บทที่ 168: ทำไมท่านถึงได้ไร้เหตุผลถึงเพียงนี้?

-A A +A

บทที่ 168: ทำไมท่านถึงได้ไร้เหตุผลถึงเพียงนี้?

ทางด้านมู่ไป๋ไป่ได้เตรียมพร้อมเอาไว้แล้ว เมื่อสาวใช้ทั้ง 2 คนพยายามจะจับตัวเธอ เธอก็ก้มตัวลงก่อนจะเบี่ยงตัวไปอีกทาง

เนื่องจากเธอตัวเล็กและมีร่างกายยืดหยุ่น ดังนั้นสาวใช้พวกนั้นจึงไม่สามารถจับเธอไว้ได้

จินซือซือรู้สึกไม่ชอบหน้ามู่ไป๋ไป่ตั้งแต่แรกเห็น และอยากจะจัดการกับเธอ พอเห็นว่าสาวใช้จับเจ้าตัวเล็กไม่ได้สักที นางจึงก่นด่าสาวใช้ว่าเป็นพวกไร้ประโยชน์ ก่อนจะเลิกแขนเสื้อตัวเองขึ้น

“นี่ ทำไมท่านถึงได้ไร้เหตุผลถึงเพียงนี้?” เด็กหญิงชำเลืองมองสัตว์ประหลาดที่กำลังจะตามมาทันแล้วจ้องเด็กสาวตรงหน้าด้วยความโกรธ “ข้าเตือนให้ท่านหนีเอาตัวรอดแล้วไม่ใช่หรือ?”

เธอไม่เคยเห็นใครที่รนหาที่ตายขนาดนี้มาก่อน!

“หนี?” จินซือซือเลิกคิ้วขึ้น “ตระกูลจินของเราเป็นที่ที่ปลอดภัยมาก มันจะไปมีสัตว์ประหลาดอย่างที่เจ้าบอกได้อย่างไรกัน?”

“ถ้ามีเรื่องเกิดขึ้นจริง ๆ ท่านพ่อคงรีบมาหาข้านานแล้ว”

“คงเป็นเจ้า นังเด็กเหลือขอที่แอบหนีเข้ามาในนี้— กรี๊ดดดดด! สัตว์ประหลาด!”

ยังไม่ทันที่เด็กสาวจะพูดจบ นางก็เหลือบไปเห็นชายคนหนึ่งที่อยู่ในสภาพเปื้อนเลือดปรากฏตัวขึ้นไม่ไกล ชายคนนั้นยังคงสวมเสื้อผ้าของคนรับใช้ตระกูลจิน แต่ใบหน้าของเขาดูบิดเบี้ยวจนมองไม่ชัดว่าเป็นใคร และปากก็เปิดออกกว้างพร้อมกับส่งเสียงน่ากลัวออกมา

ทางด้านสาวใช้ที่ยังคงพยายามจับมู่ไป๋ไป่ก่อนหน้านี้ได้วิ่งหนีไปด้วยความตกใจแล้ว

แต่เหมือนขาของจินซือซือจะไม่ยอมขยับตามใจนึก ทำให้นางล้มลงกับพื้น ขานางอ่อนแรงจนไม่สามารถวิ่งหนีต่อไปได้ ดังนั้นนางจึงทำได้เพียงเบิกตากว้างจ้องมองสัตว์ประหลาดที่กำลังคืบคลานเข้ามา

มู่ไป๋ไป่ที่กำลังจะวิ่งหนีเมื่อเห็นท่าทางของเด็กสาว เธอก็พูดไม่ออกอยู่ชั่วอึดใจและไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากจะยื่นมือออกไปช่วยเหลืออีกฝ่าย

“ท่านจะมัวนั่งนิ่งอยู่ทำไม อยากตายหรืออย่างไรหา!”

“ลุกขึ้น!”

จินซือซือที่ถูกเด็กหญิงดึงขึ้นมากลับมามีสติอีกครั้ง พอเห็นว่าสัตว์ประหลาดกำลังพุ่งเข้ามาอย่างรวดเร็ว หัวใจของนางก็เย็นเฉียบ ตอนนี้นางไม่สนใจอะไรอีกแล้วขณะที่ยกมือขึ้นผลักอีกคนไปทางสัตว์ประหลาดตัวนั้น

ใครจะไปคาดคิดว่า มู่ไป๋ไป่ที่ใจดียื่นมือเข้าช่วยเหลือศัตรูจะถูกตอบแทนเช่นนี้ นั่นทำให้ใบหน้าของเธอเปลี่ยนสีเพราะความโกรธ

