STARCIN ภาคที่ 7 Colosseum ตอนที่ 7 บันเทิง
13 พฤษภาคม พ.ศ.2576
การประลองแรกเริ่มด้วยคู่ของชุนซึ่งเป็นมนุษย์เพียงคนเดียวในสำนักศาสตร์นักสู้
“ชุนเป็นนักดาบพเนจรที่ไม่มีสังกัดแต่กลับแสดงทักษะออกมาได้น่าสนใจ ห้าปีที่แล้วข้าได้เห็นฝีมือตอนงานประลองประจำปีเนี่ยแหละและจากนั้นข้าก็เลยเชื้อเชิญให้มาอยู่สำนักศาสตร์นักสู้”
ตาแก่นี่พูดไม่หยุดเลยแฮะ แต่ก็คงเป็นธรรมดาที่อยากแนะนำลูกศิษย์ที่น่าภาคภูมิใจของตัวเอง เจ้าสำนักเฉิงนั่งเคียงคู่กับซึฮากิหวังเสริมสร้างความสัมพันธ์
หวังอะไรอยู่สินะ ซึฮากิเหลือบตามองสีหน้าท่าทางของเฉิงที่เต็มไปด้วยลับลมคมในแต่นั่นก็ไม่ได้หวังร้ายกับพวกเขา
ชุนจับด้ามดาบที่ยังอยู่ในฟักและตั้งท่าเตรียมอยู่ตลอดเวลา ขณะที่ทุกสายตาคอยจับจ้องผู้ประลองทั้งสองที่ดูเชิงกันและกันไม่มีใครยอมใครเลยจริง ๆ
“ถ้าจะทำแบบนี้ข้าก็ทำได้ทั้งวันนั่นแหละ” คู่ประลองของเขาเป็นศิษย์จากสำนักดาบเทพซึ่งเป็นสำนักที่สอนเฉพาะวิชาดาบเท่านั้น
ชุนเดาะลิ้นหงุดหงิดกับสีหน้าสบายของคู่ประลอง “เหอะ ข้าก็แค่อยากฝึกประสาทสัมผัสเท่านั้น”
พูดจบชุนก็ชักดาบฟันไปด้านหน้าหนึ่งครั้งแต่อีกฝั่งก็ใช้ดาบเสริมมานาตัดผ่านมันได้ไม่ยากนัก
“เตรียมรับมือ !” ชายหนุ่มเผ่ากระต่ายใช้ทักษะเฉพาะที่สามารถกระโดดได้ไกลและรวดเร็วเข้ามาประชิดพร้อมกับเหวี่ยงดาบเพลิงเป็นแนวนอน
เหมือนข้อมูลที่มีเลย เขาจะเน้นไปที่การโจมตีหนึ่งจังหวะและถอยกลับเพราะฉะนั้นเราต้องไม่ให้เวลาหนีเด็ดขาด ชุนเลือกที่จะปะทะเพลงดาบและพยายามไล่ต้อนคู่ประลองไปเรื่อย ๆ
“คิดว่าข้าไม่คิดวิธีอื่นหรือยังไง?” เขาดีดตัวกระโดดขึ้นเหนือหัวสูงกว่าสิบเมตร
กระโดดขึ้นไปกลางอากาศมันก็แค่เป้านิ่งไม่ใช่หรือ ชุนตั้งสมาธิรวบรวมมานาและฟาดดาบวารีที่เลี้ยวขดไปมาราวกับมีชีวิต
ก่อนที่จะดาบวารีจะเข้าถึงตัวเขาก็พุ่งออกไปไกลจนพลาดเสียได้
“กระโดดกลางอากาศอีกครั้ง...” ชุนฟาดดาบวารีขึ้นไปไม่หยุดแต่ก็พลาดเพราะระยะห่างทำให้อีกฝั่งหลบได้ทัน
การกระโดดไปมากลางอากาศเสมือนนกที่โบยบินอย่างอิสระบนท้องฟ้าทำให้ผู้ชมตกตะลึงโห่ร้องออกมาเสียงดัง
“กระโดดเหยียบมานาเสริมกำลังสินะ ดูเหมือนคนแถวนี้มักจะสอนการใช้มานาเป็นหลักซึ่งต่างจากอาณาจักรอื่นพอสมควรเลย” ซึฮากิใช้มือยันคางนั่งคิดพลางเฝ้ามองการเคลื่อนไหวของศิษย์สำนักดาบเทพไปด้วย
