บทที่ 172: เจ้าตัวเล็กที่ชอบสร้างปัญหา

-A A +A

บทที่ 172: เจ้าตัวเล็กที่ชอบสร้างปัญหา

“ไม่ต้องห่วง นางอาจจะกลับมาเร็ว ๆ นี้”

“ไปตามหานาง!”

จู่ ๆ ก็มีเสียงทุ้มต่ำดังขัดขึ้นมา และอวี้เซิ่งก็รู้สึกประหลาดใจเล็กน้อยที่เห็นว่าเป็นคนผู้นั้นพูด

เซียวถังอี้ขมวดคิ้วด้วยความไม่พอใจ “ท่านจะมองหน้าข้าทำไม ตอนนี้สถานการณ์ในจวนตระกูลจินยังไม่ทราบแน่ชัด และเจ้าตัวเล็กนั่นก็ชอบสร้างปัญหาไม่ใช่หรือ ถ้าก่อนหน้านี้เราไปช่วยนางเอาไว้ไม่ทันมันจะเกิดอะไรขึ้น แล้วคราวนี้ถ้ามีเรื่องเกิดขึ้นอีกล่ะ?”

“ดังนั้นรีบไปตามหานางเถอะ” 

“ข้าขอถามท่านตามตรง” อวี้เซิ่งยกสุราขึ้นดื่มจนหมดจอก “ทำไมจู่ ๆ ท่านถึงสนใจเด็กคนนั้นล่ะ? ท่านเป็นคนพูดเองไม่ใช่หรือว่าไม่ชอบที่นางคอยสร้างปัญหาอยู่ตลอดเวลา”

เซียวถังอี้ไม่ตอบ แต่ลุกขึ้นเดินจากโต๊ะไป

จินซือหยางซึ่งอยู่ไม่ไกลสังเกตเห็นการเคลื่อนไหวแปลก ๆ เขาจึงสะกิดมู่จวินเซิ่งด้วยศอก “พี่ฉิน ดูเหมือนว่าตรงนั้นจะมีเรื่องเกิดขึ้น ท่านช่วยไปดูกับข้าหน่อยได้หรือไม่?”

เมื่อเด็กหนุ่มเห็นว่าอีกฝ่ายกำลังพูดถึงโต๊ะของมู่จวินฝาน สีหน้าของเขาก็ดูอ่อนโยนขึ้น “ข้ารู้สึกเมาเล็กน้อย ท่านไปเองคนเดียวเถอะ”

“ท่านเมาเร็วขนาดนั้นเลยหรือ?” จินซือหยางรู้สึกประหลาดใจ “ปกติแล้วแม้จะดื่มเป็นพัน ๆ จอกท่านก็แทบจะไม่รู้สึกเมามายเลยด้วยซ้ำ”

มู่จวินเซิ่งนิ่งเงียบไม่ตอบอะไรกลับ

วันนี้ตอนที่เขาไล่ตามสัตว์ประหลาดไป เขาจำเซียวถังอี้ได้ทันทีที่เห็นอีกฝ่าย

เขาได้พบเสด็จอาอยู่หลายครั้งตอนที่เขายังอยู่ในวังหลวง ชายผู้นั้นประทับอยู่ในความทรงจำของเขาเสมอมา ดังนั้นแม้เวลาจะผ่านไปนานหลายปี เขาก็ยังจำอีกคนได้ไม่ลืมเลือน

ในเวลานั้น ก่อนที่เขาจะรู้สึกสงสัยว่าทำไมเซียวถังอี้ถึงปรากฏตัวในจวนตระกูลจิน เขาก็ได้พบคนที่ทำให้เขาต้องประหลาดใจมากยิ่งขึ้น

นั่นก็คือพี่ชายคนโตของเขาซึ่งเป็นองค์รัชทายาทคนปัจจุบัน มู่จวินฝาน!

การออกจากค่ายทหารโดยไม่ได้รับอนุญาตถือว่าเป็นการกระทำผิดร้ายแรง ในฐานะองค์ชาย เขาควรจะทำตัวเป็นเยี่ยงอย่างที่ดี

ดังนั้นปฏิกิริยาแรกของเขาในขณะนั้นก็คือการซ่อนตัวเพื่อป้องกันไม่ให้มู่จวินฝานจำเขาได้

โชคดีที่ตามปกติแล้วเขาไม่ค่อยชอบการเข้าสังคม จึงทำให้จินซือหยางไม่ได้สังเกตเห็นสิ่งผิดปกติ

