บทที่ 1: ใครส่งพวกเจ้ามา?

-A A +A

บทที่ 1: ใครส่งพวกเจ้ามา?

เฟิ่งมู่ชิงลืมตาขึ้นด้วยความงุนงง นางกวาดสายตามองไปรอบตัวก่อนจะพบว่าตนอยู่ในพื้นที่ขนาดเล็กที่มีลักษณะเหมือนเกี้ยวเจ้าสาว

เกิดอะไรขึ้น?

ข้าแค่งีบหลับไปมิใช่หรือ? แล้วทำไมตอนนี้ข้าถึงอยู่ในร่างของสตรีที่กำลังสวมใส่ชุดแต่งงานกัน?

ในตอนนี้หญิงสาวรู้สึกตะขิดตะขวงใจมาก เพราะก่อนหน้านี้นางเป็นเทพเซียนผู้สง่างาม เป็นดั่งต้นเหล็กอายุหลายพันปีที่ไม่เคยเบ่งบาน*มาก่อน และนี่เป็นครั้งแรกที่นางอยู่ในชุดเจ้าสาว

*เป็นคำเปรียบเปรย มีความหมายว่า ผู้ที่มีอายุอยู่มานานแต่ไม่เคยมีประสบการณ์ด้านความรัก

เฟิ่งมู่ชิงผุดลุกขึ้นทันที ทว่าเพราะการลุกขึ้นยืนอย่างกะทันหันทำให้นางมีอาการวิงเวียนศีรษะจนต้องนั่งลงอีกครั้ง

แต่แล้วจู่ ๆ หญิงสาวก็รู้สึกถึงความเจ็บปวดที่แล่นเข้ามาในหัว เนื่องจากความทรงจำที่ไม่ใช่ของตนหลั่งไหลเข้ามาทำให้นางรู้สึกสับสนเป็นอย่างมาก เฟิ่งมู่ชิงสะบัดหัวเบา ๆ แล้วยกมือขึ้นกุมหน้าผาก ก่อนจะค่อย ๆ แยกแยะความทรงจำทั้งหมด

เฮอะ! ช่างดีเหลือเกิน

มุมปากของเฟิ่งมู่ชิงกระตุกยิ้มเย้ยหยันต่อโชคชะตาที่น่าเศร้าของตัวเอง

หลังจากนางใช้เวลานานกว่าสัปดาห์ในการพยายามเอาตัวรอด ในที่สุดนางก็ตะเกียกตะกายหนีพ้นจากมือมัจจุราชมาได้ แต่นางไม่ได้คาดคิดว่าจะถูกอสนีบาตขนาดมหึมาเส้นนั้นฟาดใส่ ซึ่งท้ายที่สุดแล้วมันก็ส่งให้นางมาอยู่ที่นี่

อุกอาจ!

มันช่างอุกอาจมากเสียจริง!

หญิงสาวได้แต่ก่นด่าในใจ ก่อนจะสำรวจความทรงจำของร่างเดิมจนได้รู้ว่าเจ้าของร่างนี้มีนามว่า ‘เฟิ่งมู่ชิง’ ด้วยเช่นกัน นางเป็นบุตรสาวที่ชอบด้วยกฎหมายของ ‘เฟิ่งเทียนหลิง’ ผู้ดำรงตำแหน่งมหาเสนาบดีแห่งแคว้นเป่ยอี้ ในวันที่ร่างเดิมถือกำเนิดนั้นก็เกิดปรากฏการณ์แปลก ๆ ที่ทำให้ท้องฟ้าเหนือเมืองหลวงวิปริตแปรปรวน

ในวันนั้น ‘หลานจิ้งโหรว’ ผู้เป็นแม่ของนางเสียชีวิตในขณะคลอดบุตร และด้วยความเศร้าโศกเสียใจที่ภรรยาตายจาก จึงทำให้พ่อของนางส่งเฟิ่งมู่ชิงที่อายุยังไม่ถึง 1 เดือนไปอยู่ที่เป่ยหยวน เมืองชายขอบซึ่งอยู่ห่างไกลจากเมืองหลวงที่สุด โดยจัดการให้มีคนรับใช้เพียงคนเดียวไปอยู่ดูแลนาง 

และจากสถานการณ์ดังกล่าวทำให้คนรับใช้ในจวนฉวยโอกาสกลั่นแกล้งรังแกนางมาตลอด 15 ปี

พอคิดมาถึงขณะนี้เฟิ่งมู่ชิงก็รู้สึกว่าร่างเดิมนั้นโชคดีมากที่เติบโตขึ้นมาได้แม้ว่านางจะถูกทิ้งให้ดูแลตัวเองก็ตาม 

