11 In that house บุกบ้านหลังที่สาม
ผมกำลังหมอบดูความเคลื่อนไหวของศพเดินได้ที่เดินไปมาอยู่ด้านหน้าบ้านหลังที่สาม บ้านหลังนั้นกับพวกมันอยู่ห่างออกไปประมาณสิบเมตร ผมดีใจที่จุดที่ผมนั่งอยู่มองไม่เห็นศพผู้หญิงที่โดนรุมทึ้งคนนั้นเพราะเตาปิ้งกับกระถางต้นไม้บังอยู่ เธอคงยังนอนอยู่ตรงนั้นแน่นอน ไม่ได้ลุกขึ้นมาเดินเหมือนร่างอื่นๆ
สาเหตุที่ผมมาตรวจสอบบ้านหลังนี้ เพราะผมกำลังสงสัยว่าเหยื่ออาจไม่ได้มีแค่คนเดียว ผมคาดไว้ว่าผู้หญิงน่าจะเป็นเหยื่อรายที่สอง ก่อนหน้านั้นน่าจะมีใครบางคนถูกกินไปก่อนแล้วโดยกลุ่มที่อยู่หน้าบ้านและผู้หญิงโชคร้ายคนนั้นก็ถูกกินโดยพวกที่อยู่หลังบ้าน คงจะดีหากมีใครรอดอยู่ในบ้านหลังนั้นอีก
ผมย่องเข้าไปใกล้บ้านหลังนั้นมากขึ้น ถึงแม้ศพเดินได้พวกนี้จะเคลื่อนไหวคล่องแคล่วขึ้น แต่ประสาทรับรู้ก็ยังคงเหมือนอัลเบิร์ต หากผมไม่ยืนขึ้นและไม่ทำเสียงดัง มันก็แทบจะไม่รู้ตัวเลย
บ้านหลังนี้มีสองชั้นและมีพื้นที่โดยรอบกว้างขวาง ทางขึ้นบ้านมีเพียงบันไดไม้ทางด้านหน้าและด้านหลังเท่านั้น ดังนั้น ศพพวกนี้จึงเดินอยู่แค่ภายนอกบ้านเพราะมันใช้บันได้ไม่เป็น หากคนที่เหลือรอดอยู่ไม่เดินลงมาก็น่าจะรอดชีวิตอยู่ในบ้านหลังนี้ได้สบายๆ
ผมเห็นต้นไม้เตี้ยๆ ที่มีกิ่งแข็งแรงหนึ่งต้น มันน่าจะส่งผมขึ้นไปทางหน้าต่างชั้นสองได้ จึงค่อยๆ ย่องและปีนขึ้นไป การปีนไม่ใช่เรื่องยาก แต่สิ่งที่ผมกังวลคือหน้าต่างมันจะเปิดได้หรือเปล่า แต่แล้วความกังวลก็หมดไปเมื่อผมได้ยินเสียงกระซิบกระซาบเบาๆ
“พี่ ได้ยินไหม?” เสียงเด็กผู้ชายคนหนึ่งพูดขึ้นมา
“อื้อ!” เสียงเด็กผู้หญิงตอบรับ “ค่อยๆ คลานลงจากเตียงนะ ช้าๆ” เด็กผู้หญิงคนเดิมพูดต่อ ผมจึงกระซิบบอกพวกเขา
“เฮ้!! เด็กๆ พี่ชื่อเพิร์ทนะ เปิดหน้าต่างให้หน่อย” ผมรออยู่ครู่หนึ่งถึงจะเห็นหัวของเด็กสองคนโผล่มาจากขอบหน้าต่าง มือของพวกเขาเกาะอยู่ที่วงกบ
“คุณเป็นคนดีใช่ไหมฮะ?” เด็กผู้ชายถามผมเบาๆ ผมยิ้มและพยักหน้า เขาพยักหน้ารับและใช้สองมือขยับบานหน้าต่าง
“ช้าๆ นะ อย่าทำเสียงดัง” ผมยิ้ม “หนูอยู่กับใคร?”
