วิถีธาตุออนไลน์ : บทที่ 11 หมู่ตึกอรุน
บทที่ 11 หมู่ตึกอรุน
หน้าประตูเมืองเทพพยัคฆ์ในช่วงบ่ายแก่ๆ คึกคักเต็มไปด้วยผู้เล่นมากมาย ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นผู้เล่นที่หวังจะเข้าไปพักภายในเมือง สีหน้าบางคนเต็มไปด้วยความเหนื่อยล้าจากการทำภารกิจ บางคนก็ยังสนุกสนานหยอกล้อเพื่อนฝูงได้อย่างสบาย เสียงพูดคุยเอ็ดตะโรดังระคนไปกับเสียงการเคลื่อนที่ของพาหนะต่างๆ ทำให้บริเวณถนนหน้าเมืองมีชีวิตชีวาไม่ต่างจากโลกภายนอก
ถนนปูด้วยอิฐที่มีลวดลายสวยงาม ซึ่งคล้ายกับถนนในประเทศอิตาลีนั้นมีความกว้างที่พอจะให้รถม้าวิ่งพร้อมกันสี่คันได้อย่างสบาย ตรงริมทางถูกยกระดับขึ้นให้สูงกว่าพื้นถนนปรกติเล็กน้อย เพื่อใช้สำหรับให้คนที่ไม่ได้โดยสารพาหนะได้เดินโดยปลอดภัย
พาหนะที่กำลังต่อคิวกันวิ่งเข้าเมือง โดยส่วนใหญ่จะเป็นสัตว์ชนิดต่างๆ เช่นกวางขาว เสือ นกกระจอกเทด ซึ่งมีผู้เป็นเจ้าของนั่งอยู่บนหลัง หรือหากมีเงินขึ้นมาหน่อย ก็จะโดยสารด้วยรถม้า ซึ่งคันไหนจะมีขนาดใหญ่ หรือดูดีมากน้อยเพียงใด ก็ขึ้นอยู่กับถาณะทางการเงินของผู้เล่นแต่ละคน
กรกชและเฟนริล เดินคู่กันไปตามบาทวิถี สองคู่หูต่างก็ค่อยๆ ซึมซับเอาบรรยากาศราวกับหลุดเข้าไปอยู่ในยุโรปยุคกลางนี้เอาไว้ สองท้าวก้าวย่างไปข้างหน้าอย่างไม่รีบร้อน สินค้าหลายอย่างที่วางขายอยู่ตามริงทาง เรียกความสนใจจากเขาได้เป็นอย่างดี โดยส่วนใหญ่จะเป็นของกินที่เขาไม่รู้จัก แต่ก็ไม่มีโอกาสได้แวะ เพราะเงินติดตัวไม่มีสักบาท จึงทำได้เพียงมองดูแล้วเดินผ่านเท่านั้น
กำแพงเมืองมีความสูงจากพื้นดินราวห้าเมตร บริเวณข้างประตูทั้งสองด้านมีรูปปั้นพยัคฆอันน่าเกรงขามขนาดใหญ่ถูกประดิษฐานเอาไว้ โดยพยัคฆทางฝั่งขวามีสีขาวบริสุทธิ์ ส่วนทางฝั่งซ้ายมีสีดำทะมึน ราวกับเป็นตัวแทนของทิวาราตรีก็มิปาน
สองฟากข้างถนนมีทะหารดูแลเมืองยืนอยู่ฝั่งละสองนาย ซึ่งคงจะมีหน้าที่แค่ยืนเฝ้าประตูเพียงอย่างเดียว เพราะถึงจะมีผู้เล่นผ่านไปผ่านมา แต่ก็ไม่ได้ขัดขวางหรือเรียกตรวจอะไร
สองคู่หูเดินผ่านประตูเข้าสู่เขตเมือง ภายในเต็มไปด้วยอาคารบ้านเรือนขนาดต่างกันมากมาย มีทั้งร้านรวงขายสินค้า โรงแรม กระทั่งสำนักงานของกิลด์ พรรค สำนัก สมาคมต่างๆ กรกชมองหาอาคารของระบบอยู่ไม่นาน ก็สังเกตเห็นป้ายขนาดใหญ่อยู่ห่างจากจุดที่เขาอยู่ประมาณยี่สิบเมตร ทว่าก่อนที่เขาจะเดินไปยังเป้าหมายที่ตั้งใจ ก็มีเสียงเรียกอันคุ้นเคยดังขึ้นเสียก่อน
