บทที่ 173: ค้นพบสมบัติ

-A A +A

บทที่ 173: ค้นพบสมบัติ

เวลานี้แขกต่างพากันหวาดกลัวจนกระทั่งจินต้าเสียต้องออกหน้าไปจัดการคนบ้าคลั่งเอง แต่เหตุการณ์นั้นวุ่นวายมากจนเกินไป และเขาก็ไม่กล้าปล่อยมือเพราะกังวลว่าแขกจะได้รับอันตราย

“พาแม่ของเจ้าหนีออกไปก่อน” นักดาบหิรัณย์เพิ่งถูกคนพวกนั้นกัดไปไม่กี่ครั้ง ตอนนี้เขาไม่มีเวลาสนใจบาดแผลของตัวเอง “ซือซืออยู่ที่ไหน? แม่ของเจ้าเพิ่งบอกว่าซือซือหายไป”

 “ซือซือซ่อนอยู่ที่ประตูด้านข้างขอรับ” จินซือหยางเข้าไปช่วยพยุงผู้เป็นแม่ที่กำลังนั่งร้องไห้แล้วพูดว่า “ท่านพ่อ เราไปด้วยกันเถอะ! แล้วขังคนบ้าพวกนี้ไว้ที่ลานบ้าน...”

“พวกเจ้าไปก่อน!” จินต้าเสียตะโกนเสียงดัง “อย่าได้รั้งรอให้เสียเวลา”

เด็กหนุ่มตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่งเมื่อถูกตะคอกใส่ จากนั้นเขาก็เข้าใจถึงบางสิ่งบางอย่าง แล้วดวงตาของเขาก็พลันเปลี่ยนเป็นสีแดง

“ดูแลแม่และน้องสาวของเจ้าให้ดี แล้วค้นหาว่าใครเป็นคนลงมือในครั้งนี้ จากนั้นเจ้าค่อยชุบตระกูลจินของเราให้กลับมารุ่งเรืองอีกครั้ง” จินต้าเสียเค้นคำพูดทุกคำออกมาและสั่งเสียลูกชายคนโตด้วยเสียงทุ้มลึก “จำเอาไว้ให้ดีว่าเจ้าเป็นลูกชายของมือกระบี่ทองคำ”

สิ้นเสียงพูด เขาก็ผลักจินซือหยางออกไป

“ท่านพ่อ!!”

“นายท่าน!!”

มือกระบี่ทองคำซึ่งกำลังถอยหลังไปเทสุราเข้มข้นลงบนดาบของเขา จากนั้นก็ย้อมมันด้วยเปลวเพลิงก่อนจะใช้ดาบนั้นฟันคนบ้าที่ยังไล่กัดแขกอยู่

“ท่านแม่ ไปกันเถอะ” จินซือหยางกัดฟันควบคุมอารมณ์ตัวเองที่คิดอยากจะไปช่วยพ่อและพยุงแม่ออกไป

“ไม่…” ฮูหยินจินส่ายหัวซ้ำ ๆ “ซือหยาง เจ้ารีบไปช่วยพ่อของเจ้าเถอะ เราไม่สามารถทิ้งพ่อเจ้าไปทั้งแบบนี้ได้”

จินซือหยางเม้มปากแต่ไม่ตอบอะไร เมื่อเห็นว่าผู้เป็นแม่ปฏิเสธไม่ยอมออกไป เขาจึงทำได้เพียงกลั้นน้ำตาและทำให้นางหมดสติก่อนจะพานางไปที่ประตูข้าง

ขณะนี้จินซือซือยังคงเบียดตัวหลบอยู่ที่เดิม พอนางเห็นพี่ชายออกมาพร้อมกับแม่ที่หมดสติ นางก็ตกตะลึง “ท่านพี่… ท่านแม่เป็นอะไรไป? แล้วท่านพ่อล่ะ ท่านพ่ออยู่ที่ไหน?”

