ตอนที่ 71 ประชันอักษร – ฝันรำพึงถึงอดีต (2)
ตอนที่ 71 ประชันอักษร – ฝันรำพึงถึงอดีต (2)
ข้าจะเอาให้เขาดีหรือปล่าว...แต่ว่านี่เป็นของส่วนตัวของข้า หากข้ามอบมันให้เขา ผู้คนจะต้องคิดว่า...
นางยังคงตัดสินใจไม่ได้ นางฟ้าและปีศาจกำลังห้ำหั่นกันอยู่ในใจ สุดท้ายนางก็กล่าวกระซิบ “ข้า...ข้ามีอยู่อันหนึ่ง”
ทุกสายตาพุ่งไปที่ฮั่วฉุ่ยโหรว ผู้คนส่วนใหญ่ต่างพิศวง-งงงวย เนื่องจากหากสตรียอมให้ใช้ขลุ่ยของตน ก็มีได้เพียงความหมายเดียว
หรือว่าแท้จริงแล้วคุณหนูตระกูลฮั่วผู้นี้จะ....
เย่หวูเฉินมุมปากยกยิ้มขึ้นเล็กน้อย จากนั้นก้าวไปยืนอยู่เบื้องหน้าฮั่วฉุ่ยโหรว นางถือขลุ่ยสีเขียวแกมน้ำเงินอยู่ในมือ ขลุ่ยหยกเนื้อละเอียดอยู่ในมือเล็กขาวละออ
ยามที่เย่หวูเฉินเข้ามาใกล้ นางรู้สึกหัวหมุน จนนางต้องก้มศีรษะลง ยืนขลุ่ยให้ด้วยมือที่สั่นเทา เย่หวูเฉินรับมาด้วยรอยยิ้ม มือพวกเขาสัมผัสกันเล็กน้อย ฮั่วฉุ่ยโหรวรีบดึงมือกลับราวถูกกระแสไฟ นางซุกมือแน่นอยู่ตรงระหว่างเข่า ใบหน้าแดงก่ำราวกับนี่เป็นครั้งแรกที่ถูกสัมผัสมือโดยคนอื่นที่ไม่ใช่ญาติ คืนนี้นางคงไม่อาจหลับลง เพราะตำหนิตัวเองที่ทำเรื่องไม่สมควร
“ได้รับสิ่งของจากหญิงสาวที่งดงามถึงเพียงนี้ ชั่วชีวิตข้าคงไม่อาจลืมลง” เย่หวูเฉินกล่าวด้วยรอยยิ้ม จากนั้นกลับไปที่เวที ชื่นชมขลุ่ยในมือพลางกล่าวคำ “หยกเขียวบริสุทธิ์ไร้ตำหนิ ละเอียดลื่นเหมือนผิวของหญิงสาว มีกลิ่นอายริมฝีปากของสตรี โปรดอภัยให้ข้าด้วยที่ต้องล่วงเกิน”
ถ้อยคำเย้าแหย่ทำให้ผู้ชมทั้งหมดตกตะลึง ฮั่วฉุ่ยโหรวร้องเสียงแหลมเล็กๆ ซุกศีรษะหลบอยู่ในอกตน อับอายจนอยากหาทางหลบหนีออกไป
สีหน้าหลินเสี่ยวเปลี่ยนแล้วเปลี่ยนอีก รอยยิ้มสุดฝืนได้หายไปจนหมด สตรีที่เขารักทั้งยังเป็นคู่หมั้นกลับมอบขลุ่ยให้ชายอื่นต่อหน้าธารกำนัล... ยิ่งกว่านั้น ยังเป็นชายที่เอาชนะเขาในทุกการประลอง นี่เท่ากับเสียบกระบี่ทะลุถึงหัวใจ เจ็บปวดจนอยากคำรามเพื่อระบายออกมา
“ขลุ่ยสั้น เจ้าแน่ใจรึ?” หลงหยินถาม
ขลุ่ยสั้นและขลุ่ยยาว แม้จะเล่นเพลงเดียวกัน เมื่อเทียบคุณภาพเสียง ขลุ่ยสั้นย่อมด้อยกว่า ทั้งยังเป็นการยากกับผู้คุ้นเคยการใช้ขลุ่ยยาวที่จะปรับมาใช้ขลุ่ยสั้น ซึ่งผลลัพธ์นั้นมักจะตรงกันข้ามและเลวร้ายกว่าเดิม
เย่หวูเฉินพยักหน้าและยิ้ม “เพลงนี้....ให้กับตัวข้าเอง”
