บทที่ 6
บทที่ 6
เสียงเปียโนไล่ระดับเสียงไปตามบันไดของโน้ตเพลงดังก้องกังวานออกมาจากตัวบ้าน ช่วยให้บ้านหลังเล็กที่อยู่กันเพียงสี่คนดูไม่เงียบเหงา ดารานั่งรีดผ้าพลางฟังการบรรเลงเปียโนของลูกสาวด้วยรอยยิ้ม ถัดไปไม่ไกล ชาญชัยผู้เป็นสามีกำลังนั่งอ่านสารคดีเกี่ยวกับดอกกล้วยไม้อยู่อย่างเพลิดเพลิน
ถึงแม้ตัวบ้านจะตั้งอยู่ในเมืองใหญ่ ทว่าเพราะชาญชัยเป็นคนชอบปลูกต้นไม้เป็นชีวิตจิตใจ ดังนั้นตามรั้วบ้านจึงเรียงรายไปด้วยต้นไม้ดอกไม้ประดับหลากหลายชนิด พลอยทำให้ภายในบริเวณบ้านมีแต่ความร่มรื่น อากาศเย็นสบาย สวนทางกับผืนโลก ที่นับวันนับร้อนขึ้นทุกวัน
เสียงเปียโนเงียบลงได้พักหนึ่ง ก่อนที่เด็กสาวร่างเล็กบอบบางจะเปิดประตูเดินออกมาจากห้องซ้อมของเธอ เด็กสาวเดินไปหยิบน้ำดื่มจากตู้เย็นมาเทลงในแก้วแล้วยกขึ้นดื่ม จากนั้นเธอค่อยเดินกลับมานั่งลงข้างๆ ผู้เป็นแม่
“ให้มายด์ช่วยมั้ยคะแม่?” เด็กสาวเอ่ยถาม
ดาราพับผ้าที่เพิ่งรีดเสร็จหม่าดๆ แล้วนำไปไว้ในกองที่แยกเอาไว้ “ไม่เป็นอะไรจ้ะ นี่ก็เหลืออีกไม่เยอะแล้วล่ะ ว่าแต่การซ้อมเปียโนของเราน่ะ เป็นยังไงบ้างหืม?”
“ก็ดีค่ะแม่ ตอนนี้เพลงที่มายด์เพิ่งแกะ (*3) ก็ใกล้จะถึงท่อนจบแล้ว เหลือก็แค่เล่นให้คล่องขึ้นแค่นั้นเอง” มายด์ตอบผู้เป็นแม่ด้วยรอยยิ้ม เด็กสาวมักจะมีความสุขเสมอ เมื่อเธอได้พูดถึงในสิ่งที่เธอรัก
**การแกะเพลง เป็นศัพท์ที่นักดนตรีชอบใช้กัน คำว่าแกะเพลง ก็คือการศึกษาองค์ประกอบตัวโน้ตเพลงที่ต้องการเล่น ว่ามีโน้ตอะไร เล่นอย่างไร เป็นต้น**
สาเหตุที่เด็กสาวชอบเปียโนก็คือ ในตอนเด็ก เธอชอบดูภาพยนตร์ไม่ต่างจากคนเป็นแม่ แต่แทนที่ตัวเธอจะสนใจแค่เนื้อหาของหนัง เด็กสาวกลับสนใจในเสียงเปียโนที่ใช้ประกอบหนังด้วย เธอยิ่งฟังก็ยิ่งรู้สึกว่า เพลงที่บรรเลงด้วยเปียโนมีมนต์เสน่ห์บางอย่าง เสียงกังวานใสของเปียโนมันทำให้เธอหลงใหลโดยไม่รู้ตัว เพราะแบบนั้น เธอเลยตัดสินใจบอกพ่อและแม่ ซึ่งถึงแม้ท่านทั้งสองจะไม่เห็นด้วยในทีแรก แต่เพราะอามผู้เป็นพี่ชายช่วยพูด ประกอบกับความชอบของลูกสาว สุดท้ายก็ยอมจนได้
“แม่เห็นแต่เราเล่นดนตรี แบ่งเวลาอ่านหนังสือหนังหาบ้างหรือเปล่าเราน่ะ?” ดาราเอ่ยถาม
