจึงล้วงกระเป๋าอีกครั้งตามที่ประธานาธิบดีบอก
“อันนี้ก็เหมือนกับเหรียญสิบ ต้องเป็นแบงก์ใหม่เท่านั้นถึงจะเห็น”
สัตว์ในตำนานหลายตนที่รู้ตัวว่าในมือเป็นแบงก์เก่า จึงหันไปมองของเพื่อน แต่ก็ไม่มีใครมองเห็น เลยเปลี่ยนมาใช้ปลายนิ้วลูบแทน
“มันอยู่ตรงมุมฉากด้านใดด้านหนึ่งของแบงก์ พวกคุณลองลูบๆ ดูเอา”
พวกนักข่าวจึงเลิกลูบตรงกลางของแบงก์ยี่สิบ เปลี่ยนมาลูบแถวมุมฉากทั้งสี่ทิศ ตามที่ประธานาธิบดีแนะนำ
“เจอแล้ว ตรงนี้หรือคะ ?” เสือสมิงสาวเจ้าเดิมชี้มาที่มุมหนึ่งของแบงก์ ขณะเดียวกันกล้องซูมเข้าไปตรงจุดนั้น
“ถ้ารู้สึกถึงลักษณะพื้นผิวสากๆ นั่นแหละครับ” ประธานาธิบดีตอบ
“เอ๊ะ แบบนี้ใช้ไปนานๆ มันก็ยุบหมดสิคะ”
“จะไปยากอะไร พวกคุณก็ไปแลกแบงก์ใหม่ที่ธนาคารก็สิ้นเรื่อง”
“ถ้าตรงนี้ทางรัฐออกแบบให้มันมีรู มันจะไม่ง่ายกว่าเหรอคะ พวกพิการทางสายตาจะได้ใช้นานๆ ไม่ต้องลำบากไปธนาคาร”
“คุณอย่ามาพูดเป็นเรื่องง่ายๆ คุณรู้ไหมว่าจะทำให้มันนูนได้ขนาดนั้นต้องใช้งบประมาณไปเท่าไร ยิ่งไปเจาะรูมันจะยิ่งใช้งบประมาณมากขึ้น เหรียญนี่ก็เหมือนกัน” น้ำเสียงของประธานาธิบดีเริ่มฟังเหมือนเกิดความรำคาญ
“ไม่ทราบว่าอักษรเบรลล์นี้มีกับเหรียญอื่น หรือกับแบงก์อื่นด้วยหรือเปล่าคะ ?” พิกซี่ถาม “เมื่อกี๊ฉันลองดูเหรียญกับแบงก์อื่น มันไม่มีเลยค่ะ”
“ไม่มี” ประธานาธิบดีตอบ “มีแค่เหรียญสิบกับแบงก์ยี่สิบเท่านั้น อย่างที่ผมเพิ่งบอกไปว่ามันใช้งบประมาณมาก จึงทำได้แค่นี้”
“ไม่ทราบว่ายังมีอะไรอย่างอื่นอีกไหมคะ ? ที่เป็นการช่วยเหลือให้ผู้พิการใช้ชีวิตได้ตามปกติเหมือนประชาชนทั่วไป” สาวจิ้งจอกเก้าหางตนหนึ่งถาม
“มีแน่นอน” ประธานาธิบดีเชิดหน้าเล็กน้อย ราวกับภูมิใจนำเสนอ “แม้ผมเพิ่งบอกไปว่าใช้งบประมาณเยอะ แต่ทางรัฐก็แบ่งส่วนออกไปตรงจุดอื่นด้วย ไม่ว่าจะเป็นลิฟต์ขึ้นรถไฟ สำหรับผู้พิการที่นั่งวีลแชร์ หรือแม้กระทั่งรถโดยสารที่มีตัวยกวีลแชร์ของผู้พิการ หรือเบรลล์บล็อกสำหรับผู้พิการทางสายตา เป็นต้นครับ”
“ท่านคะ ไม่ทราบว่าเบรลล์บล็อกมันคืออะไรคะ ?” สาวสมิงข้องใจ แต่ไม่ใช่แค่หล่อนเพียงตนเดียวที่เกิดความสงสัย นักข่าวทุกตนต่างแสดงความสงสัยแสดงออกมาทางแววตาเช่นเดียวกัน
“มันคือ... เอ่อ...” ประธานาธิบดีทำเสียงเหมือนขอเวลาคิดครู่หนึ่งก่อนเปลี่ยนถามกลับ “พวกคุณเคยไปตรงอนุสาวรีย์ผู้พิชิตไหม ?”
จากนั้นนักข่าวก็ตอบพร้อมกันว่า เคยไป
“พวกคุณเคยสังเกตไหมว่าบนทางเดินเท้ารอบๆ อนุสาวรีย์ผู้พิชิตมีเส้นทางสีเหลืองอยู่ นั่นแหละครับเรียกว่าเบรลล์บล็อก”
“ท่านหมายถึงบล็อกสีเหลืองในวิดีโอนี้ใช่ไหมคะ ?” สาวสมิงรับเครื่องแท็บเล็ตมาจากเพื่อนด้านหลัง ก่อนหันทางหน้าจอให้ประธานาธิบดีดู
จากนั้นภาพหน้าจอโทรทัศน์พลันเปลี่ยนมาเป็นภาพเดียวกับที่แท็บเล็ตเครื่องนั้นเปิด เป็นภาพของสถานที่ดูคล้ายวงเวียนสำหรับตีรถกลับ มีประชาชนตระกูลเลื้อยคลานเต็มไปหมด ที่ใจกลางของวงเวียนเป็นอนุสาวรีย์ผู้พิชิต ซึ่งเป็นรูปหล่อนาคตัวใหญ่ ชูคอสูง อ้าปากให้เห็นเขี้ยวน่าเกรงขาม ดูราวกับเป็นอาวุธที่ใครเห็นต้องเกิดความหวาดกลัว เบื้องล่างของลำตัวนาคตนนั้น กำลังรัดนกตัวใหญ่จนตาถลน ดูน่าจะเป็นเผ่าครุฑที่พลาดท่า
ภาพหน้าจอตรงจุดหนึ่งบนทางเท้า มีวงสีแดง กะพริบถี่ๆ เพื่อให้ผู้ดูสังเกตเห็น
“นั่นแหละครับที่เรียกว่าเบรลล์บล็อก มันมีไว้ให้สำหรับผู้พิการใช้เดินได้สะดวกมากขึ้น”
ขณะประธานาธิบดีกล่าว มีภาพของผู้พิการทางสายตา ซึ่งไม่ทราบว่าเป็นนาคเพศหญิงหรือชาย กำลังใช้ไม้เท้าขาวที่คาบอยู่ แกว่งซ้ายขวาเพื่อสำรวจทาง พร้อมเลื้อยไปบนบล็อก แต่ไม่ใช่เลื้อยอย่างเชื่องช้าหรือเลื้อยธรรมดา นาคตนนั้นเลื้อยด้วยความเร็วสูงจนน่าตกใจ เหมือนกับว่ามองเห็นอย่างไรอย่างนั้น
จะว่าตกอยู่ภายในภวังค์ หรือว่าเลื้อยเพลินจนลืมตัว หรือว่าเป็นเพราะผู้รับเหมาวางเบรลล์บล็อกอย่างไม่คิด หรือเป็นความซวยของนาคตนนั้นก็ไม่ทราบ ตรงเส้นทางของเบรลล์บล็อกที่บังคับให้เลื้อยไป มันมีฝาท่อขนาดใหญ่ตัดทางเลื้อยของผู้พิการ วันนี้มันเปิดอ้าไว้ ไม่กี่วินาทีต่อมา นาคตนนั้นก็หายไปจากหน้าจอโทรทัศน์ มีหลงเหลือแค่ไม้เท้าขาวตกอยู่ริมปากท่อ ในขณะเดียวกันประชาชนที่อยู่แถวนั้นหันขวับมามองตรงจุดที่ผู้พิการทางสายตาหายไป
“เห็นไหมครับ ทางรัฐมีนโยบายช่วยเหลือผู้พิการจริงๆ”
ภาพหน้าจอโทรทัศน์กลับมาเป็นภาพของกลุ่มนักข่าวและประธานาธิบดีต่ออีกครั้ง
“ไม่ทราบว่าที่ช่วยอำนวยความสะดวกผู้พิการเหล่านี้ มันมีมากน้อยแค่ไหนคะ ?” สาวสมิงถามต่อให้ขยายความเพิ่มเติม
“มีอย่างละหนึ่งครับ” ประธานาธิบดีตอบทันควันราวกับไม่ต้องเสียเวลาคิด
“อย่างล่ะหนึ่งเหรอคะ ?” น้ำเสียงของสาวสมิงแปลกใจ “หมายถึงทั้งลิฟต์สำหรับผู้ที่นั่งวีลแชร์ รถโดยสารที่มีตัวยก ใช่ไหมคะ ?”
“เอ้ะคุณหนิ ถามอยู่ได้” น้ำเสียงของประธานาธิบดีเริ่มฟังเหมือนฉุนอีกครั้ง “ก็นั่นแหละครับ ทั้งประเทศของเรามีอย่างละหนึ่ง ไอ้ทางเลื้อยสำหรับผู้พิการสายตานี่ก็เหมือนกัน มีเฉพาะตรงจุดสำคัญบางจุดก็พอ อย่างที่ผมบอกไปตั้งแต่แรกว่าใช้งบประมาณมหาศาล เอาอย่างนี้ ผมจะบอกให้รับรู้กันทั้งหมด เราต้องใช้งบประมาณไปเกือบสิบล้านสำหรับช่วยตรงจุดนี้ แต่ในปีหนึ่งประเทศเราไม่มีงบมากมายถึงขนาดนั้น เราต้องแบ่งเอาไปสำหรับตรงจุดอื่นด้วย คราวนี้มีอะไรเกี่ยวกับผู้พิการจะถามอีกไหม ? ผมจะได้ตอบทีเดียว”
พวกนักข่าวมองหน้ากันอย่างลังเลว่าจะถามต่อดีไหม เพราะในตอนนี้ประธานาธิบดีเหมือนไม่อยากตอบคำถามอีกแล้ว
จนกระทั่งสาวสมิงที่เปรียบเป็นหัวหน้านักข่าวถามอีกครั้ง “ไม่ทราบว่าท่านได้ไปพักที่บ้านพักบนเขามาหรือยังคะ ดิฉันได้ยินมาว่าเพิ่งสร้างเสร็จเมื่อเดือนที่แล้ว”
“คุณหมายถึงบ้านพักเจ้าหน้าที่รัฐที่อยู่บนเขาใกล้เขตอุทยานใช่ไหม ?” น้ำเสียงของประธานาธิบดีพลันเปลี่ยนมานุ่มนวลอีกครั้ง เหมือนกับว่าพึงพอใจกับคำถามใหม่นี้
“ใช่ค่ะท่าน”
“ถ้าเป็นเรื่องนี้ ผมได้ไปมาแล้วครับ อากาศข้างบนมันดีจริงๆ ผมจึงอนุมัติงบประมาณในการสร้างให้ไปแปดแสนล้านล้านล้านล้าน เพื่อให้เจ้าหน้าที่ได้พักผ่อนหย่อนใจ เราจะสร้างไปจนติดเขตอุทยาน เจ้าหน้าที่รัฐที่ไปพักจะได้เห็นความสวยงามของธรรมชาติ โอ้ใช่ นี่ถ้าคุณไม่พูดถึงผมก็คงลืมไปอีกเรื่องหนึ่ง ทางรัฐจะยกเลิกเขตอุทยานนั่นออกไปในไม่ช้านี้ เราจะสร้างบ้านพักลึกเข้าไปอีก เพื่อให้เจ้าหน้าที่ของรัฐได้รับชมความสวยงามอย่างใกล้ชิดมากกว่าเดิม ปีหน้าผมจะอนุมัติงบประมาณเพิ่มอีกสามแสนล้านล้านล้านล้าน จะมีสระว่ายน้ำ จะมีสนามกีฬา จะปูพื้นด้วยหินอ่อนทั้งหมดให้เจ้าหน้าที่ได้เลื้อยกันได้สบาย และอื่นๆ ให้เจ้าหน้าที่รัฐได้พักผ่อนอย่างมีความสุข แล้วพวกคุณมีอะไรจะถามอีกไหม ? ถ้าไม่มีผมจะได้ไปพักเที่ยง”
“มีเรื่องหนึ่งค่ะ” สาวจิ้งจอกเก้าหางตนเดิมพูด “ไม่ทราบว่าขึ้นสิบห้าค่ำเดือนสิบเอ็ดในปีนี้ จะมีการแสดงแสนยานุภาพของกองทัพที่แม่น้ำโขงหรือเปล่าคะ ?”
