บทที่ 123: ท่านดีกับข้าที่สุด!

-A A +A

บทที่ 123: ท่านดีกับข้าที่สุด!

“พระสนม?” นางกำนัลมองหรงเฟยด้วยสายตาสับสน “เมื่อครู่ท่านไม่ได้สั่งให้พวกเราหลบออกไปหรือเพคะ?”

“ข้าสั่งอย่างนั้นหรือ?” หญิงสาวขมวดคิ้วถามกลับ

นางกำนัลพยักหน้าตอบรับ “เพคะ เมื่อครู่มีขันทีน้อยคนหนึ่งเข้ามาบอกว่าท่านสั่งให้พวกเราออกไปก่อน”

 “...” หรงเฟยที่ได้ยินดังนี้ก็นิ่งอึ้งไปชั่วครู่

ขันทีคนนั้นเป็นใครกันแน่ถึงได้กล้าหาญเช่นนี้?

“พระสนม เกิดเรื่องอะไรขึ้นหรือเพคะ?” นางกำนัลรู้สึกกังวลขึ้นมาเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายนิ่งเงียบไป

“ไม่มีอะไร” หรงเฟยสะดุ้งตื่นจากภวังค์ ก่อนจะพูดขึ้นว่า “ข้าสั่งให้คนจับตาองค์หญิงหกเอาไว้ไม่ใช่หรือ ในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมานางมีความเคลื่อนไหวอะไรหรือไม่?”

“ตอบพระสนม ที่เรือนรับรององค์หญิงหกปกติดีเพคะ” พอนางกำนัลได้ยินคนเป็นเจ้านายพูดถึงมู่ไป๋ไป่ นางก็รีบตอบกลับด้วยน้ำเสียงที่แผ่วเบาลง

“เจ้าแน่ใจหรือ?” หรงเฟยจำสิ่งที่ขันทีหนุ่มคนนั้นพูดเมื่อสักครู่นี้ได้

นางกำนัลพยักหน้าซ้ำ ๆ แล้วยังกล่าวสำทับอีกด้วยว่าเอาหัวของตนเป็นประกันได้เลย

ขณะนี้หรงเฟยลังเลไม่รู้ว่าจะเชื่อใครดี ดังนั้นนางจึงขับไล่นางกำนัลตรงหน้าออกไป แล้วก่อนหน้านั้นนางก็ไม่ลืมที่จะสั่งห้ามไม่ให้ทหารองครักษ์ออกจากเรือนของนางเว้นแต่จะได้รับคำสั่งจากปากของนางเอง

นั่นทำให้นางกำนัลที่รับใช้ข้างกายไม่เข้าใจท่าทีของนางเลยสักนิด แต่ก็ยังต้องก้มหน้าทำตามคำสั่งที่ได้รับอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

ขณะนี้มู่ไป๋ไป่ได้เดินทางมาถึงเชิงเขาเรียบร้อยแล้ว หลังจากนั้นไม่นานเสิ่นจวินเฉาก็ปรากฏตัวขึ้น

“ไป๋ไป่ ทำไมวันนี้เราถึงนัดกันที่นี่ล่ะ?” เด็กชายเดินเข้ามาพร้อมกับคนรับใช้ 2 คนโดยที่ทั้ง 2 ถือกล่องใบใหญ่เอาไว้ในมือ

คนตัวเล็กได้กลิ่นหอมอ่อน ๆ โชยออกมาจากกล่องอาหารนั้นและอดไม่ได้ที่จะกลืนน้ำลาย “ช่วงนี้ครอบครัวของข้าเข้มงวดมาก พวกเขาไม่ยอมให้ข้าออกไปข้างนอก”

“ข้ากลัวว่าถ้าต้องเดินทางไปถึงเมืองหลวง ข้าจะกลับไปไม่ทัน ก็เลยนัดท่านให้มาที่นี่”

“นั่นสินะ” พอเสิ่นจวินเฉาได้ยินสิ่งที่อีกฝ่ายพูด เขาก็ไม่ได้ถามคำถามอะไรอีก เขาให้คนตรวจนับจำนวนผลเพลิงสีชาด จากนั้นจึงหยิบตั๋วแลกเงินส่งให้มู่ไป๋ไป่ ก่อนจะสั่งให้คนรับใช้ที่อยู่ด้านหลังนำอาหารมาให้ 

