ตอนที่ 415 แดนเยือกแข็ง
ตอนที่ 415 แดนเยือกแข็ง
ในระหว่างที่อูดี้โวยวายภายในเต็นท์ทองคำ มันก็ทำให้ลูกน้องของเขาทุกคนต่างก็ยืนตัวเกร็งทำอะไรไม่ถูก ซึ่งทุกคนก็คิดว่าเรื่องนี้น่าจะเป็นบทลงโทษของอูดี้ที่เขาไม่ได้แสดงความไว้วางใจหัวหน้าฝ่ายทุก ๆ คนในเต็นท์ทองคำแห่งนี้อีกต่อไป และเลือกที่จะไปขอความช่วยเหลือจากนักพรตเลยูตี้แทน
ฝูงชนทุกคนต่างก็ถอนหายใจออกมาด้วยความสิ้นหวัง มีเพียงแต่ทูดี้ผู้นำของสมาพันธ์นักรบศักดิ์สิทธิ์เท่านั้นที่ยังคงมีท่าทีที่ผ่อนคลาย
การรอดตายกลับมาในครั้งนี้ได้ทำให้เขาตระหนักถึงความจริงในจักรวาล โดยเฉพาะในตอนที่ยานรบของเขาไปปรากฏในพื้นที่ท่ามกลางสัตว์อสูรอย่างกะทันหัน มันจึงทำให้เขาได้รู้ความจริงแล้วว่าในจักรวาลมีมหาอำนาจผู้ไร้เทียมทานอยู่จริง ๆ ไม่อย่างนั้นจู่ ๆ ยานรบของเขาจะไปปรากฏในพื้นที่ที่ห่างจากจุดเดิมนับล้านปีแสงได้ยังไง
เมื่อมองไปที่ลารี่ที่แขนขาดแต่ยังคงภักดี และเหล่าบรรดาแกนนำในแต่ละฝ่ายที่กำลังขมวดคิ้ว ทูดี้ก็คิดว่าสิ่งที่คนพวกนี้กำลังทำอยู่เป็นเรื่องไร้สาระมาก เพราะท้ายที่สุดทุกคนก็พยายามทำงานหนักเพื่อให้ชีวิตของตัวเองดีขึ้นไม่ใช่เหรอ
สิ่งที่เขาได้เผชิญมาพิสูจน์ได้อย่างชัดเจนแล้วว่าเซี่ยเฟยมีเบื้องหลังที่ลึกลับและทรงพลังเกินกว่าที่ทุกคนจะเข้าใจ เขาจึงไม่คิดที่จะเป็นศัตรูกับมนุษย์คนนี้อีก เพราะท้ายที่สุดชีวิตของเขาก็มีอยู่เพียงแค่ชีวิตเดียว และการรักษาชีวิตของเขาไว้คือเรื่องที่สำคัญมากที่สุด
‘ฉันควรหาวิธีหลบจากเรื่องนี้ แล้วไปอยู่ในที่ที่ปลอดภัยดีกว่า’ ทูดี้คิดกับตัวเองภายในใจ
—
บริเวณทางใต้ของเต็นท์ทองคำคือทะเลสาบทองคำที่บิทินี่อาศัยอยู่ ซึ่งสภาพอากาศบริเวณนี้ค่อนข้างที่จะอบอุ่นและวิวทิวทัศน์ก็สวยงามราวกับภาพวาด ทำให้มันกลายเป็นสถานที่พักผ่อนอันแสนสบายสำหรับทุกคน
อย่างไรก็ตามยานรบสีทองของอูดี้ก็ไม่ได้มุ่งหน้าไปทางใต้อันอบอุ่น แต่เขากำลังมุ่งหน้าไปยังพื้นที่ทางตอนเหนือที่มีสภาพอากาศอันหนาวเหน็บ