“ต้องมีสิครับ จะไม่มีได้ไง นี่เป็นความภาคภูมิใจของเรา สำหรับในปีนี้ ทางกองทัพจะยิงปืนใหญ่ขึ้นสู่ฟ้ามากเป็นพิเศษ มากถึงหนึ่งพันเจ็ดร้อยสิบสองลูก รับรองพวกครุฑต้องหวาดผวา พวกมนุษย์ต้องตื่นตาตื่นใจ พากันไปแทงหวยจนหมดเนื้อหมดตัว” ประธานาธิบดีหัวเราะ ขณะเดียวกันพวกนักข่าวต่างหัวเราะตามมุกตลกของท่านผู้นำ “นอกจากนี้ทางกองทัพยังมีการแสดงแสนยานุภาพของตอร์ปิโด ถ้ามีครุฑตนไหนกล้ารุกล้ำเข้ามาในเขตน่านน้ำ รับรองไม่รอด”
“เดี๋ยวก่อนนะคะ” สาวสมิงยกมือขัด “ตอร์ปิโดมันเคลื่อนที่ใต้น้ำไม่ใช่เหรอคะ ? แต่ครุฑอยู่บนอากาศ นอกจากนี้ทางกองทัพของครุฑไม่มีเรือรบ มีแต่เรือบินเท่านั้น อย่างนี้ตอร์ปิโดจะใช้ทำอะไรได้ล่ะคะ ?”
ประธานาธิบดีดวงตาเบิกกว้างเล็กน้อย เหมือนฉุกคิดได้เพราะคำพูดของสาวนักข่าว แต่แวบเดียวท่านก็กลับมาเคร่งขรึม
“คุณจะไปรู้อะไร นี่มันเป็นความลับของกองทัพ อาวุธบางอย่างเราก็ต้องเก็บเอาไว้ จะเปิดเผยทั้งหมดได้ไง เอาแหละเลิกได้แล้ว ผมจะไปพักเที่ยง”
ประธานาธิบดีพูดจบก็สะบัดหน้าเลื้อยไปทันที
“เดี๋ยวก่อนค่ะ ท่านประธานาธิบดีคะ”
“ปัดโธ่โว้ย ! พวกคุณพูดไม่รู้เรื่องหรือไง ผมบอกว่าจะไม่พูดแล้ว ผมหิว ผมจะไปหาอะไรกิน อย่ามายุ่งกับผม”
นั่นเป็นเสียงพูดสุดท้ายของประธานาธิบดี ก่อนท่านจะกางครีบ แล้วพุ่งตัวลงไปที่แม่น้ำ นักข่าวส่วนใหญ่จึงไม่สามารถตามไปด้วยได้ ยกเว้นพวกที่เป็นนาคเหมือนกัน
“เอ่อ...” นักข่าวเขี้ยวคมหันกลับมาที่หน้ากล้อง ยิ้มแหยๆ “ตอนนี้ขอพักชมโฆษณาสักครู่ก่อนก็แล้วกันนะคะ”
จอยพ่นลมหายใจ หยิบโทรศัพท์มาลดเสียงโทรทัศน์ ระหว่างรอรายการข่าวกลับมา ดวงตาชำเลืองไปทางลูกชายฝาแฝดทั้งสองคน ที่กำลังทำการบ้านอยู่
วันแรกที่ทุกคนได้เห็นหน้าลูกฝาแฝดของเธอ ต่างดีอกดีใจกันใหญ่ โดยเฉพาะพ่อแม่ของอเล็กซ์ พวกเขาซื้อของขวัญต้อนรับทายาทตัวน้อยมามากมายมหาศาล นอกจากให้หลาน พวกเขายังซื้อมามอบให้กับเธอด้วย แต่ความจริงมันแทบไม่จำเป็น เพราะจอยไม่ได้รู้สึกอยากได้แม้แต่น้อย เนื่องจากของทุกชิ้นอเล็กซ์ก็สามารถซื้อให้เธอได้เช่นเดียวกัน
ถึงอย่างไรจอยก็ต้องทำใบหน้าดีอกดีใจ เพื่อไม่ให้พ่อแม่ของอเล็กซ์เสียความรู้สึก
ลูกชายคนโตตั้งชื่อว่า ลอเรน ซึ่งเป็นชื่อที่พ่อแม่ของอเล็กซ์ตั้งใจเลือกมาให้กับหลานโดยเฉพาะ
ส่วนคนน้องมีชื่อว่า ข้าวปั้น แต่ความจริงแฝดน้องไม่ได้มีชื่อภาษาไทยตั้งแต่แรก เดิมทีพ่อแม่ของอเล็กซ์ตั้งชื่อภาษาอังกฤษเอาไว้ให้แล้ว แต่อเล็กซ์ไม่ยอม เขาบอกว่าคนน้องต้องให้จอยเป็นคนตั้งเท่านั้น เนื่องจากนี่ก็เป็นเลือดเนื้อเชื้อไขของเธอเช่นเดียวกัน ดังนั้นเธอต้องมีสิทธิ์ในการตั้งชื่อด้วย
คำพูดนั้นคงทำให้พ่อแม่ของเขาเพิ่งนึกได้ ผู้ใหญ่ทั้งสองจึงปล่อยให้เธอได้มีโอกาสตั้งชื่อ
ตอนแรกจอยไม่รู้ว่าจะตั้งชื่ออะไร เนื่องจากไม่คาดคิดว่าจะมีลูกแฝดอย่างนี้
จนกระทั่งหันไปเห็นอาหารญี่ปุ่นที่อเล็กซ์ซื้อมาฝาก จึงคิดออกทันใดว่าจะตั้งชื่อลูกว่าอะไรดี
ปีนี้ลูกชายทั้งสองคนมีอายุแปดขวบ อีกสามเดือนก็จะเก้าขวบพอดี
ทั้งหน้าตาและน้ำเสียงของทั้งสองคน ถ้าใช้เพียงการมองและฟังจะไม่สามารถแยกแยะได้ว่าใครเป็นแฝดพี่หรือแฝดน้อง เนื่องจากเหมือนกันมาก มีเพียงแค่ลักษณะการพูดและนิสัยเท่านั้น ถ้าสังเกตดีๆ ตรงจุดนี้ถึงจะแยกแยะออก
หรือใช้อีกวิธีหนึ่งในการแยกแยะ จะว่าเป็นวิธีง่ายที่สุดก็ย่อมได้ เพียงแค่สั่งให้พวกเขากลายร่างเป็นมนุษย์หมาป่า จะเห็นความแตกต่างชัดเจน อยู่ตรงที่สีของขน
แฝดพี่เมื่ออยู่ในร่างของมนุษย์หมาป่า จะมีขนสีส้ม ส่วนแฝดน้องจะมีขนสีเทา
นับตั้งแต่ลูกชายทั้งสองเริ่มรู้เรื่อง จอยก็ได้สัมผัสความเหนื่อยและปวดประสาทที่สุดในชีวิต เนื่องจากเธอต้องเลี้ยงดูพวกเขาเองกับมือ ทำให้ช่วงแรกขอบดวงตาของเธอคล้ำ ผมก็ดูไม่เป็นทรง เนื่องจากไม่ได้นอนหลับพักผ่อนมากเท่าที่ควร แล้วยังไม่มีเวลาแต่งหน้าให้ตัวเองดูดี
ความจริงจอยก็อยากเอาลูกไปฝากสถานที่รับเลี้ยงเด็ก หรือไม่ก็ว่าจ้างพี่เลี้ยงมาดูแล แต่ไม่สามารถทำได้ ปัญหาไม่ใช่เพราะเรื่องเวลา หรือเรื่องค่าใช้จ่าย ปัญหาก็คือตรงที่ตัวเด็กทั้งสอง
เคยเอาไปฝากที่สถานรับเลี้ยงเด็ก ไม่ถึงครึ่งวัน สถานรับเลี้ยงโทรมาเรียกให้รับลูกชายกลับไปทันที เนื่องจากเด็กทั้งสองกัดมือผู้ดูแลที่เป็นเสือสมิง ก่อนไปหักเขาของผู้ดูแลที่เป็นมิโนทอร์ แล้วยังแสดงความดุร้ายใส่สัตว์ในตำนานทุกตนที่อยู่ใกล้
ครั้งแรกที่ได้ยิน ทั้งจอยและคนอื่นๆ แทบไม่อยากเชื่อหูตัวเอง เนื่องจากตอนอยู่ที่บ้าน เด็กทั้งสองไม่มีแสดงความก้าวร้าวใดๆ ออกมาให้เห็น นอกจากความน่ารักแบบเด็กๆ ทั่วไป
แม้ไม่อยากเชื่อมากแค่ไหน สุดท้ายต้องรับกลับมาที่บ้าน
นับจากนั้นเป็นต้นมา การดูแลลูกชายทั้งสองก็ตกเป็นงานของจอย ด้วยเหตุผลที่ว่าเธอไม่จำเป็นต้องตามติดอเล็กซ์ไปทำงานก็ได้
งานเลี้ยงลูกเป็นเรื่องที่ลำบากมาก เพราะลูกของเธอซุกซน เผลอตาแวบเดียว โซฟาต้องถูกเจ้าตัวแสบช่วยกันฉีกเล่น เผลอตาอีกแวบ รองเท้าสุดแพงของเธอต้องเต็มไปด้วยรอยแทะ พอสั่งห้ามทำอย่างนี้ ก็จะไปทำอีกอย่างแทน จึงกลายเป็นเรื่องน่าปวดหัว โดยเฉพาะตอนออกไปนอกบ้าน เธอต้องใช้เชือกผูกรอบเอวของลูกไว้ ไม่งั้นเผลอเมื่อใด ต้องวิ่งออกไปทำพิเรนทร์ หรือไม่ก็ไปงับขาของผู้โชคร้ายที่เดินผ่านมา ทำเธออดคิดไม่ได้จริงๆ ว่าตกลงแล้วนี่เป็นลูกแท้ๆ ของเธอเอง หรือว่าเธอได้ลูกหมาบางแก้วมาเลี้ยง
โตขึ้นมาอีก จนพูดคุยกันรู้เรื่อง คิดว่าลูกชายจะเอาไปฝากเลี้ยงได้ โดยไม่แสดงพฤติกรรมดุร้ายต่อใครอื่นอีก ที่ไหนได้ ยังคงเหมือนเดิมไม่เคยเปลี่ยน
