วิถีธาตุออนไลน์ : บทที่ 10 เข้าเมือง
บทที่ 10 เข้าเมือง
“อ้าวเฮ้ย!” กรกชอุทานเสียงดัง “ถูกลดพลังแบบนี้ แกก็กระจอกเหมือนฉันเลยน่ะสิ? อุตส่าห์นึกว่าจะได้องครักษ์เทพๆ มาคุ้มกันสักหน่อย ดันออกมาแบบนี้ซะได้” ชายหนุ่มบ่นเซ็งๆ
“เจ้าอย่าโวยวายให้มากนักเลย” เฟนริลเอ่ยเสียงขุ่น “อีกไม่นานเดี๋ยวค่าก็กลับมามีระดับพลังเท่าเดิมเอง ตอนนี้สิ่งที่ควรทำคือรีบไปจากตรงนี้ให้เร็วที่สุด เพราะถ้ามันได้หอกของเทพโอดินแล้วพบว่าที่หอกไม่มีแหล่งพลังงานอย่างเช่นผลึกพลังธาตุศักดิ์สิทธิ์ มันจะต้องกลับออกมาเพื่อสังหารข้าแน่”
พอเฟนริลพูดจบ มันก็เกร็งกำลังขึ้นทั่วร่างเพื่อดันร่างของมันออกจากซากโบราณสถานที่ทับตัวมันอยู่ ยังดีที่ผลจากพันธสัญญาช่วยรักษาอาการบาดเจ็บของมันด้วย ดังนั้นการที่จะหลุดออกจากซากอิฐซากหินในตอนนี้จึงทำได้ไม่ยาก
เมื่อเฟนริลหลุดออกมาจากซากปรักได้สำเร็จ มันก็สะบัดตัวไล่ความเมื่อยขบที่เกิดขึ้นจากการถูกทับมาเป็นเวลานาน ทำให้กรกชกระโดดถอยออกห่างแทบไม่ทัน
“แกจะมาสะบัดตัวใกล้ๆ ฉันทำไมเนี่ย ทำไมไม่ไปสะบัดให้ไกลกว่านี้ เล่นเอาเกือบหลบไม่ทัน ไม่รู้ว่าในตัวแกจะมีพวกเห็บอยู่หรือเปล่าก็ไม่รู้” กรกชโวยวายอย่างอดไม่ได้ ทำให้เฟนริลรู้สึกฉุนขึ้นมานิดๆ
“เจ้าจะบ้าเหรอ ข้าเป็นอสูรศักดิ์สิทธิ์เชียวนะ ไม่ใช่สุนักธรรมดาที่จะได้มีสัตว์พวกนั้นอยู่บนตัว ไร้สาระอยู่ได้ ข้าว่าเรารีบไปจากที่นี่กันได้แล้ว ก่อนที่จะไม่มีโอกาสได้ไป” มันพูดด้วยความหงุดหงิด แล้วเดินไปโดยไม่คิดจะรอผู้ที่ขึ้นชื่อว่าเป็น ‘คู่หู’ เลยสักนิด
ด้วยขนาดอันใหญ่โตของมัน ทำให้การก้าวท้าวแต่ละครั้งไปได้ไกลกว่ามนุษย์มาก ผ่านไปไม่ถึงนาทีก็ทิ้งห่างกรกชหายเข้าไปในราวป่าจนเห็นเพียงหลังไวๆ ซะแล้ว
“รอกันบ้างสิวะ!” กรกชตะโกนไล่หลังพลางออกวิ่ง กระทั่งตามมาทัน เขาจึงเอ่ยถาม “แล้วนี่แกจะไปไหน?”