ถัดมา หญิงสาวถอนหายใจยาวก่อนจะเปิดม่านเดินออกจากเกี้ยวเจ้าสาวขึ้นแล้วมองไปรอบ ๆ ทำให้รู้ว่าปัจจุบันตนกำลังอยู่ในป่าอันเงียบสงัดที่ไม่มีร่องรอยของมนุษย์อยู่เลยแม้แต่น้อย

ไม่ใช่ว่าตอนนี้ร่างเดิมต้องเข้าพิธีสมรสในจวนของผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ตามพระราชโองการของฮ่องเต้หรอกหรือ?

เหตุใดนางถึงมาอยู่ในป่ารกร้างเช่นนี้?

แล้วคนแบกเกี้ยวเจ้าสาวหายไปไหน ทำไมถึงไม่มีใครอยู่เลย?

ในหัวของเฟิ่งมู่ชิงเต็มไปด้วยคำถามที่ไม่สามารถหาคำตอบได้

ทันใดนั้น ขณะที่หญิงสาวกำลังไตร่ตรองถึงสถานการณ์ที่กำลังเผชิญอยู่ จู่ ๆ นางก็สัมผัสได้ถึงจิตสังหารที่พุ่งเข้ามา ทำให้นางตื่นตัวก่อนจะเบี่ยงหลบไปด้านข้างทันที

ปัง!!!

ต้นไม้ใหญ่ที่อยู่ด้านหลังของหญิงสาวล้มกระแทกพื้นเสียงดังสนั่น

จังหวะนั้นเฟิ่งมู่ชิงสูดหายใจเข้าลึก ๆ เพื่อระงับอารมณ์ ในขณะที่เปลือกตาของนางกระตุกถี่ ๆ เหมือนเป็นสัญญาณบ่งบอกถึงความโชคร้าย

เทพเซียนบนสวรรค์ช่างใจดีกับนางเสียเหลือเกิน ไม่เพียงแต่ส่งนางมาอยู่ในร่างของสตรีที่กำลังจะแต่งงานเท่านั้น แต่นางยังถูกลอบโจมตีอีกด้วย!

ขณะนั้นหญิงสาวหันไปเผชิญหน้ากับเหล่าชายชุดดำกลุ่มหนึ่งซึ่งยืนถืออาวุธตั้งท่าเตรียมจะฟาดฟันนาง พร้อมกับที่นัยน์ตาเหลือบไปเห็นแสงอาทิตย์ยามสนธยาที่สะท้อนคมดาบเป็นประกายอันเย็นเยียบที่ไม่ว่าใครพบเห็นก็คงจะอดสั่นสะท้านไม่ได้

ปัจจุบันทั้งสองฝ่ายต่างยืนมองหน้ากันโดยไม่พูดอะไร ในเวลาเดียวกันนั้น เฟิ่งมู่ชิงแอบขยับนิ้วใต้แขนเสื้อเงียบ ๆ เพื่อที่จะตอบโต้กลุ่มคนตรงหน้า ทว่านางก็ต้องตกใจ

เกิดอะไรขึ้น!?

เหตุใดข้าจึงใช้พลังไม่ได้?

สิ่งที่เกิดขึ้นทำให้เฟิ่งมู่ชิงเหยียดยิ้มด้วยความขมขื่น ใครจะคิดว่าวันหนึ่งเทพเซียนที่อายุน้อยที่สุดแห่งสวรรค์ชั้นฟ้าจะกลายเป็นหมูในอวยรอให้คนอื่นเชือดแบบนี้ 

“ฆ่ามัน!”

ชายชุดดำที่ดูเหมือนจะเป็นผู้นำตะโกนสั่งเสียงดัง จากนั้นคนที่เหลือก็วิ่งกรูกันเข้าไปหาหญิงสาวที่เป็นเป้าหมายของพวกเขาทันที

เมื่อเฟิ่งมู่ชิงเห็นดังนั้น แววตาของนางก็แข็งกร้าว นางรีบดึงปิ่นปักผมบนศีรษะออกมา ก่อนจะใช้มันทิ่มเข้าไปในร่างกายของนางสองสามครั้ง ไม่นานหญิงสาวก็รู้สึกว่าร่างกายเบาสบายขึ้น อีกทั้งความอบอุ่นก็ไหลเข้าสู่จุดตันเถียนของตัวเองด้วย

