บทที่ 588: ความจริงเกี่ยวกับการตายของคู่หยินเหลย
หยินชางมองไปที่หลงหลิงเอ๋อด้วยสายตาประหลาดใจ
หมอผีมีความสามารถในการจับโกหกคนอื่นได้ด้วยหรือ?
ทำไมเขาไม่เคยได้ยินเรื่องนี้มาก่อน แล้วนางก็ไม่เคยพูดถึงมันเลยแม้แต่ครั้งเดียว!
ทว่าหมอผีก็นับว่าเป็นคนที่มีพลังวิเศษอยู่แล้ว แม้แต่หยินซางก็ไม่สงสัยคำพูดของเด็กหญิงจนเกือบจะคล้อยตามคำพูดของนาง
ทางด้านหัวหน้าเผ่าไป๋ผี หลังจากชายหนุ่มคิดไตร่ตรองให้ถี่ถ้วน เขาก็รู้สึกว่าเรื่องที่นางถามมันไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องอะไรกับเขามากมาย ดังนั้นการที่เขาจะบอกเด็กพวกนี้ไปก็คงไม่เป็นไร
นอกจากนี้ ตนไม่ใช่หัวโจกที่สังหารหยินเหลยและภรรยาของเขาในตอนนั้น
เมื่อผู้เป็นหัวหน้าเผ่าคิดได้เช่นนี้ เขาก็ไม่จำเป็นต้องกังวลใด ๆ อีก
“ได้ ถ้าเจ้ารักษาเขาได้ ข้าจะบอกเจ้าทุกอย่าง” เขาตอบตกลงทันที
ทางด้านหลงหลิงเอ๋อประเมินพลังที่เหลืออยู่ของตัวเองคร่าว ๆ
แม้ว่ามันจะยากไปสักหน่อย แต่ก็ไม่ใช่ว่านางจะไม่สามารถรักษาคนป่วยให้หายขาดได้ภายในครั้งเดียว
อีกทั้งตัวนางเองก็อยากรู้ด้วยว่าโรคระบาดชนิดนี้จะใช้พลังของหมอผีรักษาให้หายขาดได้หรือไม่ แถมยังมีคนมาให้นางฝึกฝนถึงมือพอดี แล้วถ้าอีกฝ่ายเสียชีวิตไป มันก็ไม่นับว่าเป็นความเสียหายอะไรด้วย
“งั้นเจ้าก็ช่วยข้าแก้เชือกหน่อย ข้าจะไปดูคนป่วย ถ้าถูกมัดเอาไว้แบบนี้ ข้าคงช่วยรักษาเขาไม่ได้”
หมอผีตัวน้อยใช้โอกาสนี้บอกให้คนพวกนั้นแก้เชือกที่มัดนางออก
หยินซางที่อยากจะเห็นผลลัพธ์ของการรักษาของหมอผีไม่ทันได้ฉุกคิดอะไรมากนัก แล้วเขาก็ดูถูกว่าหลงหลิงเอ๋อเป็นเพียงเด็กผู้หญิงอ่อนแอคนหนึ่ง ซึ่งมันไม่มีอะไรให้เขาต้องเกรงกลัว
แม้ว่านางจะถูกปล่อยตัว แต่นางก็ไม่มีวันหลบหนีไปจากเงื้อมมือของเขาได้สำเร็จ
ดังนั้นชายหนุ่มจึงสั่งให้ลูกน้องคลายเชือกที่มือและเท้าของอีกฝ่าย
หลงหลิงเอ๋อที่ถูกปล่อยให้เป็นอิสระนวดข้อมือสีแดงของตัวเองสักครู่แล้วเดินไปหาผู้อาวุโสที่ถูกวางทิ้งไว้ด้านนอกประตู
ในเวลาเดียวกัน หยินชางอยากจะพุ่งตัวเข้าไปขัดขวางนาง แต่เขาก็ถูกภูตเผ่าไป๋ผีจับตัวไว้
ขณะนั้นเด็กหญิงส่งสายตาให้ความมั่นใจกับเขา
ปัจจุบันทั้งหยินซางและหยินชางอยู่ในบ้าน ตอนนี้จึงมีเพียงหลงหลิงเอ๋อกับภูตเผ่าไป๋ผีที่เดินออกมาข้างนอก ประกอบกับมีภูตอีก 2-3 คนคอยเฝ้าอยู่นอกประตู พวกเขาจึงไม่กลัวว่านางจะหนีรอดไปไหนได้
ภายใต้สายตาที่จับตามองของหลาย ๆ คน หมอผีตัวน้อยได้เดินไปหยุดอยู่ด้านข้างของคนป่วยก่อนจะคุกเข่าลง
ครู่ถัดมา หลงหลิงเอ๋อยื่นมือออกไปหมายจะเปิดหนังสัตว์ที่คลุมร่างของผู้อาวุโสออก
