บทที่ 8...2/3
จิณณ์ขอตัวกลับไปหลังจากนั้น แต่ก็ช้ากว่าคู่รักคู่ใหม่ที่สังคมได้รับรู้และพรุ่งนี้ได้จะได้เป็นข่าวในหนังสือพิมพ์หน้าสังคมและหน้าบันเทิง หัวข้อข่าวอาจเริ่มจาก ‘ดรุณีคบซ้อน สลัดภาพนางเอกรักเดียวใจเดียว’ แขกหลายคนพากันเข้ามาปลอบใจพันธินที่กลายเป็นคนอกหัก ในขณะที่หลายๆ ความคิดที่เขาได้ยินพากันวิพากษ์วิจารณ์ถึงคู่รักคู่ใหม่ บางคนยินดีด้วย บางคนไม่ชอบใจ ที่น่าตลกกลับมีคนแช่งให้คู่นั้นเลิกกันเร็วๆ ก่อนหน้านี้สรัชเป็นผู้ชายที่สาวๆ ฝันถึง หล่อ รวย ฉลาด แต่ตอนนี้เป้าหมายของสาวๆ ในงานกำลังเบนมาหาพันธินแทน
ชายหนุ่มเบื่อจะฟังความคิดเหล่านั้นเลยเดินตามหาใครคนหนึ่งซึ่งคงเป็นคนเดียวที่อยากเตือนเขา อรอินทุ์ไม่อยู่ในงาน พันธินหลับตาลงใช้สมาธิเพื่อฟังเสียงที่ใครไม่ได้ยิน
‘ซุ่มซ่ามจริงๆ ยัยอรเอ๊ย’
นั่นไง! เขาได้ยินแล้ว ก่อนหน้านั้นมีเสียงแก้วตกพื้นแล้วแตก จะเป็นใครไปไม่ได้ที่ทำ ขายาวๆ ก้าวไปตามทิศทางของเสียงทันที
อรอินทุ์กำลังใช้กระดาษทิชชู่ซับชุดแซคท่อนบนของตัวเอง บริกรขอโทษขอโพยเธอมากมาย แต่เธอกลับเป็นฝ่ายขอโทษเพราะเป็นคนไปชนจนชุดตัวเองเลอะ แล้วเลอะแบบนี้เธอจะเข้าไปในงานต่อได้ยังไง พลันเสื้อสูทตัวหนึ่งก็ยื่นมาตรงหน้า เธอเงยหน้ามองเจ้าของสูทที่ยิ้มให้พร้อมกับเอ่ยว่า
“ขอบใจ รับไปสิ”
“มาให้ฉันทำไมคะ แล้วขอบใจเรื่องอะไร ฉันไม่ได้ทำอะไรให้คุณธินสักหน่อย” เธอถามแต่ก็ยอมรับเสื้อสูทมาสวม คนตัวโต สูทเลยตัวใหญ่ พอใส่แล้วชายเสื้อยาวไปจนถึงต้นขาเหมือนใส่เสื้อโค้ทเลยแฮะ
“ฉันตัดสินใจได้ในนาทีสุดท้ายก็เพราะเธอน่ะสิ ฉันควรทำในสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับตัวฉัน ไม่ใช่เพื่อเอ็มไพร์ กรุ๊ปเพียงอย่างเดียว”
“อกหักก็ร้องไห้ออกมาเถอะค่ะ ฉันไม่บอกใครหรอก เรื่องแบบนี้ฉันเข้าใจ แต่คุณธินโคตรแมนเลยค่ะ เสียสละเพื่อให้คนรักมีความสุข”