เมื่อถามเจ้าตัวแสบว่าไปทำอย่างนั้นทำไม ได้คำตอบมาว่า อยากอยู่บ้าน
จึงเอาเรื่องนี้มาปรึกษากันในครอบครัว จนได้ข้อสรุปว่าต้องจ้างพี่เลี้ยงมาดูแลที่บ้านแทน
ตอนแรกคิดว่าปัญหาจะจบ ที่ไหนได้ เกิดเป็นเรื่องใหญ่กว่าเดิม พี่เลี้ยงได้รับบาดเจ็บ ฟ้องว่าถูกเจ้าตัวแสบสองตัวทำร้าย
แต่เรื่องใหญ่ที่ว่าไม่ใช่เป็นตรงที่พี่เลี้ยงถูกทำร้ายร่างกาย ความจริงมันอยู่ตรงที่เด็กๆ ทั้งสอง ตามเนื้อตามตัวมีรอยบาดแผลเลือดไหล เหมือนกับว่าถูกทารุณกรรม
ระหว่างให้เลือกเชื่อพี่เลี้ยงหรือเชื่อที่ลูกพูด หัวอกของพ่อแม่เกือบทุกคนก็ต้องเชื่อลูกมากกว่า ทางฝั่งครอบครัวของอเล็กซ์จึงแจ้งความเอาเรื่องพี่เลี้ยงตนแรก
จากนั้นก็จ้างพี่เลี้ยงตนใหม่มาดูแล แต่ยังคงเกิดเหตุการณ์เหมือนพี่เลี้ยงตนแรกไม่มีผิดเพี้ยน สุดท้ายต้องไปว่าจ้างพี่เลี้ยงตนใหม่มาอีก แต่ครั้งนี้จอยและครอบครัวฝั่งของอเล็กซ์วางแผนเอาไว้ โดยการแอบติดกล้องวงจรปิดไว้ภายในบ้าน เนื่องจากเหตุการณ์มันแปลกเกินไป พี่เลี้ยงที่ว่าจ้างมาก่อนหน้านี้ มีใบรับรองถึงความสามารถและความไว้วางใจ ออกมาจากทางสภานานาชาติของโลกอีกฟาก จึงไม่น่าเป็นไปได้ที่พวกเขาจะทำกับเด็กๆ ได้ลง เพราะถ้าพวกเขากระทำลงไป นอกจากต้องเสียงเงิน ยังถูกยึดใบประกอบอาชีพและต้องไปติดคุกอีก
สำหรับพี่เลี้ยงตนที่สามนี้ เธอเป็นพวกนาค เธอมีเกล็ดสีเขียวอ่อน มีความยาวตั้งแต่ส่วนหัวไปจรดปลายหางถึงสามสิบแปดเมตร อายุเก้าสิบสองปี สำหรับพวกนาคถือว่าเป็นวัยรุ่นอยู่ เนื่องจากเผ่าพันธุ์ของพวกเขามีอายุยืนยาวอย่างมาก ทั้งกิริยาท่าทางและคำพูดคำจาดูสุภาพเรียบร้อย มีจิตใจอ่อนโยนจนเด็กๆ ที่เคยไปดูแลมา ต้องติดเธอ ถ้าเธอย้ายไปที่อื่น ต้องทำให้เด็กที่ถูกดูแลร้องไห้เพราะคิดถึงทุกราย
แค่วันแรกที่ดูแลเด็กๆ ก็เกิดเรื่อง หลังจากกลับมาจากธุระ สภาพภายในห้องรับแขกเหมือนถูกพายุถล่ม พอถามเด็กๆ ได้คำตอบมาแค่ว่า พี่เลี้ยงจะทำร้ายร่างกาย พวกเขาจึงต้องป้องกันตัว โดยการต่อสู้กับพี่เลี้ยง ส่วนตัวของพี่เลี้ยงคงกลัวความผิด จึงเลื้อยหนีหายไป
แต่ทั้งจอยและอเล็กซ์ไม่เชื่อง่ายๆ ถ้าไม่ได้เห็นด้วยตาของตัวเองก่อน จึงไปเปิดดูกล้องวงจรปิดย้อนหลัง
ภาพเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ทั้งเธอและสามีมองตาค้างด้วยความไม่อยากเชื่อ
ในจอทีวี มีภาพของพี่น้องฝาแฝดไปกระซิบข้างหูพี่เลี้ยง ไม่รู้ว่าบอกอะไร เนื่องจากอยู่ไกลเกินกล้องจะบันทึกเสียง ไม่นานนาคพี่เลี้ยงก็ตัวเล็กลงเรื่อยๆ จนกระทั่งมีความยาวเหลือแค่ประมาณสี่เมตร
จากที่จอยดู ลูกของเธอน่าจะขอให้พี่เลี้ยงในร่างนาคย่อส่วนลงมา โดยใช้เหตุผลบางอย่าง
หลังจากนั้นเกิดเหตุการณ์สะเทือนขวัญ เจ้าตัวแสบสองตัวกลายร่างเป็นมนุษย์หมาป่า ลอเรนจับพี่เลี้ยงอ้าปาก ขณะเดียวกันข้าวปั้นเอาขวดยาที่แอบซ่อนไว้ออกมา แล้วกรอกลงคอของนาคไป ซึ่งการกระทำของทั้งสองทำด้วยความรวดเร็ว เหมือนกับว่าฝึกทำอย่างนี้มานานจนชำนาญการ
เสร็จแล้วข้าวปั้นแยกไปจับส่วนหาง จากนั้นทั้งสองตัวแสบเริ่มแกว่งตัวของนาค พร้อมกระโดดแบบเขย่ง
“แม่งูเอ๋ย กินน้ำบ่อไหน กินน้ำบ่อไหน กินน้ำในโถยาดอง แกว่งงูดองไป แกว่งงูดองมา”
เสียงหัวเราะอย่างเบิกบานของสองแฝด ฟังดูตรงข้ามกับนาคที่ร้องกรี๊ดดังลั่น
จอยรู้ได้ทันทีว่าลูกๆ ของเธอใช้นาคตนนั้นแทนเชือก แสดงว่ายาที่กรอกลงคอไป ต้องเป็นยาที่ทำให้นาคไม่สามารถกลับคืนสู่ขนาดร่างกายที่แท้จริงได้ ไม่อย่างนั้นพี่เลี้ยงตนนี้คงกลับคืนร่างเดิมไปนานแล้ว ไม่ปล่อยให้ถูกทารุณเล่นอย่างนี้
ฉากทารุณสุดท้าย ลูกชายคนโตจับนาคทำเป็นแส้ ฟาดสิ่งของทุกอย่างภายในบ้าน ส่วนคนน้องหัวเราะชอบใจ จังหวะผลัดเปลี่ยนกันเล่น นาคสะบัดตัวเป็นอิสระได้สำเร็จ แล้วรีบเลื้อยหนีหายไป
วันหลังนาคตนนั้นเดินทางมาขอลาออกจากการเป็นพี่เลี้ยง สภาพของนาคดูยับเยิน เกล็ดเหมือนถูกขูดออกไปบางส่วน มีรอยขีดข่วนเต็มไปหมดทั้งร่าง นอกจากตาปิดไปข้างหนึ่ง ยังบวมตุ่ยราวกับถูกของแข็งกระแทก อัญมณีที่อยู่กลางหน้าผาก ยังแตกเป็นรอยร้าว
นอกจากต้องยอมยกเลิกสัญญาดูแล ทางครอบครัวของจอยต้องขอโทษกับเรื่องที่เกิดขึ้นอีกด้วย
ทันทีที่ดำเนินเรื่องในข้อตกลงเสร็จ นาคพี่เลี้ยงดวงตาเบิกโต ราวกับตกใจสุดขีดเพราะเห็นบางสิ่งบางอย่างทางด้านหลังของจอยกับอเล็กซ์
ด้วยความสงสัย จอยจึงหันไปมองด้านหลัง ปรากฏว่าเป็นลูกชายฝาแฝดของเธอ อยู่ในร่างมนุษย์หมาป่าทั้งสองตน แสยะยิ้ม มือข้างหนึ่งยกมาอยู่ระดับใบหน้า แล้วกวักเรียก จอยรู้สึกประหลาดใจไม่น้อย เพราะไม่รู้ตัวแม้แต่น้อยว่าลูกชายทั้งสองมายืนอยู่ตรงนี้ตั้งแต่ตอนไหน
มีเสียงบางสิ่งบางอย่างเหมือนกระโดดลงน้ำจนเกิดเสียงดังตูม จอยจึงหันกลับไปมองตรงต้นกำเนิดเสียง เห็นปลายหางเหมือนของงูตรงแม่น้ำ ลักษณะเหมือนเพิ่งพุ่งหลาวลงไป พอหันมามองนาคที่เคยอยู่ตรงหน้า บัดนี้หายไปแล้ว แสดงว่าหางเมื่อกี๊ที่เห็นต้องเป็นของนาคพี่เลี้ยง
จนกระทั่งทุกวันนี้ จอยยังคงอดสงสัยไม่ได้ว่า ทำไมสาวนาคตนนั้นถึงรีบจากไป จะล่ำลาสักคำหนึ่งก็ไม่มี
“แม่ๆ ผมทำการบ้านเสร็จแล้วครับ”
เสียงเรียกของลอเรน ทำจอยหลุดออกมาจากภวังค์ความคิด มองใบหน้าลูกชายทั้งสองคนที่รีบเข้ามาหา
“นายหยุดก่อน” ข้าวปั้นจับมือของแฝดอีกคน “นายเป็นพี่ก็ต้องรู้จักเสียสละให้น้อง รู้ไหม ?” จากนั้นคนน้องหันหน้ามายิ้ม “แม่ตรวจของผมก่อนครับ”
“อย่ามามั่ว” ลอเรนยึดสมุดการบ้านอีกฝ่ายไป “นายเป็นน้องก็ต้องรู้จักเกรงใจพี่ รู้ไหม ?” จากนั้นเด็กชายหันมาทางจอย ยื่นสมุดของตัวเองให้อย่างเร่งเร้า “แม่ตรวจของผมก่อนครับ”
“เอาสมุดของฉันมานะ ! เอามา เอามา !”