พื้นที่ทางตอนเหนือเป็นพื้นที่ที่มีสภาพอากาศอันหนาวเย็นรุนแรงและมีภูเขาสูงอยู่ทุกหนทุกแห่ง มันจึงทำให้ยอดเขาเหล่านี้เต็มไปด้วยหิมะขาวและเศษน้ำแข็งที่กระจายคล้ายกับใบดาบที่แหลมคม
พื้นที่บริเวณนี้ถือว่าเป็นพื้นที่ต้องห้ามสำหรับสิ่งมีชีวิต เพราะมันมีแค่สัตว์และพืชเพียงแค่ไม่กี่ชนิดที่สามารถปรับตัวใช้ชีวิตท่ามกลางสภาพอากาศที่หนาวเย็นอย่างรุนแรงได้
อูดี้มองไปยังภูเขาน้ำแข็งและพายุหิมะผ่านทางช่องหน้าต่าง และถึงแม้ว่าสภาพอากาศในยานรบจะอบอุ่น แต่สภาพอากาศด้านนอกยานก็ทำให้เขารู้สึกหนาวขึ้นมาเล็กน้อย
เจ้าหน้าที่คนหนึ่งนำเสื้อคลุมขนจิ้งจอกมามอบให้กับอูดี้ แต่หลังจากที่ราชาคนนี้ใช้เวลาคิดอยู่ครู่หนึ่งเขาก็ตอบปฏิเสธและสั่งให้คนหาชุดหนังสัตว์มาใส่ไว้ภายใต้ชุดธรรมดาของเขา เพราะเขาไม่ต้องการแสดงความอ่อนแอออกมาอย่างเด่นชัด และเขาก็คิดว่าชุดหนังสัตว์พวกนี้ก็น่าจะเพียงพอทำให้เขารอดพ้นจากความหนาวเย็นด้านนอกยานรบไปได้
ต่อมายานรบก็ค่อย ๆ ร่อนลงจอดบริเวณลานจอดบนภูเขาลูกหนึ่ง ซึ่งในความเป็นจริงมันจะเรียกว่าลานจอดก็คงจะไม่เหมาะสมนัก เพราะมันไม่มีอุปกรณ์ส่งสัญญาณหรืออุปกรณ์นำทางใด ๆ ในการอำนวยความสะดวกในระหว่างการลงจอดครั้งนี้เลย
เมื่อประตูยานถูกเปิดออกสภาพอากาศที่เคยอบอุ่นก็ถูกย้อมด้วยความหนาวเย็น และด้วยพายุหิมะที่พัดอยู่ด้านนอกก็ทำให้วิสัยทัศน์ในการมองเห็นเหลืออยู่เพียงแค่ไม่กี่เมตร
อูดี้เดินออกไปท่ามกลางพายุหิมะโดยปฏิเสธไม่ให้เจ้าหน้าที่คนใดเข้ามาให้ความช่วยเหลือเขาเลย โดยเขาได้สวมใส่เพียงแค่แว่นตากันลมเพื่อหลีกเลี่ยงอาการบาดเจ็บจากการที่หิมะพัดมากระทบกับดวงตาเท่านั้น
เพื่อฝึกฝนตัวเองและลูกน้องให้แบกรับกับความยากลำบาก อูดี้จึงตั้งเต็นท์สีทองอยู่ในทุ่งหญ้าอันหนาวเย็น แต่เมื่อเทียบกับภูเขาที่ทอดยาวลูกนี้แล้ว ทุ่งหญ้าซึ่งเป็นสถานที่ตั้งเต็นท์ทองคำกลับให้ความรู้สึกราวกับว่ามันเป็นสรวงสวรรค์ก็ไม่ปาน
หลังจากเดินต่อไปได้สักพักเขาก็ได้พบกับเส้นทางที่ด้านข้างเป็นเหวลึก อูดี้จึงมองไปยังเส้นทางด้านหน้าพร้อมกับเหงื่อที่ผุดขึ้นมาทั่วทั้งร่างกาย แต่เขาก็ทำได้เพียงแค่ตั้งใจและก้าวเดินออกไปในทางเดินแคบ ๆ นั้น