บททำนองสำหรับตัวเอง... หลินเสี่ยวทุ่มเทสร้างเพลงขลุ่ยให้กับมารดาที่ล่วงลับไป หนึ่งเป่าขลุ่ยยาว อีกหนึ่งเป่าขลุ่ยสั้น ด้วยการเล่นเพลงให้มารดาที่จากไป ความกตัญญูของเขาจึงประทับอยู่ในใจผู้ชมอยู่หลายส่วน การเล่นเพลงเพื่อตัวเองล้วนไม่อาจเปรียบเทียบได้ ไม่ว่าจะเป็นแนวคิดหรือชนิดขลุ่ย ในมุมมองของผู้คนเย่หวูเฉินเสียเปรียบอย่างชัดเจน
เย่หวูเฉินกดขลุ่ยลงที่ริมฝีปากเบาๆ กลิ่นหอมยวนใจซึมซ่านเข้ามาในจมูก ฮั่วฉุ่ยโหรวปิดใบหน้า ร่างกายร้อนรุ่มถึงระดับน่าตกใจ นั่นคือจุดที่นางวางริมฝีปากลงสัมผัส ตอนนี้มันกำลัง.... นางไม่อาจคิดไปไกลกว่านี้ได้อีก สำหรับนางที่ไม่เคยออกจากห้องหับ ถ้าไม่นับบิดา นางก็ไม่เคยใช้เวลาร่วมกับบุรุษใด นางไม่เคยคิดถึงเรื่องความรักเพราะมันหนักหนาเกินหัวใจจะรับไหว สำหรับนางแล้ว สัมผัส‘ใกล้ชิด’ สามารถกระทำได้เพียงระหว่างคู่แต่งงาน
คืนนี้ นางคงไม่อาจนอนอย่างสงบได้
ผู้คนรออยู่พักหนึ่ง ยังไม่มีเสียงใดให้ได้ยิน เย่หวูเฉินเพียงยืนอยู่อย่างเงียบงันราวกับเป็นรูปปั้น ในที่สุดเขาก็หลับตาลง ฉับพลันผู้คนก็สัมผัสได้ถึงบรรยากาศรอบตัวเขาที่เปลี่ยนไป ในช่วงเวลาแห่งความเงียบ ความรู้สึกกดดันค่อยๆผุดขึ้นในเบื้องลึกแห่งจิตใจ มันหนักหน่วงขึ้นเรื่อยๆ มีรู้สึกราวกับถูกเหล็กหนาท่วมทับ จนทำให้รู้สึกยากที่จะหายใจ
ความโศกเศร้าแสนสาหัส หนักหนาเกินจะทนรับไหว....
มีเสียงเล็กๆดังขึ้น มันเบาบางเหมือนขนนก เหมือนสายลมอ่อนโยนโชยผ่าน ยามที่เสียงแต่ละหนึ่งทำนองเคลื่อนผ่านหู ทุกหัวใจ ทุกริมฝีปากก็สงบลง... กระทั่งโลกทั้งใบยังตกอยู่ในความเงียบ ไร้เสียงของสรรพสิ่งใดให้ได้ยิน เหลือเพียงทำนองอ้อยอิ่งที่ผ่านมา
แม้จะเป็นเพียงท่วงทำนองสั้นๆและบางเบา ทุกผู้คนล้วนเหมือนถูกกระตุ้นความรู้สึกข้างใน ต่างสั่นไหวอยู่ในความเงียบงัน
ท่วงทำนองเริ่มค่อยๆเร็วขึ้น ความรู้สึกในใจของพวกเขา คล้อยไปตามท่วงทำนองที่เร่งเข้าสู่จังหวะโศกที่ทำหัวใจแทบสลาย เสียงยังคงบางเบา ราวเพียงถูกสายลมพัดเป่าก็พร้อมพังทลายลง เสียงนั้นไม่ได้ก้องอยู่ในหู แต่สะท้อนลึกอยู่ในใจ พวกเขาแทบหยุดหายใจด้วยเกรงรบกวนจังหวะเพลง
