ตอนที่ 687 ความลึกลับของสายเลือด
ตอนที่ 687 ความลึกลับของสายเลือด
“ตอนนั้นระบบบอกว่าสายเลือดของผมมันเป็นสายเลือดระดับ 4 ดาว” เซี่ยเฟยกล่าว
ทันทีที่เขาพูดจบเขาก็สัมผัสได้ถึงแววตาแปลก ๆ ที่โอโร่กำลังจ้องมองมาที่เขาอยู่ เพราะแววตานั้นมันให้ความรู้สึกราวกับว่าอดีตจอมมารกำลังจ้องมองไปที่ตัวแปลกประหลาด…
“ทำไมคุณถึงมองผมแบบนั้นล่ะ? สายเลือดระดับ 4 ดาวมันไม่ดีงั้นเหรอ?” เซี่ยเฟยถามพร้อมกับขมวดคิ้ว
“ไหนนายลองพูดเต็ม ๆ สิว่าตอนนั้นระบบพูดว่าอะไรบ้าง?” โอโร่กล่าวโดยพยายามระงับความตกใจเอาไว้อย่างเต็มที่
“ตอนนั้นระบบบอกว่าพื้นที่สมองส่วนที่ 7 ถูกเปิดออก 100% ผ่านข้อกำหนดของการประเมินข้อที่ 1”
“สายเลือดระดับ 4 ดาว ผ่านข้อกำหนดในการประเมินข้อที่ 2”
“ค่าสัมประสิทธิ์, ประสาทสัมผัส, ความฉลาด, ความขยัน, ความจำ, ความน่าดึงดูดเฉลี่ยอยู่ที่ 28 คะแนน ได้รับการประเมินระดับ 3 ดาว ผ่านข้อกำหนดในการประเมินข้อที่ 3”
“การประเมินสามขั้นเสร็จสมบูรณ์เปิดใช้งานดาวเคราะห์มรดก กระบวนการทุกอย่างจะเริ่มขึ้นภายใน 2 นาที 14 วินาที”
“หลังจากระบบพูดจบผมก็ถูกส่งตัวไปยังดาวเคราะห์มรดกโดยไม่ถามความเห็น และผมก็ต้องพยายามดิ้นรนเอาชีวิตรอดเป็นเวลา 1 ปีเต็ม ๆ ก่อนที่จะกลับมาได้” เซี่ยเฟยกล่าวพร้อมกับยักไหล่ และเนื่องมาจากความทรงจำของเขาดีมากเขาถึงพูดประโยคเดียวกันกับระบบได้อย่างครบถ้วน
หลังจากนั้นโอโร่ก็เริ่มถามเกี่ยวกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้นภายในดาวเคราะห์มรดก
ตอนแรกเซี่ยเฟยไม่สามารถที่จะนำเรื่องที่เกิดขึ้นภายในดาวเคราะห์มรดกไปบอกคนนอกได้ เพราะถ้าหากว่าเขานำความลับไปบอกแก่บุคคลภายนอก พลังงานแปลกประหลาดที่ถูกแฝงเอาไว้ภายในร่างของเขาก็จะทำให้เขาตายในทันที
แต่ในตอนนี้เขาได้กลายเป็นอัศวินกฎขั้นสูงสุดที่แข็งแกร่งแล้ว พลังที่แฝงอยู่ในร่างของเขาในตอนนั้นจึงไม่สามารถทำอันตรายต่อเขาได้อีกต่อไป
ยิ่งไปกว่านั้นเรื่องที่เซี่ยเฟยถูกส่งตัวไปยังดาวเคราะห์มรดกก็เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นมาด้วยความบังเอิญ เพราะตระกูลที่สร้างดาวเคราะห์มรดกแห่งนั้นขึ้นมาได้ถูกทำลายไปเป็นเวลานานแล้ว
แต่การที่เขาได้เดินทางไปยังดาวเคราะห์มรดกก็มอบผลประโยชน์ให้กับเขาอย่างมากมายมหาศาลเช่นเดียวกัน โดยเฉพาะการที่เขาได้รับพลังจิตกลับมา ซึ่งมันทำให้พลังในการต่อสู้ของเขามีความยืดหยุ่นมากขึ้นกว่าเดิม
