STARCIN ภาคที่ 9 Black Purge ตอนที่ 13 ไล่เลี่ย
สนามรบเล็ก ๆ ที่ชายแดนเต็มไปด้วยศพกองพะเนิน ผู้ที่รอดชีวิตยังคงต้องหยิบอาวุธและลุกขึ้นสู้ หากศัตรูตรงหน้ายังไม่หมดสิ้นลมพวกเขาก็ยังต้องดิ้นรนฆ่าฟันและใช้ชีวิตที่เหลืออยู่ให้คุ้มค่าที่สุด
“ท่านวาเลี่ยมครับ เราต้องหนีได้แล้วนะครับ” คุณผู้ช่วยเก็บข้าวของที่จำเป็นก่อนจะได้คำตอบด้วยซ้ำเหมือนเป็นการบังคับอ้อม ๆ
“อืม แม่สาวคนนั้นหายไปกับศัตรู ส่วนท่านผู้กล้าก็ยังไม่กลับมา นายไปแจ้งกับแนวหน้าเถอะเราจะได้ค่อย ๆ ล่าถอยกัน”
“ได้ครับ ส่วนท่านอย่าลืมเตรียมอาวุธไว้ด้วยนะครับเพราะพวกมันอาจจะบุกเข้ามาได้ทุกเมื่อ” คุณผู้ช่วยวิ่งหน้าตั้งออกไปอย่างร้อนรนเพื่อป่าวประกาศการล่าถอย แต่เหล่าทหารที่ถูกปลุกขวัญกำลังใจยังอยากฆ่าล้างศัตรูให้มากที่สุดโดยไม่สนว่าตนเองจะอยู่หรือตาย
ถ้าเราตาย เมืองของเราก็คงโดนพวกขุนนางยึดไปแน่ ๆ เพราะลำพังแค่รักษาอำนาจไว้ก็หนักแล้วและลูกชายที่จะมาสืบทอดก็ดันไม่ได้เรื่องเสียได้
“ดูเหมือนวันตายจะมาเร็วกว่าที่คิดนะ” วาเลี่ยมกล่าวลอย ๆ ก่อนที่จะมีหอกพุ่งออกมาจากมุมมืด แต่วินาทีนั้นวาเลี่ยมก็ยังคว้าดาบข้าง ๆ เอามาปัดป้องเบี่ยงวิถีหอกได้ทัน
หมายเลขสองที่โดนซัดหายไปก่อนหน้านี้ลอบเข้ามายังเต็นท์วางแผนเพื่อทำลายแกนนำให้หมดสิ้น เมื่อการแทงครั้งแรกพลาดเป้าเขาจึงชักหอกกลับแล้วแทงซ้ำหลายต่อหลายครั้งหวังจะสังหารให้ได้
สมกับเป็นสำนักมนตร์ดำ การเคลื่อนไหวที่ว่องไวพวกนั้นถูกขัดเกลาเพื่อใช้สังหารคนโดยเฉพาะ ถ้าเป็นแบบนี้ยื้อไม่ไหวแน่
วาเลี่ยมทำได้แค่วิ่งหนีหัวซุกหัวซุนเพื่อออกไปจากเต็นท์แคบ ๆ ให้ได้ แต่ก่อนจะวิ่งไปถึงทางออกหมายเลขสองก็เพ่งรวมมานาและแทงออกไปราวกับเป็นกระสุนปืน
วาเลี่ยมเบี่ยงตัวหลบทันเพราะเดาไว้ว่าถ้ามาทางออกต้องมีอะไรแน่ ๆ แต่กระสุนหอกนั้นก็ยังโดนแขนข้างที่ถือดาบทำให้เขากลายเป็นตาแก่ตัวเปล่าที่รอเวลาตายเท่านั้น
“ราชามนุษย์วาเลี่ยม ช่างเป็นจุดจบที่น่าเวทนาจริง ๆ” หมายเลขสองแทงหอกเข้าที่ขาเพื่อไม่ให้วาเลี่ยมวิ่งหนีอีก พอเขาล้มลงหมายเลขสองจึงยกหอกขึ้นหวังแทงลงไปที่หัวใจ
นั่นสินะ ช่างน่าเวทนาจริง ๆ
ขณะที่กำลังเตรียมใจตาย จู่ ๆ ก็มีโล่มานาโผล่ออกมาคลุมทั้งร่างไว้ มิหนำซ้ำพอป้องกันได้กลับยังมีระเบิดแสงระเบิดต่อหน้าทำให้ทั้งสองสูญเสียวิสัยทัศน์และการควบคุมร่างกายไปชั่วขณะหนึ่ง