พันธินหัวเราะเสียงดัง แขกที่เดินออกมาจากงานพากันมอง หนึ่งในนั้นมีสมพงศ์รวมอยู่ด้วย เขาบอกคู่หมั้นว่าจะไปทักลูกค้าสำคัญให้เธอไปรอที่รถก่อน ทว่าเขากลับไม่ได้ไปไหน อรอินทุ์กำลังกอดอกใส่ไอ้หมอนั่นอยู่ สองคนนี้สนิทกันจริงๆ ดูท่าคงไม่ใช่การเสียสละ แต่มีรักซ้อนมากกว่าละมั้ง
อรอินทุ์ขมวดคิ้ว เธอพูดอะไรผิด ทำไมเขาต้องหัวเราะด้วย คนถูกจ้องยกมือขอโทษ เขาไม่คิดว่าเธอจะคิดเสียอย่างกับนิยายเหมือนคนอื่นๆ แค่รักกับไม่รัก ไม่ใช่เสียสละอะไรหรอก แล้วเพื่อไม่ให้เรื่องที่คุยกันมีคนอื่นรับรู้ มือหนาเลยจัดการดึงแกมลากอรอินทุ์ไปในสวนหย่อมของโรงแรม พอเห็นเก้าอี้ตัวยาวก็พาเธอไปนั่ง เมื่อแน่ใจว่าไม่มีใครแถวนี้เขาถึงได้ยอมพูดความจริง
“ฉันไม่ได้เป็นคนดีขนาดนั้นหรอก แล้วก็ขอแก้ข่าวหน่อย ฉันไม่ได้อกหัก”
“หือ เป็นไปได้ยังไงคะ” ถึงจะหมั้นกันเพราะเป็นความต้องการของคุณเธียร แต่ที่ผ่านมาก่อนเกิดอุบัติเหตุ ไม่สิ การฆาตกรรม พันธินก็ดูแลคู่หมั้นดีจากสายตาคนนอก แล้วสรัชเข้ามาตอนไหน ตอนที่พันธินรักษาตัวอย่างนั้นหรือ
“ฉันไม่ได้รักดรุณี ฉันมีคนที่ชอบอยู่แล้ว ทำแบบนี้คนที่โล่งใจไม่ใช่แค่ดรุณีหรอก มีฉันอีกคนด้วย แต่สรัชน่ะคงผิดหวัง”
อ้าว! อุตส่าเป็นห่วงที่แท้มีรักซ่อนเร้นก็ไม่บอก แล้วเขาเอาเวลาที่ไหนไปหาคนที่ชอบ หรือว่าจะเป็นพยาบาลที่อเมริกา การที่เขารักษาตัวที่นั่นก็คงเหงาเหมือนกันละมั้ง แล้วจู่ๆ พันธินทำหน้าเหมือนกลั้นหัวเราะทำไม
“ฉันเริ่มไม่เข้าใจ คุณธินมีคนที่ชอบอยู่แล้ว ใครกันคะ คุณเธียรรู้หรือเปล่า แล้วคุณสรัชจะผิดหวังทำไม ได้แฟนสวย ดี โปรไฟล์เลิศแบบนั้น”
พันธินยิ้มให้คำถามยาวเหยียด แต่กลับถูกค้อนใส่ มีหลายเรื่องที่เขาอยากบอกใครสักคน แต่เป็นเขาเองที่ยังไม่พร้อม
“เอาเป็นว่าต่อไปเธอจะเข้าใจคำพูดของฉัน ส่วนที่ว่าฉันชอบใคร เอาไว้เป็นความลับของฉันคนเดียวไปก่อนก็แล้วกัน เรากลับเข้าไปในงานกันเถอะ ป่านนี้ลุงอิชย์คงอยากกลับแล้ว”
“ใครว่าล่ะคะ พ่อกลับไปพร้อมพ่อของคุณธินแล้วต่างหาก แล้วที่ฉันยังอยู่ตรงนี้ก็เพราะพ่อสั่งให้ดูแลคุณธิน เผื่อมีอะไรให้ช่วย” อรอินทุ์อมยิ้ม จริงๆ อยากบอกว่ากลัวเขาจะเมาหัวราน้ำ แต่สภาพที่เห็นเขาดูปกติดีเหมือนไม่ได้อกหักจริงๆ เสียด้วย