“พี่กช ทางนี้ๆ”
ชายหนุ่มเหลียวหาไปรอบๆ แต่ก่อนเขาจะหาเจอ ก็ถูกเฟนริลสะกิดแขนแล้วชี้ขึ้นไปบนเหลาสุราตรงชั้นสอง กรกชหันมองตาม ก็พบเมย์กำลังโบกมือไหวๆ เป็นเชิงเรียกอยู่ ข้างกายของเธอยังมีทัศน์ที่กำลังส่งยิ้มให้อีกคน ส่วนชัยและพลอย จากจุดของเขาไม่สามารถมองเห็นได้ คาดว่าน่าจะนั่งอยู่ตรงไหนสักที่บนเหลาสุรา
กรกชออกเดินนำเฟนริลเข้าไปภายในเหลา เหลาสุราแห่งนี้มีขนาดใหญ่พอสมควร ตัวเหลาเป็นอาคารไม้สองชั้น ทั้งภายนอกและภายในถูกตกแต่งเป็นสไตล์จีนโบราณ โต๊ะบริเวณชั้นแรกถูกบรรดาแขกเหรื่อจับจองจนเต็ม ส่วนบนชั้นสองยังคงเหลือที่ว่างอยู่บ้าง
กรกชเดินตรงไปหาโต๊ะที่มีเพื่อนๆ นั่งรวมกันอยู่อย่างรวดเร็ว คลั้นพอไปถึง เขาก็เลือกนั่งลงยังก้าวอี้ตัวหนึ่งในทันที เมื่อเห็นกรกชนั่งเรียบร้อย เฟนริลจึงนั่งลงก้าวอี้ข้างกัน เป็นเหตุให้บรรดาเพื่อนที่นั่งอยู่ก่อนมีสีหน้าสงสัย
กรกชเห็นอากัปกิริยาของแต่ละคนจึงรีบแนะนำเสียงเบาพอให้คนทั้งโต๊ะได้ยิน “ทุกคน นี่เฟนริล คู่หูของฉันเอง จะว่าไงดี...คือแบบว่า เขาเป็นสัตว์อสูรในเกมนี้ พอดีบังเอิญเลยได้มา”
ทุกคนตกตะลึงไปตามกัน จนกระทั่งทัศน์เผลอตะโกนขึ้น
“เฮ้ย พี่กชมี...อุบ!”
ชัยที่อยู่ใกล้ที่สุดรีบตะครุบปากของเด็กหนุ่มเอาไว้ เพราะกลัวโต๊ะอื่นจะได้ยิน เมื่อเห็นว่าทัศน์ลดอาการตื่นเต้นลงได้บ้างแล้ว ชัยจึงยอมปล่อย
“พี่ไปได้มายังไงเนี่ย ปรกติพวกสัตว์อสูรที่เปลี่ยนร่างเป็นมนุษย์ได้ ใช่ว่าจะหาได้ง่ายๆ นะ อีกอย่างถึงจะหาเจอแต่พวกนี้หยิ่งจะตาย คงยากที่จะลดตัวมาเป็นคู่หูของผู้เล่น?” ทัศน์ถาม ขณะที่ทุกคนก็คอยฟังอย่างตั้งใจ
หลังจากกรกชเล่าเรื่องทั้งหมดให้ฟัง แต่ละคนก็มีทั้งอาการตื่นเต้นทั้งดีใจด้วย
“พี่กชโชคดีอีกแล้วอะ ทำไมพลอยไม่โชคดีแบบนี้บ้างนะ” หญิงสาวเอ่ยตัดท้อโชคชะตาตัวเองอย่างไม่จริงจังมากนัก
กรกชรับน้ำชาที่เมย์รินให้มาจิบไปอึกหนึ่ง “ก็ไม่แน่นะ จะโชคดีหรือโชคร้ายก็ไม่รู้ เพราะถ้าหากพวกชุดดำมันรู้ว่าพี่เอาของมันมา คงถูกไล่ฆ่าแน่ๆ”
“ถ้าไม่จำเป็น ก็พยายามอย่าใช้ก็แล้วกัน ปล่อยให้เรื่องนี้ซาไปก่อนสักครึ่งปี นายค่อยเอามาใช้ก็ได้” ชัยเสนอความคิดเห็นพร้อมกับใช้ตะเกียบคีบเนื้อเข้าปาก
