บทที่ 4 มันมีแฟนเป็นผู้ชาย
ร้านอาหารที่เพทายพามาอยู่ไกลจากสนามกีฬาไม่มากขับรถมาแค่สิบนาทีก็ถึงแล้ว ทิวารับรู้ได้ว่าเพทายค่อนข้างจะมีความเชี่ยวชาญเส้นทางของที่นี่มากพอสมควร ซึ่งนั่นก็เป็นเพราะว่าบ้านของเขาอยู่ไม่ไกลจากมหาวิทยาลัยมากนักเขามักจะมาหาของอร่อย ๆ แถว ๆ มหาวิทยาลัยกินเป็นประจำเลยทำให้มีความเชี่ยวชาญเส้นทางอยู่พอสมควร แต่ถึงแม้ว่าเขาจะมีบ้านอยู่ใกล้มหาวิทยาลัย แต่ก็เลือกที่จะพักอยู่ที่คอนโดเพราะสะดวกกว่า ทิวารู้เรื่องนี้จากการที่คุยกันบนรถ
เมื่อมาถึงร้านอาหารทิวาคิดว่ามันดูหรูหราเกินไปหน่อย ราคาคงจะแพงไม่ใช่น้อย เธอไม่มีทางมากินร้านนี้เองแน่นอน ...แต่ถ้ามาสมัครงานละก็ไม่แน่
“เฮ้ย นั่นมันใบรับสมัครพนักงานพาร์ทไทม์นี่” ทิวาตาดีเหลือบเห็นใบสมัครพนักงานพาร์ทไทม์อยู่ติดอยู่ที่ประตูระหว่างเดินเข้าร้าน ก็ดีใจเธอคงมีโอกาสได้หารายได้พิเศษ ซึ่งมันเป็นความตั้งใจของทิวาตั้งแต่แรกว่าต้องหาเงินไปด้วยเรียนไปด้วย ความจริงลำพังเงินทุนที่เธอได้ทุกเดือน ถ้าใช้อย่างประหยัดก็เพียงพอสำหรับการใช้ชีวิตอยู่ในรั้วมหาวิทยาลัย แต่เธอคิดว่าถ้าวันหนึ่งมีเรื่องฉุกเฉินที่ต้องใช้เงิน เธอคงจะหมุนเงินไม่ทัน ถึงตอนนั้นคงต้องเดือดร้อนเงินแม่ ซึ่งทิวาไม่อยากรบกวนเงินของแม่ เธอจึงต้องหางานพิเศษทำ
“มึงสนใจหรอ” เพทายถาม
“อืม มึงดูดิได้ตั้งชั่วโมงล่ะหนึ่งร้อยแหนะ เรตนี้สูงมากด้วยนะเนี่ย” ทิวาพูดไม่หันไปมองเพทาย แต่หยิบโทรศัพท์มือถือเครื่องเก่ามาถ่ายรูปรายละเอียดงานไว้ เรตปกติของงานพาร์มไทม์ที่ทิวาเคยค้นหาในเน็ตแถว ๆ มหาวิทยาลัยอยู่ที่ชั่วโมงล่ะสามสิบห้าถึงหกสิบบาท แต่ร้านนี้ได้ตั้งหนึ่งร้อย ทิวารู้สึกว่าโชคดีมากที่มากินข้าวกับเพทายวันนี้
“ก็แหงล่ะ มันต้องใช้ทักษะภาษาอังกฤษด้วยนี่” เพทายตอบ หลังเหลือบมองไปที่ใบสมัครงานพาร์ทไทม์ที่ทิวากำลังถ่ายรูปอยู่ แต่ทิวาไม่ได้ตกใจเพราะเธอเป็นแชมป์เก่าการแข่งขันปาฐกถาภาษาอังกฤษระดับจังหวัด เมื่อเห็นทิวาไม่มีทีท่ายังไงเพทายเลยพูดต่อ
“ถ้ามึงสนใจ เดี๋ยวค่อยไปถามหลังกินข้าวเสร็จแล้วกัน”
