บทที่ 2: เขาจำพระชายาของเขาไม่ได้จริง ๆ งั้นหรือ?
เมื่ออวี้ชิงเฟิงสังเกตเห็นท่าทางที่ดูเหนื่อยล้าของเฟิ่งมู่ชิง เขาจึงพูดขึ้นว่า
“ยังอีกไกลกว่าจะถึงเมืองหลวง คุณหนูใหญ่เฟิ่งสามารถพักผ่อนได้สักพัก”
หญิงสาวที่ได้ยินดังนั้นก็เปิดม่านหน้าต่างรถพลางมองขึ้นไปบนท้องฟ้าก่อนจะถามกลับว่า “อีกนานแค่ไหนกว่าจะถึง?”
หวังว่าจะทันเวลานะ
“ประมาณ 2 เค่อ*” ชายหนุ่มตอบ
*1 เค่อ = 15 นาที
เฟิ่งมู่ชิงพยักหน้ารับก่อนจะเอนตัวพิงผนังแล้วหลับตาลงเพื่อแยกแยะความทรงจำที่วุ่นวายในหัวของนาง
สถานที่ที่นางอยู่ ณ ตอนนี้เรียกว่า ‘ดินแดนซิงหยุน’ โดยมีแคว้นเป่ยอี้เป็นเมืองศูนย์กลาง และมีแคว้นอื่น ๆ อีกมากมายอยู่ล้อมรอบ
ในวัยเด็กของผู้คนที่นี่จะใช้หินทดสอบพลังวิญญาณในการทดสอบรากวิญญาณของพวกเขาเพื่อเฟ้นหาเด็กที่มีความสามารถจากแต่ละครอบครัว จากนั้นจึงส่งพวกเขาไปยังสำนักศึกษาต่าง ๆ
รากวิญญาณในโลกนี้แบ่งออกเป็น 5 ธาตุ ได้แก่ โลหะ, ไม้, น้ำ, ไฟ และดิน นอกจากนี้ยังแบ่งระดับพลังออกเป็นขอบเขตกลั่นลมปราณ, ขอบเขตสร้างรากฐาน, ขอบเขตสร้างแก่นพลังทองคำ, ขอบเขตก่อกำเนิด, ขอบเขตผันวิญญาณ, ขอบเขตคืนสู่ความว่างเปล่า และสุดท้ายคือขอบเขตมหายาน ซึ่งแต่ละขอบเขตก็แบ่งออกเป็นอีก 7 ขั้น
ความหนาแน่นของพลังวิญญาณที่นี่ค่อนข้างสูง แม้ว่ามันจะไม่ดีเท่ากับโลกที่นางจากมา แต่สำหรับโลกนี้ที่ยังไม่มีผู้มีพลังที่ก้าวเข้าสู่ขอบเขตผันวิญญาณก็ถือว่าไม่ได้แย่นัก
และด้วยเหตุผลบางประการทำให้ที่แห่งนี้มีผู้มีพลังเพียงไม่กี่คนที่สามารถไปถึงขอบเขตก่อกำเนิดได้ ดังนั้นไม่ต้องพูดถึงขอบเขตผันวิญญาณเลย
เรื่องราวชีวิตของเจ้าของร่างเดิมนั้นไม่ได้ราบรื่นดังเช่นคุณหนูตระกูลใหญ่ทั่วไป และในความทรงจำของร่างเดิมมีความรู้ความเข้าใจในเรื่องนี้เพียงแค่บางส่วนเท่านั้น
ดูเหมือนว่าข้าจะต้องหาคนมาสอบถามเรื่องนี้ให้กระจ่างเสียแล้ว
เมื่อคิดว่าในชีวิตก่อนนางยังสามารถก้าวขึ้นเป็นเซียนอันดับต้น ๆ ของสวรรค์ชั้นฟ้าได้ ตอนนี้นางก็แค่ต้องกลับมาฝึกฝนอย่างหนักอีกครั้ง
เวลาต่อมา หญิงสาวลองใช้พลังวิญญาณตรวจสอบเส้นลมปราณของร่างนี้ แต่ก็ต้องขมวดคิ้วมุ่น
ในความทรงจำตอนที่ร่างเดิมทดสอบรากวิญญาณนั้น นางพบว่าตัวเองไม่มีรากวิญญาณจึงไม่สามารถฝึกฝนเหมือนกับเด็กคนอื่นได้ แต่ตอนนี้เฟิ่งมู่ชิงกลับรู้สึกถึงมวลก้อนเล็ก ๆ สีขาวในร่างกาย
นี่คือ?...