“ใช่แล้ว” มู่จวินเซิ่งพยักหน้าอย่างเหม่อลอย

“อา ช่างเถอะ ๆ” จินซือหยางเกาหัวตัวเองพลางกล่าวว่า “ถ้าอย่างนั้นข้าจะสั่งให้คนไปต้มน้ำแกงแก้เมาให้ท่าน เพราะตอนนี้ยังค่ำอยู่เลย”

“ไม่จำเป็น” เด็กหนุ่มคว้าอีกฝ่ายที่กำลังจะออกคำสั่งเอาไว้ก่อนจะกัดฟันพูดว่า “ซือหยาง ข้าอาจจะต้องรีบกลับไปที่ค่ายทหารก่อนกำหนด” 

การที่มู่จวินฝานมาปรากฏตัวที่นี่ถือเป็นตัวแปรสำคัญ หากเขาโชคร้ายและโดนโจมตีเขาจะไม่สามารถอธิบายอะไรได้อย่างชัดเจน อีกทั้งมันอาจจะหมายถึงหน้าตาของแม่ทัพจ้าวอีกด้วย

“อะไรนะ?!” จินซือหยางอุทาน “เวลานี้เนี่ยนะ ข้าไม่เห็นด้วย เอาเป็นว่าข้าจะไปส่งท่านออกจากเมืองพรุ่งนี้ดีหรือไม่ มีเรื่องอะไรที่ทำให้ท่านกังวลมากขนาดนั้น?”

มู่จวินเซิ่งไม่สามารถบอกอีกฝ่ายเกี่ยวกับเรื่องของมู่จวินฝานได้ เขาเพียงแค่บอกว่าเขารู้สึกเป็นกังวลเกี่ยวกับเรื่องกู่และต้องการกลับไปรายงานแม่ทัพจ้าว

“เมืองชิงหยางเป็นเมืองที่อยู่ใกล้ชายแดนมากที่สุด ข้าเกรงว่าพิษกู่นี้จะมุ่งเป้าไปที่ค่ายทหาร ดังนั้นข้าจะต้องรีบกลับไปรายงานให้แม่ทัพจ้าวระวังตัวโดยเร็วที่สุด”

“แต่ว่านกพิราบสื่อสารก็สามารถใช้ได้เช่นกัน” จินซือหยางไม่อยากให้เด็กหนุ่มรีบกลับจึงเสนอขึ้นมาว่า “ไม่เช่นนั้น ข้าจะหาม้าเร็วออกเดินทางไปแจ้งข่าวแทน ส่วนท่านก็รออยู่ที่นี่ให้สบายใจ”

“ไม่ได้” มู่จวินเซิ่งยืนกราน “เรื่องนี้เป็นเรื่องสำคัญมาก และข้าไม่ไว้ใจคนอื่น”

เมื่อเด็กหนุ่มเห็นว่าอีกฝ่ายยืนยันที่จะกลับไปให้ได้ เขาก็ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากจะต้องตอบตกลงและพาเขาไปบอกลาจินต้าเสียด้วยกัน

ทั้งด้านนักดาบหิรัณย์ก็ไม่ได้ชักชวนให้มู่จวินเซิ่งอยู่ต่อ เขาทำเพียงแค่อวยพรให้เด็กหนุ่มเดินทางโดยสวัสดิภาพเพียงเท่านั้น

จากนั้นจินซือหยางก็เดินออกไปส่งอีกฝ่ายที่ประตูด้านข้าง “ข้าได้สั่งให้คนเตรียมอาหารแห้งและน้ำให้ท่านเอาไปกินระหว่างทางแล้ว หากครั้งต่อไปท่านจะมาที่นี่ ท่านก็หาวันรั้งอยู่ในเมืองสัก 2-3 วันเพื่อที่ข้าจะได้พาท่านไปเที่ยวเล่น”

“ตกลง” มู่จวินเซิ่งยิ้มสดใสก่อนจะขึ้นไปบนหลังม้า “ซือหยาง อย่าลืมรายงานเรื่องนี้ให้ทางการทราบด้วย”

“ได้” จินซือหยางยิ้มแก้เก้อ “ท่านเนี่ยน้า…”

“ข้าไปล่ะ แล้วพบกันใหม่” เด็กหนุ่มยกแส้ขึ้นฟาดและม้าสีน้ำตาลแดงก็ส่งเสียงร้องก่อนจะวิ่งออกประตูเมืองไป