จินซือหยางยังคงปิดปากเงียบ เขาเข้าไปอุ้มน้องสาวของตัวเองแล้วเดินออกไปเช่นกัน

ปัจจุบันแขกจำนวนมากที่ได้รับบาดเจ็บกำลังนั่งอยู่บนถนนในสภาพที่น่าสังเวช ตรงบริเวณนั้นมีเพียงแสงจาง ๆ เท่านั้นที่ส่องออกมาจากประตูจวนตระกูลจิน

บัดนี้จินซือหยางมองไปที่ลานบ้านซึ่งกลืนหายไปในเปลวเพลิงด้วยสายตาสิ้นหวัง พร้อมกับสะอื้นไห้เงียบ ๆ

ในเวลาเดียวกัน มู่จวินฝาน เซียวถังอี้ และคนอื่น ๆ หนีออกจากความวุ่นวายที่ลานบ้านมายังเรือนด้านหลังเพราะพวกเขาต้องการไปตามหาพวกมู่ไป๋ไป่ และโชคดีที่พวกเขาพบถุงหอมที่หลัวเซียวเซียวโยนทิ้งไว้ข้างทาง

“นี่คือของที่ไป๋ไป่ซื้อให้เซียวเซียวเมื่อไม่กี่วันก่อน” มู่จวินฝานจำถุงหอมนั้นได้ทันที “เสด็จอา ไป๋ไป่กับเซียวเซียวกำลังตกอยู่ในอันตราย!”

เซียวถังอี้ไม่ได้พูดอะไร เขาทำเพียงแค่นั่งลงมองดูพื้นโดยใช้แสงจันทร์

“รอยเท้าพวกนี้ล้วนเป็นรอยเท้าของผู้ชายโตเต็มวัย” อวี้เซิ่งเองก็นั่งลงมองเช่นกัน เขาเพียงแค่เหลือบมองร่องรอยพวกนั้นก่อนจะเอ่ยปากออกมาว่า “คนกลุ่มนี้มีประมาณ 20 หรือ 30 คน”

“รอยเท้าพวกนี้ยังใหม่มาก คนพวกนี้น่าจะออกไปได้ไม่นาน”

“ในเรือนหลังที่ไร้ผู้คนเช่นนี้ กลับมีผู้ชายมากกว่า 20 คนมารวมตัวกัน…”

“เจี่ยอี!” มู่จวินฝานเอ่ยปากสั่งองครักษ์เงาของตัวเองทันที “ใช้จวนตระกูลจินเป็นศูนย์กลางแล้วออกไปค้นหาในรัศมี 10 ลี้ จากนั้นให้ส่งคนไปที่ประตูเมืองเพื่อสอบถามว่ามีใครเดินทางออกไปพร้อมกับเด็ก 2 คนหรือไม่ ถ้าไม่มีก็ให้พวกเขาปิดประตูเมืองทันที ห้ามให้ใครเข้าออกนอกจากต้องได้รับอนุญาตจากทางการ”

“ขอรับ!” เจี่ยอีรับคำสั่งแล้วหายเข้าไปในเรือนที่ว่างเปล่าในพริบตา

“กลิ่น…” จื่อเฟิงที่อยู่ด้านข้างเดินไปรอบ ๆ หลังเรือนอยู่ 2-3 ครั้ง “ข้าตามกลิ่นขององค์หญิงได้!”

องค์รัชทายาทหันไปมองคนพูดด้วยสายตาที่แตกต่างไปจากเดิม “จริงหรือ?”

เขารู้ว่าคนที่มู่ไป๋ไป่คัดเลือกมานั้นมีความสามารถพิเศษบางอย่าง แต่เขาไม่คาดคิดว่าอีกฝ่ายจะพิเศษมากขนาดนี้

“จริงสิ!” จื่อเฟิงพยักหน้า “ไม่ไกล…”

แม้ว่าการรับรู้กลิ่นและการได้ยินของเขาจะแตกต่างไปจากคนทั่วไปมาก แต่นั่นก็ยังไม่ดีเท่ากับพวกสัตว์ เนื่องจากอิทธิพลของเวลาและระยะทาง เขาจึงแทบไม่สามารถมองหาทิศทางที่มู่ไป๋ไป่ถูกพรากไปได้

“ตามไป!” เซียวถังอี้ยืนขึ้นแล้วขัดจังหวะด้วยเสียงทุ้มต่ำ “เจ้าบอกทิศทางและให้คนไล่ตามนางไป”

“พ่ะย่ะค่ะ” มู่จวินฝานพยักหน้าเห็นด้วย “นี่ถือได้ว่าเร็วกว่าการค้นหาโดยไม่มีจุดหมาย”

จื่อเฟิงกัดฟันพร้อมกับชี้ไปยังทิศทางหนึ่ง “พวกนางน่าจะถูกพาไปทางนี้…”