“นี่มันอะไรวะ !” หมายเลขสองเหวี่ยงหอกแทงสุ่มไปเรื่อย ๆ แต่ก็ไม่โดนเลยสักครั้ง และเพราะระเบิดแสงทำให้ทหารที่อยู่ใกล้ ๆ เข้ามาดูสถานการณ์กลายเป็นหมายเลขสองโดนล้อมเสียเอง
“ศัตรูบุก !” ทหารคนหนึ่งตะโกนดังลั่นเพื่อบอกให้ทุกคนได้รับรู้
“มันมีแค่คนเดียว พวกเราล้อมไว้แล้วจัดการมันซะ”
ระหว่างที่ล้อมหมายเลขสองไว้ก็มีทหารส่วนหนึ่งมาช่วยพาวาเลี่ยมไปที่ปลอดภัย
“ทั้งหมด...ถอยไปที่จุดรวมพลที่สองเดี๋ยวนี้” วาเลี่ยมกล่าวเสียงสั่นพลางหันหลังมองสถานการณ์ภายในเต็นท์
“วิถีแห่งหอกที่สาม [วงกลมไร้สมมาตร]” ทันใดนั้นเต็นท์ที่หมายเลขสองอยู่ก็ถูกหอกกวาดตัดช่วงบนหายไปพร้อม ๆ กับกลุ่มทหารที่ล้อมรอบเขาอยู่
“ตะ…ตายหมดเลยเหรอ” วาเลี่ยมถึงกับอ้าปากค้างทำตัวไม่ถูก เหล่าทหารที่ผ่านการฝึกฝนมามากมายนับสิบคนถูกคนคนเดียวสังหารได้อย่างง่ายดาย
ขอร้องล่ะท่านผู้กล้า ช่วยกลับมาเร็ว ๆ เถอะ
“วิถีแห่งหอกที่หนึ่ง [พิไรรำพึง] ” หมายเลขสองย่อขาข้างหนึ่งไปด้านหน้าเล็กน้อยเพื่อช่วยส่งแรง พอได้จังหวะเขาก็แทงหอกไปข้างหน้าหลายครั้งและหอกมานาพวกนั้นก็พุ่งทะลุร่างเหล่าทหารที่กำลังพาวาเลี่ยมหนี หากทหารคนนั้นไม่ผลักวาเลี่ยมออกก็คงจะตายไปพร้อมกันแล้ว
“ตอนแรกกะจะลอบสังหารแบบเงียบ ๆ แต่ในเมื่อถูกจับได้ฉันก็จะไม่เกรงใจแล้ว” หมายเลขสองวิ่งตามมาติด ๆ เพื่อปิดฉากผู้นำของศัตรู แต่ทันใดนั้นก็มีใครบางคนโดดเข้ามาขวางเสียก่อน
“ให้ตายสิ ! ทำไมพ่อต้องมาเสี่ยงตายในที่แบบนี้ด้วย” ชายหนุ่มขี้เมาที่ถือขวดเหล้าไว้ข้างกายกำลังขวางทางหอกของหมายเลขสองอยู่
“ตายซะ” หมายเลขสองยกหอกแทงตรง ๆ แต่ชายหนุ่มขี้เมากลับเอี้ยวตัวหลบและจับด้ามหอกไว้ไม่ให้ดึงกลับ
“เร็วจริง ๆ เลยนะคุณลุง แต่ถ้าเข้ามาประชิดโดยไม่คิดมันก็จะเป็นแบบนี้นี่แหละ…”
พูดไม่ทันขาดคำหมายเลขสองก็กระโดดถีบแล้วดึงหอกกลับไปในจังหวะเดียวกัน
ชายหนุ่มกระดกขวดเหล้าต่อไม่สนใจหอกที่กำลังชี้มาตรงหน้าเลยแม้แต่น้อย ส่วนหมายเลขสองก็ระวังตัวแจเพราะชายหนุ่มตรงหน้าตอบสนองการเคลื่อนไหวได้และยังจับหอกของเขาได้อีก
“วัน ๆ มีแต่เรื่องให้ปวดหัว แค่ธุรกิจกับเงินที่มีก็ไม่ต้องทำงานไปตลอดชาติแล้ว แล้วจะเอาตัวเองไปเสี่ยงอันตรายทำไมเนี่ย?”
