บทที่1 คนไข้ของคุณหมอ
“คนไข้เป็นอะไรมาคะ” เสียงเจ้าหน้าที่แผนกฉุกเฉินถามขณะที่เจ้าหน้าที่กู้ภัยกำลังนำหญิงสาวที่นอนตะแคงอยู่บนเตียงบนรถฉุกเฉินที่นำคนเจ็บมาส่งที่โรงพยาบาล
“อุบัติเหตุรถชนกัน คนไข้ศีรษะกระแทกพื้นและมีแผลถลอกตามร่างกายครับ” เจ้าหน้าที่กู้ภัยรายงานข้อมูลคนไข้เบื้องต้นให้เจ้าหน้าที่เคาน์เตอร์ฉุกเฉินฟัง รดาที่นอนเจ็บอยู่บนเตียงถูกเข็นเข้าไปด้านในโรงพยาบาลทันที
ความเย็นจากเครื่องปรับอากาศทำให้ขนลุกซู่ กลิ่นน้ำยาฆ่าเชื้อเข้าปะทะจมูกชวนให้ปวดหัวเพราะเป็นกลิ่นที่รดาไม่ชอบเอาซะเลย ห้องสีขาวแสงไฟสว่างจ้าส่องจากเพดานดวงตากลมโตถึงกับต้องหลับตาลงเพราะสู้ความสว่างไม่ไหว เตียงถูกเข็นมาหยุดอยู่ด้านในซึ่งเจ้าหน้าที่ต่างวิ่งวุ่นกันใหญ่เหมือนกับว่าด้านในห้องฉุกเฉินตอนนี้นั้นกำลังวุ่นวายเพราะมีคนไข้จากอุบัติเหตุครั้งใหญ่ถูกส่งตัวมารักษาที่นี่
“ช่วยตามหมอแผนกอายุรกรรมมาช่วยหน่อย คนไข้ฉุกเฉินเยอะมากหมอเวรไม่พอ” เสียงเจ้าหน้าที่หญิงรายหนึ่งพูดขึ้นอย่างร้อนรน
“คนไข้เกิดอุบัติเหตุรถชนมา ศีรษะกระแทกพื้นและมีบาดแผลด้านนอกนิดหน่อย”
“ห้องฉุกเฉินคุณหมอไม่พอ ติดเคสอุบัติเหตุหลายราย” เสียงเจ้าหน้าที่เคาน์เตอร์ฉุกเฉินกำลังวิ่งวุ่น เพราะวันนี้มีเคสอุบัติเหตุใหญ่มีคนไข้อาการหนักหลายรายจึงทำให้หมอเวรห้องฉุกเฉินไม่พอ
ตึก ตึก ตึก เสียงรองเท้าหนังกระทบพื้นทางเดิน ขณะที่ไรเดอร์สาวนอนตะแคงอยู่บนเตียงคนไข้ เนื้อตัวเปรอะเปื้อนฝุ่นและมีเลือดสีแดงไหลซึมออกมาบริเวณแผลที่ล้มครูดไปกับพื้นซีเมนต์
“พาคนไข้เข้าห้องฉุกเฉินเลยครับ เคสนี้ผมดูเอง” กองทัพ ศาสตราจารย์นายแพทย์เธียรวิชญ์ เศรษฐบุตรกุญชร นายแพทย์หนุ่มเจ้าของโรงพยาบาลเดินลงมาเจอขณะที่กำลังจะเดินทางกลับบ้าน สายตาเหลือบไปเห็นเด็กสาวคุ้นหน้านอนอยู่บนเตียงหน้าห้องฉุกเฉินโดยมีผ้าพันแผลพันรอบศีรษะ แขนที่โผล่พ้นเสื้อเต็มไปด้วยรอยแผลถลอก
“ค่ะ ศาสตราจารย์” รดาถูกเข็นเข้าห้องฉุกเฉินโดยเร็ว ม่านสีฟ้าถูกเลื่อนปิดกั้นเป็นห้อง มีเพียงเสียงเครื่องวัดความดันและเครื่องวัดชีพจรดังอยู่หัวเตียง