พันธินหัวเราะอยู่ในใจ ใครดูแลใครกันแน่ก็ไม่รู้ แล้วที่บอกว่าดูแลน่ะทำไมเธอถึงไปอยู่เสียหน้างานให้บริกรพากันปวดหัว คนดูแลต้องอยู่ใกล้ๆ กันสิ
“ไม่มีอะไรน่ากังวลหรอกน่า ถ้างั้นเราก็กลับกันเถอะ”
พันธินยื่นมือไปให้เธอจับ แต่อรอินทุ์กลับลุกขึ้นมาเอง แล้วเดินนำหน้าไป ไม่ได้สนใจหันมาดูแลเขาสักนิด สงสัยต้องฟ้องลุงอิชย์เสียหน่อยแล้วว่าลูกสาวไม่ทำตามคำสั่ง เขาบอกให้อรอินทุ์ไปรอที่รถ ส่วนตัวเองเดินไปลาแขกสำคัญๆ แล้วบอกผ่านพิธีกรว่าเขาจะกลับแล้ว ไม่ถึงสิบห้านาทีเราก็ได้เดินทางกลับบ้านด้วยกัน อรอินทุ์ลงจากรถเมื่อถึงคฤหาสน์วัสวาน ทว่าพันธินกลับเดินมาส่ง เธอบอกขอบคุณเขาแบบงงๆ ว่าทำไมคนที่พูดกับเธอนับคำได้ เดี๋ยวนี้ทำไมถึงใจดีจัง
ข่าวของพันธินกับดรุณีกลายเป็นเรื่องรักสามเศร้าที่นักข่าวเล่นข่าวอยู่แค่สามสี่วันก็ซาไป ชีวิตของแต่ละคนยังคงต้องดำเนินต่อ อรอินทุ์ตระเวนหาออฟฟิศที่ราคาพอสู้ได้อยู่หนึ่งวันเต็มๆ กว่าจะได้ออฟฟิศให้เช่าย่านกลางเมืองที่ราคาไม่แพงเพราะเจ้าของตึกเคยเป็นลูกค้าโฆษณาของเธอมาก่อน เลยได้ราคาพิเศษ พอตกเย็นธนิดากับพิพัฒพากันมาที่บ้านของเธอเพื่อคุยงาน
“ได้ออฟฟิศแล้ว ต่อไปก็เรื่องจดทะเบียนบริษัท เดี๋ยวเรื่องเอกสารอรจัดการเองนะ ขอบใจทั้งสองคนมากที่มาทำงานด้วยกัน”
“ไม่เป็นไรหรอกน่า เราจะได้เป็นเจ้าของบริษัทไม่เป็นลูกจ้างใคร ถึงแม้จะมีหุ้นแค่สิบเปอร์เซ็นต์ก็เหอะ” ธนิดายิ้มร่า การเป็นเจ้าของบริษัททำให้เธอมีความสุขแบบถ่อมตัวนิดๆ
“แหม ก็เท่ากันแหละน่า” พิพัฒหัวเราะเสียงดัง
อรอินทุ์เปิดโทรศัพท์แล้วนำภาพถ่ายของออฟฟิศให้เพื่อนทั้งสองคนดู วันนี้พอตกลงทำสัญญากันแล้วเธอก็โทรเรียกช่างมาจัดการเรื่องการตกแต่งให้สมกับเป็นออฟฟิศทำโฆษณา
“ออฟฟิศน่าจะเรียบร้อยสัปดาห์หน้า พอจดทะเบียนบริษัทแล้วก็มาหาเงินเข้าบริษัทกันเถอะ”