จากนั้นเธอก็ดึงแส้ออกมาจากเอวพร้อมกับพยายามหาอะไรบางอย่างมาเป็นเครื่องทุ่นแรง

แต่ภายในสนามหญ้าแห่งนี้ว่างเปล่า มันไม่มีอะไรที่สามารถนำมาใช้ประโยชน์ได้เลย 

พอมู่ไป๋ไป่เห็นสัตว์ประหลาดเข้ามาใกล้มากขึ้นเรื่อย ๆ เธอก็สามารถมองเห็นเศษชิ้นเนื้อและเลือดติดอยู่ที่ปากของมันได้อย่างชัดเจน

นั่นทำให้คนตัวเล็กโกรธมากยิ่งขึ้นไปอีก!

หากเธอรู้ว่าเรื่องราวจะกลายเป็นเช่นนี้ เธอจะไม่ยื่นมือเข้าไปช่วยจินซือซือเลย!

ท่านพี่รัชทายาทพูดถูก เธอไม่ควรเข้าไปยุ่งเรื่องพวกนี้อีกต่อไป!

มู่ไป๋ไป่หลับตาลงด้วยความสิ้นหวัง และอธิษฐานในใจขอให้สัตว์ประหลาดไม่กัดหน้าเธอ

ในขณะนั้นเอง จู่  ๆ ก็มีเสียงแหวกอากาศดังขึ้นพร้อมกับมีบางอย่างพุ่งผ่านหน้าเด็กหญิงไปก่อนที่เธอจะทันได้ตอบโต้ เธอกระชับแส้ในมือแน่นขึ้น จากนั้นก็มีแรงดึงเธอกลับ 

ส่งผลให้ร่างกลม ๆ ของเธอหมุนคว้างอยู่หลายครั้ง แล้วสุดท้ายก็ไปตกอยู่ในอ้อมแขนอันอบอุ่น

“นี่ เจ้าเด็กจอมจุ้นอย่างเจ้าก็มีวันนี้ด้วยหรือ?” เสียงยียวนกวนประสาทดังขึ้นพร้อมกับท่าทีเยาะเย้ย

พอเซียวถังอี้เห็นมู่ไป๋ไป่มองตนตาไม่กะพริบ เขาก็เลิกคิ้วขึ้นสูง “อะไร เจ้ากลัวจนตายไปแล้วหรือ?”

เขาคิดว่าเจ้าตัวเล็กกล้าหาญมาก แต่ตอนนี้นางก็ยังเป็นเพียงแค่เด็กคนหนึ่งอยู่ดี

ตอนที่เด็กหนุ่มกำลังจะเอ่ยปากพูดคำปลอบโยน จู่ ๆ เด็กหญิงทรงหน้าก็คว้าคอเสื้อเขาแล้วตะโกนใส่เขาเสียงดังว่า “ท่านมาที่นี่ได้อย่างไร! ท่านตามข้ามาใช่หรือไม่? ในเมื่อท่านตามข้ามาแล้ว ทำไมท่านไม่ออกมาตั้งแต่ก่อนหน้านี้!”

“ข้าเกือบจะโดนเจ้าสัตว์ประหลาดตัวนั้นกินไปแล้ว!”

มุมปากของเซียวถังอี้กระตุก ทันทีที่เขาคลายมือออก มู่ไป๋ไป่ก็หล่นลงไปก้นกระแทกกับพื้นเสียงดังตุ๊บ

“โอ๊ย!” คนตัวเล็กลูบก้นตัวเองที่กระแทกกับพื้นถึง 2 ครั้งในวันเดียว พร้อมกับพองแก้มด้วยความโกรธ ตอนนี้เธอโมโหมากจนเหมือนมีควันพุ่งออกจากหูเลยทีเดียว “ท่านทำอะไรน่ะ!”

“ไม่ได้ทำอะไรสักหน่อย” เซียวถังอี้ยักไหล่พลางเหลือบมองมู่ไป๋ไป่ด้วยหางตา “ข้าแค่คิดว่ามันเสียงดังก็เท่านั้น”

เขาน่าจะรู้อยู่แล้วว่าเจ้าตัวเล็กคนนี้ไม่สามารถพูดอะไรดี ๆ แบบคนอื่นได้หรอก

“ท่านว่าใครเสียงดัง!” มู่ไป๋ไป่หรี่ตาทำท่าขู่เขาฟ่อ ๆ “ข้ายังไม่ได้ถามท่านเลยว่าทำไมท่านถึงตามข้ามาจนถึงเมืองชิงหยาง!”