“อืม ไปกินข้าวกันเถอะ” หลังดูรายละเอียดงานคร่าว ๆ แล้วก็หันมาตอบเพทาย ทั้งสี่คนเดินเข้าไปนั่งลงที่โต๊ะด้านในสุดของร้านที่พนักงานพาไป
เมื่อนั่งลงทุกคนก็พากันสั่งอาหารโดยไม่พูดคุยเพราะความหิว โดยเพทายนั่งฝั่งเดียวกับทิวาส่วนอีกสองคนนั่งตรงข้าม เมนูในร้านมีทั้งอาหารไทยและอาหารต่างชาติ ทิวาสั่งเมนูข้าวธรรมดา ๆ มาจานนึง ในร้านไม่มีลูกค้าอยู่มีเพียงโต๊ะของทิวาคงเป็นเพราะว่าเป็นเวลาสามทุ่มกว่าแล้วจึงไม่ค่อยมีลูกค้า ระหว่างนั่งรอทุกคนก็พูดคุยกัน
“ทิวาเก่งจังเลยอ่ะ ได้ทุนเรียนฟรีด้วย” มินนี่พูดขึ้นก่อน
“อ้อ ไม่หรอกก็แค่โชคดีแหละ” ทิวาถ่อมตัว เดาว่าเพทายคงบอกเล่าเรื่องของเธอให้มินนี่ฟัง
“หืมม อย่าถ่อมตัวเลย ถ้าไม่เก่งจะสอบชิงทุนของมหาลัยชื่อดังระดับประเทศที่มีคู่แข่งเป็นพันเป็นหมื่นได้ยังไง” ทิวายิ้มให้คนท้วงหน้าแหย ๆ
“ทำไมมึงไม่เอาอย่างทิวาบ้างว่ะไอ้นุ พ่อแม่มึงจะได้ภูมิใจในตัวมึงบ้าง” มินนี่หันหน้าไปแขวะวิษณุ
“อ้าว มึงก็เนาะกูนั่งอยู่เฉย ๆ ยังจะมาแขวะกู” มินนี่ยิ้มย่องอย่างพอใจ ที่ได้แขวะเพื่อนชาย แล้วก็หันมาพูดกับเพทาย
“ว่าแต่มึงอ่ะ เพทาย กับพี่เขมแฟนใหม่ป้ายแดงของมึงเป็นไงบ้าง มึงไม่ยอมเล่าให้พวกกูฟังบ้างเลยนะ หวงแฟนกลัวว่ากูจะชอบแฟนมึงหราาา” มินนี่พูดอย่างสอดรู้สอดเห็นเรื่องเพื่อนชาย เพราะไม่ว่าเพื่อนคนไหนจะทำอะไร เธอต้องรู้ก่อนเป็นคนแรก แล้วเธอก็รู้ว่าเพทายเพื่อนตัวดีของเธอกำลังคบหาดูใจกับหนุ่มฮอตที่เธอเองก็เคยหวั่นไหว เมื่อเห็นรูปโปรไฟล์ของเขา แต่ตอนนี้ไอ้เพื่อนตัวดีของเธอได้กินไปเรียบร้อยแล้ว
“อืม ก็ดี” ความจริงในใจของเพทายอยากจะตอบว่าดีมากกกก แต่เก็บอาการขรึมไว้เพราะกลัวจะแสดงอาการให้เพื่อนเห็นแล้วจะโดนล้อ เพราะพูดถึงแฟนใหม่ป้ายแดงทีไรเขาก็จะมีอาการเขินหน้าแดงทุกทีไป เขาเริ่มคุยกับแฟนคนนี้ตั้งแต่วันสัมภาษณ์เข้ามหาวิทยาลัยแล้ว เพราะพี่เขามาขอไลน์เพทายตั้งแต่วันนั้น พี่เขาบอกว่าเอาไว้ติดต่อเผื่อมีเรื่องอะไรสำคัญเกี่ยวกับการเรียนจะได้แจ้ง แต่เพทายก็พอจะรู้ว่ามันไม่ได้มีเรื่องสำคัญอะไรหรอก พี่เขาก็คงแค่ต้องการเข้ามาจีบมากกว่า แต่เพทายก็ให้ไปเพราะก็รู้สึกชอบพี่เขาตั้งแต่ครั้งแรกที่เจอแล้ว ซึ่งหลังจากนั้นก็คุยกันมาตลอดแต่พึ่งมาขอเป็นแฟนเมื่อไม่กี่วันมานี้