เป็นวันฟ้างามกระจ่างใส หากแต่สายลมอ่อนแอและโศกครวญ ต้นกล้าใบเล็กงอกเงยบนผืนดิน มันเต็มไปด้วยความสุขสันต์และความหวังอันมากมาย ท่ามกลางความอบอุ่น ต้นกล้าเติบโตขึ้นแสดงถึงชีวิตและพลัง แต่สายลม... ยังคงคร่ำครวญอยู่เช่นเดิม ต้นกล้าแกว่งไกวสั่นไหวอย่างเงียบงันอยู่ในท่ามกลางสายลม
วันหนึ่งเมฆทะมึนปกคลุมฟ้า เมฆมวลดำรวมตัวหนาน่าเกรงขาม กดดันจนรู้สึกยากจะหายใจ เสียงฟ้าลั่นของสายฟ้าผ่านม่านเมฆ ฝนกระหน่ำพายุซ้ำไร้หัวใจ ผลาญทลายต้นกล้าที่ยังไม่แข็งแรง กระหน่ำพัดซัดซ้ำไม่เลิกรา ต้นกล้าไม่เลิกล้มไม่ลดละ ยืนหยัดเผชิญหน้าต่อผืนฟ้า ไม่ว่าสายลมจะกรรโชกสักเท่าไหร่ ไม่ว่าสายฝนจะไร้เมตตาถึงเพียงใด มันก็ยังกัดฟันไม่ยอมล้มลง
หัวใจของผู้คนบีบคั้นด้วยความเจ็บปวด
หลังคืนพายุและสายฝน ต้นกล้าอ่อนแอไร้เรี่ยวแรง แต่มันไม่ยอมล้มลงและเงยหน้ามองนภา แสดงให้เห็นว่าไม่ง่ายที่จะเอาชนะมัน
อย่างไรก็ตาม เพียงช่วงเวลาทุเลาเพียงสั้นๆ ต้นกล้าก็เติบโตและแกร่งกล้าขึ้น จนวันหนึ่ง พายุฝนร้ายก็กลับมา ต้นกล้าใช้ทุกพลังที่มีค้ำจุนร่างอันอ่อนเยาว์ ประคับประคองตน ต้านทานอย่างมั่นคง...
มุมหางตาของเย่หวูเฉินเปียกชื้นเล็กน้อย แต่ไม่มีน้ำตาไหลออกมา ความทรงจำอันห่างไกล ความทรงจำในวัยเด็กที่คลุมเครือ เขาเห็นตัวเองตอนอายุสามขวบกำลังพยายามกัดฟันของตนไว้แน่น เนื่องจากออกแรงกัดฟันอย่างรุนแรง เลือดจึงไหลซึมอยู่ระหว่างซี่ฟัน สีหน้าของเขาบิดเบี้ยว ร่างกายสั่นสะท้านอย่างสาหัส เพราะยามนั้นต้องอดทนกับความเจ็บปวดทรมาน ความเจ็บปวดที่ในโลกนี้มีเพียงเขาทนไหว เหมือนถูกแทงร่างด้วยพันกระบี่ กระทั่งหมื่นกระบี่... เขาจำต้องทนทรมานอยู่เงียบๆ ไม่อาจยอมให้มารดาต้องรับรู้ ไม่อาจทำให้มารดาต้องกังวล ไม่อาจยอมให้ตนพ่ายแพ้... เพราะเขารอคอยความหวังนั้นมานานแสนนาน
ท่านแม่...ท่านคือใครกัน? ยามนี้ท่านอยู่ไหน? เหตุใดข้าจึงคิดถึงท่านเหลือเกิน? เพียงความปรารถนาก็ทำให้ข้าอบอุ่นหัวใจ แต่ความอบอุ่นนั้นก็ทำให้ข้าร่ำไห้
แล้วความหวังนั้นอยู่ที่ไหน? ทำไมข้าไม่อาจหามันเจอ แม้ว่าจะพยายามอย่างหนักสักเพียงใด?
แล้วทำไมตัวข้าเมื่อก่อนถึงต้องทนเจ็บปวดทรมานถึงเพียงนั้นทุกๆเดือน มันเหมือนกับความเจ็บปวดที่ข้าได้รับเมื่อครึ่งเดือนก่อน....ไม่สิ! ไม่ใช่แบบเดียวกัน มันต่างกัน ความเจ็บปวดในอดีตนั้นสาหัสกว่ามากนัก
ข้ามีอดีตเช่นใดกันแน่?
ข้าคือใครกัน?
สารบัญ / นำทาง
- 👁️ ยอดวิว 276
แสดงความคิดเห็น