“คนไข้เกิดอุบัติเหตุรถชน ศีรษะกระแทกพื้นค่ะ มีบาดแผลถลอกตามตัว กระดูกไม่หักยังขยับแขนขาได้ตามปกติ ปฏิกิริยารับรู้คนไข้ปกติค่ะ” เสียงพยาบาลรายงานเมื่อคุณหมอหนุ่มในชุดเสื้อเชิ้ตสีฟ้าสวมทับด้วยเสื้อกาวน์สีขาวตัวยาวเปิดม่านเดินเข้ามา
“ขอหมอดูแผลหน่อยนะครับ”
“เจ็บตรงไหนบ้างครับ ตรงนี้เจ็บไหม แล้วตอนล้มได้ใส่หมวกกันน็อกหรือเปล่า” เสียงทุ้มอ่อนโยนเอ่ยถาม จากตอนแรกที่เหนื่อยอ่อนกำลังจะเคลิ้มหลับ พอได้ยินเสียงทุ้มอ่อนโยนของหมอหนุ่มอะดรีนาลีนในร่างกายสูบฉีดขึ้นทันที
“ใส่ค่ะ แต่ด้านหน้าไม่มีกระจกเลยกระเด็นแล้วหัวไปโขลกกับฟุตบาท” รดาไม่เคยหละหลวมเรื่องเซฟตี้เพราะอุบัติเหตุเกิดขึ้นได้ตลอดเวลา แต่วันนี้เธอก็ยังเจ็บตัวอยู่ดี ถ้าวันนี้เธอไม่ได้สวมหมวกกันน็อกป่านนี้เธอคงนอนหมดสติอยู่บนเตียง คงไม่มานอนบอกอาการคุณหมอได้อยู่แบบนี้
“หมอขออนุญาตดูแผลตรงจุดอื่นหน่อยนะครับ คุณพยาบาลครับช่วยถอดเสื้อแขนยาวคนไข้ออกทีครับ” ประโยคแรกบอกกับรดาประโยคหลังหันไปบอกกับเจ้าหน้าที่พยาบาล รดาเอาแต่มองหน้าหมอหนุ่มไม่ละสายตา
[เสียงคุ้นจัง เหมือนเคยได้ยินเสียงนี้ที่ไหน] รดาได้แต่คิดในใจจนแจ็กเกตสีเขียวของแอปสั่งอาหารแอปหนึ่งถูกถอดออก
“ขยับแขนให้หมอดูหน่อยครับ ว่าเจ็บตรงไหนหรือเปล่า”
“ทั้งสองข้างเลยครับ มีขัดๆ เสียดๆ ไหมเวลายกขึ้น” รดาทำตามอย่างว่าง่าย
“กำมือหมอหน่อยครับ กำแรงๆ ไม่ต้องกลัวหมอเจ็บ” ฝ่ามือหนาที่สวมถุงมือแพทย์สีฟ้าทั้งสองข้างยื่นมาตรงหน้าเด็กสาว มือเรียวเล็กที่มีรอยเลือดสีแดงสดไหลซึมออกมาเล็กน้อยยื่นมากุมมือชายหนุ่มและออกแรงบีบจนสุดกำลัง
“โอเคครับ ตรงแขนมีแค่แผลถลอกนิดหน่อย”
“ยกขาขึ้นด้านบนให้หมอดูหน่อยครับ” มือหนายื่นไปถอดรองเท้าผ้าใบออกทั้งสองข้าง พยาบาลทำหน้าตกใจที่เห็นคุณหมอถอดรองเท้าให้คนไข้เอง รดาเองก็ตกใจไม่คิดว่าหมอหนุ่มจะกล้าทำแบบนั้น
“ขยับซ้าย-ขวาครับ..โอเคอีกข้างครับ” มือข้างหนึ่งยกขึ้นไปดันเท้าเล็กไว้ขณะกำลังออกแรงขยับ
“โอเคครับ ขาทั้งสองข้างก็ปกติ เดี๋ยวหมอจะส่งไป CT SCAN ดูว่าศีรษะได้รับความกระทบกระเทือนมากหรือไม่ แต่เท่าที่ดูจากแผลก็ไม่มีอะไรน่ากังวลครับ” กองทัพเขียนอะไรสักอย่างลงชาร์จคนไข้ก่อนจะส่งให้เจ้าหน้าที่พยาบาล รอสักพักก็มีเจ้าหน้าที่เข้ามาเข็นเธอออกจากห้องม่านกั้น ไปยังห้องห้องหนึ่งซึ่งคาดว่าน่าจะเป็นห้องเอกซเรย์ทางคอมพิวเตอร์