“พอรู้ว่าเจ้าเข้าเมืองไม่ได้ ข้าคิดว่าเจ้าคงจะไปร่วมงานเลี้ยงที่จวนของข้าไม่ได้เช่นกัน ดังนั้นข้าจึงสั่งให้ห้องครัวเตรียมอาหารอร่อย ๆ มาให้เจ้า”

“เจ้าลองชิมดูสิ ถ้าเจ้าชอบครั้งหน้าข้าจะให้ห้องครัวทำให้เจ้าอีก”

เด็กหญิงเปิดกล่องอาหารแล้วเห็นว่ามีอาหารละลานตาเต็มไปหมด แถมทุกอย่างยังอุ่น ๆ อยู่ด้วย

“พี่จวินเฉา ท่านดีกับข้าที่สุดเลย!” มู่ไป๋ไป่รู้สึกซาบซึ้งกับการใส่ใจของอีกฝ่ายมาก

“นั่นเป็นเรื่องที่ข้าสมควรทำแล้ว” เมื่อเสิ่นจวินเฉาเห็นว่ามู่ไป๋ไป่น่ารักเพียงใด เขาก็อดไม่ได้ที่จะลูบหัวของอีกคน “จริง ๆ แล้วข้าก็มีน้องสาวคนหนึ่งที่คล้ายกับเจ้า”

“แต่ข้าต้องอยู่ห่างจากบ้านตลอดทั้งปีจึงไม่มีโอกาสได้พบกับนางมากนัก”

“มันคงน่าขันที่จะบอกว่าตอนนี้ข้าจำไม่ได้ด้วยซ้ำว่าน้องสาวคนนั้นหน้าตาเป็นเช่นไร”

นี่เป็นครั้งแรกที่มู่ไป๋ไป่ได้ยินเสิ่นจวินเฉาพูดเกี่ยวกับครอบครัวของตัวเอง และเธอก็ถามขึ้นมาอย่างสงสัยว่า “เป็นไปได้อย่างไร? ช่วงปีใหม่ของทุกปีพี่จวินเฉาไม่ได้กลับบ้านเลยหรือ?”

“สถานการณ์ที่บ้านของข้าค่อนข้างจะซับซ้อนเล็กน้อย…” เด็กชายไม่รู้จะอธิบายอย่างไร

“อ๋อ…” เด็กหญิงเข้าใจและไม่ถามเซ้าซี้อีก

“ข้ายังไม่ได้พูดอะไรเลย เจ้าอ๋ออะไรกัน?” เสิ่นจวินเฉาส่ายหัวอย่างเอ็นดู “ตอนนี้ก็ใกล้จะถึงเวลาแล้ว ในเมื่อเจ้าแอบออกมาที่นี่ ก็อย่าได้รั้งอยู่นาน”

“รีบกลับไปเถอะ”

จากนั้นเด็กชายก็บอกให้หลัวเซียวเซียวกับจื่อเฟิงถือกล่องอาหารขนาดใหญ่ 4 กล่องไป

ในไม่ช้า มู่ไป๋ไป่ที่ก้าวออกไปได้ไม่กี่ก้าวจู่ ๆ ก็หันกลับมาพูดว่า “พี่จวินเฉา หากท่านคิดถึงบ้าน ท่านก็ควรหาเวลากลับไปเยี่ยมสักครั้ง”

“ไม่ว่าสถานการณ์ที่บ้านจะซับซ้อนเพียงใด แต่พวกเขาก็ยังเป็นคนในครอบครัวของท่านไม่ใช่หรือ?”

เสิ่นจวินเฉาตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็ยิ้มกว้างและพยักหน้ารับ “ข้าเข้าใจแล้ว”

เมื่อเด็กหญิงเห็นอีกฝ่ายพยักหน้ารับ เธอก็เดินออกไปอย่างมีความสุข

พอเสิ่นจวินเฉาเห็นคนตัวเล็กหายลับไปจากสายตา ตอนนั้นเขาถึงได้พาคนของเขามุ่งหน้ากลับไปยังเมืองหลวง

ในยามที่เขาเดินเข้าใกล้จวนตระกูลเสิ่น จู่ ๆ เด็กชายก็หยุดฝีเท้าและถามคนข้างกายว่า “เจ้าคิดว่าถึงเวลาที่ข้าต้องกลับวังหลวงแล้วหรือยัง?”