“พัฒมีลูกค้าเก่าที่ติดใจฝีมืออยู่สองสามรายจะติดต่อไปให้นะ” พิพัฒบอก เขายังไม่ได้บอกใครในบริษัทว่าจะลาออกไปทำอะไรที่ไหน น่าแปลกที่เขาไม่ได้รู้สึกกังวลในการเปิดบริษัทคราวนี้เลย
“ส่วนตราบริษัทดาแอบทำมาแล้ว”
กล่องที่ธนิดาถือมาถูกเปิด ตราประทับสองแบบอยู่ในกล่องใบเล็กแต่ละใบ เธอออกแบบมาสองแบบแล้วให้ช่างทำออกมาเป็นตราประทับ ไหนๆ จะเปิดบริษัทเป็นของตัวเองก็ต้องลงทุนกันหน่อย อรอินทุ์กับพิพัฒพากับยิ้มปลื้มเลือกไม่ถูก
“ชอบกันหรือเปล่า”
“เยี่ยมเลยยัยดา”
ทั้งสามเลือกกันไม่ได้เสียทีเลยต้องโหวต จนได้ตราประทับแรกของบริษัทแรกในชีวิตที่เป็นของตัวเอง พิพัฒยิ้มชอบใจกว่าคนออกแบบเสียอีก พอสาวๆ พากันมองเขาก็บอกว่า
“เห็นแล้วมีกำลังใจ สู้ด้วยกันเพื่อบริษัทของเรา”
อรอินทุ์วาดแขนไปกอดเพื่อนทั้งสองคน หนทางข้างหน้าอาจจะลำบากหรือราบรื่นเธอไม่อาจรู้ได้ แต่ถ้ามีเพื่อนดีๆ แบบนี้เธอขอสู้ด้วยสมองเต็มกำลัง
“ถ้างั้นกินข้าวด้วยกันนะ พรุ่งนี้เราไปจดทะเบียนบริษัทด้วยกัน เตรียมเอกสารมาให้พร้อม ไม่น่าเชื่อเลยแฮะว่าเราทั้งสามคนจะได้เปิดบริษัทเป็นของตัวเองได้จริงๆ” อรอินทุ์รู้สึกเหมือนฝัน
“มันต้องได้อยู่แล้วล่ะน่า” ธนิดามั่นใจ
อิชย์มาถึงบ้านพอดี วันนี้เลยมีแม่ครัวถึงสองคน สองหนุ่มต่างวัยเลยเป็นลูกมือคอยจัดโต๊ะรอ พออิชย์รู้ความคืบหน้าก็พลอยมีความสุขกับลูกสาวและเพื่อนๆ ไปด้วย คนเราถ้าคิดว่าทำไม่ได้ก็จะทำไม่ได้อยู่อย่างนั้น แต่ถ้าคิดว่าต้องทำให้ได้ ยังไงก็ต้องทำออกมาจนได้
พันธินลงมาจากรถโดยปราศจากอาวุธและมาเพียงลำพัง แม้ว่าการมาของเขาคงใช้คำว่าปลอดภัยได้ยาก แต่ถ้าไม่มาที่นี่คงเปิดเกมของตัวเองไม่ได้ แต่ถึงกระนั้นคนของดรัณซึ่งป็นอดีตตำรวจมือดีก็รออยู่ด้านนอกพร้อมกับเก็บภาพทุกอย่าง ถ้าเขาเป็นอะไรไป หลักฐานย่อมมีพร้อม ถึงแม้จะเสี่ยง แต่ต้องป้องกันตัวเช่นกัน
คนของจิณณ์โทรไปรายงานเจ้าของคฤหาสน์หลังใหญ่ ไม่ถึงอึดใจเขาก็เดินตามคนสนิทของจิณณ์มาที่บริเวณสวนญี่ปุ่นที่โล่งโปร่ง เจ้าของบ้านนั่งอยู่ที่บ่อปลาคาร์ฟ เหลือบมองมายังแขกนิดหนึ่งก่อนจะเลิกคิ้ว คนสนิทและคนอื่นๆ พากันหายไปจากบริเวณนั้น