“นั่นก็เพราะผู้บุกเบิกเมื่อสามร้อยปีก่อนเป็นคนแสดงให้เห็นว่าทำไมเราต้องฝึกมานา” เฉิงพูดขณะที่ลูบเคราไปด้วย
“ผู้บุกเบิกอีกแล้วเหรอ? เขาแข็งแกร่งมากเลยใช่ไหมทุกคนถึงเคารพนับถือขนาดนั้น”
“นั่นสิ จนถึงตอนนี้ก็เหลือแค่ไม่กี่เผ่าที่ได้รับประสบการณ์ตรงจากผู้บุกเบิก ประชาชนส่วนใหญ่ได้แค่การสั่งสอนต่อ ๆ กันมาเท่านั้น”
“เผ่าที่มีอายุยืนก็น่าจะเป็นเอลฟ์สินะ” ซึฮากิเหลือบมองยูกิเหมือนนึกอะไรได้
“และผู้ชนะการประลองก็คือ...ชุนศิษย์อันดับสองจากสำนักศาสตร์นักสู้” เพียงครู่เดียวที่ซึฮากิคลาดสายตาการประลองก็จบลงเสียแล้ว
เมื่อกี้ยังเห็นอีกฝ่ายอยู่เหนือลานประลองอยู่เลย แล้วที่พื้นนั่นมันแอ่งน้ำใช่ไหม
“เจ้าพลาดจังหวะสุดท้ายสินะ” เฉิงยิ้มเยาะหัวเราะในลำคอแค่เห็นก็น่าหงุดหงิดแล้ว
“ครับ” ซึฮากิตอบกลับสั้น ๆ เหมือนไม่อยากรู้แต่กลับสบตาพร้อมรับฟัง
“เจ้าชุนมันมีวิชาดาบติดตัวก่อนจะมาเข้าร่วมกับข้า วิชาดาบที่เจ้านั่นใช้ก็คือสะบั้นวารีกลืนกินซึ่งเป็นวิชาดาบวารีที่แข็งแกร่งเป็นอันดับต้น ๆ เลยก็ว่าได้”
ซึฮากิจ้องมองตาไม่กะพริบจนเฉิงยังขนลุก
“ก็ได้ ๆ ข้าจะพูดให้ตรงประเด็นแล้ว...ก็แค่อยากเล่าข้อมูลสำคัญ ๆ ให้ฟังเผื่อจะชอบ” เฉิงกอดอกสะบัดหน้าหนีสายตาอันน่าขนลุกของซึฮากิ
“ตามใจคุณเฉิงเถอะ ยังไงการประลองคู่ต่อไปก็ยังไม่เริ่มอยู่แล้ว”
เฉิงพยักหน้าก่อนจะกล่าวต่อ “ปกติสะบั้นวารีกลืนกินจะใช้ได้ดีกับการต่อสู้ในน้ำหรือบนท้องฟ้าเพราะฉะนั้นในการประลองชุนก็เลยไม่เคยใช้มันเลย แต่ครั้งนี้อีกฝ่ายเป็นคนเปิดโอกาสนั่นเสียเอง”
เฉิงโบกมือทักทายชุนที่กลับมานั่งที่เรียบร้อยและเล่าต่อ
“วิชาของชุนจะเป็นการสร้างคลื่นวารีโดยการหมุนตัวฟันเป็นวงกลมซึ่งคลื่นวารีที่สร้างขึ้นมาจะพัดออกไปจากตัว”
“แล้วทำไมถึงใช้บนพื้นได้ไม่ค่อยดีล่ะ?” ซึฮากิถามต่อทันที
“กำลังจะบอกเลย คลื่นวารีของชุนจะสูงขึ้นเรื่อย ๆ หากเป็นพื้นธรรมดาแต่หากใช้ในน้ำมันก็จะสามารถทะลวงลงลึกไปด้านล่างได้ด้วย ซึ่งคุณสมบัติดั่งกล่าวทำให้คนที่รับมือในระดับพื้นเดียวกันไม่จำเป็นต้องกังวล แล้วรู้หรือยังว่าสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อกี้คืออะไร?”
