ตอนที่ 45 ราชวิทยาลัยเทียนหลง

สวรรค์มวลดาว (Heavenly Star)
คุณกำลังอ่าน: สวรรค์มวลดาว (Heavenly Star)

-A A +A

ตอนที่ 45 ราชวิทยาลัยเทียนหลง

หมวดหนังสือ: 

ตอนที่ 45 ราชวิทยาลัยเทียนหลง

 

เย่หวูหยุนไม่ตอบคำ หากแต่ลอบแค่นเสียงอยู่ในใจ คิดจะอาศัยอิทธิพลของตระกูลเย่ แม้ว่าเย่หวูเฉินอาจไม่ได้กล่าวเกินจริงหากเป็นในยามปกติ อย่างไรก็ตาม องค์จักรพรรดิย่อมเป็นผู้ดูแลการแข่งด้วยพระองค์เอง.... หากไม่ได้รับเทียบเชิญย่อมหมายถึงตัวตนของเขาไม่เป็นที่ต้องการในเวลานั้น หรือเขาไม่มีอำนาจเพียงพอที่จะเข้าไป กระทั่งสถานะนายน้อยของตระกูลเย่ก็ไม่อาจช่วยเขาได้

 

ในอดีต ทุกคนในตระกูลเย่ต่างได้รับเทียบเชิญ แต่เย่หวูเฉินไม่สามารถออกไปชมได้เนื่องจากปัญหาสุขภาพ นอกจากนี้เย่หวูเฉินยังไม่ได้กลับมาในช่วงที่เทียบเชิญเหล่านี้ถูกส่งออกไป จึงทำให้ไม่มีเทียบเชิญในส่วนของเขา

 

ราชวิทยาลัยเทียนหลงตั้งอยู่ทางตะวันออกของวังหลวง และอยู่ใกล้กันมาก ซึ่งครอบคลุมพื้นที่เป็นบริเวณกว้างและมีบรรยากาศโอ่อ่าโอฬาร ราชวิทยาลัยนี้ก่อตั้งขึ้นเมื่อนานมาแล้ว และเป็นสำนักที่ผู้คนให้ความเคารพสูงสุดในเมืองเทียนหลง มีทั้งฝ่ายอักษร ฝ่ายวิทยายุทธ ฝ่ายเวทย์ กระทั่งอาจารย์ที่สอนยังไม่ธรรมดา อย่างไรก็ตามเงื่อนไขที่จะเข้าเรียนในราชวิทยาลัยเทียนหลงนั้นเข้มงวดมาก ต้องมีคุณสมบัติอย่างใดอย่างหนึ่ง บ้างก็มาจากราชตระกูล บ้างก็มาจากตระกูลมหาเศรษฐี บางคนก็แสดงพรสวรรค์ชั้นเลิศในการลงทะเบียน หรือบางครั้งก็เป็นเด็กฝากจากราชวงศ์ ดังนั้น คนธรรมดาทั่วไปจึงได้แต่ฝัน และไม่อาจเข้าเรียนได้

 

วิทยาลัย.... สิ่งนี้ไม่เคยปรากฎในประวัติศาสตร์ยุคโบราณของหัวเซี่ย ดูเหมือนเขาไม่สามารถใช้หัวเซี่ยยุคโบราณเพื่ออ้างอิงกับโลกใบนี้ได้ ทวีปเทียนเฉินมีกฎเฉพาะตัวของตัวเอง ระหว่างที่เย่หวูเฉินคิดถึงเรื่องนี้ เขาก็มาถึงยังประตูทางเข้าขนาดใหญ่ของราชวิทยาลัย ที่ประตูมีราชองครักษ์คุ้มกันอยู่หลายคน แต่ละคนล้วนเป็นผู้มีพรสวรรค์อย่างโดดเด่น

 

เย่หวูหยุนตามมาห่างๆโดยไม่เร่งรีบ บนสีหน้าฉายแววเหมือนรอชมเรื่องสนุก

 

“โปรดแสดงเทียบเชิญด้วย” ราชองครักษ์เกราะทองคนหนึ่งเอ่ย

 