“ก็ดี! นี่มึงล้อกูเล่นป่ะเนี่ย แค่ก็ดีเนี่ยนะ นี่มึงกำลังคบกับหนุ่มฮอตของมหาลัย แถมยังรวยโคตร ๆ ไม่ว่าใคร ๆ ก็อยากได้ไปครอบครอง กูพูดตรง ๆ นะว่าครั้งนึงกูก็เคยอยากได้พี่เขา แต่มึงกลับบอกกูว่าก็ดีเนี่ยนะ” มินนี่ถลึงตาพูด แถมยังสารภาพหน้าตาเฉยว่าเคยชอบแฟนเพื่อน
“ก็คนคบกัน มึงจะให้กูพูดอะไรว่ะก็กินข้าวดูหนัง ปกติเหมือนคู่รักทั่วไปแหละ” เพทายยังคงอธิบายหน้านิ่งไม่ทุกข์ไม่ร้อน ไม่ยอมตอบตามความคิดของตัวเอง
“มึงก็เอาเรื่องที่ไม่ปกติเหมือนคู่รักทั่วไปมาพูดดิว่ะ” เพทายส่ายหน้าเอือมระอา รู้ว่ามินนี่หมายความว่ายังไง แต่ก็ไม่ยอมตอบ
“หือออ ทิวาดูไอ้ทายมันดิ เดี๋ยวนี้ มันหัดมีความลับกับเพื่อนแล้วอ่ะ” มินนี่หันมาพึ่งทิวาที่นั่งเงียบมาพักนึงแล้ว
“...เอ่อ ไอ้ทายมันมีแฟนเป็นผู้ชายหรอ” หลังจากที่ทิวานั่งฟังบทสนทนาของเพทายกับมินนี่ก็รู้สึกว่ามันมีอะไรแปลก ๆ ตอนที่มินนี่เล่าถึงแฟนของเพทาย จริง ๆ ก็เอะใจตั้งแต่ลานกิจกรรมเรื่องผู้ชายหล่อกล้ามปูแล้วแต่ไม่ได้ถามออกไป
“....” ไม่มีคำตอบจากปากของมินนี่ แต่กลับกลายเป็นเสียงหัวเราะของมินนี่กับวิษณุดังขึ้นมาแทน หลังจากหัวเราะเสร็จจึงหันมาถามทิวา
“นี่ไอ้ทายมันไม่ได้บอกหรอ ว่ามันเป็นเกย์อ่ะ” มินนี่ถามทิวา พอทิวาได้ยินว่าเพทายเป็นเกย์ก็หันขวับกลับมามองยังเพทายคอแทบเคล็ด เหมือนต้องการคำตอบ
“ก็กูคิดว่ามันไม่สำคัญ กูจะเป็นอะไร ยังไงกูกับมึงก็เป็นเพื่อนกันอยู่ดี” เพทายตอบเสียบเรียบ เขาไม่ได้ปิดบัง แต่เขาคิดว่าเรื่องนี้ไม่ช้าก็เร็วทิวาก็ต้องรู้อยู่แล้ว จากปากของใครบางคนที่เขาก็เดาถูกซะด้วย
“....” ไม่มีเสียงตอบรับใด ๆ ภายในห้องเงียบงันในทันใด ตลอดสามวันที่ผ่านมาทิวาติดอยู่กับเพทายมาตลอดเขาไม่ได้บอกเธอเรื่องนี้ ถึงจะมีผู้ชายหลายคนเข้ามาขอถ่ายรูปหรือบอกชอบเขา แต่ทิวาก็คิดว่ามันก็เป็นเรื่องปกติเพราะเพทายน่ารักเหมือนผู้หญิง จะมีผู้ชายมาชอบก็ไม่แปลก แต่เธอไม่เคยคิดว่าเพทายจะเป็นเกย์เลย เธอคิดว่าเพทายก็เป็นผู้ชายธรรมดา ๆ คนหนึ่ง