“อ่านตอนกลางคืนค่า” มายด์ตอบพร้อมกับเอียงศีรษะไปอิงผู้เป็นมารดาอย่างอ้อนๆ เพราะกลัวท่านสั่งให้หยุดเล่นเปียโน
ดาราละมือจากเตารีดมาลูบกลุ่มผมนุ่มบุตรสาวตนอย่างเอ็นดู “ดีแล้ว แม่นึกว่ามัวแต่เล่นเปียโนโดยไม่อ่านหนังสือ ถ้าเป็นแบบนั้น แม่จะให้เลิกเล่นไปเลยสักอาทิตย์”
ถึงดาราจะไม่เห็นด้วยในความชอบของลูกสาวนัก เพราะเธอไม่มั่นใจว่า อาชีพนักดนตรีจะมั่นคงหรือเปล่า แต่ถึงกระนั้นเธอก็ไม่ห้าม เพราะดาราวเข้าใจว่า ความชอบของแต่ละคนไม่เหมือนกัน เราไม่ควรยัดเยียดสิ่งที่เราเห็นว่าดีให้กับลูก ทว่าเราควรคำนึงถึงจิตใจของลูกด้วย เพราะในที่สุด สิ่งที่เขาชอบ จะติดตัวของเขาไปจนตาย ส่วนในถาณะผู้ปกครอง ก็คือการแนะนำว่าอะไรควรทำ อะไรไม่ควรทำเท่านั้น
“แล้ววันนี้เจ้าอามมันหายไปไหนทั้งวัน ตั้งแต่เช้ามาผมยังไม่เห็นลูกเลย ก่อนออกไปลูกได้บอกคุณไว้หรือเปล่าคุณดาว?” ชาญชัยวางหนังสือไว้ข้างๆ พลางเอ่ยถามภรรยา
“เห็นลูกบอกว่ามีกิจกรรมที่มหา’ลัยค่ะ บอกว่าคงกลับดึก ให้เรากินข้าวเย็นได้เลยไม่ต้องรอ” ดาราเอ่ยตอบสามี พร้อมกับสบัดผ้าเพื่อจะนำมารีดเป็นตัวต่อไป
“มหาวิทยาลัยนี่ก็ไม่รู้อะไร มีแต่กิจกรรม สรุปไม่รู้ว่าเปิดเพื่อสอนนักศึกษา หรือจะเปิดเพื่อจัดกิจกรรมกันแน่ เมื่อคืนที่ผ่านมาก็กลับดึก วันนี้ก็ยังจะดึกอีก” ชาญชัยบ่นไปตามเรื่อง “ว่าแต่เราเถอะยัยมายด์ ช่วงนี้ใกล้สอบแล้วนะ พ่อว่าลดการซ้อมเปียโนลงก็ดีนะลูก ใช้เวลาช่วงนี้อ่านหนังสือก่อน...สอบเสร็จค่อยเล่นก็ได้”
คนถูกห้ามทำหน้าจ๋อย “พ่อคะ ถึงมายด์จะซ้อม แต่มายด์ก็อ่านหนังสือนะคะ ยังไงมายด์ก็ไม่ทิ้งเรื่องเรียนหรอกค่ะพ่อ” เด็กสาวแย้งเสียงอ่อยเพราะกลัวโดนดุ ถึงบิดาเธอจะให้โอกาสลูกๆ ตัดสินใจอย่างอิสระ แต่หากเป็นเรื่องที่ควรจริงจัง บิดาเธอก็เข้มงวดไม่แพ้ใคร
“พ่อรู้ว่าเราชอบการเล่นเปียโน แต่ช่วงนี้ใกล้สอบแล้ว พ่อไม่ได้ห้ามเล่น แต่แค่ช่วงนี้ให้ลดลงหน่อย ถึงจะชอบอะไรก็แล้วแต่ ยังไงก็ต้องเน้นการเรียนไว้ก่อน เพราะในวัยเรา เรื่องนี้สำคัญที่สุด” ชาญชัยอธิบายให้ลูกสาวฟังอย่างใจเย็น