ทว่าผู้ติดตามกลับไม่กล้าตอบอะไร พวกเขาทำได้เพียงแค่ก้มหน้าลงเงียบ ๆ เท่านั้น

เสิ่นจวินเฉาที่ไม่ได้คาดหวังคำตอบจากพวกเขาตั้งแต่แรกก็ทำเพียงยิ้มกับตัวเองก่อนจะเดินเข้าประตูจวนตระกูลเสิ่นไป

ในอีกด้านหนึ่ง มู่ไป๋ไป่, หลัวเซียวเซียวและคนอื่น ๆ ซ่อนตัวอยู่ที่พุ่มหญ้าริมถนน พวกเธอรอให้เสิ่นจวินเฉามุ่งหน้ากลับเมืองก่อนที่จะเดินกลับไปยังวัดฮู่กั๋ว

การเดินทางไปกลับในครั้งนี้ใช้เวลาไม่นาน มู่ไป๋ไป่จึงกลับมาที่ห้องเพื่อแบ่งเงินที่เพิ่งได้รับออกเป็น 3 ส่วน แล้วมอบให้หลัวเซียวเซียวกับจื่อเฟิง

“องค์หญิงหก เราไม่สามารถรับเงินมากขนาดนั้นเอาไว้ได้” หลัวเซียวเซียวมองดูตั๋วแลกเงินที่อีกฝ่ายเต็มใจจะมอบให้นางด้วยความรู้สึกลำบากใจเล็กน้อย “นอกจากนี้ หม่อมฉันรู้สึกหวาดระแวงอยู่ทุกวันที่จะต้องถือเงินจำนวนมากไว้กับตัว”

“นี่ เจ้าลืมที่ข้าบอกไปเมื่อครั้งที่แล้วแล้วหรือ?” มู่ไป๋ไป่แสร้งทำเป็นโกรธขณะจ้องสหายตัวน้อย “ดูสิ คราวที่แล้วเกิดเรื่องขึ้นกับพี่จวินเฉา ถ้าข้าไม่มีเงิน ข้าจะสามารถโน้มน้าวอวี้เซิ่งให้ช่วยเราได้อย่างไร?”

“ดังนั้น การมีเงินมากขึ้นมันไม่ได้เสียหายอะไร เจ้ารีบเก็บมันไปเถอะ”

“ถ้าเจ้ารู้สึกไม่สบายใจที่ต้องพกเงินจำนวนนี้ติดตัวไปไหนด้วยจริง ๆ เจ้าก็เอาเงินไปให้แม่เจ้าช่วยเก็บเอาไว้ตอนที่เรากลับไปถึงวังหลวงก็ได้”

“จริงด้วยเพคะ ทำไมหม่อมฉันถึงลืมเรื่องนี้ไปได้” หลัวเซียวเซียวตีหัวของตัวเองเบา ๆ “ถ้าเช่นนั้นหม่อมฉันจะเก็บเงินไว้ หลังจากที่เรากลับวังหลวง หม่อมฉันจะมอบเงินทั้งหมดนี้ให้ท่านแม่”

แม่ของนางอาจจะไม่เคยเห็นเงินมากมายขนาดนี้มาก่อนในชีวิต

พอเด็กหญิงนึกถึงว่าท่านแม่จะมีความสุขมากเพียงใดยามที่ได้เห็นเงินก้อนนี้ นางก็อดหัวเราะไม่ได้เมื่อคิดถึงสีหน้าของแม่ตัวเอง

จากนั้นชีวิตของมู่ไป๋ไป่ก็กลับคืนสู่ความสงบสุข นอกเหนือจากการไปสวดมนต์ขอพรทุกวันแล้ว เธอกับหลัวเซียวเซียวก็จะใช้เวลาออกไปเที่ยวเล่นกันเป็นครั้งคราว และยังแอบขึ้นไปบนภูเขาเพื่อเก็บผลเพลิงสีชาดมาแลกกับเงิน

ในพริบตาเดียว เวลาก็ผ่านไปอีก 2-3 วัน

วันนี้หลังจากผ่านมื้อกลางวันแล้ว มู่ไป๋ไป่ก็ไปนอนอาบแดดอยู่ในลานบ้านอย่างเกียจคร้าน ก่อนที่จะได้ยินเสียงจื่อเฟิงวิ่งเข้ามา

“องค์หญิง! องค์หญิง!”

