บทที่ 18: ไม่เจอกันนาน
“ครั้นจะบอกว่าไม่มีใครเข้ามาที่นี่เลยก็พูดได้ไม่เต็มปาก ไอ้มีมันก็มีหลุดรอดมาบ้าง แต่มันก็ต่างกันราวฟ้ากับเหว หอหงโหลวแห่งนี้ไม่ได้ยิ่งใหญ่พอที่จะรองรับแขกผู้มีเกียรติกระเป๋าหนักได้จริง ๆ” ป้าหงกล่าวจบแล้วก็ถอนหายใจ
“ว่าแต่ว่ายังไม่ทันได้ถามชื่อแซ่ของนายท่านเลย”
“ข้าแซ่เฟิ่ง และนี่คือโม่เยว่ ต่อจากนี้ไปนางจะเป็นคนส่งจดหมายให้ท่าน” เฟิ่งมู่ชิงตอบพร้อมกับแนะนำโม่เยว่ให้อีกคนรู้จัก
ป้าหงทำเพียงแค่พยักหน้าตอบรับ
หลังจากที่เฟิ่งมู่ชิงทำการพูดคุยจนเข้าใจสถานการณ์แล้ว นางก็ขอให้ป้าหงเรียกทุกคนออกมา เนื่องจากหอหงโหลวแห่งนี้จะต้องเปลี่ยนโฉมใหม่ ดังนั้นสิ่งที่เป็นจุดขายอย่างผู้หญิงพวกนี้ก็จะต้องถูกปรับใหม่ด้วยเช่นกัน
หากต้องการโดดเด่นเหนือใคร นางก็จะต้องทำในสิ่งที่แตกต่างออกไปจนผู้คนไม่คาดคิด เหตุผลนั้นก็เพื่อดึงความสนใจของลูกค้าให้เข้ามาเยือนหอคณิกา อีกทั้งยังต้องดึงดูดสายตาของเหล่าแขกคนสำคัญด้วย
เมื่อเฟิ่งมู่ชิงมองดูผู้คนที่แต่งตัวหลากสีสันมายืนเรียงกันตรงหน้า นางก็รู้สึกตาพร่า นางจึงหลับตาลงพร้อมกับสูดหายใจเข้าลึก ๆ ก่อนจะเปิดตามองดูสตรีทั้งหลายอีกครั้ง
นางคณิกาเหล่านี้อยู่ในช่วงวัยรุ่งโรจน์ของอาชีพ โดยผู้หญิงที่อายุมากที่สุดมีอายุเพียง 20 ปีเท่านั้น ซึ่งแต่ละคนมีข้อดีเป็นของตัวเองจนกล่าวได้ว่าพวกนางมีพื้นฐานที่ดีทีเดียว
แต่เป็นเพียงว่าเสื้อผ้าสีสันสดใสได้ลดคุณค่าของผู้ที่สวมใส่ลง แม้แต่ใบหน้าที่ดูงดงามก็ยังถูกกลบรัศมีจนดูขาดเสน่ห์ไป
ประกอบกับที่นี่แทบจะไม่มีลูกค้ามานานกว่า 1 ปีแล้ว จึงทำให้สตรีกลุ่มนี้ยิ่งเป็นเหมือนบุปผาที่เหี่ยวเฉาไร้พลังมากยิ่งขึ้นไปอีก
“พวกเราที่อยู่ที่นี่ได้พักผ่อนทำตัวขี้เกียจมาเป็นแรมปีแล้ว ทำไมจู่ ๆ วันนี้ป้าหงถึงเรียกทุกคนมารวมตัวกันล่ะ?”
“คงไม่ใช่ว่านางอยากจะขับไล่พวกเราออกไปใช่ไหม?!”
“แล้วหนุ่มหล่อผู้นี้คือใครกัน? แถมเขายังมาหอคณิกากับผู้หญิงอีกด้วย?”