ยิ่งไปกว่านั้นการพยายามเอาชีวิตรอดในทุก ๆ วันเพียงลำพัง ยังทำให้เซี่ยเฟยมีความสงบมากยิ่งขึ้น และมีความคิดที่เป็นผู้ใหญ่มากขึ้นกว่าเดิม เรียกได้ว่าการเดินทางไปยังดาวเคราะห์มรดก ทำให้ชายหนุ่มก้าวกระโดดไปจากตำแหน่งเดิมราวกับเปลี่ยนไปเป็นคนละคน
หลังจากที่ได้ฟังเรื่องราวของเซี่ยเฟยแล้ว โอโร่ก็ใช้มือตบหน้าขาพร้อมกับหัวเราะออกมาเสียงดังลั่น
“น่าสนใจจริง ๆ ความจริงแล้วไลอ้อนฮาร์ทของพวกเราก็มีสิ่งที่คล้าย ๆ กับดาวเคราะห์มรดกที่นายเล่าให้ฟังอยู่เหมือนกัน เพียงแต่ชื่อกับวิธีฝึกนักรบที่เข้ามามีความแตกต่างกันออกไป แต่ที่แน่ ๆ มันไม่เหมือนกับดาวเคราะห์มรดกที่นายจะต้องพยายามเอาชีวิตรอดในทุก ๆ วันตลอดทั้งปี”
“ดาวเคราะห์มรดกดวงนั้นมันถูกทิ้งร้างลงไปแล้ว แล้วผมจะไปทำอะไรได้” เซี่ยเฟยกล่าว
“แล้วนายได้รับพลังจิตมาได้ยังไง?”
“ในช่วงท้ายของดาวมรดกที่แทบไม่เหลือศัตรูอยู่แล้ว ระบบได้บอกว่าผมผ่านการทดสอบแล้วและมอบของรางวัลเป็นพลังจิตให้กับผม” เซี่ยเฟยตอบ
“นายกำลังบอกว่าตั้งแต่ต้นจนจบที่นายได้เข้าไปในดาวเคราะห์มรดก มันไม่มีใครให้คำแนะนำหรือเข้ามาให้ความช่วยเหลือนายเลยงั้นเหรอ?” โอโร่ถาม
“ก็ประมาณนั้น” เซี่ยเฟยกล่าวตอบ เพราะสิ่งเดียวที่เขาจำเป็นจะต้องทำหลังจากเดินทางไปยังดาวเคราะห์มรดก คือการต่อสู้เพื่อเอาชีวิตรอดเท่านั้น เขาจึงไม่รู้ถึงรายละเอียดในเรื่องอื่น ๆ เลย
“ไม่น่าแปลกใจเลยว่าทำไมนายที่มีอายุเพียงเท่านี้ ถึงมีประสบการณ์ในการต่อสู้มากมายขนาดนั้น มันไม่ใช่ทุกคนที่สามารถผ่านการทดสอบของดาวเคราะห์มรดกเพียงลำพังได้หรอกนะ แต่ยังดีที่ถึงแม้ว่ามันจะไม่มีใครสอนพื้นฐานการใช้พลังกฎให้กับนาย แต่นายก็ยังสามารถผ่านพ้นการทดสอบนั้นไปได้โดยใช้พลังของตัวนายเอง” โอโร่กล่าว
“แล้วเรื่องสายเลือดระดับ 4 ดาวล่ะครับ?” เซี่ยเฟยถาม
“บ้านเกิดของนายอยู่ที่ไหน?”
“ดาวโลก”
“บนดาวโลกมีนักรบพลังพิเศษชั้นยอดอยู่เยอะหรือเปล่า?” โอโร่กล่าวถาม
“เท่าที่ผมรู้บนโลกไม่มีนักรบพลังพิเศษชั้นยอดอยู่เลยแม้แต่คนเดียว มีเพียงนักรบพลังพิเศษที่พอใช้ได้อยู่เพียงแค่ไม่กี่คน” เซี่ยเฟยตอบตามความเป็นจริง
“ฉันคิดว่าบางทีดาวเคราะห์มรดกที่นายเดินทางไปอาจจะถูกทิ้งร้างมานานเกินไป การประเมิน 3 ขั้นของดาวดวงนั้นมันก็อาจจะผิดพลาดก็ได้” โอโร่กล่าวพร้อมกับหัวเราะเสียงดัง
“คุณกำลังหมายถึงระบบทำการประเมินผิดพลาดงั้นเหรอครับ?”