“ก็คงต้องทำแบบนั้น แล้วตั้งแต่แยกกัน พวกนายเจออะไรกันบ้าง?” กรกชเอ่ยถาม เพราะเขาเล่าเรื่องของตัวเองไปหมดแล้ว เลยอยากจะรู้เรื่องของคนอื่นบ้าง
“ก็ไม่มีอะไรมากหรอกค่ะ เพราะพวกเราหนีไปในทิศทางใกล้เคียงกัน พอหลบออกจากที่อันตรายได้ ก็รีบใช้ระบบติดต่อกันทันทีเลย พี่กชยังไม่ได้ไปรับอุปกรณ์ของระบบ เราเลยติดต่อพี่ไม่ได้ ก็เลยตัดสินใจมารอกันที่เมืองนี้ นี่พวกเราก็มาถึงก่อนพี่ได้หลายชั่วโมงแล้ว” เมย์เอ่ยตอบยิ้มๆ
“อาหารของมนุษย์ก็อร่อยใช่ย่อยนะเนี่ย” เมื่อเฟนริลลองคีบเนื้อชิ้นหนึ่งเข้าปาก มันก็พูดขึ้นอย่างอารมณ์ดี
“พี่ลองนี่ก่อน แล้วจะติดใจ เชื่อผม” ทัศน์เลื่อนแก้วที่ใส่สุราขึ้นชื่อของเหลานี้ไปให้ เฟนริลยกขึ้นมาดมดู ก็พบว่ามีกลิ่นหอมเล็กน้อย ดังนั้นจึงยกขึ้นดื่มอย่างว่าง่าย
“โอ้! สุดยอดมาก เหมือนกลืนกินน้ำแร่ศักดิ์สิทธิ์เลย” ปรากฏรอยยิ้มพอใจขึ้นบนหน้าของเฟนริล มันยกดื่มอย่างต่อเนื่อง พอหมดก็ขอให้ทัศน์เติมให้ใหม่เรื่อยๆ
“ฉันว่านายควรพอได้แล้วล่ะ ไม่งั้นเมาแน่นอน” กรกชพยายามเอ่ยห้าม
“เฮ้ย! อย่าดูถูกกันสิวะ ไอ้คู่หู” เฟนริลโยกกายไปมา พลางยกแขนขึ้นโอบไหล่กรกชอย่างสนิทสนม “แค่นี้ ทำอะไรเฟนริล บิดาแห่งหมาป่าไม่ได้หรอกเว้ย”
ประโยคที่เฟนริลพูดไม่ใช่เบาๆ จึงทำให้โต๊ะอื่นๆ หันมองอย่างสนใจ กรกชมองไปทางชัยเล็กน้อย ก่อนจะพูดว่า “ไอ้ริลเอาแล้ว เมาทีไรไม่อยากเป็นผู้เป็นคน อยู่ดีๆ ก็อยากเป็นสัตว์อสูรซะงั้น เฮ่อ”
“นั่นสิ” ชัยเอ่ยรับอย่างว่องไว “ทั้งที่เพิ่งโดนเฟนริลมันฆ่าตายมาแท้ๆ ก็ยังอยากจะไปเป็นมันอีก ป๊ะพวกเรา มันเมามากแล้ว กลับโรงแรมกันดีกว่า”
ทุกคนค่อยๆ ลุกขึ้นเป็นปรกติเพื่อไม่ให้โต๊ะอื่นสงสัย กรกชและทัศน์ช่วยกันพยุงเฟนริลลุกขึ้นยืน ก่อนจะพากันเดินกลับโรงแรมที่ชัยได้เปิดห้องเอาไว้ก่อนหน้าแล้ว
ย้อนกลับไปในโบราณสถานกลางป่า หัตถ์ยมทูตและฮิเมโกะได้ปรากฏตัวกลับออกมาจากวงเวทย์ในที่สุด ร่างทั้งสองรีบเร่งหันมองไปทางซากซึ่งเคยมีหมาป่าตัวใหญ่ถูกทับอยู่ ทว่าเมื่อพบเพียงความว่างเปล่า หัตถ์ยมทูตก็บันดาลโทสะฟาดหอกสีเงินยวงเข้าใส่ผนังข้างตัวจนแตกละเอียด
