บทที่ 5 เริ่มสนิทกัน
วันนี้เป็นวันแรกของการเรียน ทิวามาเร็วเป็นพิเศษเพราะต้องมาหาห้องเรียนว่าอยู่ตึกไหน ห้องไหน โดยการนั่งรถมินิบัสมา ซึ่งทิวาได้ศึกษาแผนผังการเดินรถมินิบัสตั้งแต่ตอนเช้าแล้ว คาบแรกตอนเช้าเป็นการแนะนำหลักสูตรต่าง ๆ ของสาขา และการพูดคุยแลกเปลี่ยนความคิดเห็นระหว่างอาจารย์ที่ปรึกษาและนักศึกษา ซึ่งทิวาก็นั่งอยู่กับแก๊งของเพทายพอถึงเวลาพักเที่ยงก็พากันไปกินข้าวที่โรงอาหารของคณะ ตอนแรกทิวาแอบคิดว่าพวกนี้จะกินอาหารของโรงอาหารไม่ได้ ต้องกินเฉพาะร้านอาหารหรู ๆ เท่านั้น แต่ทิวาก็คิดผิดเพราะคนที่ชวนมากินข้าวที่โรงอาหารก็คือเพทายเอง ทิวาถึงได้รู้สึกโล่งอยู่หน่อย ๆ เพราะถ้าชวนกันไปร้านอาหารที่แพงหัวฉี่เหมือนเมื่อคืนเธอคงไม่ไปกินด้วยแน่
ที่โรงอาหารของคณะดูดีมากเลยทีเดียว มองดูของกินแต่ละร้านก็ดูสะอาดสะอ้าน มีอาหารให้เลือกกินหลากหลาย แล้วก็มีเรตราคาที่ไม่ได้สูงมาก ซึ่งเหมาะสำหรับคุณหนูบ้านนอกอย่างทิวาคนนี้มาก ซึ่งหลังจากกินกันเสร็จก็พากันขึ้นห้องเรียน เพื่อรอเรียนคาบบ่ายต่อ
......................................
หนึ่งอาทิตย์ผ่านไปไวเหมือนโกหก ตอนนี้ทิวาได้มาอยู่แก๊งเดียวกันกับเพทายเต็มตัวแล้ว ซึ่งเวลาหนึ่งอาทิตย์ที่ผ่านมาความสัมพันธ์ของทิวากับเพื่อนใหม่แก๊งนี้ก็ถือว่าค่อนข้างดีเลยทีเดียว พวกนั้นก็ไม่ได้ติดหรูถึงขนาดที่ทิวาคิดไว้ในตอนแรก อาจจะเป็นเพราะพวกนั้นก็เข้าใจทิวาด้วยเลยพยายามปรับตัวให้เข้ากับเธอ พวกเขาก็ไม่ได้รังเกียจฐานะทางบ้านของทิวา เธอรู้สึกว่าตัวเองโชคดีขึ้นมาที่วันนั้นถูกทำโทษ จึงทำให้รู้จักกับเพทายแล้วได้มาเป็นเพื่อนแก๊งนี้
แต่ข้อเสียของไอ้พวกนี้ก็ใช่ว่าจะไม่มีเพราะไม่ว่าจะนัดทำงานกลุ่มทีไรนี่ไม่เคยมีใครว่างตรงกันเลยสักคน แล้ววันนี้ทิวาก็มีเรียนตอนบ่าย เลยถือโอกาสมาตั้งแต่ตอนเที่ยง เพื่อมาหาอะไรกินก่อนขึ้นเรียน หลังจากที่กินเสร็จก็เดินขึ้นห้องเรียน แต่ก่อนจะเข้าห้องเรียนก็มีสายเรียกเข้าจากใครบางคน
“ฮัลโหล แม่ว่าจังได๋” ทิวารับสายเสียงหวาน
(เออ ทิวาคุยได้บ่) ปลายสายถามตอบเสียงลูกสาว
“คุยได้จ้าแม่ พักเที่ยงยุ” จริง ๆ แม่ทิวาก็รู้อยู่แล้วว่าเวลานี้เป็นเวลาพักเที่ยงจึงกล้าโทรหาลูก แต่ที่ถามเพื่อความแน่ใจ เพราะเธอก็ไม่อยากรบกวนลูกถ้ากำลังเรียนอยู่
(ซ่วยจ่ายค่าไฟให้แม่แนเด้อ ค่าไฟมาแล้วลูก)