จากนั้นหญิงสาวจึงใช้นิ้วชี้และนิ้วกลางวางลงบนจุดชีพจรเพื่อตรวจดูร่างกายของตนเงียบ ๆ
นี่มันอาการของคนถูกวางยาพิษชัด ๆ
แถมพิษยังอยู่ในร่างกายมาเกือบ 10 ปี!
ความจริงที่ปรากฏทำให้เฟิ่งมู่ชิงถอนหายใจด้วยความเหนื่อยล้า ร่างเดิมเป็นเพียงสตรีอ่อนแอที่ไม่มีแรงแม้แต่จะฆ่าไก่ด้วยซ้ำ แล้วใครกันที่ทำเรื่องโหดร้ายเช่นนี้ได้ลงคอ!
ในขณะที่หญิงสาวกำลังตกอยู่ในห้วงแห่งความคิด อวี้ชิงเฟิงที่นั่งอยู่ตรงกันข้ามก็แอบมองสำรวจนางลับ ๆ
เห็นทีวันนี้ในจวนผู้สำเร็จราชการแผ่นดินจะมีเรื่องตื่นเต้นมากมาย แต่น่าเสียดายที่เขาเป็นแค่เพียงตัวประกันต่างแคว้น ดังนั้นเขาจึงไม่สามารถเข้าร่วมความสนุกได้อย่างเปิดเผย
ใคร ๆ ต่างก็บอกว่าเฟิ่งมู่ชิงเป็นเพียงคนไร้ค่า แต่จากที่ชายหนุ่มสังเกตเห็นในวันนี้ ดูเหมือนว่าชื่อเสียงเหล่านั้นมิคู่ควรกับหญิงสาวที่อยู่ตรงหน้าเลยแม้แต่น้อย
หลังจากนี้เมืองหลวงอาจจะไม่สงบอีกต่อไป
เมื่อเวลาผ่านไปสักพัก เสียงอึกทึกครึกโครมก็บอกให้รู้ว่ารถม้าได้เดินทางเข้าสู่เขตเมืองหลวงแล้ว ซึ่งมันปลุกให้เฟิ่งมู่ชิงที่หลับตาอยู่ลืมตาขึ้น นางสูดหายใจเข้าลึก ๆ ก่อนจะพูดกับชายหนุ่มเจ้าของรถม้าด้วยน้ำเสียงมีชีวิตชีวาว่า
“ท่านช่วยไปส่งข้าที่จวนผู้สำเร็จราชการฯ ได้หรือไม่?”
ร่างเดิมของนางไม่รู้ว่าจวนผู้สำเร็จราชการแผ่นดินอยู่ที่ไหน ดังนั้นนางจึงทำได้เพียงขอความช่วยเหลือจากชายตรงหน้าเท่านั้น เพราะยามนี้นางกำลังแข่งกับเวลา ครั้นจะให้ตามหาเองก็อาจจะไม่ทันกาล
อวี้ชิงเฟิงไม่ได้แปลกใจกับคำขอร้องของหญิงสาวเลยแม้แต่น้อย เขาหันไปส่งเสียงบอกบ่าวรับใช้ที่กำลังบังคับรถม้าทันที “ไปที่ถนนตะวันออก”
…
ประตูบานสูงใหญ่ถูกประดับประดาด้วยผ้าไหมสีแดงบอกเล่าถึงงานมงคลที่กำลังจัดขึ้น แม้แต่รูปปั้นสิงโตหินคู่บารมีที่ตั้งอยู่ด้านหน้าจวนก็ยังถูกแขวนด้วยดอกไม้สีแดงขนาดใหญ่ 2 ดอก
แขกเหรื่อมากมายที่ถูกเชิญมาร่วมงานมงคลต่างก็ส่งเสียงหัวเราะหัวไห้ซึ่งบ่งบอกถึงความคึกคักของภายในงานได้เป็นอย่างดี
เจ้าพิธีมองดูคู่บ่าวสาวด้วยรอยยิ้มบนใบหน้าก่อนจะตะโกนขึ้นด้วยความกระตือรือร้น
“หนึ่งคำนับฟ้าดิน”
“สองคำนับบิดามารดา”
“สามคำนับซึ่งกันและกัน”
“ส่งตั–”
“ช้าก่อน!!”