“ข้ายังไม่รู้ แต่ตอนนี้เราต้องไปให้ไกลจากที่นี่ก่อน” เฟนริลตอบ ขณะเดินตะลุยผ่านบรรดากิ่งไม้เข้าไป เป็นเหตุให้กิ่งไม้ที่ขวางทางหักกันระนาว
กรกชมองภาพนั้นอย่างครุ่นคิด “ฉันว่าถ้านายเดินแบบนี้ พวกมันต้องแกะรอยตามพวกเรามาแน่ๆ นายพอจะมีทางแก้ไขหรือเปล่า?” ชายหนุ่มถาม เพราะจากที่เขามองดู ร่องรอยของเฟนริลมันเด่นจนเกินไป ทั้งรอยท้าวไหนจะรอยกิ่งไม้หักอีก
“นั่นสินะ” เฟนริลเอ่ยเป็นเชิงเห็นด้วย “ถ้าแบบนั้นเอาอย่างงี้แล้วกัน” หลังเสียงพูด ร่างของมันก็เปร่งแสงขึ้นจนกรกชตาพร่ามองอะไรแทบไม่เห็นไปชั่วระยะหนึ่ง พอแสงหายไป กรกชจึงค่อยๆ หยีตาขึ้นมองอย่างช้าๆ
ภาพที่กรกชเห็นก็คือ ในจุดที่เฟนริลเคยยืนอยู่ บัดนี้กลับมีชายหนุ่มคนหนึ่งปรากฏขึ้นยืนแทนที่ ร่างนั้นดูสูงใหญ่เต็มไปด้วยมัดกล้าม ชุดหนังสีดำตัดกับผิวขาวราวกระดาษรับกับดวงตาสีฟ้าและเส้นผมสีทองได้เป็นอย่างดี
“นายคือเฟนริลเหรอ?” กรกชเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงไม่ค่อยแน่ใจ
“ใช่ข้าเอง เป็นยังไง ข้าในร่างมนุษย์พอดูได้หรือเปล่า?” เฟนริลถามกลับขณะเริ่มออกเดินอีกครั้ง
กรกชเดินขึ้นไปตีคู่พลางเอ่ยว่า “สุดยอดเลยนะนายเนี่ย แปลงกายเป็นมนุษย์ก็ได้ด้วย ฉันกำลังหนักใจอยู่เชียว ว่าถ้าเกิดจะพานายเข้าเมืองจะทำยังไง ตอนนี้หมดปัญหาละทีนี้”
“แล้วเจ้าเข้ามาทำอะไรในป่านี้คนเดียว เจ้ามีเพื่อนคนอื่นๆ มาด้วยหรือเปล่า?” เฟนริลถามขณะก้มหัวหลบกิ่งไม้ที่ยื่นออกมาขวางทาง
กรกชส่ายหน้าถอนหายใจ “ทีแรกก็มีละนะ แต่เพราะนายยกพวกไปถล่มเมื่อคืนนี้ ทำให้พวกฉันแตกกระเจิงไปไหนกันบ้างแล้วก็ไม่รู้”
“เจ้าคือกลุ่มคนที่ลานลมโชยนั่นสินะ เมื่อคืนข้านึกว่าพวกเจ้าเป็นกลุ่มเดียวกันกับพวกที่มาป่วนรังของข้า เพราะว่าพวกมันหลบหนีไปทิศที่พวกเจ้าอยู่ ดังนั้นพอข้าเจอพวกเจ้า ข้าก็เลยสั่งโจมตีออกไป เอาเป็นว่าข้าขออภัยก็แล้วกัน”
เฟนริลพูดด้วยใบหน้าเรียบนิ่ง จริงๆ ด้วยนิสัยอย่างมันไม่เคยต้องขอโทษใครมาก่อน แต่เพราะการรอดตายเมื่อครู่นี้ก็เป็นกรกชที่ช่วยทันพันธสัญญากับมัน ทำให้มันรอดตายมาได้อย่างหวุดหวิด ถึงแม้มันจะต้องมอบผลึกธาตุสายฟ้าศักดิ์สิทธิ์ออกไป แต่ก็ถือว่าคุ้ม เพราะหากกรกชไม่ช่วยและตัดสินใจฆ่ามัน จะอย่างไรผลึกธาตุสายฟ้าศักดิ์สิทธิ์ก็จะหลุดออกจากตัวมันอยู่ดี