“กับอาทิมและแอนนี่ค่ะ” คนที่เป็นพี่สาวตอบคำถามผม “พวกเขาอยู่ห้องอื่น”
“พี่คงต้องขอให้ทุกคนไปจากที่นี่ ขอคุยกับคุณอาหน่อยนะ” ผมบอกพวกเขาและส่งตัวเองขึ้นบนขอบหน้าต่าง จนในที่สุดก็ปีนเข้ามาในห้องได้สำเร็จ
ห้องนอนเล็กๆ ตกแต่งหรูหรามีร่องรอยการรื้อค้นนิดหน่อย ประตูห้องน้ำและประตูอีกบานปิดสนิท
“พี่จะไปหาอาของหนูนะ รอที่นี่ก่อน” เด็กทั้งสองคนพยักหน้าและพากันเดินขึ้นเตียงอย่างเงียบเชียบ
ออกจากห้องนอนเด็กก็เป็นชั้นลอยที่เชื่อมอีกหลายห้องไว้ด้วยระเบียงยาว ห้องนั่งเล่นชั้นหนึ่งมีสภาพปกติ แสดงว่าในวันเกิดเหตุแทบจะไม่มีใครใช้ห้องนี้เลย ทุกคนคงออกไปอยู่ข้างนอกกันหมด
ผมเปิดประตูห้องนอนสองห้องที่เดินผ่านมา แต่ไม่พบความเคลื่อนไหวใดๆ พอเดินเข้าใกล้ห้องที่สามจึงได้ยินเสียงดังอยู่ในห้อง
“อืออออ” เสียงร้องอยู่ในลำคอของผู้ชายดังลอดออกมา ผมจึงผลักประตูเข้าไปเบาๆ
ผู้หญิงคนหนึ่งนั่งคล่อมร่างผู้ชายที่ส่งเสียงอืออาอยู่บนเตียงที่ยับยู่ยี่และค่อนข้างสกปรก ทั้งสองอยู่ในสภาพเปลือยเปล่า เธอกำลังบดเอวไปมาบนตัวชายที่นอนหงายอยู่ ภาพนี้จะไม่ดูแปลกตาเลย หากคนทั้งสองมีสภาพร่างกายที่ปกติ
ทั้งสองมีร่างกายที่ซีดขาวและมีร่องรอยฟกช้ำหลายจุด ฝ่ายหญิงยกเอวขึ้นลงเหมือนกับกำลังประกอบกิจกรรมทางเพศ เสียงร่างกายกระทบกันดังเป็นจังหวะ แต่พอมองดูดีดีจะเห็นว่าเธอไม่ได้นั่งลงบนอวัยวะที่แข็งเกร็งของฝ่ายชาย มันแค่ถูไถกับก้นของฝ่ายหญิงเท่านั้น แต่กระนั้นเธอก็ยังคงบดเอวใส่เขาอย่างบ้าคลั่ง
สิ่งที่ผมเห็น ผมมั่นใจว่าทั้งสองร่างนี้ไม่ใช่คนอีกต่อไปแล้ว แต่สิ่งที่รบกวนจิตใจก็คือ สองศพนี้มีความต้องการอย่างอื่นนอกจากกินอาหารด้วยเหรอ
ปกติแล้วผมก็ไม่ได้รังเกียจที่จะดูชายหญิงร่วมรักกันหรอกนะ แต่ภาพในห้องนั้นมันฮาร์ดคอร์เกินไป ผมจึงค่อยๆ ลากตัวเองออกมาและปิดประตูตามมาเบาๆ
“หนูอยู่กันสองคนแบบนี้มากี่วันแล้ว” ผมถามเด็กชายหญิงเมื่อเดินกลับมาถึงห้อง
“ตั้งแต่วันจันทร์ค่ะ” เด็กหญิงเป็นฝ่ายตอบ “คืนก่อนหน้านั้นมีหมอกลง แม่เลยสั่งพี่แอนนี่ให้พาเราเข้าบ้านและเล่นเกมกันอยู่ที่ชั้นหนึ่ง ซักพักอาทิมก็ตามเข้ามาเล่นด้วย หลังจากนั้นอาทิมก็พาเราก็เข้านอน”
“เช้าวันจันทร์เราตื่นมาไม่เจอใครเลยฮะ เหลือเพียงอาทิมกับพี่แอน” เด็กชายเป็นฝ่ายพูดบ้าง “มีเสียงร้องและเสียงน่ากลัวๆ อยู่ข้างล่าง เขาเลยบอกเราให้อยู่แต่ในห้องนี้ นานๆ จะเข้ามาดูเราซักครั้งน่ะฮะ”
“แต่เมื่อวานเขาก็ไม่ได้เข้ามาดูพวกเราเลยค่ะ”
แม้จะดูหวาดกลัวแต่เด็กทั้งสองก็มีสติมาก
อาทิมกับพี่แอนนี่น่าจะเป็นชายหญิงสองคนในห้องนั้น เขาสองคนคงจะรอดจากการเป็นศพในคืนวันอาทิตย์เพราะแอบมาจู๋จี๋กันในบ้าน พวกเขามีชีวิตจนถึงวันก่อน แต่หลังจากนั้นเกิดอะไรขึ้นละ ทำไมพวกเขาถึงกลายเป็นศพ? อีกทั้งมีเหตุผลอะไรถึงไม่ออกจากห้องนั้นมาจับเด็กสองคนนี้กิน? และเพราะอะไรถึงได้มีความต้องการทางเพศ?