แขกหาที่นั่งให้กับตัวเองตรงพื้นไม้ปาเก้นั่นเอง จะได้ไม่ดูเหมือนนั่งค้ำหัวเจ้าของบ้าน วันนี้เขามาดี แม้แค้นใจแทบขาด
“ไม่แปลกใจบ้างหรือครับคุณจิณณ์ที่เห็นผมเป็นฝ่ายมาหาบ้าง”
“ผมไม่คิดว่าเรามีอะไรที่จะต้องคุยกัน หรือว่าคุณอยากขอโทษที่เคยปล่อยข่าวลูกชายของผม” จิณณ์ถามไม่แม้จะหันมาสนใจแขกด้วยซ้ำ
พันธินเงียบไม่ใช่เพราะยินดียินร้ายต่อการต้อนรับที่พร้อมไล่ แต่เพื่อ ‘ฟัง’ มนุษย์มักพูดอย่างหนึ่ง คิดอีกอย่างหนึ่งเป็นส่วนใหญ่
“มันไม่ใช่เรื่องของการใส่ร้าย คุณจิณณ์ยังไม่ได้อ่านรายงานสารเสพติดในร่างกายของลูกชายอีกหรือครับ คุณน่าจะรู้ดีกว่าผมว่าอะไรเป็นอะไร แต่ที่ผมมาในวันนี้ไม่ใช่เพราะเรื่องของจิรเมธหรอกนะครับ”
จิณณ์หันหน้ามาเริ่มสนใจการมีอยู่ของแขก “แล้วคุณมาด้วยเรื่องอะไร”
“เรื่องของพันแสง ผมเอาของบางอย่างมาให้ เผื่อว่าเราจะช่วยกันคิดว่ามันมีประโยชน์ยังไง”
แฟลชไดรฟ์อันหนึ่งวางลงที่พื้นไม้ตรงกลางระหว่างเขากับเจ้าของบ้านที่ทำเหมือนไม่สนใจ เรียวปากหนาเม้มปิดทั้งที่อยากเหยียดยิ้มให้สาแก่ใจ
“ในนี้มีอะไร”
“สิ่งที่คุณสั่งให้คนลบภาพในที่เกิดเหตุเพราะกลัวว่าตำรวจจะได้ภาพที่ลูกชายของคุณกำลังเสพยา จนทำให้พลาดเหตุการณ์สำคัญไป”
จิณณ์ลุกขึ้น แขกลุกขึ้นตาม ลูกสมุนที่หายไปเงียบกริบโผล่พรึบในพริบตาพากันมาล้อมกรอบพันธินเอาไว้ ร่างสูงยืนนิ่ง เขารู้ว่าจิณณ์อยากฆ่าเขา แต่คงไม่อยากมีปัญหากับเธียร วิวัสวานนักหรอก
“รู้ได้ยังไง” จิณณ์ถามพลางกำแฟลชไดรฟ์ไว้ อยากเปิดดูว่าข้างในมีอะไร
“ถ้าคุณสงสัยน้องชายของผมได้ ผมก็สงสัยคุณหรือใครๆ ได้เหมือนกัน ถึงตำรวจจะสรุปว่าน้องชายของผมตายเพราะอุบัติเหตุ หรือแม้กระทั่งตัวผมเองก็แทบเอาชีวิตไม่รอด แต่ผมรู้ว่ามีคนทำให้มันเป็นเหมือนอุบัติเหตุ หรือว่าคุณจิณณ์คิดว่ายังไงครับ”
จิณณ์ยิ้มเหี้ยม ‘ใครจะสน แค่พวกแกตายก็พอใจแล้ว’ เจ้าของเรียวคิ้วหนามองมา กำมือแน่น ใช่มันคนนี้หรือเปล่าที่สั่งฆ่า...
