Only one love รักนี้ แค่เธอ… คนเดียวเท่านั้นนะ [Yuri] Chapter 25
Chapter 25: คำขอโทษกับปัญหาหนักใจของซินนามอน
(มาการงบรรยาย)
เวลาผ่านไปอีก 1 อาทิตย์ กิจกรรมของชมรมต่างๆ เสร็จสิ้นลงแล้ว ไม่นานฤดูการสอบกลางภาคก็จะมาถึง แต่สิ่งที่สำคัญของนักเรียน ม.3 อย่างพวกเราก็คือ ใกล้เวลาที่จะส่งใบตอบรับที่อาจารย์ให้พวกเราไว้ตั้งแต่ต้นเทิมเพื่อกรอกสาขาที่จะเลือกเรียนต่อในปีการศึกษาหน้าซึ่งเป็นปีแรกของระดับชั้นมัธยมปลายแล้ว
“มาการง เธอกรอกข้อมูลเรื่องเรียนต่อแล้วหรือยังล่ะ?” ช็อกโกล่าเอ่ยถามฉันขึ้นในขณะที่พวกเรากำลังเดินไปโรงอาหารด้วยกันในช่วงพักกลางวัน
“กรอกแล้วจ้ะ แล้วพวกเธอล่ะ เหลือเวลาอีกแค่ 2 วันก็ต้องส่งอาจารย์แล้วนะ”
“ฉันก็กรอกไปเรียบร้อยแล้วเหมือนกัน” ช็อกโกล่าตอบเรียบๆ พลันสายตาก็เหลือบไปมองเพื่อนผมสีน้ำตาลฟูที่เดินไม่พูดไม่จา และทำหน้าครุ่นคิดมาตั้งแต่เมื่อครู่
“ซินนามอนเป็นอะไรไปเหรอ?” ฉันหันไปถามอย่างเป็นห่วง
“เปล่าจ้ะ ไม่มีอะไรหรอก” คำตอบของเพื่อนสนิททำให้ฉันถอนหายใจออกมาเบาๆ ตั้งแต่เปิดเทิมใหม่มานี้ ซินนามอนดูเปลี่ยนไปเยอะมาก จากคนที่เคยร่าเริงก็ดูจะเงียบขรึมมากขึ้น ดูท่าทางเหมือนมีอะไรในใจตลอดเวลา การลองเลียบเคียงถามนั้นก็ไม่ง่ายเลย เพราะถ้าไม่ใช่เรื่องที่เกี่ยวข้องกับพวกเรา เพื่อนฉันคนนี้ก็จะไม่เล่าออกมาเด็ดขาด
“มีอะไรไม่สบายใจหรือเปล่า?” ช็อกโกล่าถามบ้าง
ซินนามอนพยักหน้ารับ “ก็นิดหน่อยจ้ะ”
“มีอะไรไม่สบายใจก็เล่าให้พวกเราฟังได้นะ เธออย่าลืมว่าพวกเราสามคนเป็นเพื่อนสนิทกัน เวลาใครมีปัญหา เพื่อนที่เหลือก็พร้อมจะช่วยเสมอ” ช็อกโกล่าพูด ฉันเองก็พยักหน้าเห็นด้วย ก่อนจะพูดขัดว่า
“แต่เรื่องนี้ฉันรู้สึกว่า คงไม่น่าจะเกี่ยวกับพวกเราหรอกมั้ง ไม่งั้นซินนามอนคงเล่าให้ฟังไปนานแล้ว”
“ก็จริง” ช็อกโกล่าเห็นด้วย จนในที่สุดซินนามอนก็พูดขึ้นมาว่า
“ขอบคุณพวกเธอสองคนมากเลยน้า ที่อยู่ข้างฉันมาตลอด แต่เรื่องนี้มันเป็นเรื่องในชมรมฉันน่ะจ้ะ เล่าให้ฟังไม่ได้จริงๆ” ในเมื่อซินนามอนพูดแบบนี้ ก็ไม่มีประโยชน์อะไรที่จะไปอยากรู้เรื่องส่วนตัวของเพื่อนต่อ ฉันจึงวกกลับมาพูดเรื่องที่คุยกันไว้ก่อนหน้านี้
“ว่าแต่ซินนามอน ได้กรอกใบตอบรับเรื่องเรียนต่อหรือยังล่ะ?”
“ยังเลยจ้ะ” เพื่อนผมฟูหันมาตอบพร้อมกับยิ้มแหย “ขอเวลาฉันอีกสักวันเถอะ”
“ถ้าเธอไม่รีบกรอกเดี๋ยวจะไม่ทันเอานะ” ช็อกโกล่าเตือน ฉันหันมายิ้มแล้วกล่าวว่า
“ไม่เป็นไรหรอก ฉันว่าซินนามอนต้องหาทางออกให้ตัวเองได้แน่”
“มาการง… มั่นใจในตัวฉันขนาดนั้นเลยเหรอ?” เจ้าตัวหันมาถามอย่างไม่แน่ใจ
“มั่นใจสิ” ฉันหันไปสบตากับเธอตรงๆ “เพราะซินนามอนเป็นเพื่อนสนิทของฉัน แล้วอีกอย่าง ไม่ว่าจะมีปัญหาที่หนักขนาดไหน เธอก็ยังผ่านมาได้เลย แล้วทำไมคราวนี้จะผ่านมันไปไม่ได้ล่ะ”
ในที่สุดซินนามอนก็ยิ้มออกมาได้ เธอหันมาเอ่ยขอบคุณและชวนพวกเราให้เดินไปที่โรงอาหารหลังหยุดยืนคุยกันอยู่ที่หน้าตึกอยู่นาน
(พาเฟ่ต์บรรยาย)
ฉันกับโรสแมรี่เดินลงจากโรงยิมและมุ่งหน้าไปที่โรงอาหารด้วยกัน นับจากวันที่พวกเราคืนดีกันได้จนถึงตอนนี้เวลาก็ผ่านมาได้ 1 สัปดาห์พอดี พวกเราเดินไปไหนมาไหนด้วยกันบ่อยขึ้น และไม่ได้ทะเลาะกันบ่อยเหมือนกับเมื่อก่อนแต่ก็ยังพอมีกัดกันบ้างเล็กน้อยพอให้แสบๆ คันๆ ความเปลี่ยนแปลงของพวกเราเป็นเรื่องที่ฮือฮาของเพื่อนในห้อง พวกเขาพากันจับกลุ่มซุบซิบกันถึงเรื่องนี้ ช่วงแรกฉันก็รู้สึกไม่พอใจเท่าไหร่นัก แต่พอเวลาผ่านไปนานเข้าก็เริ่มชินไปเอง
“นี่โรส ดูนั่นสิ” ฉันที่เดินๆ อยู่ก็เห็นเงาของกลุ่มเพื่อนกลุ่มหนึ่งผ่านไปทางหางตา หนึ่งในนั้นเป็นคนที่รู้จักดี โรสแมรี่มองตามก่อนจะพยักหน้า
“ฉันเห็นแล้ว เธอจะเข้าไปทักหรือเปล่าล่ะ?”