องครักษ์หลาย ๆ คนพยายามล้อมรอบอูดี้เอาไว้อย่างระมัดระวัง เพราะท้ายที่สุดทางเดินบนภูเขาทั้งแคบและทอดยาว ดังนั้นถ้าหากว่ามันมีใครพลาดลื่นบนถนนไปมันก็จะทำให้ร่างของพวกเขาร่วงหล่นลงไปในหุบเหวทันที
ถึงแม้ว่าองครักษ์เหล่านี้จะพยายามปกป้องอูดี้เอาไว้ แต่ในความเป็นจริงมันก็ไม่มีใครสามารถให้ความช่วยเหลือราชาของพวกเขาได้ เพราะมันเป็นกฎที่เลยูตี้ได้ตั้งเอาไว้ว่าใครที่เดินขึ้นมาบนภูเขาลูกนี้จะต้องพึ่งพาแต่กำลังของตัวเองเพียงผู้เดียวเท่านั้น
อูดี้ใช้เวลาเดินบนภูเขาหิมะเป็นเวลานานกว่า 2 ชั่วโมง ซึ่งระหว่างทางเขาก็ล้มลงถึง 7 ครั้งแล้วแทบจะหมดสติเนื่องจากความหนาวเย็นที่กำลังกัดกินเข้ามาภายในร่างกาย
ในที่สุดด้านหน้าก็เป็นสะพานที่เชื่อมโยงระหว่างภูเขา ซึ่งสะพานนี้มีส่วนที่กว้างที่สุดไม่เกิน 1 เมตร และส่วนที่แคบที่สุดก็มีความกว้างเพียงแค่ประมาณ 40 เซนติเมตรเท่านั้น
องครักษ์ทั้งหมดจำเป็นจะต้องหยุดอยู่เพียงแค่หน้าสะพานนี้ เพราะหลังจากเดินข้ามสะพานไปจะเป็นที่พักของนักพรตเลยูตี้แล้ว ซึ่งมันก็มีเพียงแต่ผู้ที่ได้รับอนุญาตเท่านั้นที่จะมีสิทธิ์ข้ามสะพานตรงหน้าไปได้
“ฝ่าบาทโปรดอนุญาตให้ผมเดินทางไปพร้อมกับคุณด้วย” วินดี้ผู้ซึ่งเป็น 1 ใน 7 สุดยอดนักรบศักดิ์สิทธิ์กล่าวพร้อมกับคุกเข่าลงคำนับ
สภาพอากาศของพื้นที่บริเวณนี้ทำให้ผู้คนไม่สามารถยืนนิ่ง ๆ ได้ด้วยซ้ำ แล้วมันก็ไม่จำเป็นจะต้องพูดถึงการพยายามข้ามสะพานแคบ ๆ ที่มีความยาวถึง 600 เมตรตรงหน้านี้เลย ดังนั้นวินดี้จึงรู้สึกกังวลเล็กน้อยว่าอูดี้อาจจะไม่สามารถเดินข้ามผ่านสะพานแคบตรงหน้านี้ไปได้
“อีกฟากฝั่งของสะพานคือนักพรตที่แข็งแรงที่สุดอันดับ 1 ของเซิร์ก ถ้านายเดินทางไปพร้อมกับฉันด้วย แล้วฉันจะกล้าไปเผชิญหน้ากับท่านนักพรตได้ยังไง?” อูดี้กล่าวพร้อมกับส่ายหัว
วินดี้ชะงักเล็กน้อยก่อนที่เขาจะยอมถอยออกไป เพราะท้ายที่สุดนักพรตเลยูตี้ก็มีนิสัยที่ชอบปลีกวิเวกอยู่เพียงลำพัง และเขาก็ชอบตั้งกฎแปลก ๆ ขึ้นมาเป็นของตัวเอง ดังนั้นถ้าว่าเขาให้ความช่วยเหลืออูดี้จริง ๆ มันก็อาจจะทำให้ความพยายามทั้งหมดในก่อนหน้านี้กลายเป็นเพียงแค่ความพยายามที่สูญเปล่า