แต่ก่อนที่นางจะได้สัมผัสหนังสัตว์ นางก็ถูกภูตชายที่อยู่ข้าง ๆ ร้องห้ามไว้
“อย่าเปิดมันนะ ไม่อย่างนั้นเราจะติดเชื้อไปด้วย! เจ้ารีบ ๆ ใช้พลังของหมอผีรักษาเขาสิ”
นอกจากเรื่องที่เขาพูดแล้ว เขายังกังวลว่าหมอผีตัวน้อยจะพลอยติดโรคร้ายไปด้วย
ทางด้านหลงหลิงเอ๋อไม่ดึงดันที่จะสัมผัสผู้ป่วย นางหากิ่งไม้ที่อยู่ใกล้ตัวมาเขี่ยหนังสัตว์ที่ห่อหุ้มอีกฝ่ายออก
ปัจจุบันผู้อาวุโสของเผ่าไป๋ผีเหลือเพียงลมหายใจเฮือกสุดท้ายแล้ว เขาหมดเรี่ยวหมดแรงจนขยับตัวแทบไม่ไหว
พอได้ยินว่าหยินซางจับตัวหมอผีมาเพื่อรักษาเขาโดยเฉพาะ เขาก็รู้สึกตื้นตันใจจนแทบจะร้องไห้
ยามนี้ดวงตาที่ยังพอขยับได้ของเขากำลังกลอกไปมาอย่างตื่นเต้น
“หยุดขยับลูกกะตาได้แล้ว เดี๋ยวก็หมดแรงตายไปเสียก่อนหรอก ถ้าท่านไม่เหลือลมหายใจเฮือกสุดท้ายเอาไว้ ถึงตอนนั้นข้าก็ช่วยท่านไม่ได้” หลงหลิงเอ๋อเตือนผู้อาวุโสเสียงเย็น
พอเขาได้ยินหมอผีพูดแบบนั้น ชายชราที่เมื่อกี้รู้สึกตื่นเต้นมากก็ตัวแข็งทื่อไม่กล้าขยับเขยื้อนอีก
เขารู้สึกว่าตัวเองกำลังอ่อนแรงลงอีกแล้ว ถ้าไม่มีหมอผีช่วยรักษา เขาอาจจะไม่มีชีวิตรอดไปจนถึงวันพรุ่งนี้
ในเวลาเดียวกัน หลงหลิงเอ๋อเหลือบมองหยินซางที่ยืนอยู่ในบ้านไม้ ก่อนจะหันกลับมาเพ่งสมาธิไปที่การรักษา
ส่วนภูตที่อยู่รอบ ๆ ต่างก็มุ่งความสนใจมายังเด็กหญิงเช่นกัน
พอเวลาผ่านไปสักพัก หน้าผากของหมอผีตัวน้อยก็ชุ่มไปด้วยเหงื่อ
ขณะเดียวกัน ใบหน้าที่เคยมีแต่จุดแปลก ๆ ขึ้นจนเต็มก็เริ่มดีขึ้นด้วยความเร็วที่มองเห็นได้ชัด
ตั้งแต่เกิดมาจนถึงปัจจุบัน ภูตเผ่าไป๋ผีไม่เคยมีใครสักคนที่ได้มีโอกาสเห็นสถานการณ์แบบนี้มาก่อน พวกเขาจึงได้แต่ยืนตกตะลึงอ้าปากค้างกันอยู่อย่างนั้น
ในไม่ช้า ใบหน้าของผู้อาวุโสก็กลับมาเป็นปกติ
มิหนำซ้ำ สภาพร่างกายของเขายังดูแข็งแรงกว่าเดิมอีกด้วย
ต่อมา หลงหลิงเอ๋อใช้กิ่งไม้เขี่ยหนังสัตว์ออกจากร่างกายของคนป่วย ในขณะที่ยังคงรักษาอีกฝ่ายต่อไป
คราวนี้ทุกคนเห็นถึงความแตกต่างได้อย่างชัดเจนระหว่างผิวหนังบนใบหน้าและผิวกายที่มีตุ่มหนองน่าขยะแขยง
เมื่อผู้เป็นหมอผีเห็นว่าร่างกายของชายสูงวัยค่อย ๆ ฟื้นตัวดีขึ้นโดยเหลือไว้เพียงผิวหนังที่น่าขนลุกบริเวณส่วนลำคอ นางก็หยุดรักษาอย่างกะทันหัน
“เจ้าหยุดทำไม? เจ้ารักษาเขาจนหายแล้วหรือ?” หยินซางผงะแล้วรีบถามขึ้นมา
“เขายังไม่หายขาด” ใบหน้าของหลงหลิงเอ๋อซีดเผือด แต่นางก็ยังต้องกัดฟันฝืนตัวเองต่อไปเพราะยังมีเรื่องสำคัญที่ต้องทำอยู่ แล้วนางก็ยืนขึ้นกอดอกหันไปมองหัวหน้าเผ่าไป๋ผี
ชายหนุ่มที่มองดูท่าทางของเด็กหญิงขมวดคิ้วพูดด้วยน้ำเสียงไม่พอใจว่า “ถ้ายังรักษาไม่หาย เจ้าก็รักษาเขาต่อสิ!”