หลังจากนั้นไม่นานร่างของมู่จวินเซิ่งก็กลืนหายไปกับความมืดในยามค่ำคืน

ทางด้านจินซือหยางยืนอยู่ริมถนนสักพัก จู่ ๆ เขาก็รู้สึกเหงาขึ้นมาเล็กน้อย

แม้ว่าเขาจะติดตามนักดาบหิรัณย์ไปท่องทัศนาทั่วหล้าตั้งแต่อายุยังน้อย แต่เนื่องจากพ่อของเขาเป็นคนที่มีชื่อเสียง เขาจึงมีสหายไม่กี่คนที่จะสามารถบอกเล่าความจริงในชีวิตให้ฟังได้

จนกระทั่งเขาได้พบกับมู่จวินเซิ่ง

อย่างไรก็ตาม อีกฝ่ายเป็นทหารในกองทัพ เขาเดินทางมาที่เมืองชิงหยางได้ไม่บ่อยมากนัก ยกเว้นจะมีเหตุผลพิเศษ 

“ท่านพี่! พี่จวินเซิ่งอยู่ที่ไหน!” จินซือซือรีบวิ่งออกมาจากประตู เมื่อนางเห็นว่าพี่ชายของนางยืนอยู่ที่ประตูเพียงลำพัง นางก็เป็นกังวลมากขึ้น “ทำไมท่านไม่ให้พี่จวินเซิ่งรอข้าก่อน!”

“เจ้าจะให้เขารออะไร?” จินซือหยางมองน้องสาวของตัวเองด้วยความรู้สึกโมโห “จินซือซือ พี่ฉินไม่มีทางแต่งงานกับเจ้า ฉะนั้นเจ้ารีบยอมแพ้ไปเสียเถอะ”

“ทุกครั้งที่พี่ฉินมาที่บ้านของเรา เจ้าก็เอาแต่วิ่งตามเขาจนทั่ว ถึงเจ้าไม่คิดว่ามันน่าอาย แต่ข้าคิด!”

“คราวนี้จวินเซิ่งรีบกลับไปเพราะเขาทนเจ้าไม่ไหวแล้ว!”

ใบหน้าของจินซือซือเปลี่ยนเป็นสีแดงก่ำเมื่อถูกพี่ชายตะคอกใส่หน้า “ท่านพูดไร้สาระ! พี่จวินเซิ่งแค่พยายามหลบเลี่ยงข้าเป็นครั้งคราวเท่านั้น! จินซือหยาง ข้าจะฟ้องท่านพ่อ!”

“เจ้ามันก็รู้จักแต่ฟ้องท่านพ่อเท่านั้น” เด็กหนุ่มกลอกตาอย่างเอือมระอา “ไปสิ ข้าจะไปกับเจ้าเอง แล้วมาดูกันว่าท่านพ่อจะพูดว่าอย่างไร?”

จินซือซือที่ไม่อาจโต้แย้งได้ก็กัดริมฝีปากล่างพร้อมกับหอบหายใจเร็วขึ้น

“ไปสิ” พอจินซือหยางเห็นว่าน้องสาวไม่ยอมขยับ เขาก็รู้ว่าอีกฝ่ายโต้แย้งไม่ได้อีก เขาจึงกอดอกหลับตาลงสงบสติอารมณ์พักหนึ่ง ก่อนที่เขาจะพูดขึ้นว่า “ข้ายังไม่ได้ถามเจ้าเกี่ยวกับสิ่งที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้”

“ข้าได้ยินมาว่าเป็นคุณหนูจากตระกูลเซียวที่ช่วยชีวิตเจ้าเอาไว้ในตอนที่เจ้าเผชิญหน้ากับสัตว์ประหลาดตัวนั้น เจ้าได้ขอบคุณนางแล้วหรือยัง?” 

เมื่อพูดถึงสิ่งที่เกิดขึ้นในระหว่างวัน สีหน้าของจินซือซือก็เปลี่ยนไปทันที

นางเสตาหลบไปอีกด้านหนึ่งด้วยความรู้สึกผิดขณะพูดว่า “ใครบอกท่านว่านางช่วยข้า? ก็เห็นกันอยู่ชัด ๆ ว่าข้าใช้ความฉลาดของตัวเองจนหนีรอดมาได้!”

“จริงหรือ?” จินซือหยางหรี่ตาลงมองคนพูดอย่างสงสัย วันนี้เขาได้เข้าไปถามคนของตระกูลเซียว แล้วพวกเขาทั้งหมดก็พูดตรงกันว่ามู่ไป๋ไป่เกือบจะได้รับบาดเจ็บระหว่างที่พยายามช่วยน้องสาวของเขา

“แน่สิ!” เด็กสาวตะโกนสุดเสียง “ทำไมข้าต้องโกหกท่านด้วย?”