ข้าวปั้นพยายามแย่งเอาสมุดคืน แต่ลอเรนก็พยายามเหยียดแขน เพื่อให้สมุดการบ้านของอีกฝ่ายออกไปห่างจากตัวมากที่สุด ไม่ให้รับคืนไปง่ายๆ
“หยุดๆ !” จอยตะเบ็งเสียงดัง ทำทั้งสองตัวแสบชะงัก “ไม่ต้องแย่งกัน จะตรวจช้าหรือเร็ว แม่ก็ปล่อยไปพร้อมกันอยู่ดี”
จอยรู้เหตุผลที่ลูกทั้งสองแย่งกันให้ตรวจการบ้าน ย้อนกลับไปก่อนหน้านี้ เธอให้คำสัญญาว่า จะปล่อยออกไปวิ่งเล่นกับเพื่อนข้างนอก สองตัวแสบจึงต้องคิดว่าถ้าได้ตรวจก่อน ต้องได้ไปวิ่งเล่นก่อนอีกคน
“ถ้าแบบนี้ก็ไม่ยุติธรรมเลยแม่” ลอเรนทำหน้าน้อยใจ
“ไม่ยุติธรรมตรงไหนลูก ?” จอยเลิกคิ้วอย่างสงสัย
“ถ้าน้องทำผิด ผมก็ต้องมารออีก มันไม่ยุติธรรมตรงนี้ไงแม่ ทั้งที่ความจริง คนทำถูกและเสร็จเร็วก่อนต้องได้รางวัลก่อน จริงไหมแม่ ?” ลอเรนตอบ
“นายอย่ามากล่าวหาว่าฉันทำผิด” ใบหน้าของข้าวปั้นแสดงความโกรธทันที นิ้วชี้หน้าพี่ชาย “ความจริงฉันอาจทำถูกทั้งหมด ส่วนนายอาจทำผิดทั้งหมดก็ได้”
ลอเรนหันขวับไปทางน้องชาย แววตาเต็มไปด้วยการดูหมิ่น ก่อนเชิดหน้าราวกับเป็นผู้สูงศักดิ์ “นายไปเอาความมั่นใจมาจากไหน ขนาดแค่เรื่องท่องสูตรคูณ นายยังท่องไม่ถูกทั้งหมดด้วยซ้ำ แน่จริงมาแข่งกันท่องไหมล่ะ กล้าหรือเปล่า ? โด่เอ๊ย” จบประโยคเขาก็แลบลิ้นใส่
ข้าวปั้นตัวสั่นด้วยความโกรธ อาจเพราะรู้ตัวว่าสู้ไม่ได้ แต่แวบเดียว ใบหน้าพลันเปลี่ยนมาแสดงเป็นเหมือนผู้ที่อยู่เหนือกว่า “นายก็เหมือนกันแหละ แน่จริงมาท่องการเปรียบเทียบความสูงความยาวแข่งกันไหมล่ะ ฉันท่องเปรียบเทียบได้ทั้งแบบไทยและอังกฤษ หรือจะเอาเป็นชั่งน้ำหนักก็ย่อมได้”
“หยุด !” จอยยกมือห้าม ตอนนี้เธอแทบอยากยกมือกุมขมับจริงๆ “ไม่ต้องท้ากัน ถ้าใครทำผิด โดยมีอีกคนทำถูก แม่จะให้คนที่ทำถูกสอน แต่ถ้าทำผิดทั้งสองคน แม่จะให้ไปทำการบ้านใหม่”
“ผมไม่เอา ผมไม่เอา แบบนี้ผมไม่เอา” ลอเรนทักท้วงด้วยน้ำเสียงเด็กเอาแต่ใจ
“ผมก็ไม่เอาเช่นเดียวกันแม่” ข้าวปั้นต่อท้ายเห็นด้วยอีกคน
“หยุด !” จอยทำตาดุ ทำสองตัวแสบพลันหุบปากสนิท “ถ้าไม่อยากถูกแม่ตี อย่ามาต่อรองกับแม่ เข้าใจไหม ?”
“ก็ได้ครับแม่...” ทั้งสองตอบพร้อมกันเสียงอ่อย
“ลอเรนเอาสมุดการบ้านมาให้แม่ตรวจดูเล่มหนึ่ง จะเป็นของลูกหรือเป็นของน้องก่อนก็ได้”
ใบหน้าของแฝดพี่ทำเหมือนไม่เต็มใจเท่าไรนัก อาจเป็นเพราะรู้ว่าใครจะถูกหรือผิด สุดท้ายก็ต้องเสียเวลาช่วยอีกฝ่ายเหมือนเดิม แต่จอยไม่สน เพราะความจริงเธอตั้งใจฝึกให้ลูกรู้จักการช่วยเหลือซึ่งกันและกัน เธอไม่อยากให้ลูกรู้จักการแย่งชิงดีชิงเด่น หรือทอดทิ้งอีกคนไว้เบื้องหลัง เธออยากให้พวกเขารักกันมากๆ ในอนาคตข้างหน้า เธอหวังว่าที่สั่งสอนอ้อมๆ นี้จะทำให้พวกเขาเกิดความแน่นแฟ้นระหว่างพี่น้อง
เปิดหน้าแรกมาเป็นวิชาภาษาไทย ในหัวข้อการเขียนเติมคำในช่องว่างของคำสุภาษิตให้ถูกต้อง หัวคิ้วของจอยขมวดเข้าหากัน
น้ำขึ้นให้รีบ... หนี เพราะจระเข้หลุด
น้ำมา... คนรอถุงยังชีพ น้ำลด... คนเก็บกวาดบ้าน
สอนจระเข้... ให้ลอกคราบเหมือนงู จะได้ไม่ต้องถูกถลกหนังไปทำเป็นกระเป๋า
ไก่งามเพราะขน คนงามเพราะ... ผ่าตัดแปลงเพศและทำศัลยกรรม
หนูตกถังข้าว... ทอมก็กระโดดลงไปไล่จับเจอร์รี่ต่อ
เพียงแค่อ่านไปไม่กี่บรรทัด หางคิ้วของจอยกระตุกไม่หยุด นี่ถ้าไม่ได้รับมาจากมือของลูกโดยตรง เธอคิดว่าบิ๊กต้องเป็นผู้สอนให้
จอยรู้สึกเหมือนมีตัวอะไรมาเกาะขาทั้งสองข้าง จึงพับสมุด มองลงไป ดวงตาของเธอพลันเบิกโตอย่างตกใจและผสมขยะแขยง “นี่พวกลูกทำอะไรเนี่ย ?”
ภาพเบื้องหน้าในตอนนี้ไม่มีเด็กชายให้เห็น มีแต่ภาพของมนุษย์หมาป่าตัวเล็ก กำลังทำท่ายอดฮิตของพวกหมาที่ชอบขี่ขาเจ้านาย
“กระเด้าครับแม่” ลูกชายทั้งสองตอบพร้อมกัน
“พวกลูกหยุดเดี๋ยวนี้ !”
เสียงตวาดของจอยทำสองตัวแสบชะงักไปชั่วขณะ ก่อนรีบถอยออกห่างไปยืนสงบเสงี่ยม
“ใครสอนพวกลูกให้ทำอย่างนี้ รู้ไหมว่ามันเป็นการกระทำไม่ดี” จอยยืนเท้าเอว ทำใบหน้าดุ
สองตัวแสบใบหูล้มพับไปข้างหลัง ก้มหน้าเล็กน้อย ยังมีอาการตัวสั่นเบาบาง อาจเพราะกลัวถูกทำโทษ
แต่ไม่นาน ข้าวปั้นเงยหน้ามาเล็กน้อยแล้วตอบเสียงเบา “ผะ... พ่อสอนครับแม่ พ่อบอกว่าถ้าอยากขออะไรแม่ ให้ทำอย่างนี้กับขาของแม่ แม่จะอารมณ์ดี จากนั้นแม่จะยอมตามใจทุกอย่าง”
ตอนแรกจอยไม่ได้คาดหวัดคำตอบกับลูกๆ ทั้งสองแม้แต่น้อย เธอแค่พูดออกไปอย่างนั้นเอง ความจริงเธอคิดว่าลูกชายต้องไปดูพวกคลิปตลกร้ายๆ อย่างนี้มา หรือไม่ก็จดจำมาจากหนังตลกร้ายสักเรื่องหนึ่ง จึงเอามาเป็นเยี่ยงอย่าง แต่ความจริงจากปากของลูกคนเล็ก ภายในหัวของเธอปรากฏภาพใบหน้าของมนุษย์หมาป่าขนดำที่ยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์ รู้ได้ทันทีว่าลูกชายพูดถึงพ่อตนไหน
“แม่ไม่โกรธพวกผมแล้วใช่ไหมครับ ?” ลอเรนเงยหน้ามาทำแววตาอ้อนวอนและคาดหวัง
จอยเผยรอยยิ้มอย่างฝืดๆ “แน่นอนแม่ไม่โกรธพวกลูกแล้ว” แม้ปากของเธอพูดออกมาอย่างนั้น แต่ภายในหัวตรงข้าม ‘ไอ้หมาดำ แกกลับมาเมื่อไรโดนแน่’
สองตัวแสบหันขวับไปทางหน้าต่าง ทำใบหูกระดิก การแสดงท่าทางอย่างนี้ทำให้จอยรู้ได้ทันทีว่าพวกเขาต้องได้ยินเสียงบางสิ่งบางอย่าง เพราะเมื่ออยู่ในร่างมนุษย์หมาป่า ประสาทสัมผัสทางการได้ยินและการดมกลิ่นจะไวมากเป็นพิเศษ