“มันหายไปได้ยังไง!?” ชายหนุ่มสบถเสียงแข็ง พลางไล่ทุกซากโบราณสถานรอบๆ พังเป็นแถบ ด้วยหวังว่าอาจเจอซากของเฟนริลนอนจมกองเลือดอยู่จุดไหนสักจุดแถวนี้
ฝ่ายฮิเมโกะถอนหายใจอย่างระอากับพฤติกรรมของเพื่อนร่วมงาน เธอปรายตาไปยังหอกประจำตัวของเทพโอดินที่ชายหนุ่มอารมณ์ร้ายถืออยู่ด้วยความรู้สึกหลากหลาย เพราะกว่าจะได้อาวุธศักดิ์สิทธิ์ชิ้นนี้มา พวกเธอต้องสู้กับเฟนริลจนหมดทั้งพลังกายพลังใจไปไม่น้อย ครั้นพอได้หอกมา กลับพบว่าที่ตัวหอกดันไม่มีแหล่งพลังงานอยู่แม้แต่นิดเดียว มิหนำซ้ำหลังจากรีบออกมา ด้วยคิดว่าแหล่งพลังงานคงอยู่ที่เฟนริล ทว่ากลับไม่พบร่างของมันแม้แต่เงา นี่จะให้เธอยอมรับได้อย่างไร
“นั่นนายจะไปไหน?” ฮิเมโกะเอ่ย เมื่อเห็นหัตถ์ยมทูตกำลังจะเดินออกจากจุดเดิม
“ฉันก็จะไปค้นหาร่างมันยังไงล่ะ มันจะต้องอยู่แถวนี้แน่ เพราะหากวัดจากพลังของมันก่อนที่ฉันจะเข้าไป มันมีไม่พอที่จะหนีไปไหนไกลๆ หรอก” ชายหนุ่มตอบโดยไม่หันกลับมามอง
“แล้วถ้านายไม่เจอล่ะ?” หญิงสาวถามเสียงเย็นไม่บ่งบอกอารมณ์ใดๆ
“ฉันก็จะทำลายซากอิฐบ้าๆ นี่จนกว่าจะเจอมันยังไงล่ะ” หัตถ์ยมทูตเริ่มมีเสียงขุ่นด้วยอารมณ์ฉุนเฉียว “มัวถามไร้สาระอยู่นั่นแหละ เธอรีบมาช่วยฉันถล่มที่นี่จะดีกว่ามั้ย ถ้าเจอมัน งานก็เสร็จ แล้วเราจะได้ไปจากที่นี่เสียที”
“หึ!” หญิงสาวพ่นลมจากจมูก “ต่อให้นายหาจนตายก็ไม่เจอหรอก”
“เธอหมายความว่ายังไง?” หัตถ์ยมทูตหันกลับมาถามตาวาว “รู้อะไรก็รีบบอกมา ก่อนที่ฉันจะหงุดหงิดไปมากกว่านี้”
ฮิเมโกะตีสีหน้าเบื่อหน่ายอย่างไม่ปิดบัง “ขนาดคนบ้าๆ อย่างนายยังรู้จักวัดดูพลังของเฟนริลก่อนจะเข้าไปในวงเวทย์ แล้วทำไมฉันจะไม่ทำ ระดับพลังเหลือเพียงแค่นั้น มันไม่สามารถที่จะหลุดออกมาจากใต้ซากโบราณได้ด้วยซ้ำ แต่ทำไมมันถึงหายไป?”
หญิงสาวเว้นช่วงดูท่าทีของเพื่อนร่วมงานของเธอ ครั้นเห็นอีกฝ่ายยังคิดไม่ออกเธอจึงบอกข้อสันนิษฐานของเธอออกไป “นั่นก็เพราะ มีคนมาฆ่ามันก่อนที่เราจะออกมา หรือไม่ก็ช่วยมันไปแล้วยังไงล่ะ”
สิ้นคำกล่าวของฮิเมโกะ ก็บังเกิดเสียงตูมดังสนัน หญิงสาวเคลื่อนร่างหลบเสดหินดินทรายออกไปอยู่นอกฝุ่นควันอย่างว่องไว ขณะที่หัตถ์ยมทูตกระชากหอกในมือออกจากซากอิฐด้วยความโมโห
“เธอหมายความว่ามีพวกบ้าไม่รู้จักฟ้าสูงแผ่นดินต่ำ มาแย่งเอาแหล่งพลังงานของหอกไปแล้วอย่างงั้นเหรอ!?”