เล่นถามมาแบบนี้คงหวังจะประลองปัญญาหรือยังไง แต่ก็น่าสนุกดีเหมือนกันนี้ ซึฮากิยิ้มในหน้ารู้สึกสนุกขึ้นมาบ้าง
“สำหรับคู่ต่อสู้ที่กำลังเผชิญหน้าในแนวระดับเดียวกันจะเห็นเพียงแค่คลื่นพัดตรงมาซึ่งง่ายต่อการตั้งรับ แต่สำหรับคนที่อยู่บนท้องฟ้าจะเห็นคลื่นในรูปแบบสามมิติซึ่งจะเกิดได้ทั้งพุ่งเข้ามาตรง ๆ พุ่งเข้ามาแบบเฉียงขึ้นตั้งแต่มุมไกลไปถึงมุมประชิดตัวหรืออาจจะขึ้นมาปะทะตรงด้านล่างตัวเองทันทีก็ได้ ดังนั้นรูปแบบที่ต้องคอยป้องกันจึงมากกว่าและดูจากช่วงเวลาที่ผมคลาดสายตาก็แค่ไม่กี่วินาทีแสดงว่าเวลาในการตอบสนองก็ยิ่งน้อยไปอีก หากชุนสามารถใช้ได้ต่อเนื่องและสามารถปรับระดับความรุนแรงหรือระดับความสูงของคลื่นได้ก็จะเพิ่มรูปแบบที่ต้องดูและป้องกันเข้าไปอีก”
ซึฮากิสาธยายยาวเหยียดจนแม้แต่เฉิงหรือชุนที่เป็นคนทำก็ยังปวดขมับ แต่พอหันไปมองพวกเซนจึงได้เห็นท่าทางสบายอกสบายใจไม่สนสิ่งที่ซึฮากิพูดราวกับปล่อยให้ลมผ่านหูไป
“สุดยอดเลยขอรับ ขอทราบชื่อเสียงเรียงนามเต็ม ๆ อีกสักครั้งได้หรือไม่?” ใบหน้าอันคมเข้มกล่าวด้วยความเกรงใจหลังจากได้ฟังการอธิบายของซึฮากิ
ชุนศิษย์อันดับสองที่มีลักษณะนิสัยของสุภาพบุรุษทั่ว ๆ ไปแต่ดูเหมือนจะมีเป้าหมายอะไรสักอย่างที่ยังไม่แสดงออก
“เอ่อ...คุณซึฮากิ” ชุนเดินมาด้านหน้าเพื่อมองดูซึฮากิชัด ๆ
“เรียกแค่นั้นนั่นแหละครับ ยังไงผมก็เหมือนนักท่องเที่ยวไม่ก็พ่อค้าซะมากกว่า”
เวลาผ่านไปช้า ๆ กับการเฝ้าดูและสังเกตการณ์ต่อสู้ของคู่ประลองทำให้ซึฮากิได้ข้อมูลมามากเกินพอ ไม่ว่าจะเป็นวิธีสอนหรือสิ่งที่สอนของแต่ละสำนักหรือแม้แต่จุดแข็งจุดอ่อนของผู้เข้าร่วมการประลองทุกคน
16 พฤษภาคม พ.ศ.2576
เมื่อการประลองรอบแรกครบหมดจึงเริ่มรอบสองต่อทันที ผู้เข้าร่วมการประลองมากกว่าห้าร้อยคนเหลือเพียงครึ่งเดียวทำให้ลดเวลาในการประลองลงมาได้มากเลยทีเดียว
“ตลอดห้าวันที่ผ่านมารู้สึกยังไงบ้างล่ะคุณซึฮากิ?” เฉิงยังคงทิ้งที่นั่งหรูหราของเจ้าสำนักเพื่อมาถกกับซึฮากิ
“อาจจะเพราะเป็นการสุ่มก็เลยไม่ค่อยเห็นอะไรที่มันสูสีสักเท่าไร แต่พอเริ่มคัดคนที่อ่อนแอออกไปก็คงจะได้เห็นผู้มีฝีมือประลองกันแล้ว” ซึฮากิยังวางมาดหน้านิ่งไม่ให้เฉิงเดาความคิดได้แต่นั่นก็เป็นหนึ่งในเหตุผลที่เฉิงสนใจซึฮากิเป็นพิเศษ
“ข้าก็อยากเห็นเหมือนกัน จริง ๆ คู่ของกังควรจะได้เห็นอะไรที่มันดีกว่านี้แต่พาซี่ดันยอมแพ้ง่าย ๆ เสียอย่างนั้น”
“อืม หลังจากจับคู่ประลองเมื่อเช้าก็เลยไม่ได้คาดหวังอะไรกับรอบนี้สักเท่าไร ฝ่ายที่ชนะก็เดาได้ไม่ยากนักและถ้าจะให้ลุ้นก็คงเป็นการประลองของตัวแทนเมือง”