อีกทั้งถึงมันจะเก็บเอาไว้ แต่ด้วยร่างกายของมันเป็นธาตุมืดมาตั้งแต่กำเนิด ต่อให้เก็บเอาไว้ก็ใช้ไม่ได้เหมือนเดิม นี่คือสิ่งที่สัตว์อสูรแตกต่างจากผู้เล่น เพราะผู้เล่นนั้นยังสามารถเลือกใช้ได้หลายธาตุ แต่สัตว์อสูรบางตัวกลับใช้ได้เพียงธาตุเดียว เพราะเหตุนี้ สัตว์อสูรที่ถือกำเนิดมาแล้วมีธาตุเดียว จึงมีการโจมตีที่แรงกว่าผู้เล่นหรือสัตอสูรที่ใช้ได้หลายธาตุนั่นเอง
อนึ่ง ผู้เล่นที่เลือกธาตุเพียงธาตุเดียวในทีแรกที่เข้าเกม หากได้รับการสืบทอดจากบุคคลอื่น หรือได้รับไอเท็มที่กักเก็บพลังธาตุเอาไว้ ผู้เล่นยังมีโอกาสได้รับพลังธาตุเพิ่มได้อีก ถึงแม้จะไม่ได้ใช้ธาตุที่ได้มาก็ตาม แต่สัตว์อสูรนั้น หากกำเหนิดมาแล้วมีพลังธาตุในร่างเพียงธาตุเดียว ก็จะไม่สามารถเพิ่มเติมได้ แต่จะได้เป็นปริมาณธาตุที่มากกว่าแทน
ทั้งนี้หากสัตว์อสูรได้ทันพันธสัญญากับผู้เล่น สัตว์อสูรตัวนั้นก็จะสามารถเพิ่มพลังธาตุได้เหมือนผู้เล่นทุกประการ แต่พลังที่มีอยู่เดิมก็จะถูกลดปริมาณลงตามไปด้วย
กรกชไม่ใส่ใจในเรื่องที่ผ่านมา เพราะต่อให้เขาโกรธมันแค่ไหนก็กลับไปแก้ไขอะไรไม่ได้ ดังนั้นชายหนุ่มจึงถามเบี่ยงประเด็นออกไป
“แล้วนายรู้หรือเปล่า ว่าคนชุดดำสองคนนั่นเป็นพวกไหน?”
“ข้าไม่รู้ แต่พวกมันทรงพลังมาก ขนาดสัตว์ศักดิ์สิทธิ์อย่างข้ายังสู้ไม่ได้” เฟนริลตอบเสียงหนัก บ่งบอกถึงอารมณ์ที่ยังรับไม่ได้กับการพ่ายแพ้ในครั้งนี้
เมื่อกรกชไม่ได้คำตอบที่ชัดเจน เขาจึงถามเรื่องอื่นต่อ “แล้วสัตว์อสูรมันมีกี่ระดับ ทำไมฉันเห็นนายพูดเรื่องสัตว์อสูรกับสัตว์อสูรศักดิ์สิทธิ์มานานแล้ว?”
เฟนริลมีสีหน้าแปลกใจ “นี่เจ้าไม่รู้เหรอ?”
กรกชส่ายหน้า “ฉันเพิ่งเข้ามาเกมนี้ได้ไม่นาน ดังนั้นจึงแทบไม่รู้อะไรเลย”
“สัตว์อสูรในเกมนี้แบ่งออกเป็นสองระดับเท่านั้นแหละ ระดับแรกคือระดับธรรมดาทั้งมีพลังธาตุและไม่มี ซึ่งตัวที่ไม่มีพลังธาตุ มันมีแค่ในเขตของแดนกำเนิดจอมยุทธเท่านั้นเพราะแถวนี้มนุษย์ยังอ่อนแอกันอยู่ ส่วนระดับศักดิ์สิทธิ์ ก็คือพวกสัตว์ที่มีความเก่งกาดจนเกิดเป็นตำนานของตัวเองขึ้นมา หรือบางตนก็ได้รับภารกิจให้เก็บรักษาสมบัติของเหล่าเทพเจ้าที่จิตแตกดับไปแล้วเอาไว้ เพื่อปกป้องหรือหาคนสืบต่อ ซึ่งข้าก็เป็นหนึ่งในนั้น”
เฟนริลถอนหายใจเล็กน้อยก่อนจะกล่าวต่อ “อันที่จริงภารกิจของข้ามันจบลงตั้งแต่พวกชุดดำมันชนะข้าได้แล้ว แต่เพราะพวกมันประมาทและเชื่อในความคิดของตัวเองเกินไป มันเลยพลาดในสิ่งที่มันจะได้รับ จริงๆ แล้วเพียงชนะข้าได้ ไม่จำเป็นต้องสังหาร ข้าก็จะมอบผลึกธาตุศักดิ์สิทธิ์ให้พวกมันอยู่แล้ว หลังจากนั้นค่อยเข้าไปเอาหอกศักดิ์สิทธิ์ของเทพโอดินก็ยังไม่สาย แต่พอมันได้กุญแจ มันกลับรีบร้อนเข้าวิหารไป ทำให้ข้ามาเจอเจ้าแล้วมอบมันให้เจ้าแทน หลังจากที่พวกมันได้หอกไป แล้วพบว่าในตัวหอกไม่มีแหล่งพลังอยู่เลย คงจะคลั่งไม่น้อย หึๆ”