เพียงไม่นานก็ได้ยินเสียงรถยนต์เข้ามาใกล้ มันเป็นเสียงคุ้นเคยทั้งสำหรับเธอและลูกๆ
“พ่อมา พ่อมา !” ข้าวปั้นอุทานด้วยความตื่นเต้น
จากนั้นทั้งสองพี่น้องฝาแฝดรีบวิ่งออกไปด้วยการเคลื่อนไหวสี่ขา จอยส่ายหน้าช้าๆ ก่อนเดินตามออกไป
“ไม่เลียลูก ไม่เลีย” เสียงหัวเราะของอเล็กซ์ดังมาจากตรงหน้าประตู จอยรู้ได้ทันทีว่าเขาต้องอุ้มลูกชายทั้งสองขึ้นมาหอมแก้ม
เดินออกไปก็เห็นเป็นไปตามที่เดาไว้จริงๆ “คุณหิวน้ำไหมคะ ? ฉันจะได้ไปเอามาให้”
“ไม่ต้องครับ” อเล็กซ์วางลูกชายลง จากนั้นเดินเข้ามาเพื่อจะหอมแก้มของเธอ
แต่จอยไม่ยอมให้เขาหอมแก้ม เธอบังคับให้เขามาจูบกับปากตัวเองแทน
ขณะจอยจูบกับสามีอย่างดูดดื่ม มีเสียงเหมือนนาฬิกาปลุกดังขึ้นขัดจังหวะ
“การ์ตูนมาแล้ว การ์ตูนมาแล้ว !” ข้าวปั้นอุทานอย่างดีใจ ขณะกดปิดเสียงนาฬิกาข้อมือที่ตั้งไว้ รีบวิ่งเข้าไปที่ห้องนั่งเล่น ลอเรนก็รีบวิ่งตามไปติดๆ
ไม่ต้องเห็นก็รู้ว่าสองตัวแสบไปดูเรื่องอะไร มันต้องเป็นเรื่อง ยากี้ หมีน้อยผจญภัย
ครั้งแรกที่จอยเห็นการ์ตูนเรื่องนี้ เธอหลงคิดว่ามันเป็นสารคดีชีวิตรักสัตว์โลก เนื่องจากฉากเปิดเรื่องมันเป็นหมีสองตัวที่กำลังทำท่าขี่กัน จนกระทั่งภายหลังเธอมองดูดีๆ ปรากฏว่าไม่ใช่อย่างที่เห็นผ่านตา แท้จริงนั้นพวกมันขี่ม้าอยู่
หมีตัวแรกเป็นหมีขนสีขาว ที่บนหัวมีโบสีชมพูติดอยู่ ยังมีขนตาเป็นงอนขนาดใหญ่ เพื่อบอกให้รู้ว่าเป็นตัวเมีย
ส่วนตัวที่สองที่นั่งอยู่ด้านหลังเป็นหมีขนสีน้ำตาล มีขนาดร่างกายตัวใหญ่กว่าตัวที่อยู่ข้างหน้า ตรงคอของมันผูกเนกไทสีดำ
ฉากเปิดตัวของเรื่อง เป็นภาพของหมีสองตัวที่นั่งอยู่บนหลังของม้า แต่ทว่ามันฉายเน้นภาพของหมีสองตัวนี้มากกว่า ส่วนพาหนะที่พวกมันขี่ เห็นแค่อานม้ากับลักษณะหลังม้านิดเดียวเท่านั้น
การเคลื่อนไหวของม้าที่วิ่งอยู่ ทำให้หมีสองตัวนั้นมันโยกหน้าโยกหลัง แต่มันไม่ได้โยกอย่างปกติ มันโยกเฉพาะตรงส่วนที่น่าจะใช้แสดงเพศของพวกมัน ส่วนตรงศีรษะอยู่นิ่งอยู่กับที่ ดูไปก็เหมือนกับการเคลื่อนไหวของลูกตุ้มนาฬิกาโบราณ ตรงจุดนี้เองทำให้จอยเข้าใจผิด จนกระทั่งภาพมันฉายเป็นมุมกว้าง ถึงรู้ว่าที่พวกมันโยกหน้าโยกหลังเป็นเพราะม้าที่ขี่อยู่ แล้วมันยังมีเสียงดนตรีประกอบด้วย
เสียงดนตรีของมันดัง ดึ๋งๆ ฟังคล้ายลูกบอลกระเด้งกระดอนถี่รัว ทำให้การ์ตูนเรื่องนี้มันไม่เหมาะเป็นการ์ตูนสำหรับเด็ก มันดูน่าจะเป็นพวกคลิปตลกๆ แอบถ่ายพวกสัตว์ผสมพันธุ์กันมากกว่า
“เย้ ! ได้เวลายากี้ยากี้แล้วพวกเรา !”
จอยยืดคอแอบมองห้องนั่งเล่น ตอนนี้ลูกชายทั้งสองคนนั่งดูการ์ตูนอย่างใจจดใจจ่อ ขณะเดียวกันเสียงของหมีในโทรทัศน์ก็พูดเปิดเรื่อง
หลังมั่นใจว่าจะไม่มีตัวเกะกะ เธอหันกลับมาทางสามี มือลูบหน้าอกกำยำของเขา “เป็นเดือนแล้วน้า~” เธอลากเสียงยาวอย่างเชิญชวน “คุณทำให้ฉันได้ไหม”
จะว่านี่เป็นโค้ดลับระหว่างเธอกับสามีก็ย่อมได้ เป็นระยะเวลาเกือบเดือนที่จอยอยู่ห่างจากคู่ชีวิต เธอรู้สึกเปล่าเปลี่ยวช่องพิศวาสเหลือเกิน แล้วในเมื่อตอนนี้เขามาอยู่ตรงหน้า มีหรือที่จะยอมให้เขาหลุดรอดไปจากมือ
อเล็กซ์โน้มลงมาจูบปากอีกครั้งก่อนถอยหน้าออกห่าง ในแววตาที่เคยดูแจ่มใส บัดนี้พลันเปลี่ยนมาเป็นเหนื่อยล้าอย่างชัดเจน “ผมต้องขอโทษด้วยครับ เอาไว้วันพรุ่งนี้แทนนะครับ ผมรู้สึกเพลียกับการเดินทางมากจริงๆ ผมอยากพักผ่อน”
ได้ยินคำขอร้องของเขาอย่างนั้น รอยยิ้มยั่วยวนของจอยพลันแข็งค้าง แต่แวบเดียวเธอก็กลับมาทำใบหน้าเป็นธรรมชาติ “เอ่อ... ก็ได้ค่ะ”
“เดี๋ยวผมขอตัวไปอาบน้ำก่อน สำหรับวันพรุ่งนี้ ผมจะชดเชยวันนี้ให้ครับ รับรองผมจะทำให้คุณครางออกมาไม่เป็นภาษา” อเล็กซ์บีบจมูกของเธอเบาๆ
“ก็ได้ค่ะ เดี๋ยวฉันขึ้นไปเปิดแอร์บนห้องให้นะคะ คุณอาบน้ำเสร็จจะได้ขึ้นไปนอนได้ทันที”
“ขอบคุณครับ”
ชายหนุ่มพูดจบก็เดินไปที่ราวแขวนผ้าเช็ดตัว ขณะเดียวกันจอยเดินขึ้นบันได เพื่อไปห้องนอนที่อยู่ชั้นสาม
แม้ไม่ได้ดังใจ แต่จอยไม่รู้สึกผิดหวังมากเท่าไรนัก เธอเข้าใจว่าเขาเดินทางกลับมาเหนื่อยๆ ก็ต้องเป็นอย่างนี้ธรรมดา
ภาพนอกระเบียงเป็นทิวทัศน์ธรรมชาติสวยงาม ไม่มีสิ่งปลูกสร้างที่เปรียบเป็นสิ่งแปลกปลอมมาบดบัง เนื่องจากบ้านหลังนี้มันเป็นบ้านพักตากอากาศส่วนตัวของอเล็กซ์ ซื้อเอาไว้ห่างไกลจากแหล่งชุมชน แต่ถ้าเดินออกไปแล้วมองซ้ายขวา ต้องเห็นผู้อยู่อาศัยประจำท้องถิ่นแห่งนี้ และบ้านพักตากอากาศของพวกเศรษฐีรายอื่นที่ซื้อไว้
จอยเดินไปดึงกระจกเลื่อนปิด ตามด้วยบานพับทึบแสงปิดอีกชั้น เพื่อป้องกันไม่ให้มีแสงส่องเข้ามาแยงตา สามีของเธอจะได้นอนหลับพักผ่อนได้เต็มอิ่ม
“ว้ายแม่มึง !” ยังไม่ทันจะหันตัว จอยเบิกตาโตด้วยความตกใจ เพราะถูกช้อนตัวขึ้นมา
เมื่อเห็นเป็นบุรุษลูกครึ่งอเมริกันที่อุ้มตัวเธออยู่ ลมหายใจอย่างโล่งอกก็พ่นออกมาจากปากของเธอ
“ถามหาแม่ใครจ๊ะ ?”
ตอนแรกจอยจะถามว่ามาเล่นอย่างนี้ทำไม จนเมื่อได้ยินน้ำเสียงและลักษณะการพูดของคู่ชีวิตเปลี่ยนไป เธอรู้ได้ทันทีว่านี่ไม่ใช่ตัวตนของเขาอีกแล้ว
“ไม่เห็นต้องทำใบหน้าประหลาดใจขนาดนี้ก็ได้จ้ะ พี่มามอบความสุขให้กับน้อง แทนไอ้หนอนด้นไร้น้ำยา น้องไม่ดีใจเหรอจ๊ะ ?”