“แกไม่เข้าใจเรื่องอำนาจหรอก ถ้าฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งล้มก็จะโดนคนนอกทิ้งไปด้วย ถ้าเกิดฉันตายหรือหมดอำนาจธุรกิจของตระกูลอาจจะโดนแย่งชิงไปหมดเลยก็ได้” ระหว่างที่บ่นวาเลี่ยมก็ควานหาอาวุธจากศพของทหารใกล้ ๆ ไปด้วย
ชายหนุ่มถอนหายใจแล้วมองดูเหล้าที่ถืออยู่ “อะไรกันนักหนาวะเนี่ย !” เขาขว้างขวดเหล้าใส่หมายเลขสองและอาศัยจังหวะนั้นสวมถุงมือเหล็ก
“ลูกไม้ตื้น ๆ” หมายเลขสองเหวี่ยงหอกฟาดขวดเหล้าแตกแต่ไม่ทันได้ตั้งตัวเหล้าที่กำลังสาดกระเซ็นกลับติดไฟลามไปทั่ว จนเขาต้องถอยออกไปนอกระยะไฟพวกนั้นก่อน
แต่เปลวเพลิงเหล่านั้นกลับพุ่งตามพยายามจะเผาใบหน้าของหมายเลขสอง สุดท้ายเขาก็ต้องใช้มานาเพื่อสะบัดหอกปัดเปลวเพลิงพวกนั้นออกไป
“สวยสิครับ !” ชายหนุ่มพุ่งตรงเข้ามาโดยใช้กองเพลิงตรงหน้าบดบังวิสัยทัศน์ จากนั้นก็เหวี่ยงหมัดอันหนักแน่นชกเข้าที่ใบหน้าของหมายเลขสอง แม้แต่เสริมกำลังก็ยังแตกกระจายและยังสร้างรอยแผลไว้บนใบหน้านั้นอีก
“อย่ามาตลกหน่อยเลย” หมายเลขสองเองก็ไม่ปล่อยให้อีกฝ่ายได้จู่โจมต่อ เขาหมุนหอกทำเหมือนใบพัดเพื่อไม่ให้หมัดต่อ ๆ ไปเข้าถึงตัวได้
“เล่นเป็นเด็กหรือยังไง?” ชายหนุ่มทุบพื้นและยกก้อนดินขว้างใส่ปะทะกับหอกใบพัดจนฝุ่นฟุ้งตลบ เขาใช้จังหวะนั้นอ้อมไปอีกด้านและเอี่ยวตัวชกเข้าที่สีข้างจัง ๆ
แรงหมัดของเขาทำให้หมายเลขสองกระเด็นปลิวไปชนกับเต็นท์ใกล้ ๆ และชายหนุ่มก็วิ่งตามไปเพื่อซ้ำคนล้มต่อ
“จำแกได้แล้ว”
ขณะที่ชายหนุ่มกำลังจะเข้าถึงตัว จู่ ๆ ก็มีคลื่นหอกพุ่งสวนกลับมาทำให้เขาต้องถอยออกไปตั้งหลักใหม่
“เลียม ลูกชายของวาเลี่ยม ไม่คิดเลยว่าแกจะมาที่ชายแดน” หมายเลขสองกลับมายืนตั้งหลักได้อีกครั้งพร้อมกับยกหอกเตรียมพุ่งแทง
“ฉันก็ไม่คิดว่าตัวเองจะมาเหมือนกัน แต่บังเอิญว่าถ้าพ่อตายฉันก็ไม่มีเงินไปเที่ยวน่ะสิ”
“สมกับเป็นลูกชายผู้โหลยโท่ยจริง ๆ แต่แกคิดผิดแล้วที่มาที่นี่”
ทั้งสองวิ่งเข้าหากันและออกอาวุธวัดความเร็ว หอกแหลมพุ่งแทงเล็งไปที่ลำตัวของเลียมแต่เขาก็เหวี่ยงหมัดชกกระแทกหอกออกไป วินาทีที่หอกเสียสมดุลเลียมก็ได้ก้าวขายาวเพื่อคลุกวงในซึ่งเป็นจุดอ่อนของพลหอก
เล็งการเข้าประชิดตัวอยู่สินะ แต่แกก็เข้ามาเสี่ยงใกล้ ๆ เหมือนกัน หมายเลขสองยกด้ามหอกขึ้นมาในระดับอกพอดีกับหมัดที่กำลังจะเข้าถึงตัว จากนั้นเขาก็สร้างโล่วารีที่มีการเคลื่อนไหวของคลื่นช่วยกระจายแรงออกไปด้านข้าง