“โอ๋ ได้จ้าแม่เดี๋ยววาจ่ายให้เด้อ” ปกติตอนอยู่ที่บ้านทิวาเป็นคนจ่ายค่าไฟเอง เพราะจ่ายผ่านแอปแบงค์กิ้งสะดวกกว่า ดังนั้นมาอยู่กรุงเทพฯ ทิวาก็เป็นคนจ่ายเหมือนเดิม เพราะแม่จ่ายทางนี้ไม่เป็นและโทรศัพท์แบบปุ่มกดของแม่ก็ทำไม่ได้ด้วย
“เอ้อ แม่มื้อนี้วาพาภาคินัยมาเรียนนำเดะ”
(อ้าวเบาะ จังซั่นกะดูแลภาคินัยให้ดีเด้อ)
“จ้าาาา แม่หนูจะดูแลไอ้ภาคินัยลูกรักของแม่ ให้ดีที่สุดเล้ยย ยุงไม่ให้ไต่ไรไม่ให้ตอมได้เลย” พูดน้ำเสียงสูงนิด ๆ เป็นเชิงประชดแม่ที่ดูจะห่วงไอ้ภาคินัยมากกว่าลูกของตัวเอง
(จ้าาา คุณทิวาโฆษกใหญ่ แค่นี้ล่ะเด้อลูก ตั้งใจเรียน) เมื่อวางสายแล้วกำลังจะเดินเข้าห้องก็มีคนทักขึ้น
“ไหนแกบอกว่ามาเรียนที่นี่คนเดียวไง” เพทายทัก หลังจากที่เดินออกมาจากลิฟต์ก็ได้ยินทิวาพูดถึงใครบางคนที่เขาไม่รู้จักก็เลยถามในฐานะเพื่อนสนิทคนใหม่
“ฮึ” ทิวาขมวดคิ้วสงสัย
“ก็ภาคินัยไง” เพทายแอบมาได้ยินตอนทิวาพูดถึงโน๊ตบุ้คภาคินัยพอดี
“อ้อออ นี่ไงไอ้ภาคินัย ลูกรักของแม่ที่ซื้อให้กู รักซะยิ่งกว่ากูที่เป็นลูกแท้ ๆ ซะอีก กูว่านะถ้ามันได้อยู่กับแม่นานกว่านี้นะ แม่กูคงยกย่องให้มันเป็นลูกรักอันดับหนึ่งอ่ะ แต่นี่โชคดีกูเอามันมาเรียนด้วยซะก่อน ฮ่าฮ่าฮ่า” จริง ๆ มาเรียนวันนี้ก็ไม่จำเป็นต้องใช้โน้ตบุ้คหรอกแต่วันนี้ทิวาตั้งใจเอามาหาข้อมูลเกี่ยวกับ Block chain หัวข้อรายงานกลุ่มของพวกเธอ ก็พวกนั้นมันเล่นไม่มีใครว่างตรงกันเลย เลยต้องหาข้อมูลเตรียมเอาไว้ก่อน
“อ้อ กูก็นึกว่ามึงแอบซุกผู้ชายไว้ซะอีก” เพทายแกล้งแซะเพื่อน
“หืม อย่างกูจะไปเอาผู้ชายที่ไหนมาซุก ไม่ได้หน้าตาดีอย่างมึงหนิที่มีแต่คนอยากให้เอาไปซุก” ทิวาพูดด้วยความหมั่นไส้ความหน้าตาดีของเพื่อน ที่มีแต่คนแวะเวียนมาขายขนมจีบไม่เว้นแต่ละวัน ส่วนตัวเธอนั้นแห้งราวกับทะเลทรายซาฮาร่าหรืออาจจะเป็นเพราะว่าเธอไม่ได้สนใจมากกว่า
“ฮ่าฮ่าฮ่า ก็แหงล่ะก็กูมันหล่อ” มันไม่พูดเปล่าเดินมากอดคอทิวาลากเข้าห้องเรียนอย่างสนิทสนม
หลังจากเรียนเสร็จทั้งสี่คนก็คุยกันเรื่องเวลานัดทำงานอีกรอบหลังจากเลื่อนนัดมาสองครั้งแล้วเพราะไม่มีใครว่างตรงกันเลย ความจริงจะทำแบบไม่ครบทีมก็ได้ แต่พวกมันบอกว่างานกลุ่มก็ต้องทำกันเป็นกลุ่มไปไม่ครบกลุ่มจะเรียกงานกลุ่มได้ยังไง เพราะแบบนี้เลยต้องเลื่อนนัดมาเรื่อย ๆ พอได้วันแล้ว ทิวาก็ภาวนาว่าคงไม่มีใครเลื่อนนัดอีก เสร็จแล้วก็แยกย้ายกันกลับส่วนทิวาก็ไปที่ห้องสมุดของคณะเพื่อหาข้อมูลทำรายงาน
…………………….
