บทที่ 222: ชนะง่ายเกินไป
“ก็ใช่น่ะสิ” มู่ไป๋ไป่พยักหน้าโดยไม่ลังเลขณะพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง “เป็นเพราะมันเกี่ยวข้องกับความเป็นความตายของข้า ข้าจึงต้องฝากเรื่องนี้ไว้กับเจ้า”
“เจ้าส้ม ในเวลานี้เจ้าเป็นตัวเดียวที่ข้าไว้ใจ!”
“ทำเป็นพูดดี” แมวตัวโตค้อนตามองเด็กหญิง แต่ท่าทีของมันกลับอ่อนลง “ชิ เช่นนั้นแมวตัวนี้ก็จะฝืนใจช่วยเจ้าสักครั้ง”
ดวงตาของคนตัวเล็กเป็นประกาย จากนั้นเธอก็รีบไปค้นหากระดาษ, หมึก, พู่กันและแท่นฝนหมึกมาเขียนจดหมายให้แมวอ้วนของเธอนำมันไปส่งที่ค่ายทหารเป่ยหลงโดยเร็วที่สุด
“ช้าก่อน!” เจ้าส้มลุกขึ้นนั่งแล้วมองดูเจ้าตัวเล็กจอมเจ้าเล่ห์ตรงหน้าด้วยท่าทางจริงจัง “มู่ไป๋ไป่ เจ้าต้องสัญญากับข้า ไม่ว่าคราวนี้เจ้าจะคิดทำอะไร แต่เจ้าจะต้องกลับมาแบบมีชีวิต”
แม้มันจะเป็นเพียงแค่แมว แต่มันก็เข้าใจถึงความโหดร้ายของสงครามเช่นกัน สงครามไม่มีอะไรดีเลยนอกจากความสูญเสียที่เกิดขึ้นกับทุกฝ่าย
ในยามที่หนานซวนเริ่มโจมตีเป่ยหลงอีก 3 วันข้างหน้า มันก็จะเกิดเหตุการณ์โกลาหลวุ่นวาย และมู่ไป๋ไป่ก็อาจจะตกอยู่ในอันตรายได้ทุกเมื่อ
ที่สำคัญช่วงนั้นบังเอิญว่ามันไม่ได้อยู่เคียงข้างนางด้วย จึงทำให้มันอดเป็นกังวลไม่ได้
“ตกลง!” คนตัวเล็กกลั้นยิ้มพร้อมพยักหน้าตอบรับเสียงขรึม “ข้าสัญญา ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ในอีก 3 วันข้าจะกลับไปที่เป่ยหลงอย่างแน่นอน”
บัดนี้มนุษย์กับแมวได้ทำข้อตกลงกันเป็นที่เรียบร้อย
มู่ไป๋ไป่รีบหันไปเขียนจดหมาย ก่อนจะเอาไปผูกไว้ที่รอบคอของเจ้าส้ม หลังจากแน่ใจแล้วว่าจดหมายนี้จะไม่หลุดในระหว่างที่มันวิ่ง เธอก็ปล่อยมันออกไป
ในตอนกลางคืน แมวอ้วนสีส้มได้วิ่งออกจากค่ายทหารหนานซวนไปสุดแรงเกิดโดยที่มันมุ่งหน้าไปทางเขตแดนของแคว้นเป่ยหลง
…
3 วันต่อมา พอถึงเวลารุ่งสาง มู่ไป๋ไป่ก็ได้ยินเสียงกลองศึกดังก้องจากด้านนอก ไม่นานนักสาวใช้ก็เข้ามาเรียกเธอ “องค์หญิงหกเพคะ ฝ่าบาททรงมีรับสั่งให้พระองค์ไปเข้าเฝ้าเพคะ”