“จริงๆ ก็อยากอยู่หรอก แต่เขาอยู่กับกลุ่มเพื่อนนี่ ฉันจะเข้าไปทักคงไม่ค่อยเหมาะเท่าไหร่” ฉันปฏิเสธ และออกเดินต่อไป
เมื่อหาโต๊ะว่างได้แล้ว พวกเราก็วางสัมภาระเอาไว้เพื่อจองที่และเดินแยกกันไปซื้อข้าวกลางวัน ช่วงแรกที่มีเพื่อนผมส้มมานั่งร่วมโต๊ะด้วย ฉันรู้สึกไม่ชินเท่าไรนักเพราะปกติจะนั่งกินข้าวคนเดียวเป็นประจำ จะเดินไปไหนก็สามารถไปได้โดยไม่ต้องรอใคร เรียกได้ว่ามีอิสระเต็มที่ แต่เมื่อมีโรสแมรี่มาเป็นเพื่อนร่วมโต๊ะ ทุกอย่างที่เคยทำจนชินก็ต้องพยายามปรับเพื่อให้เข้ากับอีกฝ่ายได้ แม้จะอึดอัดอยู่บ้างในช่วงแรกแต่พวกเราก็เปิดใจคุยกันจนในที่สุดก็ผ่านช่วงเวลายากลำบากนั้นมาได้ แต่เมื่อเทียบกับช่วงเวลาที่ผ่านมาแล้ว เรื่องแค่นี้ถือว่าเป็นเรื่องเล็กน้อยไปเลย
“นี่โรส ฉันขอถามหน่อยเถอะ เธอไม่คิดจะไปขอโทษซินนามอนจริงๆ เหรอ?” หลังจากสังเกตเพื่อนทั้งสองคนมานาน นอกจากจะเห็นว่าซินนามอนจะพยายามเลี่ยงไม่พูดคุยกับเพื่อนผมส้มแล้ว แม้เธอจะพยายามเข้าหามากเท่าไรก็ตาม ทำให้ฉันรู้ได้ทันทีว่า ยัยเพื่อนตัวดีคงต้องไปพูดอะไรที่กระทบจิตใจเพื่อนอย่างรุนแรงแน่ๆ ไม่เช่นนั้นซินนามอนคงจะไม่โกรธมากจนถึงขั้นไม่พูดด้วยนานถึงขนาดนี้
“ความจริงแล้ว ฉันก็อยากขอโทษนะ” โรสแมรี่ซดน้ำแกง “แต่ฉันไม่รู้ว่าจะเริ่มเข้าหาเธอยังไงดี”
หลังจบคำพูดนั้น ฉันก็ได้แต่ส่งสายตามองเธออย่างเห็นใจ ภาพเหตุการณ์ที่ห้องชมรมในเทิมที่แล้วโผล่เข้ามาในความคิด หลังจากที่ฉันกับพี่วาฟเฟิลถูกหัวหน้าชมรมชวนให้ออกจากห้องแล้วก็ไม่รู้ว่าข้างในเกิดอะไรขึ้นบ้าง แต่ฉันก็พอจะเดาได้ว่าจุดแตกหักระหว่างความสัมพันธ์ของเพื่อนทั้งสองคนคงจะเริ่มจากตรงนี้
“คงจะยากหน่อยละนะ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะไม่มีทางเป็นไปได้เลยที่ซินนามอนจะไม่ยอมคืนดีกับเธอนี่” ฉันวิเคราะห์ ดูจากนิสัยของซินนามอนแล้ว ถ้าอีกฝ่ายยอมขอโทษแล้วเรื่องก็น่าจะจบลงได้โดยเร็ว
“แล้วเธอมีวิธีหรือเปล่าล่ะ?” โรสแมรี่ถาม “เพราะฉันลองหลายรอบแล้วแต่ก็ยังไม่สำเร็จสักที”
“เรื่องนี้ฉันไม่มีวิธีหรอก” ฉันหันไปตอบอย่างสัตย์จริง “เพราะคนที่เป็นคนเริ่มเรื่องทั้งหมดก็คือเธอ เพราะฉะนั้น การกระทำกับคำพูดที่ผ่านมา เธอก็ควรจะรับผิดชอบมันซะ”
“เธอเนี่ยน้า ไม่ต้องตอกย้ำฉันอีกรอบก็ได้ ฉันสำนึกผิดแล้ว ต่อไปจะไม่ทำอะไรไม่คิดหน้าคิดหลังแบบนี้อีก” โรสแมรี่วางช้อนลงบนจานข้าวพร้อมกับพูดด้วยสีหน้าสำนึกผิด
“ฉันไม่ได้ตอกย้ำเลยนะ ฉันแค่พูดความจริง” ฉันพูดเรื่อยๆ คำพูดนั้นเรียกค้อนวงโตจากเพื่อนที่นั่งฝั่งตรงข้ามได้ไม่ยาก
“เฮ่อ ช่างเถอะ เดี๋ยวฉันจะลองหาทางดู” โรสแมรี่พูดตัดบท ฉันลุกขึ้นหยิบจานข้าวของตัวเองเตรียมจะเอาไปเก็บ ไม่ลืมหันมาพูดกับเธอว่า
“รีบๆ ขอโทษให้เร็วล่ะ เรื่องที่ค้างคากันไว้จะได้จบสักที อย่าลืมว่าพวกเรายังเหลือเวลาแค่เทิมหน้าก็จะขึ้น ม.ปลายแล้ว สู้ใช้เวลาที่เหลือด้วยกันให้ดีโดยที่ไม่ต้องมีอะไรติดค้างกันดีกว่านะ”
(ซินนามอนบรรยาย)
คาบชมรมเลิกแล้ว ฉันกับพาเฟ่ต์เก็บข้าวของและเดินออกจากห้องชมรมมาด้วยกันเหมือนเช่นเคย โรสแมรี่เมื่อเห็นว่าฉันกับพาเฟ่ต์เดินกลับด้วยกันก็มีสีหน้ากระอักกระอ่วน เธอมองหน้าพวกเราสลับกันไปมา ก่อนจะก้มหน้าก้มตาเดินกลับด้วยบันไดคนละฝั่งกับพวกเรา
“เธอจะแวะไหนก่อนกลับไหม?” พาเฟ่ต์เป็นคนเอ่ยเริ่มบทสนทนาก่อน ฉันพยักหน้ารับ
“คงจะไปนั่งเล่นที่โรงอาหารเหมือนเดิมแหละจ้ะ พาเฟ่ต์จะไปรอวาฟเฟิลที่โรงอาหารเหมือนเดิมหรือเปล่า?”