กว่าจะนัดวันทำงานได้ลงตัวโดยที่ไม่มีใครเลื่อนนัดแล้วก็ทำให้เหลือเวลาทำแค่สามวันก่อนส่ง ซึ่งเวลาที่นัดกันก็คือเวลาสองทุ่มของวันเป็นเวลาที่ทุกคนว่างตรงกัน ที่เป็นแบบนี้เพราะเพื่อนกลุ่มของเธอเนี่ยไม่มีใครว่างตรงกันสักคน ก็อยู่กลุ่มกับลูกคุณหนูคุณนายธุรกิจร้อยล้านพันล้านอ่ะนะ แค่พวกเขามีเวลามาทำด้วยก็บุญแล้วโชคดีที่ทิวาได้หาข้อมูลไว้บ้างแล้วจะทำให้เริ่มทำงานได้เร็วขึ้น
“พวกมึงนี่นะมาเรียนกันจริง ๆ ป่าวว่ะ นัดทีไรก็ไม่ว่าง” มินนี่พูดเสียดสีเพื่อนอีกสองคนที่เพิ่งจะเดินเข้ามา ในห้องสำหรับทำงานของนักศึกษาสาขาการตลาด
“ฮึ ได้ข่าวว่ามึงเองก็เลื่อนเหมือนกันนะ” วิษณุทัก
“เฮ้อ กูล่ะสงสารทิวาจริง ๆ ที่ได้มาอยู่กลุ่มเราเนี้ย ทิวาจ๋าอย่าโกรธพวกเราเลยนะ” ประโยคสุดท้ายวิษณุหันหน้ามาพูดกับทิวา
“เห้ย ไม่เป็นไร กูเข้าใจพวกมึงก็ต้องมีเรื่องส่วนตัวกันบ้าง กูเองก็ว่าง ๆ หาข้อมูลงานไว้บ้างแล้วล่ะ เดี๋ยวส่งให้ในกลุ่มนะ”
“โห๋ ทิวาที่แสนดีของพวกเรา ช่างเป็นเพื่อนที่ฟ้าประทานมาให้กลุ่มพวกเราเลยจริง ๆ ” มินนี่พูดด้วยความซาบซึ้งใจจริง ๆ ก็ในกลุ่มพวกเธอนอกจากเพทายที่ดูดีสุดในการทำงานกลุ่มแล้ว ตอนนี้เหมือนจะมีอีกคนที่ดูจะขยันเรียนเอาซะมาก ๆ เริ่มทำก่อนเวลานัดอีก ซึ่งถ้าอยู่กันสามคนตอนนี้งานก็คงจะยังไม่เดิน
“ฮ่าฮ่าฮ่า มึงก็โอเวอร์เกิน มันก็ไม่ได้ยากขนาดนั้นสักหน่อย” ทิวาตอบแบบไม่คิดอะไรเพราะตอนอยู่มัธยมเวลาทำงานกลุ่มเธอก็เป็นเดอะแบกงานตลอดเธอชินแล้ว เพราะแบบนี้จึงทำให้ใคร ๆ ก็อยากจะอยู่กลุ่มเดียวกับเธอ พอมินนี่มาชมแบบนี้ก็รู้สึกเก้อเขินนิดหน่อย หรือเธอจะขยันเกินไปจริง ๆ นะ
“วันนี้ภาคินัยมันคงต้องทำงานหนักหน่อยล่ะนะ เวลาส่งงานใกล้เข้ามาทุกทีแล้ว” เพทายหันพูดกับทิวา
“ห้ะ” ทิวาขมวดคิ้วสงสัย
“ก็ไอ้โน้ตบุ้คภาคินัยไง”
“อะ อ้อ อืม ก็คงงั้นอ่ะ” ที่ตกใจเพราะไม่คิดว่าเพทายจะจำได้ ตอนนั้นที่บอกไปก็ไม่ได้คิดว่ามีอะไรน่าสนใจสำหรับเขา หลังจากมากันครบก็พากันแจกแจงหน้าที่ของแต่ละคน แล้วลงมือทำงานตามหน้าที่ที่ได้รับผิดชอบ
หลังจากทำงานกันมาตั้งแต่สองทุ่มจนตอนนี้ก็เที่ยงคืนแล้ว ทุกคนก็เริ่มมีล้า ๆ กันบ้างแล้ว
“โอ้ยยย ยากเป็นบ้า ตอนจับได้หัวข้อรายงานนี้ก็หนักใจแล้ว พอยิ่งมาทำก็ยิ่งหนักใจกว่าอีกอ่ะ ฮือออ อยากจะร้องไห้ ทั้งหมดนี่มันก็เป็นเพราะแกแหละไอ้นุ” มินนี่บ่นเพราะวิษณุเป็นคนจับฉลากได้หัวข้อนี้มา
“อ้าวมึงจะมาโทษกูแบบนี้ไม่ได้นะ กูจะรู้มั้ยล่ะว่าไอ้ใบที่กูจับมันจะเป็นเรื่องนี้ ถ้ากูรู้นะกูก็ไม่เอาหรอก ยากชิบหาย” วิษณุบ่นต่อ
“เฮ้ย นั่นมัน…” มินนี่ท้วงขึ้นเมื่อเห็นชายผู้คุ้นหน้าคุ้นตาดีเธอรู้จักเขา แต่เขาคงไม่รู้จักเธอ แต่เขากลับยกนิ้วชี้ขึ้นป้องปากเหมือนเป็นสัญญานว่าอย่าพูด และในไม่กี่วินาทีต่อมามือคู่นั้นก็เปลี่ยนมาปิดตาของเพทายแทน
“เอ๊ะ! ” เพทายตกใจ
สารบัญ / นำทาง
- 👁️ ยอดวิว 604
- 👍 ถูกใจ
แสดงความคิดเห็น