พอหมัดของเลียมพลาดเป้า หมายเลขสองก็เตะสกัดขาหวังให้อีกฝ่ายเสียหลัก ในวินาทีที่เลียมเสียหลักเขาก็ถอยห่างออกไปจนอยู่ในระยะของหอกพอดี
ตายซะ หมายเลขสองเหยียดแขนสุดแล้วเหวี่ยงหอกฟันอย่างกับใช้ดาบ
“ยังเว้ย !” ขณะที่ล้มเลียมก็ได้วางมือลงบนพื้นแล้วสร้างเสาเพลิงล้อมรอบตัวไว้ เสาเพลิงเหล่านั้นได้บดบังวิสัยทัศน์ของหมายเลขสอง และพอจะใช้ตรวจจับเลียมก็ได้พุ่งเข้าประชิดอีกครั้งเป็นการหลอกล่อที่ยอดเยี่ยมจนศิษย์สำนักมนตร์ดำยังตามไม่ทัน
“เรื่องขี้โกงฉันก็ไม่แพ้พวกแกหรอก” คราวนี้เลียมได้เคลือบหมัดของตนเองด้วยมานาหนาหลายชั้นและมันก็กำลังพุ่งเข้าไปที่ใบหน้าของหมายเลขสอง
“หน็อย...” หมายเลขสองสร้างโล่วารีที่จะใช้กระจายแรงเหมือนก่อนหน้านี้แต่หมัดนั่นกลับสร้างเปลวเพลิงพุ่งเข้าใส่แทน
“ใครเขาจะเล่นไม้เดิมล่ะ?” เปลวเพลิงที่พุ่งออกมาได้ดึงความสนใจของหมายเลขสองไป จากนั้นหมัดที่เล็งไปยังใบหน้าก็เลื่อนลงมาเล็งช่วงท้องแทน
หมัดมานาของเลียมชกทะลุเสริมกำลังเข้าที่ซี่โครงหักในทันที ร่างของหมายเลขสองกระเด็นลอยไปตามแรงหมัดซึ่งตามมาด้วยอาการเลือดออกในปอดเพราะกระดูกซี่โครงทิ่มอวัยวะภายในอยู่
ระหว่างที่ทั้งสองกำลังปะทะกัน วาเลี่ยมก็ได้ผู้ช่วยของเขามาพาหนีพอดี
“สถานการณ์ย่ำแย่กว่าที่คิดอีกครับ พวกมันมีกำลังเสริมมาเพิ่มอีกเป็นพันคนทำให้แนวหน้าโดนตีแตกไปแล้ว”
“นี่มาชู เราได้เขียนพินัยกรรมไว้ไหม?”
“เหมือนจะเขียนไว้แล้วนะครับ” แววตาลังเลเหลือบมองดูศัตรูที่กำลังบุกเข้ามา นั่นยิ่งทำให้ความหวังอันริบหรี่สลายหายไปแต่ร่างกายก็ยังกระเสือกกระสนพากันหนีต่อไป
“อืม ขอบใจที่อยู่ด้วยกันมาถึงตอนนี้นะ” วาเลี่ยมหยุดเดินและส่งยิ้มมุมปากให้เป็นครั้งสุดท้าย
“ผมก็ขอบคุณเช่นกัน” มาชูชักดาบของตนเองขึ้นมาและหันกลับมาเผชิญหน้ากับกองทัพศิษย์สำนักมนตร์ดำ
“หวังว่าเราจะกำจัดมันได้สักสิบคนนะ” วาเลี่ยมเองก็ชูดาบขึ้นมาตรงหน้าแม้สภาพร่างกายจะย่ำแย่จนยืนแทบไม่ไหวก็ตาม
ในช่วงเวลาที่สิ้นหวังกลับมีวัตถุประหลาดส่องแสงสว่างจ้าตกลงมากลางสมรภูมิ ไม่นานเกินรอก็มีธนูไฟพุ่งมาแต่ไกลปักลงกลางดงศิษย์สำนักมนตร์ดำ เมื่อมองหาที่มาตามวิถีลูกศรจึงเห็นกลุ่มคนจำนวนหนึ่งกำลังมุ่งหน้ามาทางนี้
“กองร้อยที่หนึ่งบุก !” กองทัพออร์คที่มีอาวุธและชุดเกราะเต็มตัวกำลังวิ่งเข้าปะทะกับศิษย์สำนักมนตร์ดำ