“อืม” เด็กหญิงเปิดผ้าห่มแล้วลุกขึ้นจากเตียง “ข้าจะรีบไปที่นั่นเดี๋ยวนี้”
ฮ่องเต้หนานซวนคนนี้เป็นคนพูดจริงทำจริง
เธอไม่รู้ว่าแผนที่เซียวถังอี้เตรียมเอาไว้นั้นดำเนินการไปถึงไหนแล้ว เธอหวังว่าเขาจะไม่ทำอะไรผิดพลาด
ในช่วง 3 วันที่ผ่านมา มู่ไป๋ไป่ก็ยังทำตัวเหมือนเดิม เธอกิน ดื่ม และเล่นสนุกอยู่ในค่ายทหารทุกวัน ทว่าภายในใจเธอกำลังกังวลว่าเจ้าส้มจะส่งจดหมายให้เจ้าสัตว์ประหลาดได้สำเร็จหรือไม่
ตรงชายแดนระหว่างหนานซวนกับเป่ยหลงมีทะเลทรายคั่นกลางอยู่ ปัจจุบันกองทัพของทั้ง 2 ฝั่งกำลังเผชิญหน้ากันจนสุดลูกหูลูกตา
“เจ้าอยากจะคาดเดาหรือไม่ว่าคนที่นำทัพในวันนี้เป็นเซียวถังอี้หรือพี่รองของเจ้า?” ขณะนี้ฮ่องเต้หนานซวนอารมณ์ดีมาก เขาที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ที่ถูกจัดเตรียมเอาไว้อย่างดีกำลังหยอกล้อกับจอกสุราในมือ
“หม่อมฉันไม่ทราบเพคะ” มู่ไป๋ไป่คาดเดาในใจ แต่เธอก็ตอบออกไปเสียงเรียบ “มันไม่สำคัญว่าใครจะเป็นคนนำทัพ ถึงอย่างไรฝ่ายนั้นก็จะต้องพ่ายแพ้ให้กับพระองค์อย่างแน่นอนเพคะ”
“เจ้ามั่นใจในตัวข้ามากขนาดนี้เชียวหรือ?” เด็กหนุ่มรู้สึกขบขันกับคำพูดแบบเด็ก ๆ ของอีกคน “เอาเถอะ ข้าจะถือเสียว่าคำพูดของเจ้าเป็นคำอวยพร ถ้าเซียวถังอี้เป็นผู้นำทัพในวันนี้ ข้าจะเอาหัวของเขามาให้เจ้าเตะเล่นแทนลูกหวาย”
“แต่ถ้าเป็นพี่รองของเจ้า ข้าจะจับเขาให้มาเป็นทาสของเจ้า”
“เจ้าว่าเช่นนี้ดีหรือไม่?”
มู่ไป๋ไป่แอบก่นด่าอีกฝ่ายในใจ แต่ภายนอกเธอตอบตกลงออกไปอย่างมีความสุข
ในตอนนั้นเอง แสงแรกได้โผล่ขึ้นจากเส้นขอบฟ้า บ่งบอกว่ารุ่งอรุณได้มาเยือนแล้ว
ภายใต้แสงสีทองที่สาดส่องมาทำให้ทั่วทั้งผืนทะเลทรายสว่างไสว แต่กองทัพที่อยู่ในชุดเกราะสีเงินกลับยืนสงบนิ่งราวกับสัตว์ร้ายที่กำลังขู่กันให้ผู้คนหวาดหวั่น
นั่นคือกองทัพของแคว้นเป่ยหลง!