“ได้สิ” เพื่อนผมเขียวพยักหน้า พวกเราจึงเดินลงบันไดและคุยกันไปด้วยอย่างไม่รีบร้อน
“นี่พาเฟ่ต์ ได้วางแผนเรื่องเรียนต่อปีหน้าหรือยัง?” ฉันถามขณะก้าวลงบันได พาเฟ่ต์ครุ่นคิดสักครู่ก่อนพยักหน้า
“ฉันวางแผนไว้คร่าวๆ แล้ว เธอล่ะคิดไว้บ้างหรือยัง?”
“ดีจังเลย ฉันยังไม่รู้เลยว่าจะเลือกเรียนอะไรดี ใบตอบรับก็ต้องส่งวันมะรืนนี้แล้ว” พูดไปคิ้วก็ขมวดเป็นปม เพราะเรื่องนี้แหละที่ทำให้ฉันคิดไม่ตกมาตลอดหลายวัน จะปรึกษาใครก็ไม่สะดวกใจเพราะทั้งมาการงและช็อกโกล่าต่างก็มีเป้าหมายในใจกันแล้วทั้งนั้น
“ก็เลยมาปรึกษาฉันงั้นสิ”
“อืม” ฉันครางในลำคอเบาๆ เป็นการตอบรับ พาเฟ่ต์มีสีหน้าครุ่นคิดแต่ขาก็ยังไม่หยุดก้าว ก่อนจะถามออกมาว่า
“เธอมีวิชาที่ชอบมากเป็นพิเศษ หรือรู้สึกว่าเรียนแล้วมีความสุขกับมันหรือเปล่าล่ะ?”
ฉันครุ่นคิด ก่อนจะตอบว่า “ฉันสนใจภาษาน่ะจ้ะ”
“งั้นก็ดีเลย เพราะฉันก็สนใจสายภาษาเหมือนกัน” พาเฟ่ต์ดวงตาเป็นประกายขณะพูด
“จริงเหรอ? พาเฟ่ต์ชอบภาษาอะไรล่ะ?”
ระหว่างที่กำลังคุยกันเพลินๆ ฉันก็ได้ยินเสียงเอะอะดังมาจากชั้นบน ตามมาด้วยเสียงโครมคราม เมื่อมองขึ้นไปก็ต้องตกใจสุดขีด เมื่อเห็นเก้าอี้ตัวหนึ่งกำลังร่วงลงมาจากบันได คาดว่าอีกไม่นานคงจะมาถึงที่พวกเรายืนอยู่เป็นแน่ เสียงตะโกนที่ฉันคิดว่าแสบแก้วหูอย่างยิ่งจากใครคนหนึ่งที่ยืนอยู่ชั้นบนดังเรียกสติ
“คนที่อยู่ข้างล่างน่ะ มัวยืนเซ่ออะไรอยู่ รีบหลบเร็วเข้า! อยากโดนกระแทกหรือไง!”
พวกเราที่กำลังยืนงงอยู่กลางบันไดรีบก้าวลงไปให้พ้นจากตรงนี้แล้วหาที่หลบอย่างรวดเร็ว พาเฟ่ต์ดึงฉันเข้าไปพิงกระจกด้านหนึ่ง เพราะสถานการณ์บีบบังคับและกระจกหลังบันไดก็แคบ ทำให้ร่างกายของพวกเราแนบชิดกันอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ พาเฟ่ต์ยืนพิงกระจกโดยที่มือข้างหนึ่งก็โอบไหล่ฉันเอาไว้ด้วย หัวใจของฉันเต้นแรงอย่างตื่นตระหนก เสียงเอะอะโวยวายจากข้างบนและเสียงเก้าอี้กระทบพื้นยังไม่สงบ ฉันไม่อยากจะคิดเลยว่าถ้าโดนเก้าอี้กระแทกเข้าไปแล้วจะเจ็บขนาดไหน แน่นอนว่าคงไม่มีใครอยากโดนหรอก ฉันรู้สึกได้ถึงอ้อมแขนที่โอบไหล่อย่างปลอบโยน ได้ยินเสียงกระซิบแผ่วจากคนที่ยืนอยู่ข้างกัน
“ไม่เป็นไรนะ รู้สึกว่าอาจารย์ที่อยู่แถวนั้นจะมาช่วยคุมสถานการณ์แล้ว รอให้สงบกว่านี้ก่อนพวกเราค่อยไปต่อแล้วกัน” เสียงของพาเฟ่ต์ติดแหบนิดๆ เป็นเอกลักษณ์ พอมาดังอยู่ข้างหูแล้วหัวใจฉันก็รู้สึกคันยุบยิบ ฉันพยักหน้า ก่อนจะพยายามสงบใจ เอียงศีรษะพิงซบกับไหล่อีกฝ่ายโดยไม่รู้ตัว
เวลาผ่านไปสักครู่ ความเคลื่อนไหวจากชั้นบนสงบลงแล้ว ฉันค่อยๆ ขยับออกมาจากกระจกช้าๆ รู้สึกร้อนที่แผ่นหลังเล็กน้อยเนื่องจากกระจกนี้โดนแดดมาตลอดทั้งวัน หันไปมองหน้าพาเฟ่ต์ที่ก้มลงเก็บกระเป๋าขึ้นมาจากพื้นด้วยสีหน้าเรียบเฉยก็ให้รู้สึกวูบโหวงในท้องขึ้นมาไม่ได้
เมื่อกี้เราทำอะไรลงไปนะ…
“ดูเหมือนจะไม่มีอะไรแล้วนะ ไปโรงอาหารกันเถอะ เย็นแล้ว จะได้กลับบ้านกันสักที” เสียงของพาเฟ่ต์ดังเรียกสติ ฉันสะดุ้งน้อยๆ ก่อนจะก้มเก็บกระเป๋าของตัวเองขึ้นมาสะพายหลังแล้วรีบเดินตามเธอไป
(พาเฟ่ต์บรรยาย)
ฉันเดินเข้าห้องของตัวเองแล้วปิดประตูตามหลัง รู้สึกว่าสติยังไม่ค่อยอยู่กับเนื้อกับตัวเท่าไรนัก ภาพเหตุการณ์เมื่อตอนเย็นยังคงติดตาไม่หาย แน่นอนถ้าใครไม่เจอกับตัวก็คงจะนึกไม่ออกว่าเวลาที่เก้าอี้ร่วงจากบันไดชั้นหนึ่งลงมาอีกชั้นหนึ่งมันน่าหวาดเสียวขนาดไหน ถ้ากระแทกโดนใครเข้าก็คงได้มีการเลือดตกยางออกเกิดขึ้นเป็นแน่แท้ แล้วก็เป็นความโชคดีของฉันกับซินนามอนที่หลบทัน…