“กองร้อยที่สองปิดล้อมมันไว้ !” กองทัพมนุษย์หมาป่าและก็อบลินเข้าประชิดจากสองด้านเพื่อบีบพื้นที่ให้น้อยลง
“หน่วยบินจู่โจมได้ !” หน่วยรบทางอากาศที่นำโดยโซหัวหน้าเผ่าฮาร์พีกำลังจู่โจมสายฟ้าแลบจากด้านบน บางส่วนก็ใช้เวทมนตร์ที่ถนัดและบางส่วนก็ใช้หน้าไม้ไม่ก็ปืนแทน
“เครื่องยิงหินพร้อม...ยิง !” โกนและพรรคพวกเป็นคนควบคุมยุทโธปกรณ์และสิ่งอำนวยความสะดวก รวมถึงการยิงหินยักษ์เพื่อทำลายบาเรียที่พวกศิษย์สร้างไว้ป้องกันการโจมตีจากฮาร์พี
จากที่กำลังจะเป็นจุดจบกลับได้พบความหวัง จากที่เตรียมตัวสู้ตายกลับกลายเป็นรอยยิ้มโล่งใจ วาเลี่ยมและมาชูพากันถอยไปรวมกับพวกโกนเพื่อรักษาบาดแผล
“โดนตีแตกไวกว่าที่คิดเสียอีก แต่อย่างน้อยเราก็มาทัน” มาลีน่าคอยดูสถานการณ์อยู่ด้านหลังไม่เหมือนกับผู้นำคนอื่นที่มีความสามารถในการต่อสู้
“ซึฮากิสั่งมาสินะ แล้วมีแผนอะไรไหม?” พอปฐมพยาบาลเสร็จวาเลี่ยมก็กลับมาทำหน้าที่ผู้นำอีกครั้ง
“เขาบอกแค่แผนสำหรับการทำงานร่วมกันเฉย ๆ ส่วนหน้างานเราต้องวิเคราะห์และจัดการกันเอง” มาลีน่าเปิดดูแผนที่เพื่อเตรียมเคลื่อนย้ายหน่วยรบ
“นอกจากเส้นทางข้ามชายแดนก็มีแต่กำแพงสูงกั้นไว้ แต่ถ้าอยากจะทำลายจริง ๆ ก็ไม่ใช่เรื่องยากนี่” มาลีน่ากวาดสายมองกองกำลังของสำนักมนต์ดำด้วยความสงสัย
“ฉันก็คิดเหมือนกัน พวกมันเอาแต่บุกเข้ามาโดยไม่มีแบบแผนและยังพลีชีพเพื่อนพ้องได้เหมือนเป็นแค่หมากตัวเล็ก ๆ” ทั้งสองประชุมหารือกันแต่จู่ ๆ วาเลี่ยมก็สะดุ้งตกใจเหมือนนึกอะไรได้
“เจ้าเลียมมันอยู่กลางดงเลยนี่” เขาใช้กล้องส่องหาลูกชายขี้เมาของตนเองแต่กลับไม่พบแม้แต่ศพ
“อ้อ ถ้าเป็นลูกชายของคุณ เขาหนีออกมาตั้งแต่เริ่มชุลมุนแล้ว”
“แล้วมันหายไปอยู่ไหนล่ะ?”
มาลีน่ายกนิ้วโป้งชี้ไปที่คนแคระกลุ่มหนึ่งที่กำลังตั้งวงดื่มเหล้ากันอย่างสนุกสนาน
“พวกนายดื่มเก่งกันจริง ๆ” เลียมยกเหล้ากระดกไปหนึ่งอึก จากนั้นก็ชกขวดแล้วกระดกต่ออีกอึก
เสียงหัวเราะเฮฮาดังลั่นเหมือนมาท่องเที่ยวไม่มีผิด แต่แล้วเสียงเหล่านั้นก็เงียบลงเพราะวาเลี่ยมกำลังจ้องมองอยู่ข้าง ๆ
“สนุกกันมากสินะ” วาเลี่ยมดึงหูเลียมลากออกมาจากวงเหล้า ในน้ำเสียงเรียบนิ่งกลับเต็มไปด้วยความกดดันที่พร้อมเหยียบให้จมดิน
“โธ่ ผมเป็นคนช่วยชีวิตพ่อไว้นะ ผมทั้งเหนื่อยและอ่อนล้าจึงต้องมีของชูกำลังสักหน่อย”
วาเลี่ยมถอนหายใจ “ช่างเถอะ แล้วไอ้คนถือหอกได้จัดการไปหรือยัง?”