หลังจากได้เห็นฝีมือของศิษย์อันสามและสี่แล้วก็พอจะเดามาตรฐานคนอื่นได้พอสมควร เต๋อเผ่าหมาป่าถนัดมีดสั้นมักใช้ความได้เปรียบของเผ่าพันธุ์เพื่อปิดเกมอย่างรวดเร็ว ฟานเผ่าพันธุ์กิ้งก่าถนัดการใช้หอกยาว การโจมตีผสานที่เน้นการควบคุมสถานการณ์โดยใช้หอกที่มีระยะหวังผลสูงและหางที่ควบคุมได้ราวกับอาวุธชิ้นหนึ่ง แต่ก็ไม่เห็นเอกลักษณ์ของสำนักเท่าไร
“ปกติพวกคุณสอนอะไรกันเหรอครับ?” ซึฮากิถาม
“แหม ๆ ในที่สุดก็ถามเรื่องนี้เสียที” เฉิงหัวเราะในลำคอก่อนจะกล่าวต่อ
“ปกติแต่ละสำนักจะมีการแบ่งระดับศิษย์ไม่เหมือนกัน อย่างของสำนักหงส์เดี้ยงจะแบ่งเป็นสามระดับซึ่งเหมือนกับสำนักของข้า”
“เจ้านินทาอะไรอีก !” เฟยเฟิ่งดันหูดีตะโกนมาแต่ไกล
“เงียบไปเลย ! ข้าจะคุยกับอาจารย์ซึฮากิ” เฉิงตะคอกกลับทันทีแล้วกลับมาคุยต่อ
“ระดับที่หนึ่งคือศิษย์ที่พึ่งรับเข้ามาซึ่งจะได้รับการสอนจากศิษย์ระดับสองแทน ต่อมาก็เป็นศิษย์ระดับสอง พวกเขาจะได้รับการสั่งสอนจากอาจารย์ที่ใช้อาวุธเหมือนกันหรือคล้าย ๆ กันจนกว่าจะผ่านบททดสอบจากผู้สอนถึงจะได้ขึ้นเป็นระดับสาม และแน่นอนระดับสามจะได้รับการฝึกฝนแบบส่วนตัวทั้งมานาและวิธีเอาชนะคู่ต่อสู้ จากนั้นก็จะมีการสอบใช้งานจริงทั้งสู้กับคนและมอนสเตอร์แถมยังมีการต่อสู้เพื่อจัดอันดับกันด้วย”
“อืม ถือว่าค่อนข้างไม่ตายตัวสินะว่าจะสอนอะไรบ้าง นั่นก็เป็นข้อดีถ้านักเรียนมีไม่มากแต่จะเป็นข้อเสียทันทีเมื่อมีนักเรียนต่ออาจารย์หนึ่งคนมากเกินไป”
“แล้ว...เจ้าอยากจะลองเป็นอาจารย์พิเศษสักหนึ่งอาทิตย์หรือไม่? แน่นอนว่าข้าจะจ่ายให้สมราคาเพราะข้าอยากเห็นการสอนของเจ้า” เฉิงพูดต่อทันทีหลังจากที่ซึฮากิแสดงความคิดเห็น
“ทำไมถึงสนใจผมขนาดนั้นล่ะ? หรือหวังอะไรสักอย่างอยู่กันแน่” ซึฮากิพูดเจาะเข้าประเด็นไม่มีการอ้อมค้อมทำให้เฉิงยิ้มเจื่อนไปไม่ถูก
เขากระแอมคอก่อนจะตอบกลับ “เจ้านี่รู้ไปเสียทุกเรื่องจริง ๆ ความจริงแล้วข้าอยากให้เจ้าได้ประลองรอบพิเศษซึ่งจะเป็นการแลกเปลี่ยนประสบการณ์ของตัวแทนอาจารย์แต่ละสำนัก”
อ้อเข้าใจแล้ว ก่อนปิดงานประลองประจำปีจะมีการเลือกอาจารย์มาประลองกลุ่มกัน
“แล้วผมจะได้อะไรจากการเข้าร่วมการประลอง”
เฉิงนั่งคิดหนักออกนอกหน้าจนต้องวิ่งกลับไปประชุมด่วนกับอาจารย์คนอื่น
“เราได้ขอสรุปแล้ว” เฉิงเดินกลับมาอย่างสุขุมดูน่าเคารพและนั่งลงข้าง ๆ เพื่อกล่าวต่อ
“เราขอเสนอเงินจำนวนสองร้อยเหรียญทองแลกกับการประลองรอบพิเศษครั้งเดียว”
ซึฮากิทำหน้าเฉยเมยไม่รู้สึกอะไรกับจำนวนเงินมันยิ่งทำให้เฉิงลนลานและวิ่งกลับไปประชุมด่วนกับอาจารย์คนอื่นอีกครั้ง
“สองร้อยห้าสิบเหรียญทอง...” ซึฮากิยังคงเงียบทำให้เฉิงต้องกลับไปประชุมอีกรอบ
“สามร้อยเหรียญทอง...” ยังคงเป็นเช่นเดิมแต่ก่อนที่เฉิงจะเดินกลับซึฮากิก็เอ่ยทักเสียก่อน
“ผมลดให้เหลือสองร้อยเหรียญทองแต่ต้องเซ็นสัญญานายหน้าขายของให้ผม”
เฉิงขมวดคิ้วสงสัยจึงเอ่ยถาม “สัญญาอะไรนะ?”