ขณะนี้ทุกคนกระซิบกระซาบพูดคุยกันพลางมองสลับไปมาระหว่างป้าหงกับเฟิ่งมู่ชิงด้วยท่าทางกระสับกระส่าย
เวลานั้นป้าหงที่ได้ยินบทสนทนาของพวกนางจึงกระแอมไอเสียงดังเป็นสัญญาณให้ทุกคนเงียบเสียงพร้อมกับที่เหล่านางคณิกาจ้องมองมาทางนางเป็นตาเดียว
“อะแฮ่ม! นับจากนี้ไปคุณชายเฟิ่งผู้นี้จะเป็นผู้สนับสนุนอยู่เบื้องหลังหอคณิกาแห่งนี้ คุณชายต้องการจะฟื้นฟูหอหงโหลวเพื่อให้พวกเจ้าได้มีที่ทำมาหากินต่อไป พวกเจ้าจะต้องเก็บความลับนี้ไว้ให้มิดอย่าเปิดเผยตัวตนของคุณชายให้ใครได้รับรู้ เข้าใจหรือยัง?”
หลังจากทุกคนได้ยินคำสั่งของผู้เป็นเจ้านาย พวกนางก็ตอบรับเสียงดัง “เจ้าค่ะ!” จากนั้นจึงหันไปสนใจชายหนุ่มสกุลเฟิ่ง
ในตอนนี้เหล่านางคณิกาเพิ่งได้เห็นรูปร่างหน้าตาของเฟิ่งมู่ชิงแบบเต็มตาเป็นครั้งแรก มันทำให้พวกนางเผลออ้าปากค้างโดยไม่รู้ตัว
ใครจะไปคิดว่าเถ้าแก่คนใหม่จะหน้าตาหล่อเหลาขนาดนี้ แถมหน้ากากที่อยู่บนหน้าของเขายิ่งขับให้เขาดูมีเสน่ห์น่าค้นหามากยิ่งขึ้นไปอีก พวกนางที่เคยพบเจอผู้ชายมามากหน้าหลายตายังไม่เคยเจอบุรุษที่โดดเด่นเยี่ยงนี้มาก่อน
เกรงว่าแม้แต่ผู้สำเร็จราชการฯ ที่มีชื่อเสียงเลื่องลือว่าหน้าตางดงามยิ่งนักก็อาจจะเทียบไม่ได้กับเจ้านายคนใหม่ผู้นี้ด้วยซ้ำ
ทางด้านเฟิ่งมู่ชิงที่ได้รับสายตาที่เต็มไปด้วยแรงปรารถนามาจากทุกด้าน มันทำให้นางรู้สึกทำอะไรไม่ถูกอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นนางก็ทำสีหน้าขึงขังแผ่รังสีออกไปกดดันให้ทุกคนต้องก้มหน้าลง
“เอาล่ะ แรกสุดนี้พวกเจ้าบอกชื่อของตัวเองให้ข้ารู้ก่อน”
“ข้าน้อยเสี่ยวชุย… ข้าน้อยเสี่ยวหลาน… ข้าน้อยเสี่ยวชิง...” เหล่าสาวงามเอ่ยนามของตัวเองตามลำดับจากซ้ายไปขวา
พอเฟิ่งมู่ชิงได้ยินชื่อของทุกคน นางก็รู้สึกพูดไม่ออกพร้อมกับที่มุมปากของนางกระตุกยิก ๆ จนถึงตอนนี้นางไม่แปลกใจเลยว่าทำไมที่นี่ถึงไม่มีแขกเข้ามา เพียงแค่ชื่อของเหล่าหญิงสาวก็ฟังไม่ไพเราะเสนาะหูแล้ว นี่ยังไม่นับเรื่องอื่นอีก
ในเวลาเดียวกัน ป้าหงรับรู้ได้ถึงสายตาเย็นชาของคุณชายเฟิ่งจึงรีบออกตัวอธิบายอย่างรวดเร็วว่า “นี่คือชื่อที่พวกนางตั้งกันเอง เด็กพวกนี้มาจากครอบครัวยากจน พวกนางจึงไม่มีโอกาสได้ร่ำเรียนตำรา”
คำพูดข้างต้นทำให้เฟิ่งมู่ชิงรู้สึกละอายใจที่ตัดสินพวกนางไปก่อนที่จะได้รับรู้เหตุผล และนั่นมันก็ทำให้นางรู้ว่าป้าหงเป็นคนที่มีเมตตา แม้แต่หอคณิกาที่อีกฝ่ายเปิดก็ยัง เอิ่ม… มีเอกลักษณ์มาก
แม้ว่านางจะเป็นเถ้าแก่เนี้ยของหอคณิกา แต่นิสัยของนางช่างแตกต่างจากภายนอกยิ่งนัก ถึงกระนั้น อย่างน้อยเฟิ่งมู่ชิงก็ตาถึงที่เลือกลงทุนในหอคณิกาแห่งนี้