“แม่เห็นด้วยกับพ่อเรานะลูก ช่วงนี้เน้นไปที่การอ่านหนังสือก่อน ถ้าผ่านช่วงสอบไปแล้ว เราจะเล่นจะซ้อมบ่อยแค่ไหนก็ตามใจเราเลย” ดาราพูดเสริมมาอีกคน
“ก็ได้ค่ะ” ถึงมายด์จะมั่นใจว่าการซ้อมของเธอคงไม่กระทบต่อการเรียน แต่ด้วยเหตุผลของท่านทั้งสอง ประกอบกับความเป็นห่วงของท่าน ก็ทำให้เธอยอมทำตามแต่โดยดี
ขณะที่เด็กสาวกำลังพูดคุยอยู่กับบุพการีอยู่นั้น เสียงแจ้งเตือนจากแอปพลิเคชันแชทที่เธอเล่นประจำก็ดังขึ้น เธอหยิบสมาร์ตโฟนขึ้นมาดู ปรากฏว่าคนที่ส่งข้อความมาก็คือแอมเพื่อนเธอนั่นเอง
เมื่อเด็กสาวกดเข้าไปอ่าน เธอก็พบเพียงข้อความที่พิมพ์ชื่อเธอเป็นเชิงเรียก เด็กสาวเลยพิมพ์ถามกลับไปสั้นๆ ‘อะไรเหรอ?’
‘พรุ่งนี้ไปเดินห้างตากแอร์กันมั้ย?’ ฝ่ายนั้นรีบตอบกลับมาทันที
มายด์คิดอยู่พักหนึ่ง ก่อนจะถามกลับ ‘เธอจะไปกี่โมงเหรอ?’
‘เก้าโมงดีเปล่า? เพราะกว่าจะไปถึงห้างก็เปิดพอดี’ แอมพิมพ์มาเป็นเชิงขอความคิดเห็น
‘อื้ม’ เด็กสาวพิมพ์กลับไปสั้นๆ
‘โอเค งั้นเจอกันพรุ่งนี้จ้า เจอกันที่ไหน เดี๋ยวฉันจะนัดอีกทีน้า’ เพื่อนสาวพิมพ์ตอบกลับ ตามด้วยส่งสติกเกอร์รูปหน้ายิ้มดีใจมาให้
มายด์แตะออกจากหน้าต่างแชทของเพื่อนสาว เธอเลื่อนดูรายชื่อคนที่กำลังออนไลน์อยู่ไปเรื่อยๆ ก่อนที่สายตาจะไปสะดุดเข้ากับชื่อของใครคนหนึ่ง
มายด์เผยรอยยิ้มอย่างไม่รู้ตัว เด็กสาวกดเข้าไปดูกิจกรรมในไทม์ไลน์ของเขาอย่างที่เคยทำทุกครั้ง ถึงแม้แอปนี้จะกดหัวใจให้กับโพสต์ที่เราชื่นชอบได้ แต่เธอก็ไม่เคยกล้ากดให้หัวใจเขาเลยสักครั้ง อย่างมากก็กดถูกใจไปตามปรกติเท่านั้นเอง
แค่การที่เธอกล้ากดขอเป็นเพื่อนเขาไปนี่ เธอก็คิดว่านั่นเป็นความกล้าสูงสุดของเธอแล้ว ยังดีที่วินกดยอมรับคำขอของเธอ ถ้าหากเขาไม่มีการตอบรับ มายด์เองก็คงไม่รู้จะทำอย่างไร
มายด์ไปหยุดอยู่ที่โพสต์ล่าสุดของเด็กหนุ่ม เธอรู้สึกลังเลกับสิ่งที่คิดกำลังจะทำ
‘ไม่เป็นไรน่ายัยมายด์...ก็แค่กดให้หัวใจเอง เพื่อนๆ ก็ทำกันเป็นปรกตินี่นา’
มายด์คิดให้กำลังใจตัวเอง ก่อนที่นิ้วเรียวจะแตะให้หัวใจโพสต์ของเด็กหนุ่มไปด้วยใจเต้นรัว
สารบัญ / นำทาง
- 👁️ ยอดวิว 1022
ความคิดเห็น
เราเข้าใจอารมณ์นี้น้า5555
แสดงความคิดเห็น