พอกล่าวถึงประโยคท้ายๆ เฟนริลก็เผยรอยยิ้มซะใจออกมาอย่างปิดไม่มิด
“แล้วทำไมนายถึงเลือกมอบมันให้ฉัน ทั้งที่ฉันก็อ่อนแอขนาดนี้” กรกชเอ่ยถามอย่างสงสัย
“ก็เพราะว่าข้ายังไม่อยากตายน่ะสิ” เฟนริลเอ่ยตอบ “อย่างแรกเลย ตอนนั้นข้าอาการสาหัสแล้ว หากช้าไปกว่านี้ข้าอาจจะตายก็ได้ ส่วนอีกเหตุผล ถึงแม้ข้าจะอยู่ถึงตอนที่พวกมันออกมา แล้วข้ามอบผลึกธาตุศักดิ์สิทธิ์ให้มันไป พวกมันก็คงจะสังหารข้าอยู่ดี เพราะหากข้าตายลง ร่างกายของข้ายังสามารถนำไปผลิตอาวุธหรือชุดเกราะที่แข็งแกร่งได้ เพราะแบบนี้ ข้าเลยมอบมันให้เจ้าแทนยังไงละ”
“ถึงนายจะให้ฉันมา แต่ฉันก็ใช้ไม่ได้อยู่ดี เพราะหอกอยู่กับพวกมัน หรือนายจะให้ฉันไปแย่งมา ไม่ไหวหรอกนา อีแบบนี้มีแต่ตายกับตายแน่นอน” กรกชพูดพลางปัดเสดใบไม้ออกจากหน้า
“ใครบอกว่าเจ้าใช้ไม่ได้” เฟนริลพูดด้วยรอยยิ้ม “หอกก็ส่วนหอก แหล่งพลังงานก็ส่วนแหล่งพลังงาน ถึงแม้ผลึกธาตุสายฟ้าศักดิ์สิทธิ์จะเป็นพลังของเทพโอดิน แต่ทว่าก็ไม่จำเป็นต้องนำไปใช้กับหอกของท่านเสมอไปหรอกนะ”
“นายหมายความว่ายังไง?” กรกชถามด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น เพราะเริ่มจับเค้าบางอย่างได้แล้ว
“ก็หมายความว่าผลึกธาตุศักดิ์สิทธิ์สามารถนำไปเป็นพลังงานให้กับอาวุธชิ้นอื่น หรือนำไปใช้ในรูปแบบอื่นๆ ได้อีกยังไงล่ะ”
เฟนริลพูดพลางปรายตามองไปยังมือขวาของกรกชที่ถือดาบอยู่ “อย่างดาบที่เจ้าถืออยู่ ข้าไม่รู้ว่าเจ้าไปได้มาจากไหน แต่นับว่าเป็นดาบที่ดีมาก เพราะมันถูกตีขึ้นจากแร่ศักดิ์สิทธิ์ เพียงแค่ขาดการหล่อเลี้ยงจากพลังศักดิ์สิทธิ์เท่านั้น หากไม่มีพลังศักดิ์สิทธิ์หล่อเลี้ยง ดาบเล่มนี้ก็เป็นได้แค่อาวุธธรรมดาที่เกือบจะไม่มีวันพัง แต่ถ้าได้รับพลังจากผลึกธาตุสายฟ้าศักดิ์สิทธิ์ที่ข้าให้ไป อาวุธธรรมดาในมือเจ้า ก็จะยกระดับขึ้นเป็นอาวุธศักดิ์สิทธิ์ทันทีเลยละ”
“เฮ้ย จริงเหรอ!” กรกชร้องลั่นป่าด้วยความดีใจในโชคของตัวเอง ทำเอาเฟนริลแทบสะดุ้ง เขาไม่ปล่อยให้เสียเวลา รีบล้วงมือลงไปในกระเป๋ากางเกงหยิบเอาผลึกธาตุล้ำค่าติดมือขึ้นมา
...ทว่าเหลืออีกเพียงไม่กี่นิ้วก่อนที่ผลึกธาตุสายฟ้าศักดิ์สิทธิ์จะได้สัมผัสกับตัวดาบ เสียงร้องห้ามของเฟนริลก็ดังขึ้นเสียก่อน
“เดี๋ยวหยุดก่อน!...นั่นเจ้าจะทำอะไร!?”