“คนไข้ศาสตราจารย์เธียรวิชญ์” เจ้าหน้าที่ที่เข็นเธอเข้ามาบอกกับเจ้าหน้าที่ห้องเอกซเรย์ ภายในห้องมีเพียงรดาและเจ้าหน้าที่ผู้ชายอีกสองคน
รดาถูกเข็นเข้าไปในอุโมงค์สีขาวหลังจากที่เจ้าหน้าที่นำอะไรบางอย่างมาปิดตาเธอไว้ทั้งสองข้าง ความกลัวเข้าปกคลุม แขนสองข้างวางแนบข้างลำตัวมือกำเข้าหากันแน่นนอนตัวเกร็งอยู่บนเตียง เพราะภายในห้องอากาศเย็นและเงียบมากจึงอดไม่ได้ที่จะรู้สึกกลัว
แอ๊ด..เสียงเปิดประตูมีบุคคลใหม่เข้ามาจากด้านนอก
“ศาสตราจารย์ สวัสดีครับ” เสียงเจ้าหน้าที่ประจำห้องเอกซเรย์เอ่ยทักทายชายหนุ่ม แสดงว่าบุคคลที่พึ่งเข้ามาในห้องนี้นั้นเป็นคุณหมอคนนั้นสินะ รดาจึงคลายอาการรู้สึกกลัวลงมาก มือที่กำแน่นจนเล็บแทบจิกเข้าเนื้อค่อยๆ คลายออกเมื่อรู้ว่าคนที่เข้ามาใหม่นั้นเป็นใคร เธอรู้สึกปลอดภัยอย่างบอกไม่ถูก
“ผมขอดูผลเอกซเรย์ตอนนี้เลยนะครับ” ไฟอุโมงค์ถูกเปิดขึ้นสว่างจ้าทั้งที่มีอะไรบางอย่างปิดตาทั้งสองข้างอยู่แต่ก็ยังมีแสงลอดผ่านเข้ามาให้ได้เห็น
“คนไข้หลับตานะครับ”
พรึบ! สิ้นเสียงเจ้าหน้าที่อุโมงค์ใหญ่ก็ถูกสั่งให้ทำงานทันที ไม่ถึง5นาทีรดาก็ถูกเข็นออกมา
“พาคนไข้ขึ้นไปห้องพัก 201 และเตรียมอุปกรณ์ทำแผลด้วย” เสียงทุ้มนุ่มพูดขึ้นเมื่อดูผลเอกซเรย์ที่หน้าจอคอมพิวเตอร์สักพัก
“ห้อง 201 เหรอครับศาสตราจารย์” เจ้าหน้าที่ถามย้ำอีกครั้งเพราะห้องที่ศาสตราจารย์หนุ่มบอกเมื่อสักครู่นั้นเป็นห้องพักสำหรับครอบครัวหรือญาติเจ้าของโรงพยาบาลเท่านั้น
“ครับห้อง 201 ผมพูดไม่เคลียร์ตรงไหน” เสียงทุ้มต่ำถามกลับเมื่อยังเห็นว่าทุกคนในห้องยังยืนนิ่งราวกับไม่เข้าใจในสิ่งที่เขาพูด
“เคลียร์ครับ ห้อง 201” รดาถูกพาขึ้นมายังชั้นบนสุดของโรงพยาบาล ทั้งชั้นมีห้องพักเพียงสองห้อง และอีกฝั่งของชั้นนี้นั้นเป็นห้องทำงานของผู้อำนวยการโรงพยาบาล
“พี่คะ หนูต้องนอนโรงพยาบาลเหรอคะ”
“น่าจะเป็นอย่างนั้นนะครับ เพราะศาสตราจารย์บอกให้พาคนไข้ขึ้นมาพักที่ห้องนี้”