ในขณะที่พิธีกำลังจะเสร็จสิ้น พลันมีเสียงปริศนาเอ่ยขัดขึ้นมาเสียก่อน
เมื่อทุกคนหันไปมองตามเสียงก็พบว่ามีสตรีที่อยู่ในชุดแต่งงานสีแดงเพลิงยืนอยู่หน้าประตู ประกอบกับผมเผ้าที่ดูยุ่งเหยิงทำให้สภาพของนางดูน่าขายหน้า
พอเหล่าแขกในงานเห็นสภาพของผู้มาใหม่ พวกเขาต่างก็ส่งเสียงเซ็งแซ่
คนบ้าคนนี้เป็นใครกันถึงได้กล้าบุกเข้ามาในจวนผู้สำเร็จราชการฯ แถมยังกล้ามาขัดขวางพิธีสมรสอีก
ผู้มาเยือนที่เหล่าแขกกำลังพูดถึงไม่ใช่ใครอื่น นางคือเฟิ่งมู่ชิงที่รีบร้อนวิ่งเข้ามาในงานนั่นเอง
โชคดีที่ข้ามาทัน!
หญิงสาวถอนหายใจด้วยความโล่งอก
ในตอนนั้นเอง เจ้าบ่าวที่กำลังเข้าพิธีก็เงยหน้าขึ้นมองหญิงสาวที่ยืนอยู่หน้าประตู โดยที่เครื่องประดับผมบนหัวของนางขาดหายไปด้วยเหตุผลบางประการ แม้ว่าตอนนี้นางจะอยู่ในสภาพน่าสังเวชเพียงใด แต่ดวงตาที่สดใสคู่นั้นกลับดึงดูดใจเขาเป็นพิเศษ
ถัดมา เฟิ่งมู่ชิงก้าวเข้าไปหาผู้เป็นเจ้าบ่าวด้วยท่าทางสง่างาม
ชายที่อยู่เบื้องหน้าของนางมีรูปร่างหน้าตาหล่อเหลาราวกับสวรรค์ปั้นแต่ง ดวงตาเฟิ่งหวงที่เรียวยาวเมื่ออยู่ภายใต้คิ้วดาบได้รูปยิ่งทำให้เขาดูเย็นชาและน่าเกรงขาม ประกอบกับจมูกและริมฝีปากก็มีสัดส่วนที่พอเหมาะรับกับใบหน้าคมคายได้เป็นอย่างดี
แม้ว่ายามนี้ชายหนุ่มจะอยู่ในชุดแต่งงานสีแดงแต่ก็ไม่สามารถซ่อนรัศมีแห่งความองอาจและความเย่อหยิ่งในตัวของเขาได้ มีเพียงขาที่ดูเหมือนว่าจะมีปัญหากับรถเข็นสีเข้มเท่านั้นที่อาจจะมองแล้วขัดตาไปบ้าง
“เจ้าโจรชั่ว! กล้าดียังไงถึงบุกเข้ามาในจวนผู้สำเร็จราชการฯ โดยไม่ได้รับอนุญาต ยอมให้จับตัวเสียดี ๆ !” องครักษ์ของผู้สำเร็จราชการฯ ก้าวเท้าเข้าไปหาหญิงสาวผู้บุกรุกพร้อมกับแผ่จิตสังหารออกมาอย่างชัดเจน
“เหตุใดผู้สำเร็จราชการแผ่นดินผู้สง่างามจึงจำพระชายาของพระองค์ไม่ได้?”
เฟิ่งมู่ชิงยืนนิ่งไม่ไหวติง นางมองไปยังชายที่นั่งอยู่บนรถเข็นพร้อมกับพูดด้วยน้ำเสียงเหน็บแนม
ชายคนนี้คือผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ผู้มีชื่อเสียง ‘จวินหรูเย่’!
ตราบใดที่นางดึงจวินหรูเย่ผู้ทรงอิทธิพลให้มาอยู่ฝั่งเดียวกันได้ นางก็ไม่มีอะไรที่จะต้องกังวลอีกต่อไป และในอนาคตไม่ว่าจะทำสิ่งใดก็ย่อมง่ายดายมากขึ้น
แต่น่าเสียดายที่ข้าไม่มีเวลามากพอที่จะหาวิธีดึงเขาให้มาเป็นคนของข้า
คำพูดของหญิงสาวที่พูดขึ้นมาอย่างกะทันหันทำให้แขกเหรื่อในงานต่างก็ตะลึงงัน สายตาของพวกเขามองสลับไปมาระหว่างจวินหรูเย่กับเฟิ่งมู่ชิง
เกิดอะไรขึ้น!?