กรกชชงักมือแล้วเอ่ยว่า “ฉันก็จะพัฒนาอาวุธให้เป็นอาวุธศักดิ์สิทธิ์ไง นายจะตะโกนทำไมเนี่ย?”
“เจ้าจะบ้าเหรอ!” เฟนริลต่อว่า “การจะวิวัฒนาการอาวุธ เราจะต้องไปทำในที่ปลอดภัย หรือในที่ที่ไม่มีคน เพราะในช่วงเวลานั้น กระแสพลังจากธรรมชาติจะปั่นป่วนมาก ถ้าเกิดมีใครมาพบเข้า อาวุธอาจจะถูกแย่งชิงไปได้ ไม่ใช่เรื่องเล่นๆ นะ”
กรกชหน้าซีดลง ก่อนจะดึงมือออกห่างจากตัวดาบอย่างว่องไว “นายก็ไม่บอกฉันให้เร็วกว่านี้ เกือบไปแล้วมั้ยล่ะ” เขาพูดขณะที่เก็บผลึกธาตุสายฟ้าศักดิ์สิทธิ์ลงไปในกระเป๋าตามเดิม
“แล้วข้าจะรู้มั้ยล่ะว่าเจ้าจะทำแบบนั้น หากข้าห้ามไม่ทัน ทั้งเจ้าและข้าคงถูกพวกมันพบเห็นซวยกันทั้งคู่ไปแล้ว” เฟนริลโต้กลับอย่างระอา
ดูเหมือนการที่เฟนริลอาศัยอยู่แถบนี้จะเป็นประโยชน์ต่อการเดินทางของกรกชเป็นอย่างมาก เนื่องเพราะหลังจากที่เดินกันมาเรื่อยๆ กรกชได้เปรยขึ้นว่าอยากกลับเมือง เพราะมีกลุ่มของเขารออยู่ที่นั่น พอเฟนริลทราบความต้องการของเขา มันจึงได้นำทางจนกระทั่งเดินตัดทะลุป่าใหญ่ออกมาพบเข้ากับเส้นทางสัญจรในที่สุด
บนเส้นทางสัญจรมีกลุ่มผู้เล่นอยู่ประปราย จากการสอบถามชายใส่ชุดจอมยุทธคนหนึ่งทำให้กรกชทราบว่า เหลืออีกประมาณห้ากิโลก็จะถึงเมืองเทพพยัคฆ์ ดวงอาทิตย์ลอยอยู่ตรงศีรษะแสดงให้เห็นว่าขณะนี้ย่างเข้าสู่เวลาเที่ยงแล้ว ทว่ากรกชยังไม่รู้สึกเหนื่อยมากเท่าไหร่ เขาและคู่หูเฟนริลจึงตัดสินใจเดินทางรวดเดียวให้ถึงตัวเมืองไปเลย
สารบัญ / นำทาง
- 👁️ ยอดวิว 950
- 👍 ถูกใจ
แสดงความคิดเห็น