“ใช่ มันจะต้องเป็นการประเมินที่ผิดพลาดแน่ ๆ” โอโร่กล่าวยืนยัน
“คุณรู้ได้ยังไงว่าระบบประเมินผิดพลาด?”
“ยกตัวอย่างง่าย ๆ อย่างประกูลไลอ้อนฮาร์ทของเราที่มีชื่อเสียงโด่งดังไปทั่วทั้งดินแดนมารก็มีสายเลือดระดับ 2 ดาวเท่านั้น แม้แต่สายเลือดของราชวงศ์ที่แข็งแกร่งกว่าสายเลือดทั่วไปมาก ก็ถูกประเมินว่าเป็นสายเลือดระดับ 3 ดาว ดังนั้นถ้าหากว่าบนดาวโลกที่นายพูดถึงมีสายเลือดระดับ 4 ดาวอยู่จริง ๆ มันก็สมควรจะต้องมีราชากฎให้เห็นทั่วไปตามท้องถนนแล้ว” โอโร่กล่าว
โอโร่ภาคภูมิใจในสายเลือดของตัวเองมาก และถ้าหากว่าเซี่ยเฟยบอกว่าตัวเองมีสายเลือดระดับ 3 ดาว อดีตจอมมารก็พอจะทำใจเชื่อถือได้บ้าง เพราะศักยภาพที่เซี่ยเฟยแสดงออกมาไม่ใช่สิ่งที่ใครจะสามารถลอกเลียนแบบได้
แต่การที่เซี่ยเฟยบอกว่าตัวเองมีสายเลือดระดับ 4 ดาวทำให้โอโร่ไม่สามารถทำใจเชื่อถือได้จริง ๆ เพราะสายเลือดระดับ 4 ดาวในดินแดนกฎต่างก็ล้วนแล้วแต่เป็นสัตว์ประหลาดที่แข็งแกร่งทั้งหมด มันจึงไม่มีทางที่สายเลือดระดับ 4 ดาวจะไปถือกำเนิดบนดาวโลกที่มีประชากรอ่อนแอแบบนั้นได้
“นั่นสินะ ถ้าหากว่าแม้แต่ราชวงศ์ของไลอ้อนฮาร์ทยังมีสายเลือดระดับ 3 ดาวเท่านั้น แล้วผมที่มาจากดาวเคราะห์ดวงเล็ก ๆ จะมีสายเลือดระดับ 4 ดาวได้ยังไง” เซี่ยเฟยกล่าวพร้อมกับพยักหน้า
“ความจริงแล้วผมไม่ได้สนใจเรื่องสายเลือดอะไรพวกนั้นหรอก เพราะถึงยังไงผมก็คือผมและผมจะยืนหยัดด้วยตัวเอง ไม่จำเป็นจะต้องไปพึ่งพาสายเลือดอะไรทั้งนั้น” เซี่ยเฟยกล่าวพร้อมกับยืนหยัดอย่างภาคภูมิใจ
เสียงที่เขาพูดขึ้นมาไม่ได้ดังมากนัก แต่มันกลับทำให้โอโร่มองไปยังชายหนุ่มอย่างชื่นชมมากขึ้นกว่าเดิม
—
บรรยากาศที่หมู่บ้านของพวกซุยเซนค่อนข้างที่จะอึดอัดเล็กน้อย เพราะหลังจากที่เซี่ยเฟยลงมือสังหารคอลลินแล้ว เขากลับใช้เข็มทิศมิติหนีออกไปจากพื้นที่แห่งนี้ในทันที
การลงมือของชายหนุ่มได้ช่วยเหลือพวกเขาเอาไว้มาก แล้วทำไมชายหนุ่มคนนั้นถึงจากไปในทันทีโดยไม่พูดอะไรสักคำ มันจึงทำให้พวกเขาไม่รู้ว่าจะต้องรับมือกับสถานการณ์ในปัจจุบันยังไง
ในเวลาเดียวกันเซธกลับรู้สึกหดหู่ใจมากยิ่งกว่า เพราะจู่ ๆ เขาก็ได้กลับกลายเป็นทาสที่ไม่มีเจ้าของในพริบตา เขาจึงทำได้เพียงแต่นั่งรอในห้องรับแขกด้วยอารมณ์ที่มืดมน เพราะเขาไม่สามารถที่จะทำอะไรได้อีกแล้วนอกเสียจากจะต้องรอให้เซี่ยเฟยกลับมา