“แต่หนูไม่ได้เป็นอะไรมากนี่คะ ไม่นอนโรงพยาบาลได้ไหมคะ”
“ผมตอบไม่ได้จริงๆ ครับคนไข้ลองถามคุณหมอดูเองแล้วกันนะครับ”
“แต่โรงพยาบาลหรูขนาดนี้ หนูไม่มีเงินจ่ายค่ารักษาพยาบาลหรอกนะคะ”
“เรื่องค่าใช้จ่าย คู่กรณีเขาติดต่อมาว่าจะรับผิดชอบเองทั้งหมด ลุกขึ้นไปนั่งบนเตียงครับ หมอจะทำแผลให้” กองทัพเปิดประตูเข้ามาได้ยินเข้าพอดีจึงโกหกรดาออกไป ถ้าไม่งั้นหญิงสาวคงต้องรบเร้ากลับบ้านแน่ๆ คืนนี้
[พระเจ้าทรงประทานเธอกลับมาให้ผมแล้ว มีเหตุผลอะไรที่ผมจะปล่อยเธอหลุดมือไปง่ายๆ]
ก๊อก ก๊อก ก๊อก
“ขออนุญาตค่ะ อุปกรณ์ทำแผลมาแล้วค่ะศาสตราจารย์” เจ้าหน้าที่พยาบาลเข็นรถอุปกรณ์ทำแผลเข้ามา กลิ่นแอลกอฮอล์ลอยฟุ้งเข้าปะทะจมูก รดาถึงกับยกมือขึ้นปิดจมูกเพราะได้กลิ่นแล้วพานให้หายใจไม่ออก
“ขึ้นนั่งบนเตียงครับ” รดาทำตามอย่างว่าง่าย เสียงทุ้มนุ่มลึกก่อนหน้าเริ่มแปรเปลี่ยนเป็นเสียงราบเรียบ จนพยาบาลสาวถึงกับยืนตัวเกร็ง
“อ๊ะ!” รดาร้องตกใจเมื่อคุณหมอสุดหล่อที่เป็นถึงศาสตราจารย์หย่อนสะโพกหนานั่งลงกับเก้าอี้และยกเท้าเธอขึ้นไปวางบนตักโดยไม่ใช้อะไรรอง ไม่กลัวว่าเสื้อผ้าจะสกปรกหรือมีท่าทีรังเกียจเลยสักนิด
“เอ่อ ศาสตราจารย์คะ ให้เกลทำเองดีกว่าค่ะ”
“ผมทำเองครับ”
“แต่ศาสตราจารย์คะ เกลว่าให้เป็นหน้าที่ของเกลดีกว่าค่ะ”
“คุณออกไปเตรียมชุดให้คนไข้เปลี่ยนจะดีกว่านะครับ ขืนยังใส่ชุดนี้อยู่เกรงว่าแผลจะติดเชื้อเพราะโดนสิ่งสกปรกที่เปื้อนมากับชุด”
“เอ่อ..ค่ะศาสตราจารย์”
“จะเกร็งทำไมครับ หมอยังไม่ได้ดุอะไรคุณเลย”
“แต่คุณหมอดุพี่พยาบาลคนนั้น เขาแค่อยากช่วยทำไมต้องดุพี่เขาด้วยคะ”
“ผมยังไม่ได้ดุใครเลย แต่ถ้าดื้อรับรองโดนผมดุแน่” กองทัพให้คำตอบ สายตาคมเข้มจ้องหน้ารดาเพื่อต้องการสื่อให้รู้ว่าเขาพูดจริง
“หนูไม่ได้ดื้อสักหน่อย ไม่เห็นต้องขู่เลย” บ่นอุบอิบมุมปากแต่ก็ดังพอที่กองทัพจะได้ยิน
“ผมไม่ได้ขู่ ผมทำจริง จะลองดูก็ได้นะ..ว่าเด็กดื้อต้องโดนทำโทษยังไง”
“เสร็จแล้วครับ อย่าให้แผลโดนน้ำนะครับ”
“แล้วหนูจะอาบน้ำยังไงคะ ตัวสกปรกแบบนี้ไม่อาบน้ำหนูนอนไม่หลับแน่ แล้วอีกอย่างหนูก็ไม่ได้เป็นอะไรมากทำไมต้องนอนโรงพยาบาลด้วยคะ”