อูดี้ใช้มือแตะรองเท้าเบา ๆ เพื่อเพิ่มความยาวของเหล็กใต้รองเท้าจาก 1 เซนติเมตรให้กลายเป็น 3 เซนติเมตร ซึ่งความยาวของเหล็กที่เพิ่มขึ้นจะทำให้การเดินกลายเป็นเรื่องที่ยากลำบากมาก แต่มันก็ช่วยเพิ่มการยึดเกาะให้ดีขึ้นเช่นเดียวกัน และแน่นอนว่าเขาไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากจะต้องเดินอย่างยากลำบาก ถ้าหากว่าเขาต้องการที่จะเดินผ่านสะพานแคบ ๆ ตรงหน้านี้ไป
“พวกนายรอที่นี่ แต่ถ้าอากาศหนาวเกินไปก็ให้ไปพักหลังภูเขาเพื่อหลบลม ฉันอาจจะต้องเข้าไปอยู่ด้านในนั้นอีกสักพัก” อูดี้กล่าว
เหล่าบรรดาองครักษ์ทำได้เพียงแต่ร้องไห้ออกมาด้วยความซาบซึ้ง และนี่ก็คือความฉลาดของอูดี้ที่สามารถบริหารจิตใจลูกน้องของตัวเองได้ดีมาก เขารู้ว่าเวลาไหนควรลงโทษและรู้ว่าเวลาไหนควรให้ความดูแล คำพูดของเขาในครั้งนี้เพียงแค่ประโยคเดียวจึงสามารถซื้อใจลูกน้องได้อย่างมากมาย
การควบคุมคนจำเป็นจะต้องใช้ทั้งพระเดชและพระคุณไปในเวลาเดียวกัน เพราะท้ายที่สุดก็ไม่มีใครยอมที่จะอยู่ภายใต้การกดขี่เสมอไป มันจึงจำเป็นจะต้องมีการหยิบยื่นความช่วยเหลือเล็ก ๆ น้อย ๆ ให้ลูกน้องอยู่เสมอ ซึ่งการทำแบบนี้เป็นการบริหารคนที่ผู้นำทุกคนควรจะมีเพื่อให้เหล่าบรรดาผู้ใต้บังคับบัญชายอมทำงานให้กับเขาอย่างเต็มใจ
กล่าวโดยสรุปก็คืออูดี้เป็นผู้เชี่ยวชาญในการควบคุมผู้คน และเผ่าเซิร์กทั้งหมดก็ตกอยู่ภายใต้การควบคุมของเขานั่นเอง
อูดี้พยายามก้มตัวลงต่ำและก้าวเท้าไปบนสะพานอย่างช้า ๆ โดยเหล่าองครักษ์ที่อยู่ด้านหลังต่างก็จ้องมองไปยังราชาด้านหน้าด้วยดวงใจอันแตกสลาย แล้วพวกเขาก็พยายามทำทุกวิถีทางเพื่อให้พายุหิมะพัดลงมาอย่างแผ่วเบาที่สุด
ในช่วงเวลาปกติอูดี้ไม่มีทางเอาชีวิตมาเสี่ยงแบบนี้อย่างแน่นอน แต่เพื่อเข้าหานักพรตเลยูตี้เขาก็ไม่มีทางเลือกอื่นนอกเสียจากจะต้องพึ่งพาความแข็งแกร่งของตัวเอง ท้ายที่สุดเลยูตี้ก็คือนักพรตผู้มีหน้าที่เป็นผู้สื่อสารระหว่างเซิร์กและสวรรค์ มันจึงทำให้ชายชราคนนี้คือผู้ที่อยู่ใกล้เคียงกับเทพเจ้ามากที่สุด