เมื่อนึกถึงซินนามอน ฉันก็อดนึกถึงสีหน้าตื่นตระหนกของเพื่อนผมฟูขึ้นมาไม่ได้ ถ้าฉันไม่ดึงเธอเข้ามาหลบด้วยกันเธอจะโดนลูกหลงไปด้วยหรือเปล่านะ แต่ถ้าเหตุการณ์แบบนั้นเกิดขึ้นจริงละก็ฉันคงต้องโทษตัวเองที่ปกป้องอีกฝ่ายเอาไว้ไม่ได้แน่ๆ
ร่างนุ่มละมุนที่โอบไว้ในวงแขน ศีรษะที่ซบลงมา กลิ่นกายหอมจางๆ กับดวงตาสีคาราเมลที่มองเห็นได้ในระยะประชิด ทั้งหมดนี้มันทำให้ฉันใจสั่น…
ฉันรู้ว่าเพื่อนคนนี้เป็นคนน่ารัก ไม่ว่าจะทั้งหน้าตาหรือนิสัย แต่ก็ไม่เคยนึกเลยว่าแม้แต่ท่าทางตื่นตระหนกก็ทำให้คนมองแล้วยังรู้สึกว่าน่ารักได้
ฉันไม่แน่ใจว่าตัวเองรู้สึกยังไงกับซินนามอนกันแน่ เธอเป็นเพื่อนต่างห้องคนเดียวที่ฉันสนิทมากที่สุด เราผ่านอะไรในชมรมมาด้วยกัน เหตุการณ์ทั้งดีและร้ายที่เธอต้องเจอฉันก็รับรู้ทุกอย่าง คอยเอาใจช่วย คอยให้กำลังใจ คอยให้ความช่วยเหลือในทุกเรื่องเท่าที่พอจะทำได้ อาจจะเพราะแบบนี้หรือเปล่านะ… ถึงทำให้เกิดความรู้สึกหนึ่งที่ฉันไม่เคยคิดมาก่อนว่าจะเกิดขึ้นกับตัวเองได้
ความรู้สึกที่เรียกว่า ผูกพัน…
(ซินนามอนบรรยาย)
เสียงเปียโนเคล้ากับเสียงร้องเพลงของรุ่นพี่ในชมรมสอดประสานจนทำให้ฉันที่ยืนฟังอยู่รู้สึกเพลิดเพลิน เพลงรักแสนหวานบวกกับเสียงร้องแสนมีเสน่ห์ทำให้เพลงมีความไพเราะน่าฟังมากขึ้นอีกหลายเท่า ฉันกลอกตามองคนโน้นทีคนนี้ทีในขณะที่หูก็ฟังไปด้วยเผื่อว่าจะถึงท่อนที่ตัวเองต้องร้อง พลันสายตาก็ไปหยุดอยู่ที่ใครคนหนึ่ง
เพื่อนผมเขียวที่ยืนอยู่ข้างๆ เริ่มขยับปาก เสียงหวานติดแหบนิดๆ เริ่มขับขานบทเพลงท่อนที่สองต่อจากรุ่นพี่ที่เพิ่งร้องท่อนแรกจบไป พลันภาพเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อวานก็แวบเข้ามาในความคิด
เสียงกระซิบปลอบใจกับอ้อมแขนอันอบอุ่นของพาเฟ่ต์ยังคงติดตรึงอยู่ในใจของฉัน เมื่อหันไปมองคนที่ยืนร้องเพลงอยู่ข้างๆ อีกครั้ง มุมปากก็โค้งขึ้นเป็นรอยยิ้มส่งไปให้อีกฝ่ายโดยไม่รู้ตัว พร้อมกับที่เสียงดนตรีบรรเลงถึงท่อนสุดท้ายที่ฉันต้องร้องพอดี
แปะๆๆ
เสียงปรบมือจากพวกรุ่นพี่ดังขึ้นหลังจากเปียโนบรรเลงจบลงจนทำให้ฉันสะดุ้งเล็กน้อย เมื่อหันมองรอบข้างก็เห็นใบหน้าประดับไปด้วยรอยยิ้มพอใจของพาเฟ่ต์ที่ยืนอยู่ข้างๆ และเสียงของพี่เชอร์ก็พูดขึ้นตามมาว่า
“ร้องได้ดีมากเลยทุกคน วันนี้เราซ้อมกันแค่นี้พอนะ นี่ก็เย็นแล้ว พรุ่งนี้ค่อยมาเจอกันใหม่นะจ๊ะ”
“ซินนามอน ขอโทษนะ วันนี้ฉันเป็นเวรทำกับข้าวตอนเย็น คงเดินไปที่โรงอาหารกับเธอไม่ได้น่ะ” พาเฟ่ต์หันมาพูดขณะที่กำลังหยิบกระเป๋าที่วางอยู่บนเก้าอี้หน้าห้อง ฉันส่ายหน้าก่อนเอ่ยตอบ
“ไม่เป็นไรหรอกจ้ะ ฉันเดินคนเดียวได้ พาเฟ่ต์ไปซื้อของเถอะนะ”
“ขอโทษด้วยนะ ฉันไปก่อนล่ะ เธอก็กลับบ้านดีๆ” พาเฟ่ต์โบกมือลาก่อนจะเดินลงบันไดไป
“เมื่อกี้เธอร้องดีมากเลย ถ้าขึ้น ม.ปลายแล้ว อย่าทิ้งการร้องเพลงนะ” เสียงของใครคนหนึ่งเอ่ยขึ้นเบาๆ จากทางด้านหลัง ทำให้ฉันที่กำลังยืนมองส่งเพื่อนผมเขียวที่เดินลงบันไดไปจนลับตาถึงกับสะดุ้ง หันขวับไปมองคนพูดทันที
“ระ…โรส” ร่างเพรียวผมส้มที่สูงกว่าฉันเล็กน้อยยืนอยู่ตรงนั้น ฉันมองคนพูดอย่างไม่เข้าใจ โรสแมรี่ส่งยิ้มเศร้าๆ มาให้ก่อนจะเอ่ยคำพูดที่ฉันไม่คิดว่าจะได้ยินจากปากของเธอ
“ซินนามอน ช่วยมากับฉันหน่อยได้ไหม ขอเวลาไม่นานหรอก”
ฉันมองหน้าเธอนิ่ง เห็นแววเว้าวอนอยู่ในดวงตาสีอเมทิสต์คู่นั้นชัดเจน
“ถ้าเธอมีเรื่องจะพูดกับฉันก็คุยตรงนี้ก็ได้ไม่ใช่เหรอ?”