ผมเริ่มกังวล มีแต่คำถามที่ไม่สามารถหาคำตอบได้ แต่ช่างมันก่อน ตอนนี้ผมจะต้องพาเด็กๆ ออกจากที่นี่ ผมคลานไปที่หน้าต่างเพื่อดูลาดเลา
ใต้ต้นไม้ไม่มีเงาของสิ่งมีชีวิตใดๆ ผมจึงปีนออกไปอีกครั้ง ผมมองไปรอบๆ ตัว ลำพังตัวผมเองจะไม่มีปัญหากับการปีนขึ้นลงต้นไม้เท่าไร แต่หากพาเด็กสองคนนั้นออกมาด้วย ผมจะต้องรอบคอบมากขึ้น
ผมปีนกลับเข้าไปในห้องอีกครั้ง
“พี่จะพาเราสองคนไปที่โรงแรม ที่นั่นจะปลอดภัยกว่า” ผมพูดกับเด็กทั้งสองคน
“แล้วอาทิมล่ะฮะ” เด็กชายถามขึ้นมา “พี่แอนนี่ด้วย”
“พี่ไม่เห็นพวกเขาในบ้านนี้เลย ไม่แน่ใจว่าไปอยู่ที่ไหน” ผมโกหกพวกเขา มันจะดีกว่าหากพวกเขาไม่รู้ว่าสองคนนั้นไม่มีชีวิตแล้ว ผมหันมาหาเด็กหญิง “พี่จะพาเจนลงไปก่อน พอลงไปข้างล่างแล้วเจนจะต้องหมอบอยู่ในพุ่มไม้เท่านั้น ห้ามขยับไปไหน รับปากพี่ได้ไหม?”
“ค่ะ” เด็กหญิงพยักหน้า
“จิมก็อยู่เงียบๆ รอพี่บนห้องนี้นะ” ผมหันไปพูดกับเด็กชายก่อนที่จะปีนออกนอกหน้าต่าง
การลงยากกว่าการขึ้นเสมอ ผมคิดแบบนี้ทุกครั้งตั้งแต่มาถึงเกาะนี้และการที่ต้องคอยดูแลเด็กผู้หญิงในขณะปีนต้นไม้ เป็นเรื่องที่เครียดมาก แต่โชคดีที่ศพเดินได้พวกนั้นประสาทไม่ไวพอจะสังเกตการสั่นไหวของกิ่งไม้ เราจึงสามารถใช้เวลาอยู่บนนี้เพื่อสอดส่องความเคลื่อนไหวได้นานเท่านาน
ในที่สุดเจนก็ลงไปหมอบอยู่ในพุ่มไม้ได้สำเร็จ ผมขึ้นมารับจิมและพาเขาลงมานั่งอยู่บนกิ่งไม้แล้ว ตอนที่ผมได้ยินเสียงหวีดเบาๆ ของเจน
ศพเดินได้ร่างหนึ่งเดินแบบไร้จุดหมายมาจนใกล้จุดที่เราอยู่ ผมมองเจนและยกนิ้วแตะปากเป็นสัญญาณให้เงียบ ก่อนจะถอนถอนหายใจเบาๆ หากไม่ได้ยินเสียงของเจน ผมคงปีนลงไปแล้ว
เจ้าศพเดินได้เดินไปมา ผมคิดว่ามันยังไม่เห็นเป้าหมาย แต่ผมไม่อยากปล่อยเวลาให้ผ่านไป หากปล่อยไว้นานๆ มันคงมาถึงโคนต้นไม้ในที่สุด ดังนั้น วิธีที่จะหนีลงไปจากต้นไม้คือกะจังหวะตอนที่มันหันหลัง