ด้วยการที่เลยูตี้เป็นนักรบอันดับ 1 ของเผ่าพันธุ์เซิร์กนี่เอง มันจึงทำให้แม้แต่ราชาอย่างเขาก็ยังต้องให้ความเคารพนักพรตคนนี้นอกเหนือจากการสักการะเทพเจ้าขาวและเทพเจ้าดำ เพราะท้ายที่สุดเลยูตี้ก็เป็นผู้ยึดเหนี่ยวทางจิตใจที่ประชาชนชาวเซิร์กให้ความเคารพนับถือเป็นรองเพียงแค่เทพเจ้าขาวและเทพเจ้าดำเท่านั้น
เมื่อประมาณ 700 ปีก่อนมันเคยมีข่าวลือมาว่าเลยูตี้ใกล้จะได้ขึ้นไปรับใช้เทพเจ้าบนสรวงสวรรค์แล้ว แต่ด้วยเหตุผลอะไรบางอย่างแม้ว่าเวลาจะผ่านพ้นมา 700 ปี แต่เลยูตี้ก็ยังคงอยู่ตรงนี้ไม่ได้ขึ้นไปรับใช้เทพเจ้าอย่างที่มันเคยมีข่าวลือออกมา
บางทีอาจจะเป็นเพราะความผิดหวัง มันจึงทำให้เลยูตี้ปลีกวิเวกออกมาใช้ชีวิตอยู่คนเดียว นอกจากนี้เขายังออกกฎอย่างเข้มงวดและเลือกสถานที่ที่อันตรายเพื่อป้องกันไม่ให้ใครเข้ามาพบกับเขาได้ง่าย ๆ เว้นแต่ว่าคนผู้นั้นจะต้องมีความตั้งใจอันแน่วแน่ที่ต้องการจะเข้าพบกับเขาจริง ๆ
ในความเป็นจริงอูดี้ไม่ได้มีความเชื่อในเรื่องเทพเจ้าเลยสักนิด แล้วเขาก็คิดว่าสวรรค์เป็นเพียงแค่ดินแดนซึ่งเป็นแหล่งรวมตัวของเหล่าบรรดานักสู้ที่แข็งแกร่งระดับจักรวาล
สาเหตุที่เมื่อ 700 ปีก่อนมันเคยมีข่าวลือว่าเลยูตี้จะได้ขึ้นไปยังสวรรค์เพื่อรับใช้เทพเจ้า นั่นก็อาจจะเป็นเพราะว่าเลยูตี้มีความแข็งแกร่งมากเพียงพอที่จะขึ้นไปยังดินแดนแห่งนั้นแล้ว เพียงแต่เขายังไม่ได้รับคำเชิญเขาจึงจำเป็นจะต้องทนรออยู่ที่นี่โดยไม่สามารถที่จะเดินทางไปยังดินแดนแห่งนั้นได้
ระหว่างที่เขากำลังคิดในที่สุดอูดี้ก็สามารถเดินข้ามผ่านสะพานที่อันตรายไปได้ เขาจึงรีบหยิบผ้าเช็ดหน้าอุ่น ๆ ออกมาซับเหงื่อบนหน้าผากและพยายามหายใจลึก ๆ เพื่อสงบสติอารมณ์
น่าเสียดายที่ลมหนาวได้พัดผ่านมาอย่างรุนแรงทำให้ผ้าเช็ดหน้าปลิวลงไปในหุบเหวอย่างไม่ได้ตั้งใจ และเมื่ออูดี้เหลือบสายตามองลงไปยังหุบเหวที่ไม่เห็นพื้นล่าง มันก็ทำให้เขารู้สึกเวียนหัวขึ้นมาชั่วขณะ เขาจึงรีบเงยหน้าขึ้นมาด้านบนอีกครั้งเพราะเขาไม่ต้องการมองไปยังสถานที่ที่อันตรายแบบนั้นอีก