“อืม ก็จริงของมึงอ่ะมันไม่ได้สำคัญอะไร ยังไง ๆ กูกับมึงก็เป็นเพื่อนกันอยู่ดี” ถึงจะตอบออกไปแบบนั้น แต่ทิวาก็รู้สึกหวิว ๆ อยู่ในใจเหมือนกัน สามวันที่ผ่านมาเธอก็แอบรู้สึกดีกับเพทายเหมือนกัน เพราะเพทายดูแลเธอดีมาก เขาให้เกียตริเธอเสมอ แต่ก็ยังไม่แน่ใจว่าเป็นแบบชายหญิงหรือเพื่อนกันแน่ เพราะเธอเองก็ไม่เคยมีความรักแบบชายหญิงเลยไม่รู้ว่ามันเป็นยังไง
หลังจากนั้นพนักงานก็นำอาหารมาเสิร์ฟ ทุกคนก็ตั้งหน้าตั้งตากินกันอย่างเดียว เพราะความหิว ไม่ได้สนใจที่จะสนทนาต่อแล้ว เมื่อกินเสร็จก็พากันคุยสัพเพเหระอีกประมาณสามสิบนาทีก็เดินทางกลับ โดยเพทายไปส่งทิวาที่หอ
ทิวาทิ้งตัวนอนลงบนเตียงหลังจากอาบน้ำเสร็จแล้ว มือก็หยิบแผ่นกระดาษแผนผังการเดินรถมินิบัสที่เพทายให้มาด้วย ตอนแรกว่าจะเข้ากลุ่มเฟสบุ้คของสาขาดูว่ามีการรีวิววิชาที่เธอกำลังจะไปเรียนในวันพรุ่งนี้ยังไงบ้าง แต่ตอนนี้เธอรู้สึกเหนื่อยมากจากการทำกิจกรรมมาทั้งวัน เลยตัดสินใจว่าค่อยดูพรุ่งนี้เช้าก็แล้วกัน ก่อนกลับหอทิวาได้ไปถามผู้จัดการร้านเรื่องรับสมัครงานพาร์ทไทม์ เขาก็เช็คเรื่องภาษากับทิวานิดหน่อยจนมั่นใจว่าทิวาสามารถสื่อสารกับลูกค้าชาวต่างชาติได้ ก็ให้ใบสมัครงานแก่ทิวามากรอกและไม่ลืมที่จะย้ำว่าให้กรอกเวลาที่สามารถมาทำงานได้อย่างละเอียด เพราะเขารู้ว่าทิวาเป็นนักศึกษาไม่ได้มีเวลาว่างตลอดอย่างแน่นอน ซึ่งก็เป็นปกติของที่ร้านที่จะมีนักศึกษามาทำงานพาร์ทไทม์ เสร็จแล้วก็ให้เอาไปส่งพร้อมกับสำเนาบัตรประชาชน
“เฮ้อ วันนี้โชคดีจริง ๆ เลยนอกจากจะได้เพื่อนใหม่ที่เรียนสาขาเดียวกันเพิ่มตั้งสองคน แล้วยังได้งานพิเศษชั่วโมงละตั้งหนึ่งร้อยบาท” ทิวายิ้มพึมพำกับตัวเอง ได้เพื่อนใหม่พรุ่งนี้ไปเรียนก็คงไม่เหงา ได้งานทำแบบนี้ก็ไม่อดตายแล้วความจริงทิวาอยากโทรไปบอกแม่ แต่วันนี้มันดึกแล้ว แล้วก็รอให้ได้งานจริง ๆ ก่อนค่อยโทรบอกจะดีกว่า
มือที่ถือแผ่นกระดาษแผนผังการเดินรถมินิบัสก็ถูกยกขึ้นดู ส่วนมืออีกข้างนั้นถือโทรศัพท์ที่ตอนนี้เปิดแอปพลิเคชันแผนที่อยู่ ทิวาดูประกอบกันว่ามีรถมินิบัสสายไหนที่ผ่านร้านอาหารร้านนี้บ้างไหม