“พอมันหันหลัง พี่จะกระโดดโลงไปก่อน พอพี่ให้สัญญาณจิมก็กระโดดนะ” ผมหันไปบอกเด็กชาย เขาทำหน้ากังวลแต่ก็พยักหน้ารับ ผมจึงพาจิมไต่ตามกิ่งไปจนถึงลำต้นและรอเวลา
เมื่อเจ้าศพนั้นหมุนตัว ผมก็หย่อนตัวเองลงไป หลังจากจัดท่าทางเสร็จผมก็เงยหน้ามองเขาและยกมือขึ้นเพื่อรับและเร่งให้เขากระโดด แต่จิมค่อยๆ หมุนตัวและโรยตังลงมาช้าๆ พอผมจับเอวเขาได้ เขาก็ปล่อยมือจากกิ่งไม้
เราหมอบอยู่ครู่หนึ่ง เมื่อผมมั่นใจว่าไม่มีร่างไหนสนใจเรา ผมก็ค่อยๆ พาเด็กทั้งสองออกจากพุ่มไม้ ซึ่งจังหวะนี้เองที่ผมพลาด กิ่งของพุ่มไม้เกี่ยวกับชายเสื้อผม เมื่อผมเดินห่างออกมามันจึงดีดกลับและทำให้เกิดเสียง แม้จะไม่ดังมากแต่ก็เรียกความสนใจจากเจ้าศพที่อยูใกล้สุดได้ มันจึงค่อยๆ หันมาและเริ่มออกเดิน
“เจน จิม วิ่งไปที่เนินนั่น เร็ว!!” ผมชี้เนินหินชันที่ห่างไปไม่ไกลให้เด็กๆ ดูและผลักหลังพวกเขา เนินนั้นน่าจะชันพอที่จะกันไม่ให้เจ้าศพนี่ปีนขึ้นไปได้
ผมวิ่งและประคองเด็กๆ ที่เริ่มขวัญเสียไปเรื่อยๆ เจ้าศพนั่นกำลังตามมา ถึงแม้จะไม่ไวมาก แต่ก็ไวพอสำหรับการวิ่งตามเด็กๆ ที่เริ่มตื่นกลัว
ผมมาถึงเนินหินพร้อมจิม จึงยกร่างเขาขึ้นไป จิมช่วยเหลือตัวเองได้ดีพอสมควรเขาจึงตะเกียกตะกายขึ้นไปได้โดยใช้เวลาไม่นาน พอมาถึงเจน เธอขวัญเสียจนแขนขาอ่อนแรง ถึงผมจะยกเธอขึ้นไปได้แต่เธอก็ไม่มีแรงพอจะดึงตัวเองขึ้น เจ้าศพเดินได้กำลังใกล้เข้ามา
จู่ๆ เจนก็ถูกดึงออกจากมือผมและมือผมก็ถูกรวบแทบจะทันที
“กระโดดขึ้นมา เร็ว!!” เสียงตะโดนสั่งของชายที่อยู่ด้านบนดังขึ้น
ผมถูกมือข้างนั้นดึงขึ้นอย่างง่ายดาย ผมแทบไม่ต้องเดาเลย แรงดึงขนาดนี้คงหนีไม่พ้นฮวนแน่ๆ
+-------------------------------------------+
เพิ่มคำติชมด้านล่างได้เลย ขอบคุณล่วงหน้าครับ
สารบัญ / นำทาง
- 👁️ ยอดวิว 384
แสดงความคิดเห็น