ภูเขาลูกนี้สูงชันกว่าภูเขาลูกก่อนนี้มาก คล้ายกับว่ามันเป็นเสาเทียนที่พุ่งสูงขึ้นไปสู่บนฟากฟ้าอย่างโดดเดี่ยว
บริเวณยอดเขามีแสงไฟเล็ดลอดออกมาให้เห็นอย่างแผ่วเบา ซึ่งอูดี้รู้ดีว่าสถานที่แห่งนั้นย่อมเป็นที่พักของนักพรตเลยูตี้อย่างแน่นอน
ก่อนที่เลยูตี้จะมาอยู่ในภูเขาแห่งนี้มันก็เคยเป็นเพียงแค่ภูเขาธรรมดา ๆ เท่านั้น แต่จู่ ๆ สภาพแวดล้อมของภูเขากลับถูกล้อมรอบด้วยพายุหิมะอันเลวร้าย ซึ่งทุกคนก็สันนิษฐานว่าเหตุการณ์นี้ย่อมเป็นฝีมือของเลยูตี้ที่พยายามสร้างสภาวะแวดล้อมจำลองขึ้นมาเพื่อปลีกวิเวกอยู่เพียงแค่ลำพัง
โชคดีที่หลังจากข้ามสะพานมาแล้วมันก็เป็นเพียงแค่พื้นที่ราบที่ไม่มีหุบเหวอยู่สองข้างทางอีกต่อไป อูดี้จึงพยายามเดินไปข้างหน้าอย่างช้า ๆ ก่อนที่จะได้พบกับอาคารที่ถูกสร้างขึ้นมาจากไม้สีแดง
แม้ว่าอาคารแห่งนี้จะตั้งอยู่ท่ามกลางพายุหิมะแต่มันกลับไม่มีหิมะใด ๆ เล็ดลอดเข้าไปในตัวของอาคารได้เลย มันจึงทำให้อาคารยังคงสะอาดเอี่ยมอ่องเหมือนใหม่คล้ายกับว่ามันเป็นอาคารเวทมนตร์ที่ตั้งอยู่ท่ามกลางพายุหิมะก็ไม่ปาน
ในเวลานี้ร่างของอูดี้แทบที่จะถูกแช่แข็งแล้ว ซึ่งปากของเขาก็กำลังสั่นเทาและสีของริมฝีปากก็เริ่มเปลี่ยนเป็นสีฟ้าอมม่วง
อูดี้พยายามก้าวเท้าผ่านลมหิมะเพื่อมุ่งหน้าตรงไปยังอาคารด้วยพละกำลังทั้งหมด และทันทีที่เขาเข้ามาในอาคารมันก็ทำให้เขาต้องรู้สึกตกตะลึง
จู่ ๆ สภาพแวดล้อมที่เต็มไปด้วยพายุหิมะก็หายไปกลายเป็นดวงอาทิตย์ขนาดใหญ่ที่อยู่เหนือศีรษะและเสียงแมลงแว่วผ่านเข้ามาในรูหู พร้อมกับภาพของทุ่งหญ้าสีเขียวที่ปรากฏขึ้นมาอย่างฉับพลัน
ในพริบตาเดียวมันก็ให้ความรู้สึกราวกับว่าเขาได้มาปรากฏตัวยังสถานที่อีกแห่งหนึ่ง ซึ่งมันเป็นสถานที่ที่แตกต่างจากสถานที่เมื่อสักครู่นี้ราวกับว่าเขาอยู่คนละโลก
“เข้ามาสิ ฉันรอคุณมานานแล้ว” เสียงที่เต็มไปด้วยความอาวุโสดังขึ้นมาจากอาคารสีแดง
***************
สารบัญ / นำทาง
- 👁️ ยอดวิว 156
แสดงความคิดเห็น