ระหว่างนั้นรัคโค่กับคาเซะก็นั่งพูดคุยเรื่องต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับเซี่ยเฟย เพราะหลังจากที่เซี่ยเฟยสังหารคอลลิน การจัดการกับพวกเชพเพิร์ดในส่วนที่เหลือก็กลายเป็นเรื่องที่ง่ายดาย จนทำให้การต่อสู้ในครั้งนั้นมีผู้ได้รับบาดเจ็บไปเพียงแค่ไม่กี่คน
ปัจจุบันกำลังเสริมที่พวกเขาขอความช่วยเหลือมาได้กลับไปยังที่ของตัวเองแล้ว และชาวมุราซากิก็ได้จัดกำลังเพื่อปกป้องหมู่บ้านซุยเซนใหม่ด้วยเช่นกัน
ท้ายที่สุดทีมซุยเซนของพวกเขาก็ถือว่าเป็นหน้าตาของเผ่ามุราซากิ ดังนั้นถ้าหากว่ามันมีเรื่องอะไรเกิดขึ้นกับพวกเขา ชนเผ่ามุราซากิทั้งกลุ่มก็จะได้รับผลกระทบไปด้วยเช่นเดียวกัน
ทุกคนที่เข้ามาช่วยเหลือต่างก็ได้รับค่าตอบแทนจากซุยเซนกลับไป แน่นอนว่าค่าหัวพวกนั้นถือได้ว่าเป็นของแถมเล็ก ๆ น้อย ๆ เพราะสิ่งที่พวกเขาให้ความสำคัญมากที่สุดคือมิตรภาพของซุยเซน ซึ่งถ้าหากว่าพวกเขามีปัญหาในอนาคต เรื่องราวในวันนี้มันก็จะช่วยให้พวกเขาสามารถขอความช่วยเหลือจากพวกซุยเซนได้อย่างง่ายดาย
“เมื่อคืนฉันก็นอนไม่หลับอีกแล้ว” รัคโค่กล่าวพร้อมกับยกมือขึ้นมานวดขมับทั้งสองข้าง
“พ่อเป็นอะไร? ทำไมถึงกังวลขนาดนั้น?” คาเซะกล่าวพร้อมกับยกถ้วยชาไปยื่นให้กับชายชรา
“ถ้าไม่ใช่เพราะอาเฟย คนของเราก็คงจะได้รับความเสียหายมากกว่านี้ แต่เรายังไม่ทันได้ตอบแทนบุญคุณของเขาเลย” รัคโค่ยกถ้วยชาขึ้นมาจิบพร้อมกับถอนหายใจออกมาอย่างหนัก
“นั่นสินะ ถ้าไม่ใช่เพราะอาเฟย ตัวประกันทั้งหมดในหมู่บ้านก็คงจะถูกจัดการไปแล้ว ครั้งนี้พวกเราเป็นหนี้บุญคุณเขามากจริง ๆ ยิ่งไปกว่านั้นเรายังพ่ายแพ้การประลองและยังเป็นหนี้เขาอีกสามชีวิตด้วย” คาเซะกล่าวพร้อมกับเผยรอยยิ้มออกมาอย่างขมขื่น
ทันทีที่พูดจบทั้งคาเซะและรัคโค่ต่างก็ถอนหายใจออกมาพร้อมกัน เพราะเรื่องที่พวกเขาติดค้างเซี่ยเฟยอยู่มันเยอะมากจนเกินไปจริง ๆ
“เอาล่ะพวกเรามาหาวิธีตอบแทนบุญคุณเมื่อเขากลับมากันดีกว่า” รัคโค่กล่าวเข้าประเด็น
“ตอนนี้อาเฟยมีอิทธิพลต่อคนของพวกเรามาก ตอนนี้อดีตตัวประกันทุกคนรวมถึงซากุระต่างก็กำลังนั่งรออยู่ที่ประตูเพื่อรอให้อาเฟยกลับมา ความจริงหนูคิดว่าอาเฟยเป็นคนใจดีมาก หนูหวังว่าเขาคงจะไม่ได้หมายตาชีวิตของพวกเราจริง ๆ” โซระกล่าวกับพ่อสามีพร้อมกับนำจานผลไม้เข้ามาเสิร์ฟ