ซึฮากิหยิบเอกสารที่เขียนเตรียมไว้ขึ้นมากางให้ดู
“ผมอยากให้สำนักศาสตร์นักสู้เป็นศูนย์กลางกระจายสินค้าหรือจะบอกว่าเป็นตัวแทนขายก็ได้ โดยทางเราจะขายสินค้าให้ในจำนวนหนึ่งและพวกคุณก็ต้องเอาไปขายต่ออีกที”
“หรือก็คือพวกข้าต้องซื้อของจากเจ้าและเอาไปขายต่อในราคาที่ได้กำไร...ใช่หรือไม่?”
“ถูกต้อง โดยสัญญาจะมีระยะเวลาหนึ่งปีและมีค่าปรับถ้าฉีกสัญญา”
เฉิงยังคงงง ๆ จนต้องกลับไปประชุมด่วนกับอาจารย์ท่านอื่น พวกเขาใช้เวลาเจรจาพูดคุยกันอยู่พักหนึ่งกว่าเฉิงจะเซ็นสัญญาซื้อขายของซึฮากิ
“ผมบอกเลยว่าพวกคุณจะไม่ขาดทุนแน่นอน แถมสินค้าของพวกเราคุณก็ได้เห็นมาแล้วว่ามันสามารถสร้างมูลค่าและดึงดูดความต้องการได้มากแค่ไหน เครื่องเล่นเสียงจากอาณาจักรเซียที่ซื้อมาด้วยราคาแสนแพงอีกทั้งยังมีขนาดใหญ่ทำให้พกพาไปไหนไม่สะดวก” ซึฮากิและเฉิงยังคงพูดคุยต่อเพื่อความเข้าใจอย่างแจ่มแจ้งโดยมีสายตาสงสัยมองจากพวกเซนและสำนักหงส์เทพที่อยู่ข้าง ๆ
“นั่นซึฮากิขายของอีกแล้วเหรอ ตอนไปอาณาจักรเซียก็ทำเหมือนกันเลยนี่” เซนกระซิบคุยกับคานะ
“อย่าบ่นเลยน่าพวกเงินที่ไหลเข้าเมืองเราก็มาจากการขายแบบนั้นนั่นแหละ”
“อืมช่างเถอะ แต่ตอนนี้มันว่างนี่นา...เอาแต่ดูคนอื่นสู้กันไม่เบื่อบ้างเหรอ?”
“ไม่...” ยูกิตอบแทบจะทันทีเหมือนรู้อยู่แล้วว่าเซนจะถามอะไร
“ผมอยากสู้มั่ง” คำตอบที่ได้จากเด็กหนุ่มรอนทำให้เซนยิ้มปลื้ม
“ต้องอย่างนี้สิน้องพี่ เราออกไปประลองที่ลานข้างนอกดีไหม?”
“ไปครับ ๆ” รอนยิ้มแก้มปริตอบรับ
แม้ซึฮากิจะกำลังคุยกับเฉิงแต่เขาก็ได้ยินที่พวกเซนคุยจึงพูดดักไว้ทันที “อยู่ในเมืองไว้ล่ะอย่าออกไปนอกเขต”
“รับทราบครับอาจารย์ !” เซนและรอนวิ่งหน้าตั้งตามหลังกันไป จากนั้นเพื่อน ๆ ของรอนก็วิ่งตามไปด้วย
เซนวิ่งออกไปจากดันเจี้ยนโดยมีเด็ก ๆ ทั้งหกคนตามมาด้วยอย่างกับครูอนุบาลพาเที่ยว
“ออกมาข้างนอกแล้วสดชื่นขึ้นเยอะเลย พวกเราไปกันเถอะ !” เซนยกมือขึ้นสูงเป็นสัญญาณรวมใจและส่งเสียงร้องเฮพร้อม ๆ กัน
ขบวนเด็กตัวน้อยวิ่งตรงไปยังใจกลางเมืองโคโลที่มีสนามประลองเล็กตั้งอยู่ ชายชราผู้จัดการประลองถึงกับถอนหายใจเมื่อเห็นหน้าเซนอีกครั้ง
“เจ้ามีธุระอันใดหรือ?”