“ตรงนี้มันร้อน ฉันว่าเราเข้าไปคุยกันในห้องชมรมดีกว่านะ”
“ได้” ฉันพยักหน้าก่อนจะเป็นฝ่ายเดินนำกลับไปที่ห้องชมรมอีกครั้ง
เมื่อกลับเข้ามาในห้องอีกครั้งก็พบว่าเครื่องปรับอากาศยังเปิดอยู่ พวกเราลากเก้าอี้มานั่งลงคุยกันดีๆ ฉันเลือกนั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามกับอีกฝ่ายโดยมีคีย์บอร์ดวางเป็นฉากกั้น
(โรสแมรี่บรรยาย)
“ซินนามอน เธอ… สบายดีนะ” ฉันเป็นคนเริ่มเปิดบทสนทนาขึ้นก่อน ซินนามอนพยักหน้าช้าๆ อย่างไม่ทุกข์ร้อน สักพักร่างที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามก็เอ่ยขึ้นเหมือนชวนคุยว่า
“ฉันนะเหรอ ก็เรื่อยๆ ซ้อมเสร็จก็กลับบ้านอย่างที่เธอเห็นเป็นปกตินั่นแหละ”
“นั่นสินะ” ฉันผงกศีรษะ บทสนทนาที่เราคุยกันครั้งแรกในรอบหลายเดือนจะออกมาเย็นชาแบบนี้ก็คงไม่ใช่เรื่องที่น่าแปลกใจอะไร ฉันพยายามมองหน้าซินนามอนตรงๆ รอยยิ้มสดใสที่เคยมีเมื่อครั้งก่อนนั้น บัดนี้มันเปลี่ยนไปแล้ว แม้จะยังมีรอยยิ้มประดับอยู่บนใบหน้าเหมือนเช่นวันที่เราเคยคุยกันดีเหมือนเก่า แต่รอยยิ้มนั้นกลับเป็นรอยยิ้มที่ยิ้มให้เหมือนเป็นมารยาท อีกทั้งบุคลิกของเธอก็ดูเงียบขรึมขึ้นมาก ซึ่งฉันรู้สึกไม่ชินเอาเสียเลย
“ได้ยินว่าเธอกับพาเฟ่ต์คืนดีกันแล้วเหรอ?” คำถามที่เอ่ยขึ้นมากะทันหันทำให้ฉันที่กำลังใจลอยคิดอะไรไปเรื่อยเปื่อยต้องเงยหน้าขึ้นมาพยักหน้ารับ
“ใช่ พวกเราคืนดีกันแล้ว”
“อืม ดีแล้วล่ะ” ซินนามอนถอนหายใจเล็กน้อย ก่อนจะวกกลับเข้าประเด็นอีกครั้ง “เธอมีอะไรจะพูดก็พูดมาเถอะ นี่ก็เย็นแล้วนะ”
“เธอยังจำเรื่องเมื่อเทิมที่แล้วได้อยู่ใช่ไหม?” เมื่อพูดประโยคนี้ออกไปก็รู้สึกอยากจะกัดปากตัวเองจริงๆ ซินนามอนหันขวับ ร่างเพรียวผุดลุกจากเก้าอี้อย่างกะทันหัน
“ที่เธอเรียกฉันมาก็เพื่อจะรื้อฟื้นเรื่องนี้น่ะเหรอ?” เพื่อนผมฟูยืนขึ้นเต็มความสูงก่อนจะก้าวไปที่ประตูช้าๆ พร้อมกับคำพูดประโยคหนึ่งที่แสดงให้เห็นว่าความอดทนที่เคยมีเริ่มจะหมดแล้วจริงๆ “ขอโทษนะโรส แต่ฉันไม่อยากจะรื้อฟื้นมันขึ้นมาอีก ถ้าไม่มีอะไรจะคุยแล้วฉันคงต้องขอตัวก่อน”
ฉันถอนหายใจหนัก รู้สึกได้ถึงนิสัยที่เปลี่ยนไปอย่างชัดเจนของเพื่อนผมสีโกโก้คนนี้ ถ้าเทียบกับช่วงที่พวกเราเคยสนิทกันดีเมื่อเทิมที่แล้ว ซินนามอนในตอนนั้นยิ้มง่าย ร่าเริงสดใส เป็นคนที่มีทั้งความพยายามและความอดทนเป็นเลิศ แต่เมื่อเวลาเปลี่ยน ใจคนก็ต้องเปลี่ยนไปบ้างเป็นธรรมดา ซินนามอนในตอนนี้ดูเหมือนจะไม่ไว้ใจใครง่ายๆ ขณะเดียวกันก็ไม่ใช่คนที่ใจอ่อนและยอมอดทนกับทุกเรื่องเช่นกัน
และเรื่องที่ฉันเคยพูดจาทำร้ายเธอเมื่อครั้งนั้น ก็น่าจะเป็นหนึ่งในเรื่องที่เธอจะไม่ทนแน่ๆ…
“ดะ… เดี๋ยวก่อน ซินนามอนอย่าเพิ่งไป!” เมื่อเห็นมือเรียวบางที่ยกขึ้นทำท่าจะผลักประตูเปิดออกไป ฉันก็รีบกล่าวรั้งเธอเอาไว้ทันที “ที่ฉันเรียกเธอมาวันนี้ ฉันไม่ได้จะมารื้อฟื้นเรื่องเก่าเลยนะ แต่ฉันอยากจะขอโทษเธอต่างหาก ขอโทษที่ฉันพูดไม่ดีกับเธอเมื่อวันนั้น เมื่อตอนนั้นฉันยอมรับว่าฉันโกรธเธอ ไม่พอใจเธอ แล้วก็คิดว่าเธออยากจะแข่งเป็นเซนเตอร์กับฉันจริงๆ”
“แล้วเธอคิดว่าฉันอยากจะแข่งกับเธอจริงๆ หรือไง” ซินนามอนหันหลัง ร่างบางเดินกลับมานั่งประจำที่ตัวเองอย่างเชื่องช้าก่อนจะพูดเรื่อยๆ “เธอไม่รู้หรอกว่าตอนนั้นฉันกดดันมากขนาดไหนที่ต้องมายืนในตำแหน่งที่สำคัญขนาดนั้น ฉันตั้งใจซ้อมการแสดงเต็มที่เพื่อให้ทุกอย่างออกมาดีที่สุด ตอนที่รู้ว่าไมค์กับเครื่องประดับที่ต้องใช้หายไป ทุกคนต้องเดือดร้อนและวุ่นวายกันขนาดไหนเธอคงจะไม่เข้าใจความรู้สึกในตอนนั้นสินะ ก็ไม่เป็นไรหรอก เพราะเธอไม่ได้ขึ้นแสดงด้วยนี่เนอะ”