เซียวถังอี้เสตามองไปทางอื่นนิ่ง ๆ “หุบปากซะ ถ้าไม่อยากตาย”

“นี่ท่าน!” เด็กหญิงกำลังจะโต้เถียงกับเขา เมื่อได้ยินเสียง “แฮ่ ๆ” ดังมาจากข้างหลังอีกครั้ง เธอก็กลืนคำพูดที่กำลังจะหลุดออกจากปากแล้วไปหลบอยู่ด้านหลังคนตัวสูงกว่า ก่อนจะโผล่เพียงหัวออกมามองสัตว์ประหลาดตัวนั้น

พอเซียวถังอี้เห็นท่าทางหวาดกลัวของอีกฝ่าย เขาก็รู้สึกขบขัน “เมื่อกี้เจ้ายังปากเก่งอยู่เลยไม่ใช่หรือ?”

มู่ไป๋ไป่กะพริบตามองเขาอย่างไร้เดียงสาขณะที่โต้กลับไปว่า “ปากเก่งอะไร ไม่เห็นรู้เรื่องเลย เจ้าสัตว์ประหลาด ข้าจะบอกให้นะว่าสัตว์ประหลาดตัวนี้มีบางอย่างผิดปกติมาก ดังนั้นท่านต้องระวังตัวด้วย”

มนุษย์เราจะต้องมีความยืดหยุ่น ในบางสถานการณ์ต้องยืดได้งอได้

และสถานการณ์เช่นนี้เธอควรยอมอ่อนข้อไม่ใช่หรือ?

อย่างน้อยก็ควรเอาชีวิตรอดไปให้ได้ก่อน!

เซียวถังอี้ยกยิ้มมุมปากมองมู่ไป๋ไป่ แต่ก็ไม่ได้โต้เถียงกับนางอีก

ทางด้านมู่ไป๋ไป่ก็ทำตัวหน้าหนา แสร้งทำเป็นไร้เดียงสาต่อไป

ส่วนสัตว์ประหลาดที่ถูกมองข้ามก็ส่งเสียงคำราม มันแยกเขี้ยวพร้อมกับกางกรงเล็บเป็นการประท้วงคนทั้ง 2

“ทางนี้! เร็วเข้า!” ทันใดนั้นก็มีเสียงหนึ่งดังขึ้น ไม่นานจินซือหยางกับมู่จวินฝานก็ปรากฏตัวพร้อมกับคนของตน ตามมาด้วยอวี้เซิ่ง หลัวเซียวเซียวและคนอื่น ๆ

“ไป๋ไป่!” พอมู่จวินฝานเห็นมู่ไป๋ไป่ยืนอยู่ด้านหลังคนที่สวมหน้ากากสีเงิน เขาก็รีบพุ่งเข้าไปดึงนางเข้ามาหาตนทันที ก่อนจะพลิกตัวนางไปทางซ้ายทีขวาทีเพื่อตรวจสอบให้แน่ใจว่านางไม่ได้รับบาดเจ็บตรงไหน จากนั้นเขาก็ถอนหายใจเฮือกใหญ่ด้วยความโล่งอก

“ข้าจะไม่ยอมตามใจเจ้าอีกแล้ว ข้าบอกแล้วไม่ใช่หรือว่าอย่าปล่อยให้ตัวเองไปเสี่ยงอันตราย?”

“ท่านพี่ ข้าไม่ได้พาตัวเองไปเสี่ยงอันตรายนะ!” คนตัวเล็กพยายามออดอ้อนอีกฝ่าย “ถ้าได้วางแผนเอาไว้แล้ว อวี้เซิ่งวิ่งได้เร็วกว่าคนอื่น ดังนั้นจึงเป็นการดีที่สุดที่จะให้เขาไปเรียกกำลังเสริมมาช่วยข้า”

“ดูสิ ข้าคำนวณถูกต้องไม่ใช่หรือ?”

“เจ้ายังจะมาภูมิใจในตัวเองอีก!” มู่จวินฝานบีบปลายจมูกของน้องสาวด้วยความมันเขี้ยว ก่อนจะพูดเตือนว่า “คราวหน้าอย่าทำเช่นนี้อีก!”