จอยไม่รู้ว่าตัวเองลืมไปได้ยังไง เกี่ยวกับสามีผู้นี้ บางทีบิ๊กอาจได้ยินคำพูดที่เธอบอกตอนอยู่ข้างล่าง มันจึงออกมาแทน เพื่อทำหน้าที่ของสามีที่ดี
“แกมาก็ดี” จอยฉีกยิ้ม เปลี่ยนการใช้น้ำเสียงราวกับพลิกจากขาวเป็นดำ เธอชำเลืองไปทางประตู “ไปปิดก่อนได้ไหม ฉันไม่อยากให้ลูกได้ยินอะไรที่มันทำลายวัยสดใสของพวกเขา”
“ได้เลยจ้า” บิ๊กวางตัวเธอลง เดินไปปิดแล้วล็อกไว้อีกชั้น คงกลัวว่าเด็กๆ จะเปิดเข้ามาเห็น โดยเฉพาะเปิดมาเห็นฉากที่ไม่เหมาะไม่ควร
จากนั้นหันมาด้วยใบหน้าที่ยังคงไม่หุบยิ้ม
“แกไปนั่งตรงนู้นได้ไหม” จอยชี้ไปทางโซฟานั่งเดี่ยว “ฉันมีของจะเซอร์ไพรส์ รับรองแกต้องขนลุกซู่ซ่า”
“ได้จ้ะ” ขณะเดินผ่าน บิ๊กง้างมือเสยตีก้นของเธอดังป้าบ
“โอ๊ยไอ้บ้า !” จอยสะดุ้งโหยง ใบหน้าของเธอพลันเปลี่ยนมาเป็นโกรธ มือลูบบั้นท้าย “นี่แกเลิกตีตูดฉันได้ไหมยะ ตูดฉันจะด้านหมดก็เพราะแกนี่แหละ”
“นี่มันตอนเก่า ดูแล้วนี่” ลอเรนพ่นลมหายใจดังฟืด
“ฉันเบื่อช่องการ์ตูนเรื่องนี้จริงๆ เอาแต่ตอนเก่าๆ มาฉายอยู่ได้” ข้าวปั้นบ่น ก่อนหันไปมองด้านหลัง ปรากฏว่าไม่มีใครอยู่สักคนเดียว ขณะเดียวกันแฝดพี่หันมามองหาคนอื่นในห้องเช่นเดียวกัน
“พ่อกับแม่ไปไหนแล้วล่ะ ?” ลอเรนพูดออกมาเหมือนรำพึงรำพันมากกว่าอยากถามผู้ร่วมสายเลือดที่นั่งอยู่ข้างๆ
“สงสัยแม่เรียกพ่อไปทำการบ้านมั้ง” ข้าวปั้นมองไปทางบันได
“ไปทำการบ้านหรอ ?” ลอเรนน้ำเสียงสื่อออกมาว่าไม่เข้าใจ
“นายจำไม่ได้หรือไงว่าแม่เคยบอกเอาไว้”
ลอเรนสั่นหน้าระรัว เขาจำไม่ได้จริงๆ ว่าผู้เป็นแม่เคยบอกไว้ตั้งแต่ตอนไหน
“นายนี่ไม่ฉลาดเลย ก็วันนั้นไงที่แม่บอก ถ้าแม่เรียกพ่อขึ้นไปห้องนอนเมื่อใด แสดงว่าแม่จะสอนการบ้านให้พ่อ”
“ดีเลย” ลอเรนยิ้มร่า ดวงตาเปล่งประกาย “ระหว่างแม่สอนการบ้านให้พ่อ เราไปวิ่งเล่นข้างนอกกันดีกว่า”
“เดี๋ยวก่อน” ข้าวปั้นเรียก “แม่ยังไม่บอกว่าตรวจการบ้านของเราเสร็จ ถ้าออกไป จะโดนทำโทษได้นะ”
ลอเรนนิ่งไปครู่เหมือนกำลังคิดก่อนพูดออกมาอย่างสบายๆ “เราไม่ต้องไปกลัวหรอกน่า ถ้าแม่จะทำโทษ เราก็อ้างไปเลยว่าเราทำเสร็จแล้ว แต่แม่ไม่ยอมตรวจให้ แม่ลำเอียงไปสอนการบ้านให้พ่อก่อน เราจึงออกไปวิ่งเล่นเพื่อรอแม่แทน”
“มันจะดีเหรอ ?” น้ำเสียงของข้าวปั้นฟังออกไปทางลังเลกับตัวเองมากกว่าถามให้อีกฝ่ายไตร่ตรองอีกครั้ง
“นายก็รู้นี่ เวลาแม่ขึ้นไปสอนการบ้านให้พ่อใช้เวลานานมากแค่ไหน แต่ถ้านายเลือกจะรอคอยอยู่ในห้องนี่ต่อไป ก็ตามใจนายก็ละกัน ส่วนฉันไม่รอหรอก ออกไปวิ่งเล่นดีกว่า”
“เดี๋ยวๆ รอฉันด้วย” ข้าวปั้นรีบลุกออกไปตามติดๆ
จอยยกกล่องใส่สินค้าใบหนึ่งออกมาจากที่ลับ เดินมานั่งคร่อมบิ๊กบนโซฟา
“พี่นึกว่าน้องจะเล่นยากี้ยากี้กับพี่เลยเสียอีก”
คำพูดของบิ๊ก ทำให้จอยนึกไปถึงการ์ตูนที่มีฉากเปิดเรื่องสุดอุบาทว์นั่น
“มันยังไม่ถึงเวลายากี้ยากี้หรอกคุณพี่บิ๊กขา ตอนนี้มันต้องเป็นช่วงดึงฮูฮู้ก่อน เราจะข้ามขั้นตอนไม่ได้” จอยไม่อธิบายต่อว่าช่วง ดึงฮูฮู้ มันคืออะไร เธออยากให้เขาได้เซอร์ไพรส์
“นี่อะไรจ๊ะ ?” บิ๊กมองดูของที่อยู่ในมือเธอ
“ก็ของที่ฉันจะใช้สร้างความหรรษาให้กับบทรักของเราไง”
“อู๊ว อย่างนี้พี่ต้องรีบแกะดูแล้ว” บิ๊กทำใบหน้าตื่นเต้นราวกับจะได้แกะของขวัญวันเกิด แต่ทว่าน้ำเสียงไม่เป็นหนึ่งเดียวกับใบหน้าแม้แต่น้อย ฟังค่อนข้างออกไปทางเหมือนพวกโรคจิตจะได้สูดกลิ่นของกางเกงในผู้หญิงมากกว่า
“หยุดก่อน” จอยตีมือของสามีเบาๆ ก่อนวางกล่องลง มองใบหน้าของบิ๊ก พร้อมเผยรอยยิ้มอย่างเย็นเยือก “พี่บิ๊กขา น้องเคยบอกไปแล้วว่ามันเป็นช่วง ดึงฮูฮู้ ก่อนไงคะ เราจะข้ามขั้นตอนไม่ได้เด็ดขาด”
“ดึงฮูฮู้มันคืออะไรจ๊ะ ?” จนกระทั่งบิ๊กอดสงสัยไม่ได้จึงถาม
“ก็อย่างนี้ไงคะ” จอยจับหูทั้งสองข้างของเขาแล้วดึงออกอย่างแรง “คุณพี่บิ๊กไปสอนอะไรให้ลูกคะ คุณพี่จำได้หรือเปล่า ?” เธอยังคงพูดด้วยน้ำเสียงออดอ้อน ตรงข้ามจากการกระทำ
“อะโอ๊ย ! น้องอย่าทำ พี่เจ็บ”
ใบหน้าของบิ๊กที่แสดงความเจ็บปวดออกมา จอยเห็นแวบเดียวก็รู้ได้ทันทีว่าเขาแสร้งทำ โดยเฉพาะน้ำเสียงฟังเหมือนออกไปทางหยอกล้อ ยิ่งทำให้เธอเกิดอารมณ์มากขึ้น
“ไอ้กะล่อน ฉันรู้ย่ะ ไม่ต้องมาทำใบหน้าเหมือนเจ็บปางตาย” ใบหน้าของจอยพลันเปลี่ยนเป็นนางมารร้าย มือดึงแรงกว่าเดิม จนคราวนี้ใบหน้าของบิ๊กบิดเบี้ยวด้วยความเจ็บปวดของจริง พร้อมร้องเสียงหลง “แกไปสอนเรื่องอุบาทว์ๆ ให้ลูกทำไม !”
สองพี่น้องฝาแฝดในร่างมนุษย์หมาป่า เมื่อเห็นกลุ่มเพื่อนสิบกว่าตน ที่เป็นลูกเศรษฐีที่มาพักตากอากาศเหมือนกัน จึงรีบไปตรงจุดนั้น
ขณะใกล้ไปถึง สองแฝดรู้สึกสงสัยไม่น้อยว่าเพื่อนๆ กำลังเล่นอะไรกัน เนื่องจากเพื่อนทุกตนมีดาบอยู่ในมือ นอกจากนี้ยังแยกออกเป็นสองกลุ่ม กลุ่มแรกเหมือนมีก้อนเนื้อขนาดใหญ่อยู่ตรงหน้าอกสองก้อน ส่วนอีกกลุ่มเหมือนมีก้อนเนื้อขนาดใหญ่อยู่ตรงพุง
“พวกนายกำลังเล่นอะไรกัน ? เราขอเล่นด้วย”
เพื่อนทุกตนหันมามองต้นเสียงของลอเรน แต่ไม่มีเด็กในร่างสัตว์ในตำนานตนไหนตะโกนบอก จนกระทั่งทั้งสองฝาแฝดมาถึง เด็กชายในร่างเสือจากัวร์ดำ ที่เป็นหนึ่งในกลุ่มเพื่อนที่มีหน้าอกใหญ่พูดขึ้นมา
“เราเล่นเป็นจอมยุทธ์กัน ถ้าพวกนายจะเล่น ต้องไปเข้าสำนักพุงป่องฝั่งนั้นแทน” เด็กชายในร่างเสือจากัวร์ชี้ไปที่กลุ่มเพื่อนอีกฝั่ง
“เอานี่ลูกโป่ง” เด็กชายในร่างมนุษย์หมาป่าขนสีขาวยื่นลูกโป่งมาให้ “ไปเป่าแล้วเอาไว้ใต้เสื้อตรงท้อง นายจะได้เข้าสู่สำนักพุงป่องของเรา จากนั้นจงไล่ฆ่าพวกสำนักเต้าอวบซะ”
“เดี๋ยวก่อน” เด็กชายเผ่าเสือจากัวร์ยกมือห้าม ดวงตามองมาที่มือว่างเปล่าของสองฝาแฝด “พวกนายไม่มีดาบ อย่างนี้พวกนายก็เล่นกับพวกเราไม่ได้”
“ใครว่าไม่ได้” เด็กชายมนุษย์หมาป่าขนสีขาวแย้ง “ใช้กิ่งไม้แทนได้ไม่เป็นอะไร” จากนั้นเขาก็หันกลับมาที่สองแฝด มือชี้ไปทางต้นไม้ “พวกนายรีบไปเก็บมาเร็วเข้า เราจะได้ถล่มสำนักเต้าอวบ”
“ไปเก็บมาเลย” เด็กชายในร่างมนุษย์หมาป่าขนสีออกแดงที่ชื่อว่า แม็ท ขยับลูกโป่งที่อยู่ตรงหน้าอกสองก้อนให้เข้าที่ จากนั้นก้าวออกมาด้วยท่าทางเหมือนผู้ยิ่งใหญ่ พร้อมหัวเราะด้วยน้ำเสียงเหมือนพวกตัวโกง “ฉันในนามของหัวหน้าสำนักเต้าอวบ จะใช้ดาบเลเซอร์ฟันให้หัก ฉันจะถล่มสำนักพุงป่องของพวกนายให้สิ้น” จากนั้นก็แกว่งดาบของเล่นไปมาข่มขวัญ
สองพี่น้องฝาแฝดมองดาบในมือของเพื่อนแต่ละตนอย่างอิจฉา เนื่องจากดาบพวกนั้นมันเป็นของเล่นจากหนังสตาร์วอร์ส นอกจากเปล่งแสงได้เหมือนดาบเลเซอร์ในภาพยนตร์ ทุกครั้งที่มันถูกกวัดแกว่ง ต้องมีเสียงหึ่งๆ ออกมา
“เอาไงดี เราไม่มีแบบมัน” ข้าวปั้นหันไปถามแฝดพี่
“จะไปยากอะไร เราก็แค่ไปซื้อมั่งแค่นั้น เรารวยกันอยู่แล้ว” ลอเรนควักบัตรเศรษฐีออกมา “เดือนนี้เรายังไม่ได้เอาไปรูดซื้ออะไรทั้งสิ้น เรายังมีเงินเหลือตั้งห้าหมื่นในบัตร” เขาหัวเราะตกท้าย
บัตรเศรษฐีนี้ คือสิ่งที่ทางภาครัฐมอบให้สำหรับผู้มีอันจะกินเหลือเฟือ เอาไปใช้รูดซื้อของเพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจ ผู้มีอันจะกินทั้งหลายแหล่จะได้รวยกันมากขึ้นเป็นทวีคูณ เพราะไม่ต้องเสียเงินไปซื้อข้าวของเครื่องใช้ หรืออาหารกินเพื่อประทังชีวิตให้เสียเงินของตัวเองโดยไม่จำเป็น
“เออใช่ ฉันลืมไปได้ไง” ข้าวปั้นล้วงกระเป๋าเอาบัตรเศรษฐีออกมา จากนั้นหัวเราะตามพี่ชาย “ของฉันเหลือตั้งห้าหมื่น นี่ยังไม่ได้ใช้เลย อย่างนี้ต้องไปเหมาของเล่นให้หมดทั้งแผง”
“แต่พวกนายจะไปซื้อได้ไง ที่นี่มันไม่มีห้าง ไม่มีร้านของเล่น มีแต่ร้านขายของธรรมดาอยู่ร้านเดียว บัตรนั่นก็ใช้กับร้านนี้ไม่ได้ มันไม่มีเครื่องรูดเหมือนในห้างหรู”
คำพูดของเด็กเสือจากัวร์ทำสองแฝดชะงักอยู่ในท่าหัวเราะ
“ใช่” มนุษย์หมาป่าขนสีน้ำตาลอีกตนย้ำคำพูด “บัตรเศรษฐีนั่น มันใช้ได้เฉพาะในเมือง ที่นี่มันบ้านนอก นายใช้ไม่ได้หรอก ฉันว่านายไปเก็บกิ่งไม้มาแทนดีกว่า สำนักของฉันจะได้ถล่มสำนักพุงป่องของนายให้สิ้นซาก” พูดจบเขาก็หัวเราะอย่างชั่วร้าย ชี้ปลายดาบสตาร์วอร์สมา
“แย่แล้ว ! ทำไงดี” ข้าวปั้นมองหน้าพี่ชาย ขณะเดียวกันลอเรนหันมาสบตาอย่างคิดไม่ตก ทั้งสองรู้ว่าถ้าจะเดินทางไปในเมืองต้องใช้รถ หรือไม่ก็เลือกเดินเท้าเปล่าไป จากนั้นตามด้วยเรียกรถเพื่อไปลงที่สนามบิน เท่านั้นยังไม่พอ ต้องนั่งเครื่องบินต่อไปอีกเพื่อจะลงในเมืองหลวง สรุปแล้ว นอกจากเดินทางไกลจนไม่แตกต่างจากการเดินทางข้ามประเทศและลำบากแทบขาดใจ เงินในบัตรรวมกันแสนหนึ่งก็ยังไม่พอกับค่าเดินทาง
“ฉันนึกขึ้นได้ พรุ่งนี้เป็นวันที่หนึ่งของเดือนใหม่ พวกนายจะเสียสิทธิ์ของบัตรเศรษฐีถ้าไม่ได้ใช้บัตรนั้น”
คำพูดของเสือจากัวร์เหมือนจะยิ่งซ้ำเติมให้สองแฝดเกิดความเครียด เนื่องจากเงินจำนวนนี้มันไม่สามารถเก็บสะสมเพื่อไปใช้จ่ายในคราวเดียวได้
แต่ไม่นานนัก ลอเรนก็นึกขึ้นได้ว่าที่บ้านมีผ้าวิเศษสำหรับสั่งซื้อสินค้า จึงบอกแฝดน้อง “เราไปเปิดดูร้านค้าออนไลน์จากร้านอเนกประสงค์กันดีไหม ?”