“ตัวข้าอยากจะประลองอีกครั้งรวมถึงเด็ก ๆ พวกนี้ด้วย” เซนผสานมือทักทายพอเป็นพิธี
“นี่เจ้าอยากให้เด็กตัวเล็ก ๆ พวกนี้...” เขาหยุดพูดกลางคันหลังจากได้มองดูพวกคิโนริ
เจ้าเด็กพวกนี้สเตตัสไม่น้อยเลยหรือจะเป็นศิษย์ของสำนักไหนสักสำนัก แถมเจ้าหน้าหล่อนี่ก็ดันเป็นสหายของกังอีกถ้าปฏิเสธอาจจะมีผลต่อภาพลักษณ์
“เอาสิข้าจะเปิดสนามให้ประลอง...แต่เด็ก ๆ พวกนั้นข้าหาคู่ประลองเหมาะ ๆ ไม่ได้เลยนี่สิ”
“ทำไมจะหาไม่ได้ล่ะ?” ทันใดนั้นก็มีเด็กหนุ่มอายุราวสิบหกปีเดินเข้ามากลางวงสนทนา
ตราแบบนั้นน่าจะเป็นคนจากสำนักดาบเทพ “เจ้าอยากประลองกับเด็ก ๆ พวกนี้หรือไม่? ไม่ต้องห่วงเพราะถ้าเป็นการประลองของเด็ก ๆ ก็จะมีกฎเฉพาะอยู่เพื่อไม่ให้เกิดการศูนย์เสีย”
“แน่นอน...ข้าอยากเห็นฝีมือเด็กฝึกหัดจากสำนักศาสตร์นักสู้อยู่พอดี” เด็กหนุ่มคนนั้นก้าวเดินแหวกกลางวงไม่สนใจจนเอมองค้อนไม่เลิก
“ผมขอก่อนนะครับ” เอเดินตามหลังเด็กหนุ่มแปลกหน้าไปหาชายชราเพื่อตกลงวิธีการประลอง
แม้พวกเขาจะผสานงานกำจัดมอนสเตอร์หรือสัตว์อสูรได้อย่างง่ายดายแต่ก็ไม่ได้หมายความว่าเขาจะชนะการประลองหนึ่งต่อหนึ่งกับมนุษย์ด้วยกันเอง มนุษย์นั้นมีความหลากหลายไม่ว่าจะเป็นเผ่าพันธุ์หรือความถนัดของอาวุธที่ใช้แม้แต่รายละเอียดเล็กน้อยอย่างถนัดมือข้างไหนหรือนิสัยติดตัวเวลาเคลื่อนไหว
ตั้งสติดี ๆ และสังเกตว่าอีกฝ่ายมีไพ่อะไรบ้าง นั่นคือสิ่งที่พี่กิสอนเกี่ยวกับการเอาชนะคนด้วยกันเอง
“การประลองด้วยกฎเท้าห้ามลอยจากพื้นพร้อมกันสองข้าง...เริ่ม !”
เด็กหนุ่มฝั่งตรงข้ามชักดาบและฟันพื้นตรงหน้าอย่างกับการแล่ปลาทำให้เอร่วงตกลานประลองไปพร้อม ๆ กับพื้นลานทันที
ผู้ชมรอบข้างต่างก็มองตาค้างพูดอะไรไม่ออก สุดท้ายชายชราก็ประกาศผู้ชนะหลังจากที่เริ่มไปไม่ถึงห้าวินาที
“แหม...รุนแรงจริง ๆ นะพ่อหนุ่ม” เซนยิ้มอย่างมีเลศนัยหลังจากเห็นการตวัดดาบของเขา
“ผมขอโทษนะครับที่ทำให้ผิดหวัง” เอก้มโค้งเก้าสิบองศาพลางเหลือบมองหน้าคิโนริครู่หนึ่ง
เซนหัวเราะลั่นก่อนจะกล่าวต่อ “ไม่เอาน่าก็แค่การประลอง น่าสนุกดีออกแม้จะแพ้แต่ก็สามารถแก้ตัวได้แถมยังมีกฎแปลก ๆ ให้ลุ้นเพิ่มอีก”
“ต่อไปคิโนริขอประลองบ้าง” เด็กสาวผู้เต็มไปด้วยรอยยิ้มอันสดใสกระโดดขึ้นลานประลองโดยที่ยังไม่ได้คุยเรื่องกฎเลยด้วยซ้ำ
“พวกเจ้าอยากประลองด้วยกฎอะไร?” ชายชราถาม
“ข้าตามใจแม่สาวน้อยเลย” ชายหนุ่มตรงหน้ายิ้มยียวนกล่าว
“ทางนี้สิบห้าแล้วเพราะฉะนั้นอย่ามาเรียกเหมือนฉันเป็นเด็ก มีแค่พี่กิเท่านั้นที่เรียกแบบนั้นได้” คิโนริจ้องตาเขม็งทำให้ชายหนุ่มยิ้มเยาะชอบใจ
“ขออภัยในความเสียมารยาทของข้า เจ้าเลือกกฎการประลองได้เลย”
คิโนริถอนหายใจสั้น ๆ ก่อนจะตอบ “กฎห้ามใช้อาวุธ”
ชายหนุ่มถึงกับอ้าปากค้างเมื่อได้ยินคำตอบของคิโนริแต่จะมาคืนคำที่บอกไว้ก็กระไรอยู่จึงได้แต่ยิ้มเจื่อนพยายามทำตัวสบาย ๆ
“ย่อมได้...ข้าจะประลองโดยไม่ใช้อาวุธ” เขาโยนดาบคู่ใจให้กับผู้ติดตามและตั้งหมัดขึ้นพร้อมสู้
“ถ้าตกลงกันเรียบร้อยแล้วก็จงตั้งท่าเสีย”
ทั้งคิโนริและชายหนุ่มต่างก็ยืนตั้งการ์ดยกหมัดขึ้นพร้อมสู้
“การประลองกฎห้ามใช้อาวุธ...เริ่ม !”