ในระหว่างที่พูดอยู่นั้นโซระก็เหลือบสายตามองไปทางสามี เพราะเธอกลัวว่าคาเซะจะพยายามหาคนมาสังหารเซี่ยเฟยเพื่อปกป้องชีวิตของพวกเธอเอาไว้ แต่ถ้าหากว่าคาเซะทำแบบนั้น มันก็จะทำให้ครอบครัวของเธอถูกต่อต้านจากพวกเด็ก ๆ และคนชราในหมู่บ้านอย่างรุนแรง
“นี่เธอกำลังพยายามจะสื่ออะไรกันแน่? อาเฟยเป็นคนช่วยชีวิตพวกเราเอาไว้นะ ฉันแค่มาคุยกับพ่อว่าพวกเราควรจะตอบแทนเขากลับไปยังไงดี?” คาเซะกล่าวพร้อมกับขมวดคิ้ว
“ใช่ พวกเราแค่กำลังจะคุยกันว่าพวกเราควรจะตอบแทนผู้มีพระคุณยังไงต่างหาก” รัคโค่กล่าว เพราะเขาก็เข้าใจความหมายที่โซระต้องการจะสื่อด้วยเหมือนกัน
หากก่อนหน้านี้เซี่ยเฟยบังคับให้พวกเขาทำงานให้ พวกเขาก็คงจะออกไปทำงานอย่างไม่เต็มใจ แต่สถานการณ์ในปัจจุบันแตกต่างจากเดิมอย่างสิ้นเชิง เพราะชายหนุ่มได้ช่วยชีวิตตัวประกันเอาไว้มากกว่า 300 คน ดังนั้นไม่ว่าชายหนุ่มจะขอให้พวกเขาทำอะไร พวกเขาก็คงจะทำภารกิจนั้นอย่างสุดความสามารถอย่างแน่นอน
“พ่อ พี่คาเซะ หนูพอจะมีความคิดที่จะตอบแทนบุญคุณของเขาได้แล้ว” โซระกล่าวขณะนั่งลงเข้าร่วมวงสนทนา
“ไหนว่ามาสิ ว่าหนูมีความคิดยังไงบ้าง?” รัคโค่กล่าวถามอย่างเร่งรีบ เพราะเขากังวลเรื่องนี้จนนอนไม่หลับมา 2 วันแล้ว
“อาเฟยมาหาพวกเราเพื่อต้องการให้พวกเราทำภารกิจให้กับเขาใช่ไหมล่ะ? จนถึงขนาดที่เขายอมช่วยเหลือพวกเราอย่างเต็มที่ และถอยกลับไปโดยไม่ได้ร้องขออะไรจากพวกเราด้วยซ้ำ” โซระกล่าวขึ้นมาเบา ๆ
“แน่นอนว่าถึงแม้อาเฟยจะไม่พูดเรื่องนี้ แต่เราก็จะต้องช่วยงานของเขาแน่ ๆ อย่างน้อยมันก็เพื่อชดเชยชีวิตของพวกเราที่ติดค้างเขาเอาไว้” รัคโค่กล่าวพร้อมกับพยักหน้า
โซระหัวเราะขึ้นมาเบา ๆ ก่อนที่เธอจะชี้นิ้วไปยังซากุระด้านนอกประตูที่กำลังจ้องมองไปยังประตูหมู่บ้านด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความรอคอย
ทันใดนั้นคาเซะก็ชะงักค้างไปในทันที ก่อนที่เขาจะรีบถามขึ้นมาว่า
“เรื่องนี้มันเป็นความคิดของเธอหรือมันเป็นความคิดของซากุระกันแน่?”
***************
มีใครเดาได้ไหมว่าโซระจะตอบแทนพี่เฟยยังไง?
สารบัญ / นำทาง
- 👁️ ยอดวิว 246
- 👍 ถูกใจ
แสดงความคิดเห็น