ในขณะที่คมดาบกำลังจะสัมผัสร่างกาย สายตาอันแหลมคมของเฟิ่งมู่ชิงก็สังเกตเห็นมันเสียก่อน นางจึงบิดตัวไปด้านข้างพร้อมกับคว้าข้อมือของศัตรู ก่อนจะหักข้อมือคนตรงหน้าอย่างแรง จากนั้นจึงคว้าดาบที่หลุดออกจากมือของอีกฝ่ายขึ้นมาใช้เป็นอาวุธป้องกันตัว

นั่นทำให้ชายชุดดำที่อยู่ตรงหน้าตกตะลึงไปชั่วขณะหนึ่งพลางมองดูมือขวาที่ว่างเปล่าด้วยความงุนงง

สตรีผู้นี้เป็นคนไร้ประโยชน์ไม่ใช่หรือ?

เหตุใดคนไร้ประโยชน์ถึงสามารถแย่งอาวุธไปจากมือของข้าได้?

ไม่นานชายชุดดำผู้นั้นก็ได้สติ เขาคำรามด้วยความโกรธก่อนจะรีบพุ่งเข้าไปหาคู่ต่อสู้อีกครั้งพร้อมกับง้างดาบที่อยู่ในมืออีกข้างขึ้น เพื่อหวังจะฟาดฟันหญิงสาวตรงหน้าให้ตาย

เคร้ง! ชิ้ง!

เสียงการปะทะกันของดาบในป่าอันเงียบสงบนั้นดูรุนแรงเป็นพิเศษ ประกายไฟจากอาวุธที่สะท้อนเป็นครั้งคราวทำให้เห็นว่ายามนี้ใบหน้าของเฟิ่งมู่ชิงดูเคร่งขรึมเป็นอย่างมาก

ในความโกลาหล ร่างของทั้งสองฝ่ายต่างก็โรมรันเข้าหากัน ทุกการเคลื่อนไหวนั้นดูรุนแรงจนรู้สึกได้ถึงอันตรายที่พร้อมจะปลิดชีพของกันและกันได้ทุกเมื่อ

บัดนี้ดาบในมือของหญิงสาวถูกย้อมด้วยเลือดของศพจำนวนนับไม่ถ้วน ใบมีดของนางโบกสะบัดราวกับผีเสื้อที่กำลังโบยบิน และท่วงท่าในการต่อสู้ที่งดงามทำให้ร่างของนางเปรียบดังบุปผาที่เบ่งบานอยู่ท่ามกลางค่ำคืนอันมืดมิด 

เลือดที่ไหลนองอยู่ใต้เท้าพร้อมกับศพของชายชุดดำที่ล้มลงกลาดเกลื่อนยิ่งทำให้การแสดงออกของเฟิ่งมู่ชิงดูเย็นชามากขึ้น สายตาคมดุของนางจับจ้องไปยังศัตรูที่เหลืออยู่ไม่วางตา

ในตอนนี้จำนวนของชายชุดดำเหลืออยู่ไม่มากนัก พวกเขามองหญิงสาวตรงหน้าด้วยความตื่นตระหนกพร้อมกับความรู้สึกอกสั่นขวัญแขวนที่เพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ จนทำให้พวกเขาตั้งท่าจะล่าถอยด้วยกำลังเฮือกสุดท้าย

เฮอะ!

พอเฟิ่งมู่ชิงเห็นว่าเหล่าชายชุดดำที่เหลือตั้งใจจะหลบหนี นางก็เยาะเย้ยพวกมันในใจ

คนที่กล้าหมายหัวเอาชีวิตของนางมีจุดจบเพียงอย่างเดียว นั่นก็คือการถูกส่งลงไปนั่งจิบชากับท่านพญายมในนรกเท่านั้น!

เมื่อหญิงสาวมองเห็นฝ่ายตรงข้ามเผยช่องโหว่ นางก็กระโดดหมุนตัวถีบไปที่หน้าอกของชายชุดดำทั้งสองจนล้มลงกับพื้น จากนั้นนางก็ใช้ดาบในมือชี้ไปที่ใบหน้าของคนทั้งคู่

“ใครส่งพวกเจ้ามา?”