“อ๋อ จินซือหยาง ตอนนี้ท่านไม่เชื่อข้าแล้วสินะ!”

“ข้าเป็นน้องสาวแท้ ๆ ของท่านไม่ใช่หรือ?”

เด็กหนุ่มรู้สึกขบขันกับคำถามของอีกฝ่าย “เรื่องนี้เจ้าต้องไปถามท่านพ่อเอาเอง บางครั้งข้าก็ยังนึกสงสัยว่าเจ้าเป็นน้องสาวแท้ ๆ ของข้าหรือไม่?”

คำพูดนั้นทำให้จินซือซือรู้สึกโกรธมาก และในขณะที่นางกำลังจะพูดอะไรบางอย่าง นางก็ได้ยินเสียงอุทานดังมาจากลานบ้านในจวนตระกูลจิน

“แย่แล้ว เขากำลังกินคน!”

“วิ่ง!”

“ช่วยด้วย! มีมนุษย์กินคน!”

เมื่อจินซือหยางได้ยินเสียงตะโกนที่คุ้นเคย สีหน้าของเขาก็เปลี่ยนไปทันที เขารีบผลักน้องสาวไปที่มุมประตูด้านข้างพร้อมกับกระซิบว่า “เจ้าซ่อนตัวอยู่ที่นี่อย่าออกไปไหน ข้าจะรีบกลับมาให้เร็วที่สุด”

จินซือซือมองพี่ชายที่วิ่งออกไปด้วยความรู้สึกตื่นตระหนกอย่างอธิบายไม่ได้

ขณะนี้ที่ลานบ้านตกอยู่ในสภาพโกลาหล แขกเหรื่อพากันวิ่งหนีกระจัดกระจาย บ้างก็ชนโต๊ะจนล้มระเนระนาด บางบริเวณก็มีหยดเลือดสาดกระเซ็น

“ท่านพ่อ! ท่านแม่!”

ท่ามกลางความสับสนวุ่นวาย จินซือหยางพยายามเข้าไปคว้าตัวจินต้าเสียที่เนื้อตัวนองเลือดเอาไว้

“เกิดอะไรขึ้น?” เด็กหนุ่มผลักฝ่าฝูงชนไปจนถึงข้างกายผู้เป็นพ่อ

จินต้าเสียยกดาบขึ้นมาแล้วพูดว่า “มีคนถูกวางยาพิษแล้วตอนนี้ก็กลายเป็นบ้าไปแล้ว”

ในตอนแรกทุกอย่างดูสงบเรียบร้อยดี แต่ตอนนี้คนรับใช้หลายคนที่ยืนรออยู่ด้านข้างจู่ ๆ ก็เป็นบ้าขึ้นมาแล้วพุ่งเข้าทำร้ายแขกที่มาร่วมงาน

สารบัญ / นำทาง

แสดงความคิดเห็น

 

ข้อควรทราบ เนื่องจากผู้ดูแลหลักของเว็บไซต์เป็นคนตาบอด หากพบการแสดงผลที่ผิดเพี้ยนและสร้างความไม่สะดวกต่อการใช้งาน โปรดแจ้งทีมงานได้ในทุกช่องทาง

เราอยากให้สมาชิกทุกท่านอยู่กันอย่างครอบครัวที่อบอุ่น ให้สังคมภายในเว็บ เป็นสังคมที่ดี ดังนั้น สมาชิกทุกท่านโปรดเคารพในสิทธิของตนเองและผู้อื่น

ผลงานที่ถูกเผยแพร่บนเว็บ ให้ถือว่าลิขสิทธิ์เป็นของผู้เผยแพร่เอง ห้ามมิให้บุคคลอื่นนำไปเผยแพร่ ก็อปปี้ หรือนำไปดัดแปลง โดยไม่ได้รับอนุญาตจากเจ้าของผลงานโดยเด็ดขาด หากมีการฝ่าฝืน แล้วถูกดำเนินคดีจากเจ้าของผลงาน ทางเว็บมิขอเกี่ยวข้อง เพราะได้แจ้งเตือนเอาไว้อย่างชัดเจนแล้ว

หากพบบทความที่มีเนื้อหาไปในทางใส่ร้ายผู้อื่น หรือทำให้ผู้อื่นเสียหาย แจ้งเข้ามาได้ตามช่องทาง Email keangun2018@gmail.com ได้ตลอด 24 ชั่วโมง ทางทีมงาน จะทำการตรวจสอบ และหากเป็นจริง จะนำผลงานดังกล่าวออกจากเว็บไซต์ ไม่เกิน 1 วัน

Copyright © 2018-2025 keangun. All Right Reserved.