คิโนริกระโจนเข้าประชิดด้วยเวทมนตร์เสริมกำลังและสปีดอัปโดยที่อีกฝ่ายนังยืนนิ่งไม่ขยับแม้แต่นิ้วเดียว
มีแผนอะไรหรือเปล่า ถ้าซัดเข้าไปตรง ๆ จะโดนสวนกลับไหมหรือเขารอจังหวะนี้อยู่แล้ว คิโนริคิดทบทวนอยู่ในหัวภายในหนึ่งวินาที
หมัดเล็ก ๆ ของเธอซัดเข้าเบ้าหน้าอย่างจังโดยไร้การป้องกันใด ๆ ส่งร่างของชายหนุ่มพุ่งประเด็นไปไกลหลายเมตร
จังหวะนี้แหละที่เหมาะเจาะ คิโนริหวนนึกถึงการประลองของกังที่เขาวิ่งซัดไม่ยั้งไม่ให้แม้แต่โอกาสได้หายใจ เธอมองภาพตรงหน้าซ้อนทับกับพาซี่ที่โดนกังกระหน่ำหมัดจึงทำตามทุกระเบียบนิ้วไม่เว้นใบหน้าแห่งความบ้าระห่ำราวกับสัตว์ร้าย
“โห่...นั่นมันไม่โหดร้ายไปหน่อยเหรอ?” หลานถึงกับต้องเอามือปิดตารูบี้ไม่ให้เห็นภาพที่เพื่อนของตนเองกำลังกลายเป็นสัตว์ป่า
“ไม่หรอกน่า ดูดี ๆ สิคิโนริไม่ได้ชกเข้าจุดสำคัญเลยสักครั้ง แถมเจ้าหนุ่มนั่นมันก็พยายามมองการออกหมัดและป้องกันเท่าที่จะทำได้ทั้ง ๆ ที่เป็นฝ่ายโดนทับแท้ ๆ” เซนยืนยิ้มพึงพอใจโดยไม่ได้รู้สึกทุกข์ร้อนแต่อย่างใด
“พอแล้ว ๆ ข้ายอมแพ้แล้ว” ชายหนุ่มคนนั้นทนไปได้ไม่นานสุดท้ายก็ต้องยอมแพ้ด้วยสภาพอันน่าสมเพช
“แต่ก็นั่นแหละ เจ้านั่นน่าจะเน้นฝึกทักษะดาบมากกว่ากำลังกายก็เลยทนไม่ไหว” เซนโบกมือยินดีกับชัยชนะของคิโนริ
“ฉันแก้แค้นเจ้าหมอนั่นให้แล้ว” เธอชกหมัดใส่เอและเขาจึงชกหมัดผสานกันโดยไม่ต้องบอกกล่าว
“ขอบใจ...ฉันจะฝึกให้มากกว่านี้จะได้ไม่แพ้ใครอีก”
“พยายามเข้าล่ะ” รอยยิ้มอันสดใสของเธอทำให้เอเขินจนหน้าแดงเป็นมะเขือเทศจึงรีบหลบหน้าทันที
รอบต่อไปเซนเป็นคนเดินไปคนแรกเพื่อหาคู่ประลองของตนแต่ก็ไร้วี่แววจนกระทั่งชายชราต้องหาคนให้
“เอาเป็นคนของข้าก็แล้วกัน”
“จัดมาเลยไม่มีปัญหาอยู่แล้ว” เซนไม่รอช้าวิ่งขึ้นลานประลองก่อนได้ตกลงเรื่องกฎ
ทันใดนั้นก็มีชายฉกรรจ์ร่างสูงใหญ่เดินขึ้นมาบนลานประลอง
“โห่ ! เผ่าคนยักษ์เหรอ ถ้าแบบนั้นขอเป็นกฎห้ามใช้อาวุธด้วยแล้วกัน” เซนยิ้มเยาะหัวเราะในลำคอจนชายชราหมั่นไส้
“ก็ย่อมได้ การประลองกฎห้ามใช้อาวุธ...เริ่ม !”