“พวกข้าเพียงแค่รับเงินของผู้คนแล้วช่วยพวกเขากำจัดภัยพิบัติก็เท่านั้น”

“บอกมาว่าใครอยู่เบื้องหลังเรื่องนี้แล้วข้าจะไว้ชีวิตพวกเจ้า”

พอชายชุดดำได้ยินคำถามของหญิงสาวตรงหน้า พวกเขาต่างก็เงียบไม่ยอมปริปากพูดอะไรออกมา

ทางด้านเฟิ่งมู่ชิงหรี่ตามองชายสองคนที่นั่งอยู่บนพื้น ครั้นเห็นว่าคงไม่ได้รับคำตอบ นางจึงใช้ดาบฟันคนทั้งคู่ด้วยท่าทีไม่จริงจังนัก ส่งผลให้ชายชุดดำทั้งสองเบิกตากว้างก่อนสิ้นใจตาย

ในเวลาเดียวกัน เลือดสีแดงสดไหลไปตามใบมีดก่อนจะหยดลงบนหญ้าที่เหี่ยวเฉาแล้วซึมลงผืนดิน

หญิงสาวมองดูศพที่เกลื่อนอยู่บนพื้นอย่างเย็นชาครู่หนึ่ง จากนั้นก็ทิ้งดาบแล้วเดินตามทางที่เป็นเหมือนถนนเล็ก ๆ ออกไป

โชคดีที่ก่อนหน้านี้นางตั้งใจเรียนรู้อย่างขยันขันแข็งเพื่อที่จะได้ขึ้นเป็นเทพเซียน นางจึงศึกษาหาความรู้ในเกือบทุกด้าน รวมถึงศิลปะการต่อสู้ ทักษะทางการแพทย์ และทักษะการใช้พิษ

มิฉะนั้น นางอาจจะกลายร่างเป็นวิญญาณที่ตายภายใต้คมดาบของคนชั่วไปแล้วก็ได้

แม้ว่าในตอนนี้นางจะไม่สามารถใช้พลังวิญญาณของตัวเองได้ก็ตาม แต่ด้วยทักษะความสามารถในชีวิตก่อนก็เพียงพอแล้วที่จะทำให้นางโดดเด่นแม้จะอยู่ท่ามกลางฝูงชน

หลังจากเฟิ่งมู่ชิงเดิน ๆ หยุด ๆ มาเป็นเวลานาน ในที่สุดนางก็เห็นถนนที่เหมือนจะเป็นถนนสายหลักทำให้หญิงสาวมีความสุขมาก แต่เมื่อมองเส้นทางข้างหน้าที่ดูไกลจนมองไม่เห็นจุดสิ้นสุด นางก็รู้สึกเป็นทุกข์ขึ้นมาในทันที

นี่ข้าต้องใช้เวลาอีกนานแค่ไหนถึงจะเดินไปถึงเมืองหลวง?

เป็นเพราะร่างเดิมไม่เคยออกจากจวนที่เคยอาศัยอยู่ก่อนหน้านี้เลยแม้แต่น้อย ทำให้นางไม่รู้ว่าควรจะเดินไปยังทิศทางไหน และบางทีตอนนี้นางอาจจะกำลังเดินออกห่างจากเมืองหลวงโดยไม่รู้ตัวก็เป็นได้

เฟิ่งมู่ชิงถอนหายใจด้วยความรู้สึกจนใจ

เฮ้อ นี่มันจะลำบากเกินไปแล้วนะ เมื่อไหร่จะถึงสักที

ในขณะที่นางกำลังรู้สึกหมดหนทาง จู่ ๆ ก็มีเสียงฝีเท้าของม้าพร้อมกับเสียงล้อรถดังมาจากด้านหลัง

หญิงสาวจึงเลิกคิ้วขึ้นพลางยกยิ้มมุมปากก่อนจะก้าวหันหลังกลับไปเพื่อหยุดรถม้าไว้

เมื่อรถม้าหยุดวิ่งอย่างกะทันหัน คนในรถก็เอ่ยถามคนบังคับรถม้าของตน

“เกิดอะไรขึ้น?”