มู่ไป๋ไป่พยักหน้ารับทันที

ในเวลาเดียวกัน ดวงตาของหลัวเซียวเซียวกับจื่อเฟิงที่อยู่ด้านข้างก็เปลี่ยนเป็นสีแดงเล็กน้อย ท่าทางของพวกเขาบ่งบอกชัดเจนว่ากังวลมากแค่ไหน และทั้งคู่ก็เอาแต่จ้องมององค์หญิงหกไม่วางตา

 เด็กหญิงที่เห็นดังนั้นก็เข้าไปลูบหัวคนทั้ง 2 เพื่อให้พวกเขาสบายใจ

ในอีกด้านหนึ่ง จินซือหยางกับคนอื่น ๆ ของจวนตระกูลจินต่างตกตะลึงเมื่อพวกเขาเห็นชายตัวเปื้อนเลือดที่ยืนอยู่ที่ลานบ้าน 

“เจ้าเป็นคนรับใช้ของเรือนไหน? ทำไมเจ้าถึงได้รับบาดเจ็บ?” จินซือหยางขมวดคิ้วและพยายามคุยกับชายคนนั้น

อย่างไรก็ตาม ดูเหมือนว่าสัตว์ประหลาดจะสูญเสียความเป็นมนุษย์ไปแล้ว มันเพียงแค่เดินเข้ามายังทิศทางที่มีผู้คนยืนอยู่อย่างไม่ลดละ พร้อมกับตวัดกรงเล็บราวกับว่าต้องการจะฉีกทึ้งคนทั้งหมดเป็นชิ้น ๆ 

“เขาตายไปแล้ว” เซียวถังอี้พูดขึ้นมาท่ามกลางความเงียบ

“ตายไปแล้วหรือ?” จินซือหยางตกใจ “เห็นกันอยู่ชัด ๆ ว่าเขายังมีชีวิตอยู่ และยังสามารถเคลื่อนไหวได้”

“มันคือพิษกู่” อวี้เซิ่งที่อยู่ด้านข้างก็พูดออกมาเช่นกัน “มีคนบอกว่าพิษหนอนกู่ในหนานเจียงสามารถควบคุมคนตายได้ ไม่คิดเลยว่ามันจะเป็นจริงอย่างที่เขาร่ำลือกัน”

“กู่?” สีหน้าของจินซือหยางมืดลง “ใครก็ได้ มาจับเขามัดเอาไว้ อย่าปล่อยให้เขาหลุดออกไปทำร้ายคนอื่นอีก”

หลังจากออกคำสั่งเขาก็หันมายกมือคำนับให้กับอวี้เซิ่งและเซียวถังอี้ด้วยท่าทางเคารพ

“ข้าขอรบกวนท่านทั้ง 2 มากับข้าเพื่อไปพบท่านพ่อ และอธิบายเรื่องนี้แทนข้าได้หรือไม่?” จินซือหยางคอยติดตามนักดาบหิรัณย์ท่องทัศนาจรไปทั่วหล้ามานานหลายปี ดังนั้นเขาจึงรู้ว่าผู้ที่มีวรยุทธระดับปรมาจารย์มากมายซ่อนอยู่ในยุทธภพ

สารบัญ / นำทาง

แสดงความคิดเห็น

 

ข้อควรทราบ เนื่องจากผู้ดูแลหลักของเว็บไซต์เป็นคนตาบอด หากพบการแสดงผลที่ผิดเพี้ยนและสร้างความไม่สะดวกต่อการใช้งาน โปรดแจ้งทีมงานได้ในทุกช่องทาง

เราอยากให้สมาชิกทุกท่านอยู่กันอย่างครอบครัวที่อบอุ่น ให้สังคมภายในเว็บ เป็นสังคมที่ดี ดังนั้น สมาชิกทุกท่านโปรดเคารพในสิทธิของตนเองและผู้อื่น

ผลงานที่ถูกเผยแพร่บนเว็บ ให้ถือว่าลิขสิทธิ์เป็นของผู้เผยแพร่เอง ห้ามมิให้บุคคลอื่นนำไปเผยแพร่ คัดลอก หรือนำไปดัดแปลงโดยไม่ได้รับอนุญาตจากเจ้าของผลงานโดยเด็ดขาด หากมีการฝ่าฝืนแล้วถูกดำเนินคดีจากเจ้าของผลงาน ทางเว็บมิขอเกี่ยวข้อง เพราะได้แจ้งเตือนเอาไว้อย่างชัดเจนแล้ว

หากพบบทความที่มีเนื้อหาไปในทางใส่ร้ายผู้อื่น หรือทำให้ผู้อื่นเสียหาย แจ้งเข้ามาได้ที่ keangun2018@gmail.com ได้ตลอด 24 ชั่วโมง ทางทีมงานจะทำการตรวจสอบ และหากเป็นจริง จะนำผลงานดังกล่าวออกจากเว็บไซต์ไม่เกิน 1 วัน

Copyright © 2018-2025 keangun. All Rights Reserved.