เย่หวูเฉินนำเทียบเชิญเคลือบทองออกมาทันที เมื่อราชองครักษ์เห็นเทียบเชิญสีทอง สีหน้าเขาเปลี่ยนในฉับพลัน เขากล่าวอย่างนอบน้อม “นายน้อย เชิญ”

 

เย่หวูเฉินพยักหน้า เขาจูงหนิงเสวี่ยแล้วเดินเข้าไป เขาก้าวเท้าอ้อยอิ่งเหมือนกำลังรอคอยบางอย่าง บนเทียบเชิญเขียนไว้ว่าสามารถพาผู้ติดตามเข้าไปได้ด้วยหนึ่งคน ดังนั้นการพาเด็กเข้าไปด้วยคนหนึ่งคงไม่เป็นปัญหา

 

เย่หวูหยุนตกตะลึงอย่างเห็นได้ชัด ในใจเขาสับสน แต่ตอนนี้เขาได้มาถึงเบื้องหน้าขององครักษ์แล้ว เมื่อองครักษ์เห็นเข้าก็แสดงสีหน้าชื่นชม พร้อมกล่าวอย่างเคารพ “เป็นนายน้อยเย่นั่นเอง ขออภัยที่ผู้น้อยต้องทำตามโองการ นายน้อยโปรดแสดงเทียบเชิญ”

 

มีไม่กี่คนที่รู้จักเย่หวูเฉิน ส่วนเย่หวูหยุน องครักษ์ส่วนใหญ่ล้วนคุ้นหน้าคุ้นตา

 

เย่หวูหยุนซุกมือเข้าไปในอกแล้วควานหา หากแต่ว่าไม่พบกับสิ่งใด สีหน้าเขาเปลี่ยนในทันที เพราะจำได้ชัดเจนว่าเมื่อคืนเอาเทียบเชิญใส่ไว้ในเสื้อ หรือว่าเขาเผลอทำตกเอาไว้ หรือไม่ก็....

 

เขาพลันคิดถึงบางสิ่งได้ในทันที คิ้วของเขาขมวดแน่นขณะที่ตะโกน “ช้าก่อน น้องหวูเฉิน เทียบเชิญที่อยู่ในมือเจ้าเป็นของข้า!”

 

“เห? เจ้าหมายความว่าเช่นไร?” เย่หวูเฉินหันกลับไป สีหน้าข้องใจอย่างเห็นได้ชัด

 

“เทียบเชิญที่ส่งไปยังตระกูลเย่ไม่มีฉบับของเจ้า ดังนั้นเจ้าจะได้มันมาจากไหน? อีกทั้งเทียบเชิญของข้ากลับหายไปโดยไม่รู้สาเหตุ เรื่องมันจะบังเอิญขนาดนี้ได้อย่างไร น้องหวูเฉิน ข้าอดทนกับเจ้ามาโดยตลอด แต่เจ้ากลับเป็นคนของเราที่เอาแต่ใช่เล่ห์เหลี่ยม โกงแม้กระทั่งเรื่องเล็กน้อย เจ้ามันช่าง..... น่าผิดหวังนัก” เย่หวูหยุนกล่าวด้วยสีหน้าโกรธเคือง

 

“เจ้าจะบอกว่าข้าขโมยเทียบเชิญของเจ้า?” เย่หวูเฉินสีหน้าทะมึนลง เขาเดนกลับมาพร้อมสีหน้ามืดมน

 

“แล้วเจ้ากล้าให้พวกเราดูชื่อบนเทียบเชิญหรือเปล่า!”

 

“ถ้าอย่างนั้นก็จงดูให้เต็มตาสุนัขของเจ้าซะ” เย่หวูเฉินแค่นเสียงเย็น แล้วโยนเทียบเชิญให้องครักษ์ที่ยืนตะลึงอยู่ เขารับไว้แล้วตรวจสอบ เพียงไม่นานเขาก็เผยสีหน้าแปลกๆแล้วเอ่ยกับเย่หวูหยุน “นายน้อยเย่ นี่... นี่ไม่ใช่เทียบเชิญของท่านจริงๆ”

 