นี่ไม่ใช่ว่าพวกเรากำลังล่วงรู้ความลับสุดยอดอยู่หรอกหรือ?
แล้วแบบนี้ผู้สำเร็จราชการฯ จะฆ่าปิดปากพวกเราหรือไม่?
ทุกคนมีความอยากรู้อยากเห็นอยู่เต็มอกแต่พวกเขาก็ยังคงมีความกังวลอยู่ไม่น้อย เพราะพวกเขากลัวว่าการเดินทางมาร่วมงานมงคลในครั้งนี้อาจจะเป็นช่วงเวลาสุดท้ายของชีวิต
เมื่อจวินหรูเย่ได้ยินหญิงสาวเอ่ยออกมาด้วยท่าทีเฉยชา เขาก็เลิกคิ้วขึ้นด้วยความสงสัย
เดิมทีเขาไม่เห็นด้วยกับการแต่งงานครั้งนี้ ทว่าตอนนี้กลับมีคนมาขัดขวางพิธีซึ่งนั่นก็เป็นสิ่งที่เขาแอบหวังไว้ในใจอยู่แล้ว
แต่…นางหมายความว่าอย่างไรกันแน่?
จวินหรูเย่ไม่รู้ว่าอีกฝ่ายคิดจะทำอะไร เขาและหญิงสาวผู้บุกรุกทำเพียงแค่มองหน้ากันเงียบ ๆ โดยไม่พูดอะไรออกมาสักคำ
“อะแฮ่ม!”
เฟิ่งมู่ชิงที่ถูกอีกฝ่ายจ้องหน้าก็เสมองไปทางอื่นก่อนจะแสร้งทำเป็นกระแอมในลำคอ
“ข้ามีนามว่าเฟิ่งมู่ชิง เป็นบุตรสาวที่ชอบด้วยกฎหมายของมหาเสนาบดีเฟิ่งเทียนหลิง!”
“อะไรนะ!!”
พอแขกในงานได้ยินสิ่งที่หญิงสาวเอ่ย ทุกคนต่างก็อุทานเสียงหลง ก่อนจะมองไปยังเฟิ่งมู่ชิงด้วยสายตาแปลก ๆ
นี่คือขยะไร้ประโยชน์ผู้นั้นงั้นหรือ!?
ที่ผ่านมาข้าเคยได้ยินแต่เสียงลือเสียงเล่าอ้าง เพิ่งจะได้เห็นตัวจริงก็วันนี้
ในขณะเดียวกัน หญิงสาวเพิกเฉยต่อสายตาของทุกคน นางมองไปยังสตรีที่สวมผ้าคลุมหน้าสีแดงที่ยืนอยู่ข้าง ๆ จวินหรูเย่ด้วยสายตาประหลาดใจ
หากไม่ใช่เพราะความช่างสังเกตที่ยอดเยี่ยม นางก็คงจะเชื่อว่าสตรีปริศนาที่ปลอมตัวมาเป็นตนเองนั้นมีท่าทีไม่แยแสและไร้ความกังวล
แต่เมื่อมองไปยังมือของหญิงปริศนาที่กำลังจิกทึ้งชุดของตัวเองอยู่นั้น…
“ทำไมเจ้าสาวตัวปลอมที่อยู่ตรงนั้นถึงไม่ถอดผ้าคลุมให้ทุกคนเห็นล่ะ? เพราะท้ายที่สุดแล้วจะมีสักกี่คนที่ขวัญสูงเทียมฟ้ากล้าปลอมตัวเป็นว่าที่พระชายาผู้สำเร็จราชการแผ่นดิน”
หลังจากเฟิ่งมู่ชิงพูดจบ ทุกคนก็หันไปให้ความสนใจกับเจ้าสาวตัวปลอมที่ยืนอยู่เงียบ ๆ
จากนั้นไม่นานมืออันบอบบางคู่หนึ่งก็ค่อย ๆ ถอดผ้าคลุมสีแดงออกช้า ๆ เผยให้เห็นใบหน้าที่ซ่อนอยู่ภายใน
โอ้–
เฟิ่งมู่ชิงเลิกคิ้วเล็กน้อยก่อนจะเผยรอยยิ้มที่ชั่วร้ายออกมา
ดูเหมือนว่าคนพวกนี้จะเตรียมตัวมาอย่างดี
ใช่สิ ท้ายที่สุดแล้ว งานแต่งงานครั้งนี้เป็นสมรสพระราชทานจากฮ่องเต้ คนพวกนี้จึงไม่สามารถลงมือได้อย่างโจ่งแจ้ง
สตรีที่อยู่ตรงหน้าของเฟิ่งมู่ชิงในขณะนี้มีใบหน้าที่ดูธรรมดามาก แต่เป็นใบหน้าธรรมดาที่ไม่มีใครเคยพบเห็น