“นายลืมไปแล้วหรอว่าเราทำขาดไปตั้งแต่เมื่อวาน” ข้าวปั้นยังคงจดจำได้แม่นยำ เนื่องจากทั้งตัวเขาและพี่ชายถูกแม่ตี ด้วยเหตุผลแย่งกันจะสั่งสินค้า จนมาสรุปแย่งกันดึงผ้าผืนนั้น ทำให้มันขาดออกเป็นสองส่วน
“เออใช่” ลอเรนขนหลังลุกตั้ง มือลูบก้นตัวเองอย่างหวาดผวา
“เราขอยืมร้านค้าอเนกประสงค์จากพวกนายได้ไหม ?” ข้าวปั้นหันไปทำแววตาอ้อนวอนกับเพื่อนๆ
“ให้ยืมไม่ได้หรอก” เด็กชายในร่างมนุษย์หมาป่าขนสีขาวตอบปฏิเสธ “นั่นเป็นของพ่อแม่ ถ้าฉันไปเอามาให้พวกนาย ฉันก็โดนแม่ทำโทษสิ แม่ฉันไม่ให้ใครยืมทั้งนั้น”
“ฉันก็เหมือนกัน พ่อฉันสั่งห้ามไว้” เด็กชายในร่างเสือจากัวร์บอก
หลังจากนั้นเพื่อนทุกตนก็ตอบมาทิศทางเดียวกันหมด เนื่องด้วยสิ่งที่เรียกว่า ร้านค้าอเนกประสงค์ ความสามารถของมันไม่แตกต่างจากโทรศัพท์ที่สามารถสั่งซื้อสินค้าและหักเงินออกจากธนาคารได้ทันที แม้มันทำให้การใช้ชีวิตเป็นเรื่องง่าย ในขณะเดียวกันก็เป็นอันตรายต่อการใช้จ่าย นี่จึงเป็นดาบสองคมอย่างหนึ่ง
“รีบๆ ไปเก็บเอาไม้มาเร็ว” แม็ทสะบัดมือไล่อย่างคุณนายไล่ขี้ข้า
“เดี๋ยวๆ เราขอเวลาครู่เดียว” ลอเรนนึกขึ้นได้ จากนั้นหันไปทางน้องชาย “เราไปเอาร้านค้าอเนกประสงค์จากพ่อแทนกันดีไหม ?”
ข้าวปั้นดวงตาเปล่งประกายด้วยความหวัง “ความคิดดีมาก เราไปกันเร็วเข้า”
เมื่อสองฝาแฝดมาถึงห้องนอนของผู้ให้กำเนิด ได้ยินเสียงโอดโอยของผู้เป็นพ่อร้องออกมา พร้อมกับเสียงโหดเหี้ยมของผู้เป็นแม่ สองฝาแฝดจินตนาการออกทันทีว่าเกิดอะไรขึ้น
“ฉันว่าเราอย่าเพิ่งเข้าไปตอนนี้จะดีกว่า” ลอเรนกระซิบด้วยเสียงสั่นๆ
“ถ้าเราไม่ขอเอาร้านค้าอเนกประสงค์จากพ่อ เราก็เอาชนะพวกมันไม่ได้” จากนั้นข้าวปั้นเงียบไปชั่วขณะก่อนอุทานอย่างดีใจ “เราไม่ต้องเสี่ยงเข้าไปแล้ว นายจำได้ไหมว่าเมื่อวานเราไปเจอดาบวิเศษ เอาดาบนั่นมาใช้แทนก็ได้”
“งั้นเรารีบไปเอามาเร็ว เดี๋ยวพวกนั้นไม่ให้เราไปเล่นด้วย”
จากนั้นสองฝาแฝดรีบวิ่งลงบันได ตรงไปที่กล่องเก็บของเล่น
“พวกเรามาแล้ว !” ลอเรนตะโกนบอกกลุ่มเพื่อนที่กำลังเล่นกันอยู่
“ไหนดาบเลเซอร์ของพวกนาย” แม็ทมองที่มือของสองแฝด แต่ก็ไม่เห็นสิ่งที่มีหน้าตาเหมือนของเล่น นอกจากสิ่งที่มีหน้าตาคล้ายเทียนไข เป็นแท่งยาวประมาณสามสิบเซนติเมตร
“ก็นี่แหละดาบเลเซอร์ของพวกเรา” ลอเรนชูของในมืออย่างภาคภูมิใจ “เห็นไหม นี่ยังมีเขียนยี่ห้อไว้ตัวเบ้อเริ่ม” เขาชี้ให้ดูตรงป้ายที่ด้ามจับ มันเขียนเอาไว้อย่างสวยงามว่า Sex toy (เซ็กทอย)
“ฉันว่าชื่อยี่ห้อมันอ่านแปลกๆ นะ” เด็กชายเสือจากัวร์บอกให้ลองคิดตาม
“ไม่แปลกหรอกน่า ไม่เห็นหรือไงว่าคำสุดท้ายมันเขียนว่า Toy ชัดเจนขนาดนี้ มันต้องเป็นของไว้สำหรับเล่นอยู่แล้ว” ลอเรนยืนยันความคิดตน
“ทำไมดาบของพวกนายมันสั้นจัง ? ลักษณะของมันยังดูไม่เหมือนดาบเลเซอร์ด้วย” แม็ทยกดาบตัวเองมามองเปรียบเทียบ โดยเฉพาะกับของข้าวปั้น ตรงปลายยอดนอกจากมันเหมือนหัวดอกเห็ด ยังตะปุ่มตะป่ำราวกับสิวหัวช้าง
“ก็ของพวกเรามันเจ๋งกว่าของพวกนายไง ไม่เชื่อดู” ลอเรนกดปุ่มตรงด้านจับ จากนั้นเครื่องในมือเปล่งแสงออกมา
“เจ๋งกว่าตรงไหน ของพวกฉันก็ทำได้เหมือนกัน” แม็ทรีบกดปุ่มให้ดาบเลเซอร์เปล่งแสง ความสว่างของมันมีมากกว่าที่ลอเรนแสดงให้ดูมากหลายเท่า
“นั่นมันแค่พื้นๆ เท่านั้น ของนายทำอย่างนี้ได้เปล่า” ลอเรนกดอีกปุ่ม ทำให้ตัวเครื่องสั่น
“ของฉันยังหมุนได้ด้วย” ข้าวปั้นกดปุ่มเครื่องของตัวเองตาม ทำให้มันหมุนเป็นเหมือนสว่านเจาะกำแพง
“ก็แค่สั่นกับหมุนได้ ของฉันเจ๋งกว่า ดูนี่ มีเสียงด้วยเห็นไหม” แม็ทรีบกวัดแกว่งดาบเลเซอร์ ทำให้เกิดเสียงหึ่งๆ
“กระจอก ทำได้แค่เสียงหึ่งๆ ของฉันทำได้ยิ่งกว่านั้นอีก ไม่เชื่อดู” จากนั้นลอเรนกดอีกปุ่มหนึ่ง ทำให้ตัวเครื่องเปล่งเสียงออกมา
(อู๊ว... อ้า... ซี้ด... โอ้เยส... โอ้เยส... เยส !)
ใบหน้าของเพื่อนแต่ละตนเริ่มแสดงความขยะแขยงออกมามากขึ้นทุกขณะ ราวกับวัตถุสิ่งนั้นเป็นอุจจาระส่งกลิ่นเหม็น
แม็ทร้องยี้ “ทำไมเสียงดาบเลเซอร์ของนายมันฟังแปลกๆ อย่างนั้น ?”
“ก็ฉันบอกแล้วไงว่าของเราเจ๋งกว่า จงดูให้ดี” ลอเรนชูอาวุธ “ท่านเทพเจ้ากระบี่ ได้โปรดมอบพลังอันยิ่งใหญ่ให้กับข้า !” จากนั้นเขากดปุ่มการสั่น เร่งความแรงไปสูงสุด “จงระเบิดไปซะ ย้าก !” เขาหมุนแขนไปข้างหลัง เสยไปที่ใต้ลูกโป่งลูกหนึ่ง ที่อยู่ตรงหน้าอกของแม็ท ทำให้มันเกิดการสั่นระรัว หนึ่งวินาทีหลังจากนั้น ลูกโป่งพลันแตก
แม็ทก้มมอง ดวงตาเบิกโตด้วยความตกใจ “อ๊าาาาาา~ นมฉันระเบิด !”