มู่ไป๋ไป่รู้สึกหายใจไม่ออก เธอพยายามเปิดตาให้กว้างเพื่อดูว่าใครเป็นผู้นำทัพ แต่เนื่องจากระยะห่างนั้นไกลเกินไป เธอจึงมองไม่เห็นอะไรนอกจากแสงสีขาว
ซึ่งนั่นมันทำให้คนตัวเล็กรู้สึกแสบจมูกเล็กน้อย
ทุกวันนี้เธออาศัยอยู่ในค่ายทหารหนานซวน แม้ว่าเธอจะได้กินอิ่มนอนหลับสบาย แต่ลึก ๆ ในใจแล้วเธอก็อยากกลับไปที่เป่ยหลง
เมื่อเด็กหญิงมองดูภาพกองทัพของเป่ยหลง เธอก็รู้สึกเหมือนได้พบญาติสนิท
“ลั่นกลอง!” เสียงของแม่ทัพหลี่ดังมาจากด้านหน้า จากนั้นกลองศึกที่อยู่รอบตัวก็ดังขึ้นในทันใด ส่งผลให้เกิดเสียงกึกก้องไปทั่ว
ทางด้านมู่ไป๋ไป่รู้สึกปวดหูมาก แต่เธอก็ไม่ได้สนใจมันมากนัก เธอกวาดตาสำรวจสภาพแวดล้อมและคอยจับตาดูเพื่อหาจังหวะเหมาะที่จะลงมือ
“มู่ไป๋ไป่ เจ้ายินดีที่จะมาเป็นน้องสาวบุญธรรมของข้าหรือไม่?” ฮ่องเต้หนานซวนกำลังหรี่ตามองภาพการต่อสู้เบื้องหน้าในขณะที่เอ่ยถาม “ยามที่การต่อสู้ครั้งนี้จบลง ข้าจะพาเจ้ากลับหนานซวน และยกให้เจ้าเป็นองค์หญิงแห่งหนานซวนของเรา”
องค์หญิงหนานซวน?
หา! องค์หญิงเป่ยหลงจะไปเป็นองค์หญิงของหนานซวนได้อย่างไรกัน?
มู่ไป๋ไป่รู้สึกรังเกียจในใจ
“เจ้าไม่เต็มใจหรือ?” พอเด็กหนุ่มเห็นว่าคนตัวเล็กไม่ตอบอยู่นาน เขาก็หัวเราะเบา ๆ “ใช่สิ แคว้นเล็ก ๆ อย่างหนานซวนจะรับรองเจ้าได้อย่างไรกัน”
“แล้วถ้าหนานซวนครอบครองเป่ยหลงได้ ข้าจะส่งเจ้ากลับไปที่เป่ยหลง”
“พระองค์ต้องการครอบครองเป่ยหลงหรือเพคะ?” มู่ไป๋ไป่ตกใจมาก ดูเหมือนว่าฮ่องเต้พระองค์นี้จะทะเยอทะยานยิ่งนัก
“ก็คิดเอาไว้ว่าจะทำเช่นนั้น แต่ก็ยังอีกยาวไกล” ฮ่องเต้หนานซวนยกจอกสุราขึ้นดื่มจนหมด “แต่วันนี้สิ่งที่ต้องการจะได้มาโดยง่าย”
“ถ่ายทอดคำสั่งของเรา! ส่งกองทหารมรณะออกไป”
ทหารที่อยู่ด้านข้างรับคำสั่งก่อนจะแยกตัวไป
“กองทหารมรณะ?” เด็กหญิงถามขึ้นมา “นั่นคืออะไรหรือเพคะ? ทำไมมันถึงฟังดูทรงพลังเยี่ยงนี้”
คราวนี้ฮ่องเต้หนานซวนทำเพียงแค่ยิ้มไม่ได้ตอบอะไรออกมา
นั่นทำให้มู่ไป๋ไป่อดที่จะรู้สึกประหม่าขึ้นมาไม่ได้
ในเวลาเดียวกัน สถานการณ์ของกองทัพเป่ยหลง
การปะทะกันรอบแรกระหว่างหนานซวนกับเป่ยหลงจบลงด้วยการที่แม่ทัพของเป่ยหลงได้รับบาดเจ็บจนต้องถอยทัพกลับไป
มู่ไป๋ไป่ยืนฟังรายงานทหารด้วยอารมณ์ที่หลากหลาย แม้ว่าเธอจะรู้ผลลัพธ์อยู่ในใจแล้ว แต่เมื่อเธอได้ยินเกี่ยวกับการสูญเสียของเป่ยหลง มันก็ทำให้เธอเข้าใจได้ว่าสงครามนั้นแท้จริงแล้วโหดร้ายเพียงใด
แผนการที่เธอวางเอาไว้อาจจะช่วยลดจำนวนผู้เสียชีวิตลงได้ แต่มันก็ไม่สามารถช่วยชีวิตทหารทั้งหมดไว้ได้อยู่ดี
“ดีมาก!” ฮ่องเต้หนานซวนรู้สึกพึงพอใจเป็นอย่างยิ่ง “ถ่ายทอดคำสั่งลงไป ให้ทุกคนตั้งค่ายพักผ่อน เราจะโจมตีเป่ยหลงอีกครั้งในอีกครึ่งชั่วยาม คราวนี้เราจะทำให้พวกมันไม่ทันได้ตั้งตัว”
“ฝ่าบาท!” แม่ทัพหลี่ลุกขึ้นยืนท่ามกลางเสียงตอบรับของคนอื่น “คราวนี้กระหม่อมรู้สึกว่าเป่ยหลงมีบางอย่างผิดปกติไป”
สีหน้าของฮ่องเต้หนานซวนมืดมนลงทันทีที่เห็นชายชรา “หืม? แม่ทัพหลี่ ท่านพูดว่าอะไรนะ?”