นอกเมืองชิงหยาง

มู่ไป๋ไป่ถูกปลุกให้ตื่นขึ้น ขณะนี้ศีรษะเธอวางอยู่บนหลังม้า แล้วม้าก็ควบไปตลอดทาง ส่วนท้องของเธอพาดอยู่บนอานซึ่งขยับไม่หยุด มันทำให้เธอรู้สึกอึดอัดมาก

“แอวะ… ข้าอยากอ้วก…” เด็กหญิงพึมพำพร้อมกับพยายามขยับตัวให้สบายขึ้น

นั่นทำให้ชายที่อยู่บนหลังม้าคิดว่าเธอต้องการจะดิ้นหนี เขาจึงกดตัวเด็กน้อยลงและกระซิบข่มขู่ด้วยเสียงต่ำว่า “อยู่นิ่ง ๆ ไม่เช่นนั้นข้าจะเหวี่ยงเจ้าลงจากหลังม้าแล้วปล่อยให้ม้าเหยียบเจ้าตาย!”  

คำพูดนั้นส่งผลให้มู่ไป๋ไป่ตัวแข็งทื่อแล้วเริ่มขยับตัวอีกครั้ง เพราะเธอทนไม่ไหวแล้วจริง ๆ!

ตอนเย็นเธอกินอาหารไปเยอะมากและมันยังย่อยไม่หมด ตอนนี้เธอจึงรู้สึกเหมือนกับว่าอาหารที่เธอกินเข้าไปทั้งหมดนั้นได้ไหลย้อนมาถึงคอแล้ว

“หยุด! ข้าบอกว่าข้าจะอ้วก!” คนตัวเล็กตะโกนอย่างหมดความอดทน

ก่อนที่ชายคนนั้นจะทันเข้าใจว่ามู่ไป๋ไป่พูดว่าอะไร ม้าที่เธอโดยสารมาก็หยุดฝีเท้าเสียก่อน

“นี่ ทำไมม้าถึงไม่วิ่งต่อล่ะ?” ชายที่ขี่ม้าตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่ง เขายกแส้ขึ้นฟาดม้าเต็มแรงหลายครั้ง แต่ไม่ว่าเขาจะฟาดมันมากเท่าไหร่ ม้าก็ยังคงนิ่งเฉยราวกับว่ามันถูกวิญญาณชั่วร้ายครอบงำ

“ท่านจ้าวอสูร ท่านเป็นอะไรหรือไม่?” ม้าตัวนั้นหันศีรษะมาถามอย่างอ่อนโยน “ท่านต้องการให้ข้าคุกเข่าแล้วปล่อยให้ท่านลงไปหรือไม่?”

“ดีเลย ดีมาก” มู่ไป๋ไป่พยักหน้าซ้ำ ๆ โดยไม่สนใจว่ามันจะทำให้คนอื่นมองตนแปลกประหลาดหรือไม่ “รีบปล่อยข้าลงไปซะ!”

แน่นอนว่าเธอไม่อยากอาเจียนบนหลังม้าที่ต้องวิ่งเป็นระยะทางไกลหลายพันลี้

หลังจากม้าสีดำได้ยินคำสั่งของจ้าวอสูร มันก็งอขาหน้าและย่อตัวลงช้า ๆ

ทางด้านชายบนหลังม้าไม่ทันได้ตั้งตัวจึงทำให้เขาหล่นลงไปกองกับพื้น

“เกิดอะไรขึ้น… เมื่อกี้มันเกิดอะไรขึ้นกับม้าตัวนี้?”

คนอื่น ๆ เองก็หยุดมองดูม้าสีดำที่คุกเข่าลงด้วยสายตาแปลกประหลาด

“เกิดอะไรขึ้นหรือ?” ชายสวมหน้ากากก้าวเข้ามาพยุงชายที่ล้มไปกองอยู่บนพื้นขึ้นมา “ข้าสั่งให้เจ้าดูแลเด็กคนนี้ให้ดีไม่ใช่หรือ ทำไมเจ้าถึงหยุดกะทันหัน?”