นางจะหยุดรักษากลางคันไปดื้อ ๆ ได้อย่างไรกัน?
“ในเมื่อเจ้าเห็นแล้วว่าข้ารักษาเขาได้ ตอนนี้เจ้าควรบอกสิ่งที่ข้าอยากรู้มาได้แล้ว หลังจากที่เจ้าเล่าเรื่องราวทั้งหมดที่เกิดขึ้นกับพ่อแม่ของหยินชางให้เราฟังจนจบ ข้าจะรักษาเขาให้หายสนิท” หลงหลิงเอ๋อ เจรจาเงื่อนไขกับเขาอย่างใจเย็น
“เจ้าเด็กนี่…” หยินซางเบิกตากว้างด้วยความโกรธ เขารู้สึกประหลาดใจกับความฉลาดหลักแหลมของเด็กคนนี้มาก
“เพื่อป้องกันไม่ให้เจ้ากลับคำพูดของตัวเอง ข้าจึงต้องทำแบบนี้ ถ้าเจ้าไม่บอกข้า เขาก็จะอยู่ในสภาพนี้ต่อไป” หมอผีตัวน้อยยักไหล่พูดกับอีกฝ่ายแบบไม่ยี่หระ
“ถึงยังไงก็ตาม ตอนนี้พวกเจ้าทุกคนก็ได้สัมผัสกับเชื้อโรคไปหมดแล้ว ตอนนี้พวกเจ้าจะติดเชื้อหรือไม่ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง แต่พวกเจ้าไม่อยากรู้หรือว่าข้าจะรักษาเขาให้หายขาดได้จริงหรือไม่?”
“...”
เขาถูกเด็กหลอกอีกแล้ว!
หยินซางเริ่มรู้สึกหงุดหงิดขึ้นมาเล็กน้อย แต่พอคิดถึงว่าถ้านางไม่ยอมรักษาโรคระบาดนี้ สิ่งที่เขาทำมาทั้งหมดมันคงจะไร้ประโยชน์
“เอาล่ะ ข้าจะพูด”
ถึงแม้ว่าชายหนุ่มจะเอ่ยปากด้วยน้ำเสียงเย็นชา แต่เขาก็ยังยอมประนีประนอม
ส่วนหยินชางกับหลงหลิงเอ๋อมองไปที่หัวหน้าเผ่าไป๋ผีตาไม่กะพริบ
“ข้าเคยเห็นคนที่ฆ่าพ่อแม่ของเจ้า” หยินซางยิ้มเยาะ “พอพูดถึงเรื่องนี้แล้ว เราต้องขอบคุณหยินเสวี่ย ถ้านางไม่ไปบอกทุกคนว่าพ่อแม่ของเจ้าซ่อนตัวอยู่ที่ไหน เราคงไม่สามารถหาพวกเขาพบได้ง่าย ๆ”
เด็กทั้ง 2 คนแสดงสีหน้าตกใจพร้อมกันหลังจากได้ยินสิ่งที่เขาพูด
“เจ้าหมายความว่ายังไง?” หยินชางถามด้วยใบหน้าเย็นชา
หยินซางไม่กลัวที่จะให้เด็กหนุ่มรู้ ดังนั้นเขาจึงเล่าอดีตทั้งหมดให้อีกฝ่ายฟัง
“ในตอนแรก พ่อของเจ้าพบรักกับผู้หญิงต่างเผ่าแล้วตกลงปลงใจกับนาง แต่ในเวลานั้น พวกผู้อาวุโสต่อต้านอย่างหนัก พ่อของเจ้าถึงขั้นยอมทิ้งเผ่าหนีไปอาศัยอยู่กับนางในป่า”
“แต่เราได้รู้จากหยินเสวี่ยว่าคู่ของพ่อเจ้านั้นเป็นภูตอสูร…”
เนื่องจากพ่อแม่ของหยินเหลยเสียชีวิตตั้งแต่ที่เขาอายุยังน้อย ด้วยเหตุนี้ ตัวเขาและน้องสาวซึ่งก็คือหยินเสวี่ยจึงได้แต่พึ่งพาอาศัยกันมาตลอด
ในเวลานั้น หยินเสวี่ยก็โตแล้ว หยินเหลยจึงหลบหนีไปใช้ชีวิตอยู่ในป่ากับคู่ของตนโดยไม่ลังเลใด ๆ ทั้งสิ้น