ไม่นานเฟิ่งมู่ชิงก็ทำใจยอมรับชะตากรรมของตัวเองได้แล้วตั้งชื่อให้แต่ละคนตามนิสัยของอีกฝ่าย ก่อนจะพบว่าผู้หญิงในหอหงโหลวแบ่งเป็น 3 ประเภทได้แก่ผู้หญิงเย็นชา ผู้หญิงที่น่ารักสดใสมีชีวิตชีวา สุดท้ายคือผู้หญิงอ่อนโยนถ่อมตน
ความเย็นชาเปรียบเสมือนเกล็ดหิมะบนภูเขาสูงที่ใคร ๆ ก็ปรารถนาที่จะพิชิต ความสดใสน่ารักก็มีดีทำให้ผู้คนหลงลืมความกังวล และสุดท้ายความอ่อนน้อมถ่อมตนก็แฝงไปด้วยความละเอียดอ่อนใส่ใจ
หลังจากที่เฟิ่งมู่ชิงตั้งชื่อให้ทุกคนเสร็จแล้ว นางก็ได้เลือกผู้หญิง 3 คนที่มีบุคลิกแตกต่างกันออกมาเป็นตัวแทนซึ่งประกอบไปด้วย เหยาชิง ลู่หลิง และกุ้ยจู
สตรีทั้ง 3 คนนี้มีนิสัยที่โดดเด่นและหน้าตาดี หากพวกนางได้รับการขัดเกลาเพิ่มอีกสักหน่อย พวกนางก็จะกลายเป็นเสาหลักของที่นี่ได้อย่างแน่นอน
เมื่อเฟิ่งมู่ชิงออกจากหอหงโหลว นางก็รู้สึกว่าท้องฟ้าหลังพายุนี่ช่างแจ่มใสเหลือเกิน ซึ่งมันส่งผลให้นางอารมณ์ดีมากยิ่งขึ้น
ทางด้านโม่เยว่ที่คอยมองดูผู้เป็นนายอยู่ตลอดถึงกับพูดไม่ออก นางทำได้เพียงถอนหายใจหนัก ๆ เป็นการระบายอารมณ์เท่านั้น
ระหว่างที่ทั้งคู่เดินทางกลับจวนผู้สำเร็จราชการฯ จู่ ๆ ก็มีเสียงนุ่มทุ้มทักขึ้นมาด้วยความประหลาดใจ
“คุณหนูใหญ่เฟิ่งสบายดีหรือไม่?”
เฟิ่งมู่ชิงถึงกับสะดุ้งตัวโยน พอนางหันศีรษะไปมองทางต้นเสียง นางก็เห็นคนคนหนึ่งเดินลงมาจากรถม้าด้านหลัง เขาคืออวี้ชิงเฟิงนั่นเอง
เมื่อหญิงสาวได้เห็นใบหน้าสดใสของอีกฝ่ายเต็มตา นางก็รู้สึกประหลาดใจ
ในเวลาเดียวกัน โม่เยว่ไล่สายตาสำรวจผู้มาเยือนอย่างตั้งใจ แล้วนางก็รู้สึกสังหรณ์อะไรบางอย่าง เนื่องจากนายเหนือหัวของนางคือพระชายาผู้สำเร็จราชการฯ จึงมีเพียงนายท่านผู้โดดเด่นเท่านั้นที่คู่ควรกับนาง และบุคคลผู้นี้เป็นเพียงตัวประกันที่หนานเยว่ส่งมา แต่เขาบังอาจมาส่งสายตาหวานหยดย้อยให้กับผู้เป็นนายของนางได้อย่างไร
ก่อนหน้านี้ตัวนางเคยรับผิดชอบงานทางด้านข่าวกรอง ดังนั้นนางจึงรู้จักอวี้ชิงเฟิงอยู่พอสมควร
เดิมทีรูปร่างหน้าตาของชายหนุ่มคนนี้เป็นที่กล่าวขานทั่วเมืองหลวงมาช้านาน ความงดงามของเขาสามารถดึงดูดผู้หญิงที่ได้พบเห็นอย่างง่ายดาย
นางไม่คาดคิดเลยว่าเจ้านายของนางจะรู้จักเขาด้วย
ขณะนั้นเฟิ่งมู่ชิงยิ้มพลางเลิกคิ้วตั้งคำถาม แม้นนางแต่งองค์ทรงเครื่องแบบนี้ แต่อวี้ชิงเฟิงก็ยังจำนางได้ทันที
ทั้งที่ครั้งนี้เป็นครั้งที่ 2 ที่พวกเขาได้พบกัน ด้วยใบหน้าที่น่าสะพรึงกลัวและสภาพที่น่าอับอายของนางในยามที่ทั้งคู่พบกันครั้งแรก ในตอนนั้นแค่เขาสามารถสงบสติอารมณ์พูดคุยกับนางได้ตามปกติก็ถือว่าเป็นเรื่องยากมากแล้ว
“คุณชายอวี้ ไม่ได้เจอกันนานเลย”
“คุณหนูใหญ่เฟิ่ง ชิงเฟิงอยากจะเชิญท่านไปจิบชาพูดคุยกับชิงเฟิงที่นั่นได้หรือไม่?”