“เป็นหมอเหรอครับ ถึงสามารถวินิจฉัยอาการตัวเองได้ หัวกระแทกฟุตบาตขนาดนั้นยังจะบอกว่าไม่เป็นอะไร ถ้าเกิดเลือดคลั่งในสมองขึ้นมาจะทำยังไง”
“ก็คุณหมอไม่เห็นบอกเลยนี่คะ ว่าหนูเป็นอะไรมากหรือเปล่าแล้วอีกอย่างถ้าอาการหนักหนูคงต้องเข้าห้องผ่าตัดแล้ว”
“ก็กำลังจะบอก แต่เด็กบางคนเถียงขึ้นซะก่อน”
“แล้วสรุปหนูเป็นอะไรมากหรือเปล่าคะ”
“ตอนนี้ยังไม่ได้เป็นอะไรมากครับ แต่ถ้ายังดื้อก็ไม่แน่”
“หนูอาบน้ำไม่ได้จริงๆ เหรอคะ”
“วันนี้ยังอาบไม่ได้ครับ รอให้พรุ่งนี้แผลแห้งซะก่อนค่อยอาบ..อดทนไปก่อน”
“แต่ตัวหนูสกปรกมากเลยนะคะ ขอเช็ดตัวได้ไหมคะ”
“รอพยาบาลเอาชุดมาก่อน”
ก๊อก ก๊อก ก๊อก
“ขออนุญาตค่ะ ชุดคนไข้ค่ะ” เจ้าหน้าที่พยาบาลยื่นชุดที่ถือมาในมือให้รดาก่อนจะหันหน้าไปถามคุณหมอหนุ่มที่นั่งดูแผ่นฟิล์มเอกซเรย์อีกครั้งที่แนบมากับชาร์ตคนไข้
“คุณหมอต้องการอะไรเพิ่มอีกหรือเปล่าคะ” ถึงจะสงสัยว่าคนไข้รายนี้เป็นอะไรกับเจ้าของโรงพยาบาล แต่ก็ต้องเก็บความสงสัยไว้ในใจเพราะสายตาที่คุณหมอหนุ่มมองมานั้นช่างน่ากลัวเหลือเกิน
“ไม่ครับ คุณเอาอุปกรณ์ทำแผลออกไปเก็บได้เลย อ้อ..ผมขอสเปรย์ดับกลิ่นด้วยครับ คนไข้แพ้กลิ่นแอลกอฮอล์ล้างแผล”
“ค่ะ สักครู่นะคะ”
“ลุกมาเช็ดตัวครับ ลุกเดินเองได้ใช่ไหม”
“ได้ค่ะ แต่หนูรอพี่พยาบาลมาเช็ดให้ดีกว่าค่ะ หนูเช็ดเองไม่ถนัดเพราะยังรู้สึกตรึงๆ แขนนิดหน่อย”
หลังจากตรวจดูฟิล์มเอกซเรย์อย่างละเอียดอีกรอบแล้ว ชาร์จคนไข้ก็ถูกเสียบกลับไว้ปลายเตียงตำแหน่งเดิม
“เอก ผมขออาหารเย็นสองชุด อีกชุดเป็นพวกข้าวต้มสำหรับคนไข้ แวะซื้อผลไม้ นม และของทานเล่นมาด้วย เอามาส่งผมที่ห้อง201” กองทัพต่อสายโทรศัพท์หาใครบางคน ใช้เวลาคุยสักพักก็กดวางสาย
“หนูอยู่คนเดียวได้ค่ะ คุณหมอกลับเลยก็ได้ค่ะ” เวลาผ่านไปสักพักยังไม่มีทีท่าว่าคุณหมอหนุ่มจะกลับ รดาจึงพูดขึ้น
“ผมสั่งให้ลูกน้องซื้อข้าวมาส่งที่นี่แล้ว”
ก๊อก ก๊อก ก๊อก
“ขออนุญาตค่ะ”
“คุณเกล ช่วยเช็ดตัวให้คนไข้ด้วยนะครับ อ้อ..แล้วช่วยจัดยามาตามนี้ด้วยและอย่าลืมเตรียมอุปกรณ์วัดไข้มาไว้ด้วยเผื่อคนไข้มีไข้ตอนกลางคืน คืนนี้ผมจะเฝ้าเองครับ”
สารบัญ / นำทาง
- 👁️ ยอดวิว 979
แสดงความคิดเห็น