“ยังเลย ตอนจะเข้าไปฆ่าก็ดันมีพวกของมันมาขวางเต็มไปหมด” เลียมสลัดออกมาจากเงื้อมมือของวาเลี่ยมและกลับไปนั่งในวงเหล้าต่อแล้วจึงหันมองเพื่อกล่าวต่อ “แล้ว...ตกลงนี่มันเรื่องอะไรล่ะพ่อ? นี่เป็นครั้งแรกเลยนะที่มีปัญหาข้ามชายแดนกันขนาดนี้”
“ไม่ต้องไปคิดให้ปวดหัวหรอก ทุกอย่างมันเปลี่ยนไปตั้งแต่ที่ซีฮากิมาที่นี่แล้ว จะบอกว่าเขาสร้างศัตรูไว้เยอะก็ใช่แต่จะบอกว่าช่วยแก้ปัญหาให้ก็ได้เช่นกัน แต่ทุกอย่างมันโยงและพันกันยิ่งกว่าใยแมงมุมเสียอีก”
“อ้อเหรอ ช่างมันละกันเพราะผมไม่เกี่ยวอยู่แล้ว”
“ตามใจแกเถอะ… ยังไงก็ขอบใจที่มาช่วย”
“แหวะ พูดอะไรชวนน่าขนลุก…” พูดไม่ทันขาดคำเขาก็โดนวาเลี่ยมดึงหูแทบขาด
แม้คนแคระเหล่านั้นเหมือนจะอู้งาน แต่พอถึงเวลาพวกเขาก็จะสลับเวรเพื่อไปควบคุมดูแลอุปกรณ์รวมถึงแจกจ่ายเสบียง
“ดูเหมือนพวกมันก็เริ่มใจเย็นลงแล้ว จากที่เคยบุกแบบบ้าระห่ำกลับกลายเป็นการตั้งแนวบุกอย่างเป็นระเบียบ” มาลีน่าใช้กล้องส่องไปที่สนามรบเพื่อเก็บข้อมูลให้มากที่สุด
“จากรายงานเหมือนจะมีพวกตัวหัวหน้าอยู่สองสามคน ส่วนที่เหลือเป็นแค่ลูกสมุนที่เลเวลไม่เกินสาม”
วาเลี่ยมกับมาลีน่าช่วยกันวิเคราะห์ข้อมูลทุกอย่างที่หาได้เพื่อคิดแผนสำหรับบุกกลับ แต่ไม่ทันไรก็มีเสียงอึกทึกครึกโครมดังมาจากในป่า
“นั่นคงจะเป็นคุณเฮร่า การที่เธอยังไม่กลับมาแสดงว่าเจอกับตัวหัวหน้าแน่ ๆ เพราะนี่มันก็เป็นชั่วโมงแล้วที่เธอหายไป”
“เฮร่าคือคนที่คุณซึฮากิส่งมาสินะคะ แล้วผู้กล้าฟรานที่ไปขอความช่วยเหลือก็ยังไม่กลับมา...หรือเธอคนนั้นจะโดนเล่นงานไปแล้ว?”
“คงยากแต่ก็อาจจะเป็นไปได้ ระหว่างที่ไม่มีคำสั่งจากซึฮากิเราก็ต้องแก้ปัญหาด้วยตนเอง”
ขณะที่ชายแดนกำลังฆ่าฟันกันไม่หยุด ที่ป่าข้าง ๆ ก็ยังฟาดฟันฟัดเหวี่ยงเช่นกัน
สูงอย่างกับตึกเลยแฮะ นอกจากจะตัวใหญ่เธอยังเคลื่อนไหวได้อิสระอีก ผู้ตรวจการวิ่งวนไปรอบ ๆ เพื่อไม่ให้เฮร่าหันร่างยักษ์ใหญ่ได้ทัน
คมดาบที่ฟาดฟันใส่ไม่อาจสร้างรอยแผลให้กับร่างมานาของเฮร่าได้เลยสักครั้ง ความทนทายาดของร่างจุติทำให้ผู้ตรวจการต้องขมวดคิ้วคิดไม่ตก
“[ความโกรธเกรี้ยวขององค์เทพ - ดาบศักดิ์สิทธิ์วอซ]” เฮร่าใช้มือยักษ์จับดาบศักดิ์สิทธิ์ได้พอดี จากนั้นเธอก็วาดดาบเป็นวงกลมกวาดป่าราบเป็นหน้ากลอง
“ลงดาบรูปแบบที่ห้า [ฟ้าหลังฝน]” ผู้ตรวจการจำเป็นต้องสวนกลับไม่เช่นนั้นโล่มานาธรรมดาคงจะกันไม่อยู่ แต่เมื่อเขาตอบโต้มันก็เป็นจังหวะที่โดนรู้ตำแหน่งได้เหมือนกัน