คำพูดประโยคนั้นทำให้ฉันรู้สึกว่าตัวเองเป็นคนโง่เหลือเกิน เพราะการกระทำที่ไม่คิดหน้าคิดหลังในตอนนั้นนำความเดือดร้อนมาให้กับใครอีกหลายคน ซึ่งนั่นไม่ใช่สิ่งที่ฉันต้องการเลยสักนิด
“ตอนนั้น ฉันเกือบจะไม่ได้ขึ้นแสดงในงานนั้นแล้ว แต่ก็คงจะเป็นโชคดีของฉันละมั้งที่มีคนหาของที่เธอขโมยไปเจอซะก่อน แล้วฉันขอบอกเธอตรงนี้เลยนะว่า หนึ่งในของที่เธอเอาไปซ่อนน่ะ เป็นของที่ฉันยืมมาจากคนอื่นอีกทีด้วย ถ้าเขารู้ว่าในช่วงเวลาที่เขาให้ยืม ฉันยังรักษาของเอาไว้ไม่ได้ ฉันจะมีอะไรไปแก้ตัว เพราะฉันเป็นคนรักษาของอยู่แล้ว ไม่มีทางทำหายง่ายๆ แบบนั้นแน่นอน”
หลังจบคำพูดประโยคนั้น ฉันนึกถึงเพื่อนต่างชมรมคนหนึ่งที่ยืนอยู่ข้างพาเฟ่ต์ตลอดในวันนั้น เธอคนนั้นมีหน้าตาเหมือนกับพาเฟ่ต์แทบทุกกระเบียดนิ้ว แต่ต่างกันที่บุคลิกทำให้พอจะเดาออกว่าเธอคงจะเป็นวาฟเฟิล ฝาแฝดของพาเฟ่ต์ที่เป็นเพื่อนห้องเดียวกับซินนามอนคนนั้น แต่ฉันก็ไม่ได้รู้จักอะไรเธอมากนัก ด้วยความสงสัยฉันจึงอดถามออกไปไม่ได้
“เธอหมายความว่า นอกจากไมค์ที่เอามาจากห้องดนตรีแล้ว ที่คาดผมอันนั้น… ไม่ใช่ของเธองั้นเหรอ?”
“ใช่สิ” ซินนามอนพยักหน้าพร้อมกับถอนใจเบาๆ “ที่คาดผมอันนั้นน่ะ ไม่ใช่ของฉันหรอก จำคนที่ยืนอยู่ข้างพาเฟ่ต์วันนั้นได้ใช่ไหมล่ะ?”
ฉันพยักหน้า รู้สึกสับสนในใจขึ้นมาไม่ได้ พอจะนึกออกว่าการทำของที่ไม่ใช่ของตัวเองหายขึ้นมาผลลัพท์จะออกมาเป็นแบบใด “คนที่หน้าตาเหมือนกับพาเฟ่ต์ใช่ไหม ฉันจำได้ ใช่วาฟเฟิลเพื่อนห้องเดียวกับเธอหรือเปล่า”
“ถูกแล้ว วาฟเฟิล ฝาแฝดของพาเฟ่ต์นั่นแหละ แล้วก็เป็นเพื่อนห้องเดียวกับฉันด้วย วาฟเฟิลเต็มใจให้ฉันยืมที่คาดผมเพื่อใช้ในการแสดงครั้งนั้น เธอคงรู้แล้วใช่ไหมว่าถ้าฉันทำมันหายขึ้นมาจะเกิดอะไรขึ้น”
“ฉันผิดไปแล้ว ฉันผิดไปแล้วจริงๆ” ฉันพูดรัวเร็ว เมื่อได้รับรู้ความรู้สึกและความในใจของซินนามอนที่พูดออกมาเรื่อยๆ ก็ยิ่งทำให้รู้สึกผิดมากขึ้น และความรู้สึกอีกอย่างหนึ่งที่ตีตื้นขึ้นมาในใจก็คือ ฉันโกรธตัวเอง… โกรธตัวเองที่ตัดสินใจทำอะไรลงไปโดยไม่คิดเพราะแค่ความอยากจะเอาชนะ ความอิจฉา และความรู้สึกอย่างอื่นรวมกันทำให้มีเรื่องแบบนี้เกิดขึ้นโดยที่ต้นเหตุทั้งหมดก็มาจากตัวเองทั้งนั้น…
“ช่างเถอะ” ซินนามอนพูดขึ้นเสียงไม่ดังนักหลังจากนั่งเงียบมาสักพัก “เรื่องนั้นก็ผ่านมานานแล้ว มันย้อนกลับไปแก้ไขไม่ได้อีกแล้วล่ะ”
ฉันนั่งเงียบ ภาพความทรงจำของตัวเองที่เดินป้วนเปี้ยนอยู่หน้าตึกศิลปะในวันนั้นผุดขึ้นมาในหัว ภาพเหตุการณ์ในวันนั้นฉายขึ้นมาเป็นฉากๆ ทั้งๆ ที่พยายามจะสลัดมันทิ้งไปมากเท่าไหร่ ก็ดูเหมือนว่าภาพนั้นจะยิ่งสลักลึกลงไปในจิตใจ และคอยตอกย้ำทิ่มแทงให้รู้สึกผิดมากขึ้นเท่านั้น
ฉันนึกถึงคำพูดที่หัวหน้าชมรมเคยกล่าวไว้…
“ถึงตอนนี้เราจะยังไม่รู้สึกอะไรกับสิ่งที่ทำลงไปในวันนี้ แต่สักวันหนึ่ง เราจะต้องเสียใจ และอาจจะคิดได้ทีหลังว่าตอนนั้นเราไม่น่าทำแบบนี้เลย”
พี่เชอร์คะ… คำพูดที่พี่เคยพูดเมื่อวันนั้น ฉันเข้าใจอย่างแจ่มแจ้งแล้วละ…