“คราวหลังอย่าไปสอนให้ลูกทำอะไรอุบาทว์ๆ อย่างนั้นอีกเข้าใจไหม ?” จอยดีดติ่งหูของสามีส่งท้าย
“โอย...” บิ๊กเสียงสั่นระรัว “ได้จ้ะ พี่จะไม่สอนอย่างนั้นอีกแล้ว” ใบหน้าของเขาพลันเปลี่ยนมาเบิกบาน “ว่าแต่น้องจะเซอร์ไพรส์อะไรพี่จ๊ะ ?”
บิ๊กเปลี่ยนแปลงใบหน้าและน้ำเสียงฉับพลันอย่างนี้ จอยรู้สึกเหมือนเขาไม่ได้สนใจที่เธอสั่งเท่าไรนัก ทำให้เธอเริ่มโกรธอีกครั้ง แต่ไม่กี่วินาทีต่อมา เธอยอมปล่อยวาง เพราะนึกได้ว่านี่เป็นลักษณะนิสัยของตัวตนนี้อยู่แล้ว ถ้าอะไรก็ตามที่ไม่ใช่เรื่องตัวเธอไปมีความสัมพันธ์กับชายอื่น บิ๊กจะทำให้เป็นเรื่องเล็กๆ เสมอเรื่อยไป ไม่เว้นแม้แต่ครั้งนี้
“แกอยากรู้ใช่ไหมว่าฉันจะเซอร์ไพรส์อะไร ?”
“ใช่จ้ะ” บิ๊กพยักหน้ารัวๆ
“ฉันสั่งซื้อนี่มา รับรอง เราได้สนุก” จอยเผยรอยยิ้ม มือเปิดฝากล่องด้วยความเชื่องช้าเพื่อทำให้น่าตื่นเต้นมากขึ้น
“ไหนของที่น้องจะเอามาเซอร์ไพรส์พี่จ๊ะ พี่ไม่เห็นมีอะไรอยู่ในกล่องแม้แต่สักชิ้น”
คำถามของบิ๊กทำให้จอยเกิดความสงสัย จึงเปิดฝากล่องกว้างมากกว่าเดิมแล้วหันมามองดู ดวงตาของเธอพลันขยายกว้างอย่างแปลกใจ
“หายไปไหนแล้วล่ะ ?” จอยหยิบถุงลมกันกระแทกออกมาจนหมด แต่ก็ไม่เห็นสิ่งใดในกล่อง นอกจากใบเสร็จของการสั่นซื้อ
“น้องหาอะไรจ๊ะ ?”
“หาดิลโด วันนั้นที่สั่งมายังเห็นอยู่ในกล่อง แต่ตอนนี้มันหายไปไหนไม่รู้”
“น้องลองเอาไปใช้งานแล้วลืมเก็บหรือเปล่าจ๊ะ ?” บิ๊กฉีกยิ้ม มือลูบบั้นท้ายของเธอ
“เอาไปใช้บ้าแกสิ” จอยตีมือซุกซนของสามี “ฉันไม่ได้อดอยากจนถึงกับต้องไปพึ่งมัน ฉันว่าจะเอามาเล่นตอนเราเข้าด้ายเข้าเข็ม อย่างนี้ท่าใหม่ที่ฉันตั้งใจคิดค้นคงเล่นไม่ได้แล้ว” เธอถอนใจอย่างสิ้นหวังก่อนเปลี่ยนท่าทีฉับพลันเพราะฉุกคิดได้ “เดี๋ยวก่อนนะ ต้องใช่แน่ๆ”
“ใช่อะไรจ๊ะ ?” บิ๊กถามเพราะต้องการให้ขยายความหมาย
“ทั้งบ้านก็มีฉันกับลูกอยู่เท่านั้น ถ้าไม่ใช่ฉันก็ต้องเป็นลูกที่มาหยิบไป ฉันว่าแอบซ่อนอย่างดีแล้วเชียวนะ”
“ช่างเถิดจ้ะ เอาไว้วันหลังน้องค่อยไปสอบถามก็ได้ ตอนนี้พี่อยากจะ...” บิ๊กเลียฝีปาก มือลูบต้นขาทั้งสองข้างของเธอ
เพียงเท่านี้จอยรู้ได้ทันทีว่าเขาต้องการทำอะไร
“ก็ได้ แต่เรื่องที่ฉันจะเซอร์ไพรส์ไม่ได้มีแค่นี้ ฉันยังมีอีกอย่าง แต่ก่อนอื่น” จอยมองต่ำลงมาที่ตรงซิปกางเกงของเขา “ว่าแต่แกล้างมาหรือยัง ?”
“แน่นอนอยู่แล้วจ้ะ น้องจะพิสูจน์ดมดูก็ได้นะจ๊ะ”
“ไอ้ลามก” จอยดีดติ่งหูของบิ๊กอีกรอบ ขณะเดียวกันเขาหัวเราะอย่างชอบอกชอบใจ จากนั้นเธอลุกเดินไปเอาอีกกล่องหนึ่ง แล้วมานั่งคุกเข่าตรงระหว่างขาของเขา “รู้ไหมคะว่าซูชิมันมีขั้นตอนในการทำยังไงบ้าง ?” จอยช้อนตา มือเปิดกล่องออกให้เห็นสิ่งที่อยู่ข้างใน ซึ่งมีวัตถุดิบใช้สำหรับทำอาหารญี่ปุ่นและอุปกรณ์บางส่วน
“ไม่รู้จ้ะ” บิ๊กส่ายหน้า
“วันนี้ฉันจะสอนวิธีการทำให้เอง พี่บิ๊กจะได้รู้ขั้นตอนของความอร่อย” จอยเผยรอยยิ้ม
“อู๊ว !” บิ๊กสะดุ้งเพราะถูกกำเป้า
“ไม่ต้องตกใจไปค่ะ นี่เป็นส่วนหนึ่งของการสอนเท่านั้น” จอยรูดซิปกางเกงของเขาออก จากนั้นล้วงเข้าไปควักเอาบางสิ่งบางอย่างเป็นแท่งออกมา “อุ๊ย วันนี้คุณพี่บิ๊กหุงข้าวญี่ปุ่นสวยจังเลย ดูสิยังร้อนๆ อยู่ด้วย” เธอรูดแท่งนั้น ทำเอาบิ๊กหายใจถี่รัวอย่างตื่นเต้น “จากนั้นเราก็จะใส่น้ำส้มสำหรับทำซูชิ” เธอเปิดขวดน้ำส้มญี่ปุ่น เขย่าให้น้ำออกมาเหมือนขวดน้ำปลาของประเทศไทย ไล่ไปตามความยาวของแท่งเนื้อเบื้องหน้า “แต่ว่าเราอย่าใส่ไปเยอะนะคะ เดี๋ยวมันแฉะ จากนั้นเราก็คลุกให้เข้ากัน แต่นี่เป็นสูตรใหม่ เราจะไม่คลุก เราจะเปลี่ยนมารูดแทน”
อะ... “อู๊ว !” บิ๊กดวงตาเบิกโตเพราะความเสียว ตอนนี้ท่อนเนื้อของเขาถูกรูดด้วยความเร็วสูงจนเกิดเสียงซวบๆ
“เสร็จแล้วเราก็จะตักมาวางบนสาหร่ายที่เตรียมไว้บนเสื่อไม้ไผ่นะคะ แต่เราจะเปลี่ยนขั้นตอนเล็กน้อย เราจะไม่ม้วนสาหร่าย เราจะเอาสาหร่ายมาพันข้าวแทน” จอยพูดไปมือก็เคลื่อนไหวไปตามคำอธิบาย “สำหรับสูตรอร่อยนี้ เราจะไม่หั่นเป็นท่อนๆ นะคะ เราจะเสิร์ฟทั้งอย่างนี้” เธอจับท่อนเนื้อในมือชี้ขึ้นให้สามีดู “เป็นไงคะ น่าอร่อยไหม ?”
บิ๊กพยักหน้าระรัว “น่าอร่อยมากเลยน้องจ๋า”
“น่าอร่อยอย่างนี้ เดี๋ยวฉันต้องขอลองชิมสักหน่อยนะคะ ฉันอยากรู้ว่าฝีมือตัวเองถึงขั้นระดับปรมาจารย์การทำซูชิแล้วหรือยัง”
“เชิญตามสบายเลยจ้ะ” บิ๊กเสียงสั่นแหบพร่า
จอยอมส่วนปลายเข้าไป ตวัดลิ้นสลับดูดจนมีเสียงดังจ๊วบๆ ทำบิ๊กถึงกับขนลุกซู่ ปากอ้าสั่นระรัว
“อืม...” เธอถอยหน้าออกมา เลียริมฝีปาก “อร่อยจริงๆ ด้วยค่ะ เอ๊... ถ้าจิ้มกับโชยุจะอร่อยขนาดไหนน้า~”
“ลองดูเลยจ้ะ ลองดูเลยคุณเมียจ๋า” บิ๊กเร่งเร้า
จอยเปิดขวดโชยุแล้วเทใส่ถ้วยใบน้อย ขณะยกมันขึ้นมา มืออีกข้างจับท่อนเนื้อที่พันด้วยสาหร่าย จนกระทั่งทั้งสองอย่างนี้มาอยู่ใกล้กัน เธอเอาส่วนปลายของท่อนเนื้อจิ้ม แล้วอมเข้าไปก่อนเปลี่ยนเป็นดูด
ทุกขณะที่เธอกลืนกินความใหญ่ยาวเข้าไปในปากลึกมากขึ้น สังเกตเห็นมือของบิ๊กสั่นระรัวไม่หยุด ไม่นานเขาก็ปล่อยร่างไปตามพนักพิง หน้าแหงนขึ้น ดวงตาดูเคลิบเคลิ้ม
แต่จอยทำให้เขาไม่นานนัก เพราะนึกขึ้นได้ว่าลืมสิ่งสำคัญสำหรับซูชิไป ดวงตาจึงชำเลืองมองไปในกล่อง มือหยิบถ้วยพลาสติกใบเล็กเท่าเหรียญสิบขึ้นมา ซึ่งบนฝาพลาสติกของถ้วยมันเขียนว่า วาซาบิสำเร็จรูปพร้อมรับประทาน
‘แซ่บแน่’ ดวงตาจอยเปล่งประกาย ปากฉีกยิ้มกว้าง
ทันทีที่บิ๊กรู้สึกเหมือนมีครีมมาแปะตรงปลายยอดของเนื้ออ่อน ดวงตาของเขาพลันเบิกกว้าง
จากนั้นก็มีเสียงของบุรุษเพศ ดังลั่นออกมาจากบ้านพักตากอากาศ มันดังไปไกล จนสะท้อนไปมาระหว่างภูเขาที่อยู่รายล้อม
สารบัญ / นำทาง
- 👁️ ยอดวิว 399
แสดงความคิดเห็น