“ทูลฝ่าบาท กระหม่อมทำศึกกับเป่ยหลงอยู่ที่ชายแดนมาเกือบทั้งชีวิต” ชายสูงวัยตอบด้วยน้ำเสียงจริงจัง “ศักยภาพของพวกมันมีมากกว่าที่พวกเราเห็นในวันนี้”
“วันนี้เราชนะการต่อสู้ง่ายเกินไปพ่ะย่ะค่ะ!”
ขณะนั้นใบหน้าของฮ่องเต้หนานซวนถมึงทึงยิ่งขึ้นเมื่อแม่ทัพหลี่เอ่ยปากพูด
ก่อนหน้านี้เขาคิดว่าตาแก่นี่น่ารำคาญมากแล้ว ตอนนี้ดูเหมือนว่าอีกฝ่ายจะมีความสามารถบางอย่างที่ยั่วโมโหเขาได้มากขึ้น ถึงพูดออกมาได้ว่าเป่ยหลงเจตนาพ่ายแพ้
“เอาชนะได้ง่ายเกินไปอย่างนั้นหรือ?” เด็กหนุ่มยิ้มเยาะ “แม่ทัพหลี่คิดว่ากองทัพของเราเอาชนะศัตรูง่ายเกินไป หรือท่านไม่เชื่อว่ากองทัพของเราจะสามารถเอาชนะเป่ยหลงได้อย่างง่ายดาย?”
คำถามนั้นทำให้ฝ่ายที่ได้ยินหน้าถอดสี “กระหม่อมมิกล้า! ฝ่าบาท พระองค์ทรงปรีชาในการศึกยิ่งนัก ดังนั้นยามที่พระองค์ลงมือ เป่ยหลงจะไม่สามารถโต้กลับได้ เพียงแต่ว่า...”
“ไม่มีแต่!” ฮ่องเต้หนานซวนพูดขัดจังหวะขึ้นมาเสียงเย็น “ในเมื่อแม่ทัพหลี่ยอมรับความสามารถของเรา ฉะนั้นก็ไม่จำเป็นต้องพูดอีก ท่านรอให้กองทัพเป่ยหลงพ่ายแพ้ก่อนเถอะ”
ชายชราอยากจะพูดอะไรมากกว่านี้ แต่เขาก็ถูกรองแม่ทัพที่อยู่ด้านข้างดึงเอาไว้เสียก่อน
จากนั้นกองทัพหนานซวนก็ตั้งค่ายพักกันอยู่ที่จุดนั้นและมู่ไป๋ไป่ก็ติดตามฮ่องเต้หนานซวนอยู่ข้างกายตลอดเวลา ขณะที่เธอกำลังนั่งกินอาหารแห้งอย่างเชื่อฟัง ทันใดนั้นเธอก็เห็นเงาที่คุ้นเคยบินอยู่บนท้องฟ้า
สารบัญ / นำทาง
- 👁️ ยอดวิว 58
- 👍 ถูกใจ
แสดงความคิดเห็น