“หัวหน้า…” คนที่ตกจากหลังม้าคือลูกคนที่ 4 ทุกคนจึงเรียกเขาว่า ‘เหล่าซื่อ’ เขาเป็นคนขี้กลัว ดังนั้นเขาจึงแทบจะหมดสติไปเพราะเหตุการณ์ที่เพิ่งเกิดขึ้น

“เมื่อกี้นางพูดอะไรบางอย่างบนหลังม้า จากนั้นจู่ ๆ ม้าก็หยุดวิ่ง”

“นอกจากม้าตัวนี้จะไม่วิ่งต่อแล้ว จู่ ๆ มันก็คุกเข่าลงกับพื้นและโยนข้าออกไปอีกด้วย”

“หัวหน้า เราอย่าพาเด็กคนนี้กลับไปที่หนานซวนเลยขอรับ นางน่ากลัวเกินไป…”

คนเป็นหัวหน้าจ้องเหล่าซื่อเขม็ง “เจ้าโง่ ถ้าพฤติกรรมผิดปกติของม้าตัวนี้เป็นเพราะเด็กน้อยอย่างที่เจ้าพูดจริง ๆ เราก็ค้นพบสมบัติเข้าแล้ว”

“หา?” เหล่าซื่อมีสีหน้าสับสน

“เจ้ารู้หรือไม่ว่ามีคนบนโลกนี้ที่เข้าใจภาษาสัตว์และควบคุมพวกมันได้” หัวหน้าพูดพลางหันไปมองมู่ไป๋ไป่อย่างครุ่นคิด “มีตำนานเล่าขานกันว่าคนเช่นนี้มักจะเกิดขึ้นในทุก ๆ 2-3 ทศวรรษ เป็นจ้าวแห่งสัตว์ร้ายที่สามารถสั่งการสัตว์ทุกชนิดบนโลกได้”

“แต่ทั้งหมดนี้ก็เป็นเพียงตำนานนี่ขอรับ…” เหล่าซื่อตัวสั่น เขาไม่อยากเชื่อเลยว่าเด็กน้อยที่อยากจะอาเจียนอยู่บนหลังม้าจะสามารถสั่งการสัตว์ได้จริง

“มันเป็นเรื่องเล่าในตำนานจริง ๆ นั่นแหละ แต่ตำนานนั้นก็ไม่ได้ไร้เหตุผลเสียทีเดียว” คนเป็นหัวหน้ายิ้มด้วยความโลภ “ข้ารู้สึกเชื่อตำนานนั้นมากกว่า”

“ส่วนเด็กน้อยคนนี้จะสามารถเข้าใจภาษาสัตว์ได้หรือไม่ แค่ลองทดสอบดูเราก็รู้แล้ว”

สารบัญ / นำทาง

แสดงความคิดเห็น

 

ข้อควรทราบ เนื่องจากผู้ดูแลหลักของเว็บไซต์เป็นคนตาบอด หากพบการแสดงผลที่ผิดเพี้ยนและสร้างความไม่สะดวกต่อการใช้งาน โปรดแจ้งทีมงานได้ในทุกช่องทาง

เราอยากให้สมาชิกทุกท่านอยู่กันอย่างครอบครัวที่อบอุ่น ให้สังคมภายในเว็บ เป็นสังคมที่ดี ดังนั้น สมาชิกทุกท่านโปรดเคารพในสิทธิของตนเองและผู้อื่น

ผลงานที่ถูกเผยแพร่บนเว็บ ให้ถือว่าลิขสิทธิ์เป็นของผู้เผยแพร่เอง ห้ามมิให้บุคคลอื่นนำไปเผยแพร่ ก็อปปี้ หรือนำไปดัดแปลง โดยไม่ได้รับอนุญาตจากเจ้าของผลงานโดยเด็ดขาด หากมีการฝ่าฝืน แล้วถูกดำเนินคดีจากเจ้าของผลงาน ทางเว็บมิขอเกี่ยวข้อง เพราะได้แจ้งเตือนเอาไว้อย่างชัดเจนแล้ว

หากพบบทความที่มีเนื้อหาไปในทางใส่ร้ายผู้อื่น หรือทำให้ผู้อื่นเสียหาย แจ้งเข้ามาได้ตามช่องทาง Email keangun2018@gmail.com ได้ตลอด 24 ชั่วโมง ทางทีมงาน จะทำการตรวจสอบ และหากเป็นจริง จะนำผลงานดังกล่าวออกจากเว็บไซต์ ไม่เกิน 1 วัน

Copyright © 2018-2025 keangun. All Right Reserved.