เซนและชายร่างยักษ์เดินวนไปมารอบลานประลองดูเชิงกันอยู่พักหนึ่ง
“เมื่อกี้พี่เซนเดาผิดไปอย่างหนึ่ง” แมรี่กล่าวลอย ๆ ขณะที่กำลังดูการประลองของเซน
“เดาอะไรผิดเหรอ? ฉันว่าพี่เซนก็พูดถูกแล้วนะ” หลานถาม
“ที่คิโนริเอาชนะชายคนนั้นได้ง่าย ๆ ไม่ใช่แค่เพราะเขาไม่ได้ใช้ดาบหรอก อีกหนึ่งสาเหตุก็คือชายคนนั้นเป็นมนุษย์และเมื่อไม่มีอาวุธทำให้ใช้มานาไม่ได้”
“ใช้มานาไม่ได้...แสดงว่าเขาคนนั้นต้องใช้ร่างกายเพรียว ๆ สู้กับคิโนริที่ใช้เสริมกำลัง”
“ถูกต้อง และพี่เซนก็เป็นมนุษย์ที่ใช้มานาไม่ได้หากไม่มีอาวุธ”
หลานและคิโนริขมวดคิ้วคิดตามที่แมรี่บอก
“อย่าบอกนะว่าอีกฝั่งเป็นเผ่าคนยักษ์จึงใช้มานาได้” คำตอบคิโนริทำให้แมรี่ยิ้มเยาะ
“ใช่แล้วและพี่เซนกำลังจะสู้กับเผ่าคนยักษ์ด้วยตัวเปล่า ๆ” เธอหัวเราะในลำคอเมื่อเห็นเพื่อน ๆ สนใจในสิ่งที่เธอพูด
ขณะที่พวกเธอกำลังยืนคุยกันเซนก็จัดการคนยักษ์ไปเสียแล้ว เสียงประกาศผลชนะทำให้แมรี่เหงื่อตกเช่นเดียวกับคิโนริและหลาน
“ได้ยังไง? พี่เซนชนะคนยักษ์ด้วยร่างกายเพรียว ๆ ได้ยังไง” แมรี่ตาโตจ้องมองสภาพของคนยักษ์ที่นอนดิ้นอยู่บนลานประลอง
“เป็นยังไงล่ะน้อง ๆ พี่เท่ใช่ไหม? ดูกล้ามที่ปั้นมากับมือสิถ้าเป็นคนอื่นก็คงหมดสภาพไปแล้ว”
“สุดยอดเลยพี่เซน !” รอนร้องเฮส่งกำลังใจให้เซน
“พวกเธอพลาดจังหวะสำคัญไป” เอกอดอกเดินมาเคียงข้างก่อนจะกล่าวต่อ
“เมื่อกี้ตอนที่ทั้งสองกำลังดูเชิงกันอยู่จู่ ๆ คนยักษ์ก็วิ่งเข้าใส่ง้างหมัดหินเล็งไปที่หน้าของพี่เซน วินาทีที่กำปั้นยักษ์กำลังจะปะทะกับใบหน้าพี่เซนก็หมอบลงไปคล้าย ๆ ท่าวิดพื้นจากนั้นก็ใช้แขนสองข้างยันลำตัวและเตะกลับหลังเข้าที่ลูกแก้วดวงใจของคนยักษ์”
“ลูกแก้วดวงใจ...” แมรี่หันกลับไปมองท่าทางทรมานของคนยักษ์ที่กำลังกุมลูกแก้วดวงใจที่อยู่ระหว่างขาจึงเข้าใจทุกอย่าง
“เป็นยังไงล่ะดูแล้วจำแล้วก็นำไปใช้ซะนะ” เซนยิ้มระรื่นเดินลงลานประลองกลับมาหาน้อง ๆ แต่สิ่งที่ได้กลับเป็นแววตาเย็นชาเหมือนกำลังมองฆาตกรไร้มนุษยธรรม
“อะไร? พี่ทำอะไรผิดหรือเปล่า?” เซนถามด้วยความไร้เดียงสาว่าทำไมถึงมองด้วยสายตาเช่นนั้น
“ไม่รู้สิ” แมรี่ถอนหายใจแรงก่อนจะเบือนหน้าหนีปล่อยให้เซนยืนงงต่อไป
สารบัญ / นำทาง
- 👁️ ยอดวิว 226
แสดงความคิดเห็น