เย่หวูหยุนคว้าเทียบเชิญมาดู แต่สามคำนั้นเขียนไว้ว่า ‘เย่ หวู เฉิน’ ปรากฎอยู่อย่างชัดเจน ยิ่งกว่านั้นยังไม่มีร่องรอยการแก้ไขใดๆ ยิ่งเป็นไปไม่ได้ที่จะปลอมแปลงขึ้นมา เย่หวูเฉินมีสีหน้าเปลี่ยนจากแดงเป็นดำคล้ำในฉับพลัน แต่เขาไม่อาจกล่าวสิ่งใดได้

 

เย่หวูเฉินหยิบเทียบเชิญออกจากมือเขาและแค่นเสียง “เห็นเต็มตาสุนัขของเจ้ารึยัง? ช่างน่าหัวเราะ เจ้าพูดซ้ำแล้วซ้ำอีกว่าตระกูลเย่มอบชีวิตให้กับเจ้า แต่เจ้ากลับเป็นสุนัขที่ไม่ยอมเชื่อฟังอยู่ในตระกูลเย่ของข้า ดังนั้นอย่าได้เรียกตนเองว่านายน้อยคนโต เจ้ามันไม่ใช่สิ่งใด”

 

ไม่อยู่ดูหน้าคล้ำของเย่หวูหยุนให้เสียอารมณ์ เย่หวูเฉินก้าวอย่างสง่าเดินเข้าไปด้านใน

 

“นายน้อยเย่ หากท่านไม่มีเทียบเชิญ ก็ขอได้โปรดกลับไป โปรดอย่าทำให้ข้าต้องลำบากใจเลย เพราะจักรพรรดิได้รับสั่งไว้ด้วยพระองค์เอง....”

 

“ฮึ่มมม”

 

เขาแค่นเสียงอย่างโกรธเคือง เขาเสียหน้าไปถึงเพียงนี้แล้ว จึงย่อมไม่ต้องการอยู่ต่ออีกแม้เพียงชั่วอึดใจ เขาจากไปอย่างรวดเร็วในหัวใจเต็มไปด้วยความขุ่นแค้น

 

“มีของให้เล่นชีวิตย่อมมีสีสัน” เย่หวูเฉินกล่าวยิ้มๆ กระทั่งหนิงเสวี่ยยังแอบยิ้มตาม “ท่านพี่ เขาน่าสงสารจริงๆ”

 

“อาจจะเป็นเช่นนั้น เขากับข้าไม่ได้มีความแค้นอันใดต่อกัน แต่สถานะที่ข้าใช้อยู่ในเวลานี้มีความบาดหมางกับเขาอย่างใหญ่หลวง ในเมื่อเขาทำร้าย ‘ตัวตน’ ของข้าก่อน เขาจึงนับเป็นศัตรูไปตลอดชีวิต ดังนั้นไม่ต้องเห็นอกเห็นใจเขา แค่ปล่อยให้เขาลงนรกไป พอเขาลงนรกไปแล้วก็ค่อยเหยียบซ้ำอีกที เอาให้จมลงไปถึงก้นเหวจนขึ้นมาไม่ได้อีก”

 

เย่หวูเฉินกล่าวอย่างไม่ใส่ใจ เย่หนิงเสวี่ยไม่เข้าใจสิ่งใดและทำได้เพียงตอบกลับงึมงำ

 

เป็นจัตุรัสขนาดใหญ่ที่เต็มไปด้วยผู้คน ตรงกลางเป็นเวทีประลองขนาดใหญ่ ปกติเวทีประลองนี้จะใช้เพื่อให้เด็กใหม่ได้แสดงฝีมือ หรือใช้จัดการประลองภายในวิทยาลัย และทุกๆปีก็จะใช้สำหรับเป็นสถานที่จัดแข่งวิทยายุทธ

 

หลังจากรอบคัดเลือกเมื่อวาน มีผู้เข้าแข่งขันเหลือเพียง 30 คน และตอนนี้การแข่งก็ใกล้จะจบลงแล้ว แต่ผู้ชมก็ยังคงหนาตา เพราะการประลองยิ่งเพิ่มความน่าตื่นเต้น เนื่องจากรอบท้ายๆย่อมเป็นผู้แข็งแกร่งที่ผ่านเข้ารอบไป

 

มองคร่าวๆมีผู้ชมนั่งอยู่รอบๆสนามประลองอยู่ราว 2,000-3,000 คน มีคนไม่น้อยที่ปกติเอาแต่เก็บตัวอยู่ในที่ของตน แต่นี่เป็นแหล่งรวมตัวของสาวแรกรุ่นและคนหนุ่มผู้ยอดเยี่ยม ดังนั้นพวกเขาจะทนอยู่แต่ในห้องได้อย่างไร?