“ฉันไม่ได้จะมาแก้ตัวหรอก” ไม่รู้ว่าเสียงของตัวเองเริ่มสั่นตั้งแต่เมื่อไร “ที่ฉันเรียกเธอมาคุยกันคราวนี้ฉันไม่ได้หวังให้เธอยอมยกโทษให้ เพราะฉันรู้ว่าที่ฉันพูดกับเธอวันนั้นมันก็แรงเกินไปจริงๆ”
“โรสรู้ไหม ตอนนั้นฉันเสียใจจริงๆ นะที่เธอพูดแบบนั้นน่ะ” ซินนามอนพูดเบาๆ ก่อนจะเอ่ยต่อไปว่า “แต่ก็เพราะคำพูดของเธอเหมือนกันนะ ที่เป็นแรงผลักดันให้ฉันพยายามมากขึ้นในทุกการแสดงจนมายืนเป็นเซนเตอร์ได้อย่างมั่นใจแบบทุกวันนี้น่ะ”
ฉันฟังคำพูดนั้นแล้วก็ต้องอึ้ง แต่ก็อดนึกถึงตัวเองไม่ได้
ทักษะการร้องเพลงของฉันที่เคยคิดว่าดีเยี่ยมมาตลอด บัดนี้ฉันเริ่มไม่แน่ใจแล้วว่าจะยังคงใช้คำว่า “ดีเยี่ยม” มานิยามได้อยู่หรือไม่ เพราะตั้งแต่ไม่ได้ขึ้นแสดงร่วมกับพวกซินนามอนในงานอำลารุ่นพี่ครั้งนั้น บวกกับมั่นใจในตัวเองว่าจะต้องได้ยืนในตำแหน่งเซนเตอร์เหมือนเดิมเช่นเดียวกับที่เคยขึ้นแสดงตั้งแต่ครั้งแรกที่ได้เข้าชมรมใหม่ๆ ฉันก็ละเลยไม่ได้ฝึกซ้อมการร้องเพลงอย่างจริงจังเหมือนเมื่อก่อนอีกเลย
วันนั้น หลังจากที่พยายามเอาของซินนามอนไปซ่อนแต่ก็ไม่สำเร็จเพราะถูกจับได้เสียก่อน ฉันก็ไปเข้าแถวตามปกติ โดยที่จิตใจไม่อยู่กับตัวนัก ฉันทั้งสับสน และไม่เข้าใจความรู้สึกของตัวเอง จนตอนที่ได้ดูการแสดงของเพื่อนๆ ในชมรม ฉันจับตามองซินนามอนมากเป็นพิเศษว่าจะแสดงออกมาได้ดีขนาดไหน และเมื่อได้เห็นการแสดงของเธอในวันนั้น ฉันจึงได้เข้าใจถึงเหตุผลที่รุ่นพี่หัวหน้าชมรมเลือกซินนามอนให้มารับหน้าที่เซนเตอร์ แทนที่จะเลือกพาเฟ่ต์หรือรุ่นพี่คนอื่น
จากคนที่เวลาซ้อมมักจะยืนอยู่ข้างหลังมาตลอด ซินนามอนพัฒนาตัวเองจนได้ขยับตำแหน่งขึ้นมาเรื่อยๆ จากคนที่มักจะตื่นเต้นและประหม่าจนร้องผิดหรือเสียงเบาลงจนแทบไม่ได้ยินเวลาที่ต้องซ้อมในหอประชุมหรือที่อื่นที่ไม่ใช่ห้องชมรม ก็มีความกล้าและมั่นใจในตัวเองมากขึ้นจนสามารถร้องเพลงออกมาได้อย่างมั่นใจไม่ว่าจะต้องซ้อมต่อหน้าคนเยอะขนาดไหน และพัฒนาไปจนถึงขั้นสามารถยืนในตำแหน่งเซนเตอร์ที่โดดเด่นที่สุด และร้องเพลงต่อหน้าคนทั้งโรงเรียนได้อย่างเต็มภาคภูมิ โดยทั้งหมดนี้ใช้เวลาเพียง 2 ปีเท่านั้น ซึ่งรุ่นพี่บางคนแม้จะอยู่ชมรมนี้มาหลายปีแต่ก็ยังไม่ได้รับโอกาสดีๆ เช่นนี้เลยสักครั้ง
เมื่อเห็นเธอในวันนั้นก็ทำให้นึกย้อนมาถึงตัวเอง…
บางที ฉันอาจจะไม่เหมาะกับตำแหน่งที่สำคัญที่สุดอย่างตำแหน่งเซนเตอร์อีกแล้ว แม้ว่าจะปรารถนาและพยายามไขว่คว้ามันมาให้ได้อีกสักกี่ครั้งก็ตามที หลังจากจบการแสดงแล้วฉันนึกชื่นชมความอดทนและเพียรพยายามของซินนามอนจากคนที่ไม่มีความโดดเด่นอะไรเลยจนสามารถมายืนในจุดนี้ได้ และได้มานั่งคิดทบทวนอย่างจริงจังว่าตัวเองยังคงรักในการร้องเพลงอยู่หรือไม่ ก็พบว่าตั้งแต่เห็นว่าซินนามอนยิ่งมีพัฒนาการมากขึ้นเท่าไร ความสุขในการร้องเพลงของฉันก็ยิ่งลดน้อยลงมากขึ้นเท่านั้น
แม้ว่าจะนึกชื่นชมเพื่อนผมสีโกโก้อยู่ลึกๆ แต่อารมณ์ก็อยู่เหนือเหตุผล จึงทำให้ฉันพ่นวาจาร้ายกาจใส่ซินนามอนออกไป ทำให้ความสัมพันธ์ฉันเพื่อนของพวกเราขาดสะบั้นจนมองหน้ากันไม่ติดอีกเลย
“ซินนามอน” หลังจากที่เงียบไปนานมาก ในที่สุดฉันก็เอ่ยเรียกชื่อเพื่อนร่างบางที่นั่งอยู่ตรงข้ามออกมาอย่างไม่มั่นใจนัก
“หืม?” ซินนามอนครางในลำคอเบาๆ “มีอะไรเหรอ?”
“อย่างที่ฉันบอกเธอไปนั่นแหละ เรื่องเมื่อวันนั้นเธอจะไม่ยกโทษให้ฉันก็ไม่เป็นไร แต่ฉันมีเรื่องอยากจะขอร้องเธออย่างหนึ่ง…”
“โรสจะขอร้องอะไรฉันล่ะ?”