“ก็น่าจะเป็นแบบนั้น” ฮิเมโกะตอบ ก่อนที่เพื่อนร่วมงานของเธอจะทันระบายอารมณ์ใส่โบราณสถานอีกรอบ หญิงสาวก็รีบตะคอกเสียงดัง
“ฉันว่านายหยุดบ้าก่อนดีกว่านะ ตอนนี้สิ่งที่ควรทำก็คือรีบส่งข่าวบอกให้สมาชิกหมู่ตึกออกสืบข่าวเรื่องนี้ เพราะอีกไม่นาน อาจจะมีข่าวคราวอะไรก็ได้ ด้วยอำนาจของแหล่งพลังงาน...มันเพียงพอที่จะเปลี่ยนผู้เล่นธรรมดาๆ คนหนึ่งให้พอมีฝีมือขึ้นมาได้ ถ้าฉันคาดไม่ผิด คนที่ได้ไปอาจจะเป็นพวกมือใหม่ ดังนั้นหากมีใครสักคนเริ่มมีฝีมือขึ้นมาเพราะธาตุสายฟ้า แสดงว่าคนคนนั้นแหละ คือผู้ต้องสงสัย”
“เธอแน่ใจได้ยังไง ว่าเธอจะเดาถูก?” หัตถ์ยมทูตเดินทะลุฝุ่นควันออกมา ตามร่างกายปราศจากเสดทุลี “คนที่เอาแหล่งพลังงานไปมันอาจจะเป็นยอดฝีมือของกลุ่มอื่นๆ ก็ได้”
“เป็นไปไม่ได้แน่” หญิงสาวยิ้มเยาะให้กับความคิดของชายหนุ่ม “ที่แดนกำเนิดยุทธมีแต่พวกเราเท่านั้นที่เป็นยอดฝีมือ ถ้ามีกลุ่มอื่นจากแดนภาคกลางเข้ามา สายของพวกเราที่แฝงตัวอยู่ที่เมืองท่าและเมืองวิหกสวรรค์จะต้องแจ้งข่าวมาแล้ว”
หัตถ์ยมทูตเก็บหอกสีเงินเข้าไปในกระเป๋ามิติ พร้อมกับชักหน้าถาม “แล้วเธอจะเอายังไง?”
หญิงสาวเริ่มออกเดินช้าๆ โดยที่ไม่สนว่าชายหนุ่มจะตามมาหรือไม่ “เราจะรออยู่ที่เมืองในละแวกนี้ก่อน รอฟังข่าวจากสมาชิกที่อยู่ในแต่ละเมือง เมื่อเราได้เบาะแสเมื่อไหร่ ค่อยเคลื่อนไหว ระหว่างนี้นายก็อย่าไปสร้างเรื่องอะไรเข้าล่ะ เพราะท่าเกิดเรื่องจนกลุ่มอำนาจอื่นๆ เริ่มสนใจแล้วทำให้งานยากขึ้น ท่านประมุขเกิดไม่พอใจขึ้นมาละก็ นายได้ถูกปลดออกจากตำแหน่งองครักษ์มืดแน่”
“ฉันรู้ว่าอะไรควรทำ อะไรไม่ควรทำ ไม่ต้องมาขู่ก็ได้น่า!” หัตถ์ยมทูตกระชากเสียง
“จำคำพูดของตัวเองไว้ให้ดีก็แล้วกัน เพราะหากพลาดมา นายก็รู้ว่าบทลงโทษของหมู่ตึกอรุน...ไม่มีคำว่าละเว้น”
ฮิเมโกะพูดปิดท้าย แล้วเคลื่อนกายหายไปในป่าลึก ทิ้งให้หัตถ์ยมทูตหายใจฟึดฟัดอยู่คนเดียวอย่างโกรธเคือง
“เหอะ! เมื่อไหร่ถ้าเธอหลุดออกจากตำแหน่งองครักษ์แสง วันนั้นฉันจะหัวเราะให้เหงือกแห้งเลย...ฮิเมโกะ”
สารบัญ / นำทาง
- 👁️ ยอดวิว 780
แสดงความคิดเห็น