ไม่ทันไรเฮร่าก็เหวี่ยงดาบฟาดซ้ำลงตรงที่ผู้ตรวจการอยู่ แต่ผู้ตรวจการก็คาดการณ์ไว้อยู่แล้วจึงรอจังหวะที่ดาบฟาดลงพื้นเพื่อวิ่งไต่ไปตามใบดาบ
ถ้าไปถึงแกนกลางได้ เราอาจจะพอเจาะทะลวงได้บ้าง หมายเลขสองวิ่งขึ้นไปตามดาบจนไปถึงแกนกลางที่ห่อหุ้มร่างของเฮร่าไว้ เขาหมุนตัวเพื่อเพิ่มแรงและเหวี่ยงดาบฟันไปที่ก้อนมานาเหล่านั้น ในที่สุดเขาก็สามารถสร้างรอยแผลให้กับเฮร่าได้สำเร็จแต่เธอก็ไม่นิ่งนอนใจจึงสร้างโล่มานาเพิ่มแล้วใช้มือยักษ์คว้าตัวหมายเลขสองไว้
“ไม่ง่ายขนาดนั้นหรอก ลงดาบรูปแบบที่หนึ่ง [เส้นทางเปล่าเปลี่ยว]” เขาตั้งท่ากลางอากาศและใช้ดาบแทงสวนกลับทำให้มือยักษ์ฉีกออกเป็นสองซีก
แม้เขาจะหลีกหนีการจับกุมได้แต่มือยักษ์ก็สมานกลับมาเป็นเหมือนเดิมอีกครั้ง
“อย่างน้อยร่างนั้นก็ไม่ได้ไร้เทียมทานเสมอไปสินะ งั้นเรามาวัดความอึดกันสักหน่อยดีกว่า”
ทันใดนั้นก็มีหญิงสาวสูงวัยอีกคนเดินมาใกล้ ๆ เพื่อมองดูร่างจุติยักษ์ของเฮร่า โดยในมือคู่นั้นกำลังควงมีดสั้นตลอดเวลาเหมือนทำเพราะความเคยชิน
“ให้ช่วยไหม?” เธอเอียงคอยิ้มเหมือนตั้งใจเยาะเย้ยแต่ก็ต้องวิ่งหนีการไล่ล่าของเฮร่าไปพร้อม ๆ กับผู้ตรวจการ
“มาก็ดีแล้ว พลังศักดิ์สิทธิ์ของเธอคนนั้นมันน่ารำคาญกว่าที่เคยเห็นมาเยอะเลย แต่ถ้าเราสองคนคงจัดการได้ไม่ยาก”
“แหม ๆ คนบ้าดาบกล้าขอความช่วยเหลือด้วยแฮะ เอาสิฉันจะช่วยอีกแรง” หญิงสูงวัยวิ่งฝ่าเข้าไปที่เท้าของร่างจุติ จากนั้นเธอก็กระหน่ำฟาดฟันด้วยมีดคู่และถึงมันจะไม่ได้สร้างความเสียหายมากมายอะไรแต่ก็ทำให้เฮร่ารู้สึกเกะกะรำคาญแทน
ขณะที่หญิงสูงวัยกำลังดึงความสนใจ ผู้ตรวจการก็ได้เกาะดาบยักษ์ไปด้วยซึ่งมันก็พาเขาขึ้นไปอยู่ระดับสายตาของเฮร่าพอดี
“เจอกันอีกแล้วนะคุณผู้หญิง” เขาใช้ลงดาบสามกระบวนท่าโถมใส่โล่มานาที่ห่อหุ้มร่างของเฮร่าไว้
ในขณะที่เฮร่าเร่งการฟื้นฟูโล่มานามันก็ทำให้ร่างจุติส่วนอื่นอ่อนกำลังลง หญิงสูงวัยด้านล่างจึงสบโอกาสวิ่งวนรอบ ๆ ขาและวาดลวดลายวิชามีดคู่ซึ่งเธอได้ฟาดฟันไปทั้งหมดห้าสิบครั้งในเวลาไม่ถึงสิบวินาที
“เสร็จฉันล่ะแม่สาวน้อย” หญิงสูงวัยยิ้มกริ่มเมื่อได้เห็นผลงานของตนเองที่ทำให้ร่างจุติเสียหลักล้มลงมา
“[ความเมตตาขององค์เทพ - บาเรียศักดิ์สิทธิ์นานาเม]” เฮร่าใช้บาเรียขนาดใหญ่ผลักผู้ตรวจการกับหญิงสูงวัยออกไปเพื่อฟื้นฟูร่างจุติกลับมาอีกครั้ง
แค่คนเดียวก็ลำบากแล้วแต่ดันมีใครไม่รู้มาสมทบ ถ้าเป็นพวกลูกสมุนคงฟาดดาบทีเดียวก็จบแต่ฝีมือของเธอดันแข็งแกร่งพอ ๆ กับตาแก่นั่นเลย