เนื่องจากยามนี้ทั้งสองคนบังเอิญพบเจอกันตรงบริเวณใกล้ทางเข้าหอจี้ฝูพอดี อีกฝ่ายจึงเอ่ยปากเช่นนั้น
เฟิ่งมู่ชิงพยักหน้าเห็นด้วยก่อนจะเดินตามอวี้ชิงเฟิงเข้าไปยังห้องส่วนตัวบนชั้น 2 ของอาคารเงียบ ๆ โดยมีโม่เยว่ตามมาติด ๆ
พอเข้ามาด้านในทั้งคู่ก็นั่งหันหน้าเข้าหากัน ไม่นานหญิงสาวก็ถามขึ้นมาด้วยความสงสัยว่า “ข้าแต่งตัวแบบนี้คุณชายจำข้าได้อย่างไร?”
อวี้ชิงเฟิงเผยรอยยิ้มจาง ๆ ซึ่งมันยิ่งขับให้ภาพลักษณ์ของชายหนุ่มดูอ่อนโยนคล้ายกับสายลมในฤดูใบไม้ผลิ และเฟิ่งมู่ชิงที่ได้เห็นของสวย ๆ งาม ๆ ต่อหน้าก็รู้สึกมีความสุขมากขึ้นเรื่อย ๆ
ในสายตาของหญิงสาว ชายผู้นี้ต่างจากจวินหรูเย่ไม่ใช่เพียงรูปลักษณ์ภายนอกที่ดูงดงามเท่านั้น แต่บรรยากาศรอบตัวของเขาให้ความรู้สึกอบอุ่นอ่อนโยนจึงทำให้ผู้คนอยากเข้าใกล้ อาจเป็นเพราะจวินหรูเย่ผ่านประสบการณ์เข่นฆ่าผู้คนในสนามรบมาเนิ่นนานเลยส่งผลให้รอบตัวเขามีรังสีฆ่าฟันอยู่หนาแน่น
แต่สำหรับเฟิ่งมู่ชิง ไม่ว่าจะเป็นใครคนใดคนหนึ่ง แค่นางได้พินิจมองใบหน้าอันทรงเสน่ห์พวกนี้ด้วยตาเนื้อของตัวเองสักครั้งหนึ่งในชีวิต นางก็ไม่รู้สึกเสียดายอะไรอีกแล้ว
“ชิงเฟิงจดจำผู้คนด้วยรูปพรรณสัณฐาน นอกจากนี้ใบหน้าของคุณหนูก็ยังเหมือนเดิมไม่เปลี่ยนแปลง ดังนั้นชิงเฟิงจึงจำท่านได้ทันทีที่ได้พบ” อวี้ชิงเฟิงอธิบายให้อีกฝ่ายฟัง
หญิงสาวที่ปลอมตัวเป็นบุรุษทำหน้าเหลือเชื่อกับคำพูดของอีกคนแล้วกล่าวว่า “ไม่สิ หากท่านมีสายตาที่เฉียบแหลมเช่นนี้ ข้าเกรงว่าวิชาแปลงโฉมคงจะใช้กับท่านไม่ได้ผล”
“เว้นแต่ว่า… คนคนนั้นจะเปลี่ยนโครงกระดูกของตัวเองได้” อวี้ชิงเฟิงตอบกลับไปแบบทันควัน
เฟิ่งมู่ชิงรู้สึกชื่นชมการวางตัวของผู้ชายคนนี้มาก เพราะไม่ว่าเขาจะพูดเรื่องน่ากลัวมากแค่ไหน แต่เขาก็ยังสามารถเอ่ยออกมาได้อย่างใจเย็นเหมือนเรื่องพวกนี้เป็นเรื่องธรรมดาทั่วไป