แต่เขาก็ยังกังวลว่าน้องสาวจะต้องอยู่คนเดียวตามลำพังในเผ่า หลังจากที่เขาปรึกษาคู่ของตัวเองแล้ว เขาก็แอบไปเยี่ยมนาง 2-3 ครั้ง
ตอนนั้นหยินเสวี่ยยืนกรานอยากจะไปเยี่ยมบ้านของพวกเขาที่อยู่ในป่าสักครั้ง
ด้วยความที่ว่าหยินเหลยเป็นคนทำอะไรรอบคอบเสมอ แน่นอนว่าเขาไม่เห็นด้วยกับนาง
แต่ใครจะไปคาดคิดว่าหยินเสวี่ยจะแอบติดตามเขาไปจนถึงที่อยู่อาศัยของพวกเขาทั้ง 2 แล้วกลับไปแจ้งข่าวให้กับภูตในเผ่า
ในใจของนางยามนั้น ผู้หญิงจากเผ่าภูตอสูรเป็นผู้หญิงสารเลวที่แย่งชิงความรักจากพี่ชายของนางไป หากไม่มีผู้หญิงคนนี้ เหยื่อทั้งหมดที่หยินเหลยล่ามาได้จะเป็นของตนทั้งหมด
แต่เนื่องจากการปรากฏตัวของผู้หญิงแพศยาคนนั้น นอกจากพี่ชายจะไม่สนใจนางแล้ว เขายังยอมละทิ้งเผ่าอีกด้วย มันทำให้ตัวนางจะต้องถูกคนในเผ่าดูถูกเยาะเย้ยจนทำให้นางรู้สึกไม่พอใจมากขึ้นเรื่อย ๆ
อีกทั้งหยินเหลยเคยเตือนนางแล้วว่าอย่าบอกคนในเผ่าว่าคู่ของเขาเป็นภูตอสูร
ขณะนั้นหยินเสวี่ยไม่เข้าใจอะไรเลย นางแค่รู้สึกว่าพี่ชายของตนเป็นคนรอบคอบและอยากจะปิดบังเรื่องทั้งหมดเอาไว้ นางที่อยากจะเอาคืนพี่ชายกับผู้หญิงคนนั้นจึงเอาเรื่องนี้ไปป่าวประกาศจนทั่ว
หลังจากที่หญิงสาวกลับมาจากบ้านของหยินเหลย นางก็นำความลับของเขากลับมาบอกพวกท่านผู้อาวุโส
จากนั้นภูตเผ่าไป๋ผีก็ไล่ล่าและสังหารทั้ง 2 คน
“ที่แท้ก็เป็นนางนั่นเอง...ทำไม?” หยินชางกำหมัดแน่น พลางกัดริมฝีปากจนเปลี่ยนเป็นสีขาว
นางเป็นน้องสาวของพ่อเขาไม่ใช่หรือ?
ทำไมนางถึงทำแบบนี้?!
ขณะเดียวกัน หลงหลิงเอ๋อทำหน้าไม่อยากเชื่อในสิ่งที่ได้ยิน หยินเสวี่ยคนนี้บ้าจริง ๆ แม้แต่พี่ชายของตัวเองก็ยังทำร้ายได้ลงคอ!
ส่วนหยินซางทำหน้าเยาะเย้ยใส่เด็กหนุ่มที่มีสายเลือดของภูตอสูร
“ทุกคนก็ทำเพื่อผลประโยชน์ของตัวเองเท่านั้น ไม่มีใครไม่เห็นแก่ตัวหรอก ข้าไม่เห็นว่ามันแปลกตรงไหน”
สิ่งนี้มันเป็นสัจธรรมของโลก ข้าก็แค่เรียนรู้มันได้เร็วกว่าใคร ข้าจึงมาถึงจุดนี้ได้
ขณะที่ชายหนุ่มพูด เขาก็แสดงรอยยิ้มที่น่ากลัวและละโมบอีกครั้ง
“เจ้าอาจจะยังไม่รู้ ภูตเกือบทุกคนในเผ่าได้ดื่มเลือดแม่ของเจ้า จุ๊ ๆๆ รสชาติของมัน… เกินบรรยายจริง ๆ…”
สารบัญ / นำทาง
- 👁️ ยอดวิว 209
แสดงความคิดเห็น