“หลายครั้งที่ฉันพยายามเข้าหาเธอ แต่เธอก็ไม่สนใจ แล้วก็พยายามหลบหน้าฉันมาตลอด ซินนามอน ไม่อยากจะเห็นหน้าฉันขนาดนั้นเลยเหรอ…” หลังจากนั่งฟังเธอระบายไปได้สักพักในที่สุดก็ถึงคราวของฉันบ้าง ฉันพยายามสบตากับเธอตรงๆ ดวงตาสีม่วงพยายามมองเข้าไปในดวงตาสีน้ำตาลคู่นั้น ไม่เห็นอะไรนอกจากแววไหวระริกบางอย่างที่ฉันก็ไม่รู้ว่ามันคือความรู้สึกอะไรกันแน่
“ที่ฉันมาขอโทษเธอวันนี้เพราะฉันสำนึกผิดแล้วจริงๆ ซินนามอน ฉันขอร้องเธอ ไม่จำเป็นต้องยกโทษให้ฉันก็ได้ แต่ว่า…” ฉันพยายามควบคุมน้ำเสียงของตัวเองไม่ให้สั่น รู้สึกได้ถึงดวงตาที่เริ่มร้อนผ่าวก่อนจะเอ่ยต่อไป “พวกเรากลับมาเป็นเพื่อนกันเหมือนเดิมได้ไหม?”
เกิดความเงียบเข้าปกคลุมห้องชมรมที่เย็นเฉียบจากเครื่องปรับอากาศ ตรงข้ามกับจิตใจของฉันที่กำลังร้อนรุ่มและกังวลระคนกัน ในที่สุดซินนามอนก็เอ่ยออกมาหลังจากเงียบมานาน
“ความพยายามของโรส ฉันได้เห็นมันแล้วล่ะ” ฉันเลิกคิ้ว รู้สึกฉงนกับคำพูดนั้น ซินนามอนพักหายใจสักครู่ก่อนเอ่ยต่อ “เรื่องเมื่อคราวนั้นถึงฉันจะโกรธหรือเสียใจยังไง มันก็ย้อนกลับไปแก้ไขอะไรไม่ได้อีกแล้ว เพราะงั้น ในเมื่อมันผ่านมาแล้วก็ให้มันแล้วกันไปเถอะนะ”
“ทะ… เธอ เธอกำลังจะบอกว่า…?”
“เรื่องครั้งนั้นฉันจะพยายามไม่คิดอะไรแล้วก็ได้ หลังจากนี้พวกเรากลับมาเริ่มต้นกันใหม่นะ กลับมาเป็นเพื่อนกันเหมือนเดิม ไหนๆ เธอกับพาเฟ่ต์ก็คืนดีกันแล้ว พวกเราก็มาพยายามซ้อมเพลงไปด้วยกัน ใช้ชีวิตในช่วง ม.ต้นที่เหลือนี้ให้มีความสุขเถอะนะ”
“ขอบคุณมากนะ…” หลังจากได้ยินคำพูดนั้น น้ำตาที่เพียรพยายามกลั้นเอาไว้ก็ไหลลงมาเป็นสาย ฉันร้องไห้ออกมาอย่างไม่อาย ไม่ใช่เพราะรู้สึกเศร้าหรือเสียใจ แต่เป็นความปลื้มปีติ… เป็นความยินดีเปี่ยมล้นและโล่งสบายดั่งได้ยกภูเขาที่แสนหนักอึ้งออกไปจากอกหลังจากที่ต้องทนทุกข์มานาน
“เอ้า ทิชชู่” ซินนามอนหยิบทิชชู่จากกระเป๋ายื่นส่งให้ “ถ้าวันนี้พวกเราไม่ได้ปรับความเข้าใจกัน เรื่องระหว่างเรามันก็คงจะค้างคาอยู่แบบนี้หรือบางทีฉันอาจจะไม่ได้เห็นโรสในมุมอ่อนแอแบบนี้ก็ได้นะ”
“เธอ… เธอว่าใครอ่อนแอกันแน่ ครั้งนั้นก็ร้องไห้จนหมดสภาพเหมือนกันไม่ใช่หรือไง” ฉันยิ้มออกมาทั้งน้ำตา พลางสวนกลับด้วยเสียงอู้อี้อย่างไม่จริงจังนัก
“เอาเถอะๆ” ซินนามอนเดินมาหยุดอยู่ข้างหลังฉันพร้อมกับวางมือลงบนบ่าเป็นเชิงปลอบใจ “ฉันเคยหวังว่าอยากให้พวกเราสามคนคุยกันได้โดยที่ไม่ต้องมีใครทะเลาะกันอีก ถึงตอนนี้… ความหวังนั่นคงจะเป็นจริงแล้วสินะ”
“จากนี้ไป ฉันจะไม่พูดจาทำร้ายจิตใจเธออีก จะไม่ทำตัวไร้เหตุผล แล้วก็จะพยายามไม่ทะเลาะกับพาเฟ่ต์ด้วย ฉันสัญญา” ฉันหันมากล่าวด้วยสีหน้าจริงจัง ก่อนจะกล่าวชวนว่า “จากนี้เรามาซ้อมเพลงด้วยกันนะ ถ้าติดขัดอะไรก็ถามฉันได้ จะพยายามช่วยเต็มที่เลย”
“อื้ม ฉันคงต้องรบกวนโรสบ่อยๆ แล้วล่ะ”
“ได้เลยๆ”
“กลับกันเถอะจ้ะ เย็นมากแล้ว อีกเดี๋ยวแม่บ้านคงจะขึ้นมาปิดตึกแล้วนะ”
พวกเราเดินออกมาจากห้องดนตรีและยิ้มให้กัน ก่อนจะเดินลงจากอาคารด้วยจิตใจเปี่ยมสุข
บางสิ่งที่เราตั้งใจกระทำหรือพูดออกไปโดยไม่ยั้งคิด ไม่ว่าจะเพราะความโกรธ ความอิจฉาหรือจากอารมณ์ชั่ววูบ สิ่งนั้นอาจมีผลกระทบที่ร้ายแรงกว่าที่เราคิด ซึ่งเราก็คงไม่ต้องการหรอกหากคำพูดหรือสิ่งที่ทำนั้นจะเป็นการทำให้มิตรภาพระหว่างเพื่อนขาดสะบั้นจนอาจจะไม่สามารถกลับมาสานสัมพันธ์ให้ต่อติดกันได้อีก แต่เมื่อสิ่งนั้นเกิดขึ้นแล้ว ก็ต้องยอมรับผลที่เกิดขึ้นตามมา การเปิดใจคุยกันและคำขอโทษอาจจะเป็นทางออกที่ดีที่สุด แม้ว่าอีกฝ่ายอาจจะจำฝังใจหรือไม่ให้อภัยก็ตาม
แต่ก็อย่านึกได้ ในวันที่สายเกินไป…
(ติดตามตอนต่อไป)
สารบัญ / นำทาง
- 👁️ ยอดวิว 444
แสดงความคิดเห็น