“จะให้วิเคราะห์แทนตำรวจคงไม่ได้หรอกครับ”
พันธินได้ยินเสียงก่นด่าจากสมองของจิณณ์ ปืนกระบอกหนึ่งอยู่ที่ข้อเท้า ถ้าเขาจะ ‘ฆ่า’ กลับไปบ้าง คงสาสม
ไม่! หยุดคิด
เขายังมีหลักฐานไม่พอ อย่าลืมสิว่าวันนี้มาเพื่อจุดเพลิงที่เรียกว่าความระแวงเท่านั้น แล้วคนที่จิณณ์ต้องพุ่งเป้าไปหาต้องไม่ใช่เขา
“หวังว่าเราคงได้พบคนที่อยากพบเหมือนกัน รบกวนเวลาคุณจิณณ์มานาน ผมคงต้องขอตัวกลับเสียที”
วงล้อมคนของจิณณ์ไม่ขยับ พันธินยังก้าวต่อ วงล้อมแหวกทางออก เรียวปากหนาเป็นฝ่ายยิ้มหยันเมื่อจิณณ์คิดเสียดังว่า ‘หรือว่ามันจะรู้เรื่องอื่นอีก’ รู้สิ แต่เรื่องอะไรจะพูด เขารู้โดยไม่ต้องหาแล้วว่าจิณณ์กลัวใครจะรู้อะไร คนมีความลับ มักตายเพราะความลับ ให้พวกมันสาวไส้กันเองไม่สนุกกว่าหรือ
เพียงคล้อยหลังพันธินไปเท่านั้น จิณณ์เดินไปห้องทำงานรีบเปิดไฟล์ทุกไฟล์จากแฟลชไดรฟ์ มือทั้งสองข้างกำแน่นด้วยความโกรธ เพียงเขาปรายตามองเท่านั้น ลูกน้องก็เดินมาให้สั่งงานทันที
“โทรไปนัดไอ้วิตให้ฉัน บอกมันว่าฉันมีเรื่องอยากถาม”
คลิปที่ลูกชายเสพยาเขาเคยเห็นแล้วและสั่งให้เป็นคนลบไฟล์ทั้งหมด แต่คลิปที่เพิ่งได้ช่างน่าเสียดาย ทำไมตอนเกิดเรื่องเขาไม่เคยเห็นมาก่อน
ภาวิตบอกเขาว่าเคยเห็นพันแสงมีเรื่องชกต่อยกับจิรเมธ ถึงตำรวจจะสรุปว่าพันแสงไม่ใช่คนฆ่า แต่เขาไม่เชื่อ ก็ปืนอยู่ในมือของมัน แต่ตำรวจกลับตรวจหาเขม่าดินปืนไม่พบ ต้องมีการโกหก เขาไม่มีวันยอม
ทำไมภาวิตไม่เคยบอกเขาว่าคืนนั้นจิรเมธเมายาจนต้องสาดเหล้าใส่ มันโกรธ เขาเห็นภาพจากกล้องวงจรปิด แต่หลังจากนั้นเล่า เกิดอะไรขึ้น ไฟล์ทุกไฟล์ถูกลบไปหมด เขาพยายามหาภาพที่จิรเมธถูกยิง แต่ไฟล์ถูกลบไปก่อน เขาจะหาภาพต่อจากนั้นได้จากที่ไหน น่าสงสัยว่าพันธินไปได้ไฟล์พวกนี้มาจากใคร ทำไมไม่เอาออกมาตั้งแต่เป็นคดีความกัน หรือว่ามันมีอะไรมากกว่านั้น
พันธินเดิมเกมแล้ว การทำลายศัตรูที่มีมากกว่าหนึ่ง สิ่งแรก ทำให้ศัตรูระแวงกันเอง
จะมา up เรื่อยๆ นะคะ ขอบคุณสำหรับการติดตามอ่านค่ะ
อัมราน_บรรพตี
สารบัญ / นำทาง
- 👁️ ยอดวิว 140
แสดงความคิดเห็น