เฮร่าสร้างอาวุธเพิ่มขึ้นมาอีกหนึ่งชิ้นกลายเป็นยักษ์ที่ถือดาบข้างหนึ่งและค้อนข้างหนึ่ง ผู้ตรวจการกับหญิงสูงวัยถึงกับเหงื่อแตกพลั่กก่อนจะหันมาสบตากันเหมือนกำลังบอกว่าเราจะรอดหรือไม่
“ถึงจะดูยุ่งยากหน่อยแต่ฉันยังพอหลบได้อยู่ ทางเดียวที่เราจะจัดการเธอได้ก็คือทำให้เธอลนลานจนใช้มานาป้องกันตัวเองจนหมด” หญิงสูงวัยกล่าวและวิ่งฉีกไปอีกทางโดยไม่ได้รอให้ผู้ตรวจการตอบรับใด ๆ เลย
ผู้ตรวจการถอนหายใจยิ้มมุมปาก ขณะเดียวกันเฮร่าก็ได้วาดดาบเป็นวงกลมอีกครั้งซึ่งผู้ตรวจการก็เป็นคนหยุดยั้งไว้ด้วยกระบวนท่าลงดาบฟ้าหลังฝน
คงต้องทุ่มสุดตัวแล้วค่อยไปลุ้นว่ารอดหรือไม่รอด อย่างน้อยก็ใช้ชีวิตมาคุ้มแล้วล่ะ หลังจากวิ่งหนีมานานสุดท้ายผู้ตรวจการก็เลือกที่จะยืนสู้ซึ่ง ๆ หน้า
ชายชราตัวเล็ก ๆ กำลังรับดาบยักษ์ที่สะเทือนได้แม้กระทั่งภูเขา พอคิดว่ารับดาบไหวก็จะมีค้อนศักดิ์สิทธิ์ทุบซ้ำลงมาเสมือนการตอกตะปู
ทำอะไรสักอย่างสิคุณเธอ แขนของเขาสั่นเหมือนกำลังจะระเบิด ขาทั้งสองข้างที่ยันจนพื้นยุบก็กำลังจะหักเป็นสองท่อน
“ทำได้ดี” หญิงสูงวัยอาศัยจังหวะที่ผู้ตรวจการยันอาวุธไว้เพื่อไต่ขึ้นไปตามแขน และเพราะความเร็วของเธอสูงกว่าผู้ตรวจการเป็นเท่าตัวทำให้เฮร่าตอบสนองไม่ทัน
“[ระบำค้างฟ้า]” หญิงสูงวัยหายไปจากการรับรู้ของเฮร่าซึ่งเพียงแค่พริบตาเดียวเธอก็มาโผล่อยู่ตรงหน้าในระยะประชิดเสียแล้ว
หญิงสูงวัยยกมีดคู่ขึ้นมาทาบอกในลักษณะกากบาท จากนั้นเธอก็หายไปจากสายตาอีกครั้งทำให้เฮร่าเสริมโล่ป้องกันให้หนาหลายชั้นเพราะสัมผัสถึงลางสังหรณ์ไม่ดีได้
“เดาง่ายจริง ๆ” หญิงสูงวัยไม่ได้เล็งไปที่แกนกลางแต่เธอกลับฟาดฟันข้อต่อที่เชื่อมกับแขนขายักษ์ไว้ ภาพสุดท้ายที่เฮร่ามองทันก็คือภาพของหญิงชรากำลังโบยบินอยู่บนท้องฟ้า และไม่นานนักร่างจุติของเฮร่าก็สลายหายไปเหลือไว้เพียงโล่มานาที่ห่อหุ้มตัวเองไว้
“เวรเอ๊ย ! [ความสงสัย...” ไม่ทันได้ร่ายเวทมนตร์เธอก็โดนสองผู้สูงวัยแทงทะลุโล่มานาเข้าที่ท้องและหลังเป็นแผลฉกรรจ์ที่ทำให้ถึงตายได้เลย
เฮร่าเลือกที่จะใช้ระเบิดมานาผลักอีกฝ่ายออกไป แต่แทนที่จะเสียเวลาร่ายเวทมนตร์ยาว ๆ เธอกลับใช้แรงระเบิดส่งตัวเองขึ้นไปบนท้องฟ้าอีกครั้งแม้มันจะทำให้ตัวเองเสียขาไปด้วย
“[ความเข้าใจขององค์เทพ – การพิพากษาศักดิ์สิทธิ์โดอูมู]”
ป่าที่รายล้อมถูกลบหายไปเหลือเพียงชีวิตทั้งสาม เสายักษ์ตั้งตระหง่านอยู่กลางโดมอันว่างเปล่าโดยมีเฮร่านอนอยู่บนนั้นเพียงลำพัง
“ยังมีลูกเล่นอะไรอีกเนี่ย?” ผู้ตรวจการถอนหายใจเสียงดังให้หญิงสูงวัยได้ยินด้วย
สารบัญ / นำทาง
- 👁️ ยอดวิว 33
- 👍 ถูกใจ
แสดงความคิดเห็น