เสียงนุ่มทุ้มจากคนในรถม้าฟังดูอ่อนโยนจนทำให้เฟิ่งมู่ชิงรู้สึกประหลาดใจ

“นายท่านขอรับ มีสตรีนางหนึ่งมาขวางทางไว้ขอรับ” ชายที่รับหน้าที่ขับรถม้ามองดูหญิงสาวในชุดแต่งงานที่อยู่ตรงหน้าพร้อมกับกล่าวรายงานผู้เป็นนายด้วยน้ำเสียงลำบากใจ

ไม่นานนัก นิ้วเรียวยาวขาวนวลก็เลิกม่านของรถม้าขึ้น และทันใดนั้น ใบหน้าที่ดูบอบบางราวกับหยกก็ปรากฏออกมา

เฮือก–

เฟิ่งมู่ชิงสูดหายใจเข้าลึก ๆ พร้อมกับมองไปยังชายบนรถม้าด้วยสายตาที่ว่างเปล่า

ดวงตาดอกท้อสดใสใต้คิ้วรูปดาบคู่นั้นราวกับน้ำในฤดูใบไม้ผลิที่ชโลมจิตใจของผู้ที่ได้พบเห็น ริมฝีปากบางรับกับสันจมูกคมดูน่าทะนุถนอม อีกทั้งเสื้อผ้าสีฟ้าอ่อนที่ชายผู้นั้นกำลังสวมใส่ยิ่งส่งเสริมให้ภาพลักษณ์ของเขาดูอ่อนโยนมากขึ้นไปอีก

‘คนแปลกหน้าก็เหมือนหยก สุภาพบุรุษที่ไม่มีใครเทียบเคียงได้ในโลกนี้*’ คำกล่าวนี้เหมาะสมกับชายตรงหน้าทุกประการ

*มาจากบทกวีที่ใช้เพื่อเปรียบเปรยถึงผู้ชายที่มีรูปโฉมงดงาม แต่ก็ยังคงมีความสง่างามของความเป็นชายชาตรี

เมื่อ ‘อวี้ชิงเฟิง’ เห็นหญิงสาวที่ยืนขวางรถม้าตกอยู่ในอาการมึนงง เขาก็เผยรอยยิ้มเล็กน้อย

ทันใดนั้น หัวใจของเฟิ่งมู่ชิงก็พองโตจนแทบระเบิดออกมาจากอก นางรู้สึกเหมือนว่าตัวเองกำลังถูกห่อหุ้มด้วยสายลมอันอบอุ่น

ช่างเป็นบุรุษที่อ่อนโยนและสง่างามเสียจริง!

หญิงสาวเคยคิดว่านางได้เห็นบุรุษที่หล่อเหลามามากมายแล้ว แต่นางพึ่งเคยเห็นชายหนุ่มรูปงามและมีเสน่ห์ขนาดนี้เป็นครั้งแรก

“แม่นาง ทำไมเจ้าถึงมายืนขวางรถม้าเช่นนี้?”

เฟิ่งมู่ชิงที่ได้ยินอีกฝ่ายถามก็รู้สึกตัวทันที นางจึงเสมองไปทางอื่นด้วยความเก้อเขิน 

“ข้าต้องการเดินทางไปยังเมืองหลวง ข้าขอติดรถม้าของท่านไปด้วยได้หรือไม่?”

“หากแม่นางไม่ถือสาที่จะร่วมเดินทางไปกับคนแปลกหน้าก็เชิญขึ้นมาเถิด”

“ขอบพระคุณท่านมาก”

ทันทีที่ชายหนุ่มบนรถม้าอนุญาต นางก็เอื้อมมือไปยึดขอบประตูรถม้าแล้วกระโดดเข้าไปข้างในทันที

ส่วนคนบังคับรถม้าที่เห็นว่านายของตนอนุญาตให้หญิงสาวแปลกหน้าติดรถไปด้วยก็รู้สึกตกตะลึง เพราะนี่เป็นครั้งแรกที่เขาเห็นว่าเจ้านายของตนปล่อยให้สตรีเข้าใกล้ขนาดนี้

“ไปกันเถอะ”

เสียงออกคำสั่งของผู้เป็นนายทำให้บ่าวรับใช้กลับมารู้สึกตัวก่อนจะเริ่มบังคับรถม้าให้ออกเดินทางอย่างมีสติ

หลังจากเฟิ่งมู่ชิงขึ้นรถมาแล้ว นางก็นั่งลงตรงข้ามกับอวี้ชิงเฟิง เมื่อมองคนตรงหน้า ความประหลาดใจก็ฉายผ่านดวงตาของนางชั่วขณะ แต่จากนั้นนางก็ไม่ได้มีท่าทีงุนงงเหมือนตอนพบกันครั้งแรกอีกเลย

ทางด้านชายหนุ่มเจ้าของรถม้า พอเขาสังเกตเห็นท่าทีของหญิงสาว เขาก็พบว่านางดูน่าสนใจมาก

คนแบบไหนกันที่สามารถเปลี่ยนแปลงอารมณ์ได้ในชั่วอึดใจเดียว?