เนื่องจากร่างเดิมไม่เคยย่างกรายออกจากจวนสกุลเฟิ่งเลยสักครั้ง และนี่เป็นครั้งแรกที่ทุกคนได้เห็นใบหน้าที่แท้จริงของนาง ดังนั้นในชั่วขณะหนึ่งพวกเขาจึงไม่รู้ว่าควรจะเชื่อใครดี
ทางด้านจวินหรูเย่มองสลับไปมาระหว่างสตรีทั้งสองโดยที่สายตาของเขามองสำรวจพวกนางอย่างครุ่นคิด
ทันใดนั้นก็มีลมพัดผ่านโถงที่ทุกคนยืนอยู่ ทำให้เฟิ่งมู่ชิงได้กลิ่นอะไรบางอย่าง ปลายจมูกของนางขยับเล็กน้อย ก่อนที่ดวงตาจะเป็นประกายด้วยความยินดี หลังจากนั้นหญิงสาวจึงถามตัวปลอมที่อยู่ตรงหน้าว่า
“เจ้ามีอะไรอยากจะพูดหรือไม่?”
เมื่อหญิงสาวปริศนาผู้นั้นได้ยินในสิ่งที่เฟิ่งมู่ชิงถาม ดวงตาของนางก็หรี่ลง ก่อนจะส่งเสียงสะอื้นไห้เบา ๆ
“แม่นางน้อยผู้นี้… ทำไมเจ้าต้องมาสร้างความวุ่นวายในงานสมรสของข้าด้วย?”
น้ำเสียงสั่นเครือทำให้ผู้คนที่ได้ยินเจ็บแปลบในหัวใจ พวกเขาอดไม่ได้ที่จะรู้สึกเอนเอียงไปทางเจ้าสาวปริศนาผู้นั้น
ถึงแม้ว่าหน้าตาของนางจะดูธรรมดา แต่ท่าทางและน้ำเสียงของนางก็ดูสง่างามมาก
“ดูเหมือนว่าเจ้าจะไม่ยอมรับสินะ?”
พอเฟิ่งมู่ชิงพูดจบ นางก็รวบรวมกำลังภายในของตนแล้ววิ่งเข้าไปหาสตรีปริศนาทันที
แขกในงานไม่สามารถมองตามความเร็วของการเคลื่อนไหวนี้ได้เลย พวกเขาเห็นเพียงแค่เงาเลือนรางที่เคลื่อนผ่านสายตาของตนไปเท่านั้น
“อ๊าาา!!”
เสียงกรีดร้องของหญิงปริศนาดังลั่นจนทำให้แก้วหูของทุกคนสั่นสะท้าน
เมื่อกลุ่มคนในงานมองไปยังทิศทางของเสียงกรีดร้อง พวกเขาก็สังเกตเห็นว่าเฟิ่งมู่ชิงกำลังจับไหล่ของสตรีผู้นั้นด้วยมือข้างเดียว ส่วนมืออีกข้างก็เคลื่อนไหวอยู่บริเวณใบหน้าของอีกฝ่ายอย่างรวดเร็ว ไม่นานนักใบหน้าที่แท้จริงของเจ้าสาวตัวปลอมก็เผยออกมา
“เฟิ่งหวานหว่าน น้องสาวคนดีของข้า เจ้าพยายามจะขัดพระราชโองการของฝ่าบาทงั้นหรือ?”
เฟิ่งมู่ชิงเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงเย้ยหยันในขณะที่ถือหน้ากากบาง ๆ เอาไว้ นางปรายตามองไปยังของที่อยู่ในมือตนเองพร้อมกับเม้มฝีปากก่อนจะบ่นออกมาด้วยความขยะแขยง “เจ้าสิ่งนี้ทำออกมาได้แย่มาก”
จากนั้นนางจึงโยนหน้ากากไปทางจวินหรูเย่ที่กำลังเพลิดเพลินกับการดูละครฉากสำคัญอยู่
--------------------------------------------------
พูดคุยท้ายตอนกับเสี่ยวเถียว: ทุกคนอึ้ง! บุกงานแต่งกันอย่างงี้เลยเหรอออ
สารบัญ / นำทาง
- 👁️ ยอดวิว 256
แสดงความคิดเห็น