ท่าทางของเด็กหนุ่มเป็นกังวลมาก และเขาที่พูดไม่ค่อยคล่องก็ยิ่งทำให้เด็กหญิงไม่เข้าใจสิ่งที่เขาต้องการจะบอกในขณะที่ใบหน้าของเขาแดงก่ำ

“ท่านใจเย็น ๆ ก่อน” มู่ไป๋ไป่ลอบถอนหายใจเมื่อเห็นท่าทางเช่นนี้ของเขา “ดื่มน้ำก่อนแล้วค่อยพูด”

หลัวเซียวเซียวเองก็เทชายื่นให้อีกฝ่ายดื่ม

“ไม่ดื่ม!” จื่อเฟิงผลักถ้วยชาออกไปอย่างเป็นกังวล “เกิดเรื่องแล้ว!”

“ดูจากท่าทางของท่าน ข้าก็รู้ว่ามีเรื่องเกิดขึ้น” มู่ไป๋ไป่พูดพลางกลอกตามองบน

“เจ้าตัวโตหายไป!” เด็กหนุ่มอ้าปากพะงาบ ๆ อยู่นานก่อนที่เขาจะพูดขึ้นอย่างเป็นกังวล “เมื่อวานนี้ ข้าขึ้นไปบนภูเขาเพื่อตามหามัน แต่หาเท่าไหร่ก็หาไม่เจอ”

“วันนี้ข้าก็หามันไม่เจอเหมือนกัน!”

จื่อเฟิงพยายามทำท่าทางประกอบคำพูด “ข้าค้นทั่วภูเขาแล้วก็ไม่พบ!”

มู่ไป๋ไป่กับหลัวเซียวเซียวมองหน้ากันด้วยความประหลาดใจ ในขณะที่ทั้งคู่ไม่ค่อยเชื่อสักเท่าไหร่ “เจ้าตัวโตมักจะวิ่งไปทั่วเขา ท่านอาจจะไปผิดเวลาจึงทำให้ตามหามันไม่เจอ”

“ไม่!” จื่อเฟิงส่ายหัวตอบด้วยความมั่นใจ “มันหายไป”

เขารู้จักเจ้าตัวโตดี มันเป็นไปไม่ได้ที่มันจะอยู่ห่างจากถ้ำของมันหลายวันเช่นนี้

เขาไปที่ถ้ำหมาป่าถึง 2 ครั้ง แต่เขากลับไม่เห็นร่องรอยของเจ้าตัวโตกลับมาเลย

ไม่เพียงเท่านั้น เขายังพบคราบเลือดผิดปกติในป่าอีกด้วย!

“เจ้าตัวโตต้องถูกจับไปแน่!”

พอมู่ไป๋ไป่เห็นว่าจื่อเฟิงมั่นใจมาก เธอจึงจำเป็นต้องจริงจังกับมัน “อย่าเพิ่งด่วนสรุปไป ข้าจะขึ้นเขาไปดูกับท่าน”

สารบัญ / นำทาง

แสดงความคิดเห็น

 

ข้อควรทราบ เนื่องจากผู้ดูแลหลักของเว็บไซต์เป็นคนตาบอด หากพบการแสดงผลที่ผิดเพี้ยนและสร้างความไม่สะดวกต่อการใช้งาน โปรดแจ้งทีมงานได้ในทุกช่องทาง

เราอยากให้สมาชิกทุกท่านอยู่กันอย่างครอบครัวที่อบอุ่น ให้สังคมภายในเว็บ เป็นสังคมที่ดี ดังนั้น สมาชิกทุกท่านโปรดเคารพในสิทธิของตนเองและผู้อื่น

ผลงานที่ถูกเผยแพร่บนเว็บ ให้ถือว่าลิขสิทธิ์เป็นของผู้เผยแพร่เอง ห้ามมิให้บุคคลอื่นนำไปเผยแพร่ ก็อปปี้ หรือนำไปดัดแปลง โดยไม่ได้รับอนุญาตจากเจ้าของผลงานโดยเด็ดขาด หากมีการฝ่าฝืน แล้วถูกดำเนินคดีจากเจ้าของผลงาน ทางเว็บมิขอเกี่ยวข้อง เพราะได้แจ้งเตือนเอาไว้อย่างชัดเจนแล้ว

หากพบบทความที่มีเนื้อหาไปในทางใส่ร้ายผู้อื่น หรือทำให้ผู้อื่นเสียหาย แจ้งเข้ามาได้ตามช่องทาง Email keangun2018@gmail.com ได้ตลอด 24 ชั่วโมง ทางทีมงาน จะทำการตรวจสอบ และหากเป็นจริง จะนำผลงานดังกล่าวออกจากเว็บไซต์ ไม่เกิน 1 วัน

Copyright © 2018-2024 keangun. All Right Reserved.