“อืม ไม่มีสายไหนผ่านเลยแฮะ แต่สายสีแดงใกล้สุดคงต้องนั่งสายสีแดงไปลงหน้าเซเว่น แล้วเดินไปเอง” เมื่อเห็นว่าไม่มีรถมินิบัสคันไหนผ่าน ก็วางแผ่นกระดาษแผนผังการเดินรถมินิบัสลงข้าง ๆ ตัว แล้วเสิร์ชค้นหาดูว่าตั้งแต่เซเว่นถึงร้านอาหารใช้เวลาเดินทางนานแค่ไหน
“อื้ม เดินต่ออีกสิบนาทีก็โอเคอยู่” พูดจบก็ลุกขึ้นเอาแผ่นกระดาษแผนผังการเดินรถมินิบัสไปเก็บไว้ที่ลิ้นชักโต๊ะ แล้วเดินไปปิดไฟ แล้วกลับมานอนลงบนเตียงอีกครั้ง
ก่อนหลับในหัวก็คิดถึงบทสนทนาที่คุยกับเพื่อนใหม่ตอนไปกินข้าวด้วยกันวันนี้ ทิวาได้รู้ว่าพวกเขาแต่ละคนนั้นล้วนเป็นทายาทธุรกิจระดับบิ๊ก ๆ กันทั้งนั้น พวกเขาใช้เงินอย่างกับเศษกระดาษ เงินที่พวกเขาใช้ในวันปกติหนึ่งวันทิวาสามารถเอามาใช้เป็นเดือนยังได้ คนพวกนี้คงเป็นกลุ่มคนชนชั้นอีลีท (Elite) ซึ่งเป็นคำที่เธอเคยอ่านเจอในหนังสือการตลาดที่เธอหามาอ่านตอนเตรียมตัวสอบชิงทุน คนกลุ่มนี้มักจะเป็นคนที่มีฐานะทางสังคม ร่ำรวยและมีการศึกษาที่สูง ทิวาคิดว่าเธอกับพวกเขาต่างกันมากในทั้งเรื่องฐานะทางสังคมและการใช้ชีวิตประจำวัน ที่ดูได้จากการไปกินข้าววันนี้ มื้อเดียวหมดไปเป็นพัน ตอนที่พนักงานมาเก็บเงิน ทิวาแอบมองที่บิลที่มือเพทาย แล้วแทบอยากคายข้าวออกมาแล้วเอาไปคืนเขา แต่ดูเพทายควักเงินจ่ายหน้าตาเฉยไม่ได้บ่นอะไรเลย นี่คงเป็นเรื่องปกติสำหรับเขา ทิวาแอบคิดว่าไม่รู้ว่าเธอจะเข้ากับพวกเขาได้ไหมในการใช้ชีวิต แต่สำหรับนิสัยแล้วทิวาคิดว่าสามารถเข้ากันได้ดีมาก เมื่อคิดได้อย่างนี้ทิวาก็ไม่สนอะไรแล้วก็ลองคบไว้ก่อนถ้าพวกเขาชวนไปโน่นนี้นั้นที่ต้องมีค่าใช้จ่ายเยอะ ๆ ก็ค่อยหาทางปฏิเสธไป พวกเขาคงจะเข้าใจทิวาได้เพราะก็รู้อยู่ว่าฐานะที่บ้านทิวาเป็นยังไง แล้วอีกอย่างครอบครัวของพวกเขาทำธุรกิจ เป็นไปได้ว่าในอนาคตทิวาจะต้องขอความช่วยเหลือจากพวกเขา เพราะการทำธุรกิจคอนเนคชั่นเป็นสิ่งสำคัญ แล้วทิวาเองก็อยากทำธุรกิจเพียงแต่ตอนนี้ยังไม่รู้ว่าจะทำอะไรดี ความคิดของทิวาเริ่มพล่าเลือนจากความง่วงจนไหนที่สุดก็ผล็อยหลับไป
สารบัญ / นำทาง
- 👁️ ยอดวิว 703
แสดงความคิดเห็น