“ข้ามีนามว่าอวี้ชิงเฟิง ข้าควรเรียกขานนามแม่นางว่าอย่างไรดี?” ชายหนุ่มเอ่ยเปิดบทสนทนาเพื่อทำลายความเงียบในรถ

“เฟิ่งมู่ชิง” หญิงสาวตอบคำถามสั้น ๆ

เฟิ่งมู่ชิงงั้นหรือ!?

สตรีคนนี้คือคนเดียวกันกับเฟิ่งมู่ชิงเขารู้จักใช่หรือไม่?

อวี้ชิงเฟิงมองหญิงสาวตรงหน้าให้แน่ใจอีกครั้ง ก่อนจะพยักหน้าเล็กน้อย

นางคือเฟิ่งมู่ชิง บุตรสาวคนโตของมหาเสนาบดีเฟิ่งที่ไม่ได้รับความโปรดปรานที่เขารู้จักจริง ๆ

แต่วันนี้เป็นวันสำคัญของนางกับผู้สำเร็จราชการแผ่นดินมิใช่หรือ?

แล้วนางมาอยู่คนเดียวในที่รกร้างเช่นนี้ได้อย่างไร?

ในขณะเดียวกัน เมื่อเฟิ่งมู่ชิงสบสายตากับอวี้ชิงเฟิง นางก็ขมวดคิ้วเล็กน้อยก่อนจะเอ่ยถามคนตรงหน้าว่า

“คุณชายอวี้รู้จักข้าใช่หรือไม่?”

“เคยได้ยินมาเล็กน้อย”

พอหญิงสาวได้ยินคำตอบของชายตรงหน้าก็ยิ่งรู้สึกสับสน

 

--------------------------------------------------

พูดคุยท้ายตอนกับเสี่ยวเถียว: สวัสดีนักอ่านที่น่ารักทุกคนจ้า มาตอนแรกนางเอกของเราก็ได้บู๊แล้ว เรื่องราวจะเป็นยังไงต่อ ฝากติดตามผลงานแปลเรื่องใหม่ของเสี่ยวเถียวกันด้วยน้า

ปล.เราเพิ่งเคยแปลนิยายแนวเล่ห์รักวังหลวงเป็นครั้งแรก ดังนั้นหากมีข้อผิดพลาดตรงไหน ต้องขอภัยด้วยนะคะ และหากทุกคนมีข้อเสนอแนะหรือข้อติใด ๆ สามารถบอกเราได้เลย เพื่อที่เราจะได้นำไปปรับปรุงในอนาคตค่ะ ขอบคุณค่ะ

สารบัญ / นำทาง

แสดงความคิดเห็น

 
 

ข้อควรทราบ เนื่องจากผู้ดูแลหลักของเว็บไซต์เป็นคนตาบอด หากพบการแสดงผลที่ผิดเพี้ยนและสร้างความไม่สะดวกต่อการใช้งาน โปรดแจ้งทีมงานได้ในทุกช่องทาง

เราอยากให้สมาชิกทุกท่านอยู่กันอย่างครอบครัวที่อบอุ่น ให้สังคมภายในเว็บ เป็นสังคมที่ดี ดังนั้น สมาชิกทุกท่านโปรดเคารพในสิทธิของตนเองและผู้อื่น

ผลงานที่ถูกเผยแพร่บนเว็บ ให้ถือว่าลิขสิทธิ์เป็นของผู้เผยแพร่เอง ห้ามมิให้บุคคลอื่นนำไปเผยแพร่ ก็อปปี้ หรือนำไปดัดแปลง โดยไม่ได้รับอนุญาตจากเจ้าของผลงานโดยเด็ดขาด หากมีการฝ่าฝืน แล้วถูกดำเนินคดีจากเจ้าของผลงาน ทางเว็บมิขอเกี่ยวข้อง เพราะได้แจ้งเตือนเอาไว้อย่างชัดเจนแล้ว

หากพบบทความที่มีเนื้อหาไปในทางใส่ร้ายผู้อื่น หรือทำให้ผู้อื่นเสียหาย แจ้งเข้ามาได้ตามช่องทาง Email keangun2018@gmail.com ได้ตลอด 24 ชั่วโมง ทางทีมงาน จะทำการตรวจสอบ และหากเป็นจริง จะนำผลงานดังกล่าวออกจากเว็บไซต์ ไม่เกิน 1 วัน

Copyright © 2018-2024 keangun. All Right Reserved.