 

เย่หวูเฉินและหนิงเสวี่ยเข้ามาจากมุมหนึ่ง พวกเขาไม่สามารถหาที่นั่งได้หลังจากมองหาอยู่รอบๆ ดังนั้นพวกเขาจึงทำได้แค่ยืนและมองมาจากตรงนั้น บนเวทีประลองมีสองคนกำลังต่อสู้กันอย่างสูสี กระบี่และขวานปะทะกันเสียงหวีดหวิวอยู่กลางอากาศ พร้อมเสียงเฮตะโกนสอดรับกับจังหวะบนเวที หากแต่สายตาของเย่หวูเฉินมองผ่านเวทีไป เขามองไปรอบๆจนกระทั่งเห็นองค์จักรพรรดิ เขาอายุราวๆ 40 ปี หน้าตามีสง่าราศีไม่ปรากฎรอยยิ้มใดๆ เขาสัมผัสแรงกดดันเบาบางได้จากระยะไกล ที่นั่งถัดจากเขาเป็นชายชราเส้นผมสีเทาท่าทางเย็นชาและกำลังนั่งนิ่งอยู่ พวกเขาเป็นสองในสามยอดฝีมือขอบเขตสวรรค์ เฉพาะยามที่มีสองคนอยู่ด้วย องค์จักรพรรดิถึงจะรู้สึกปลอดภัย

 

ดูเหมือนคนผู้นั้นจะเป็นจักรพรรดิของเมืองเทียนหลง ‘หลงหยิน’

 

ไม่ไกลจากหลงหยิน เขาเห็นเย่หนู่ , เย่เว่ย และหวังเวิ่นชูนั่งอยู่ด้วยกัน รวมไปถึงเย่ฉุ่ยเหยาที่ปกปิดใบหน้าอยู่ครึ่งหนึ่ง แต่สายตาของพวกเขาติดตรึงอยู่ที่การแข่งขันและไม่ได้มองมาที่เขา

 

คิดไม่ถึงว่านางจะมาจริงๆ เย่หวูเฉินมีท่าทางประหลาดใจ

สารบัญ / นำทาง

แสดงความคิดเห็น

 
 

ข้อควรทราบ เนื่องจากผู้ดูแลหลักของเว็บไซต์เป็นคนตาบอด หากพบการแสดงผลที่ผิดเพี้ยนและสร้างความไม่สะดวกต่อการใช้งาน โปรดแจ้งทีมงานได้ในทุกช่องทาง

เราอยากให้สมาชิกทุกท่านอยู่กันอย่างครอบครัวที่อบอุ่น ให้สังคมภายในเว็บ เป็นสังคมที่ดี ดังนั้น สมาชิกทุกท่านโปรดเคารพในสิทธิของตนเองและผู้อื่น

ผลงานที่ถูกเผยแพร่บนเว็บ ให้ถือว่าลิขสิทธิ์เป็นของผู้เผยแพร่เอง ห้ามมิให้บุคคลอื่นนำไปเผยแพร่ ก็อปปี้ หรือนำไปดัดแปลง โดยไม่ได้รับอนุญาตจากเจ้าของผลงานโดยเด็ดขาด หากมีการฝ่าฝืน แล้วถูกดำเนินคดีจากเจ้าของผลงาน ทางเว็บมิขอเกี่ยวข้อง เพราะได้แจ้งเตือนเอาไว้อย่างชัดเจนแล้ว

หากพบบทความที่มีเนื้อหาไปในทางใส่ร้ายผู้อื่น หรือทำให้ผู้อื่นเสียหาย แจ้งเข้ามาได้ตามช่องทาง Email keangun2018@gmail.com ได้ตลอด 24 ชั่วโมง ทางทีมงาน จะทำการตรวจสอบ และหากเป็นจริง จะนำผลงานดังกล่าวออกจากเว็บไซต์ ไม่เกิน 1 วัน

Copyright © 2018-2024 keangun. All Right Reserved.