“ชิงเฟิงยังไม่ได้ถามคุณหนูใหญ่เฟิ่งเลยว่าวันนั้นทุกอย่างเป็นไปได้ด้วยดีหรือไม่?” ก่อนที่หญิงสาวจะทันได้ตอบคำถาม จู่ ๆ เหมือนชายหนุ่มนึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ เขาจึงรีบเปลี่ยนคำพูดของตัวเองแบบกะทันหัน “ไม่สิ ตอนนี้ท่านเป็นถึงพระชายาผู้สำเร็จราชการฯ แล้ว สิ่งต่าง ๆ ย่อมต้องผ่านไปได้ด้วยดี ชิงเฟิงนี่ก็ถามอะไรไม่รู้ความ”
เฟิ่งมู่ชิงรู้สึกตกตะลึงกับคำพูดของชายหนุ่มที่ถามเองตอบเอง
หรือว่าตอนนี้นางมีชื่อเสียงโด่งดังมากเลยหรือไง ทำไมใคร ๆ ต่างก็รู้ว่านางเป็นพระชายาผู้สำเร็จราชการฯ?
เมื่อโม่เยว่ที่ยืนนิ่งเงียบอยู่ด้านหลังเจ้านายของตนมาตลอดได้ยินเช่นนี้ นางก็แอบถอนหายใจด้วยความโล่งอก
โชคดีที่อวี้ชิงเฟิงรู้จักตัวตนของนายท่าน เช่นนั้นเขาคงไม่กระทำการอะไรให้นายท่านต้องเสื่อมเสียเกียรติ
นางรู้สึกอยู่เสมอว่าตัวประกันต่างแคว้นผู้นี้ที่มักจะทำตัวเพิกเฉยต่อเรื่องที่ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับเขาและไม่เคยริเริ่มผูกมิตรกับผู้อื่น การที่จู่ ๆ เขาจะมาผูกมิตรกับนายเหนือหัวของนางนั้นอาจเป็นไปได้ว่าเขาต้องมีแผนการอะไรในใจแน่นอน
แต่ไม่ว่าเขาจะเป็นคนที่ควบคุมอารมณ์ของตัวเองได้เก่งมากแค่ไหน แต่มันก็ยังไม่สามารถปกปิดความสุขในดวงตายามที่อีกฝ่ายเจอผู้เป็นนายของนางเมื่อกี้นี้เอาไว้ได้
บุคคลนี้เป็นบุคคลอันตราย ข้าจะต้องระวังเขาไว้!
“นี่ท่านก็รู้เรื่องนี้ด้วยหรือ ข้าไม่คิดเลยว่าข้าจะโด่งดังขนาดนี้” เฟิ่งมู่ชิงกล่าวด้วยท่าทางสบาย ๆ โดยไม่ได้สนใจอะไรมากนัก
“ทุกอย่างล้วนเป็นไปตามชะตาฟ้าลิขิต ก่อนหน้านี้ชิงเฟิงอาจจะเสียมารยาทกับพระชายาไปสักหน่อย ชิงเฟิงหวังว่าพระชายาจะไม่ถือสา” อวี้ชิงเฟิงยิ้มขอลุแก่โทษ
เนื่องจากเฟิ่งมู่ชิงไม่ได้ใส่ใจเรื่องดังกล่าวตั้งแต่แรกจึงพูดเสียงร่าเริงว่า “ข้าต่างหากที่เป็นฝ่ายที่ควรจะต้องขอบคุณท่าน ถ้าหากวันนั้นไม่ได้ท่านยื่นมือมาช่วยเหลือ ข้าคงไม่สามารถไปถึงจวนผู้สำเร็จราชการฯ ได้ทันกาล”
สารบัญ / นำทาง
- 👁️ ยอดวิว 152
แสดงความคิดเห็น