[fic Vocaloid] Just be…? [Gumi x Gumiya] Chapter 7
Chapter 7
“ทำไมมาช้าจัง?” เสียงของชายหนุ่มผมเขียวเอ่ยถามทันทีที่กุมิเดินออกมาจากคาเฟ่ จะไม่ให้ถามได้อย่างไร เพราะเขายืนรอเธอมาเกือบ 10 นาทีแล้ว โทรไปหาก็ไม่เห็นมีใครรับสาย แถมพอมองเข้าไปในร้านก็ไม่เห็นอีก ชายหนุ่มจึงอดเป็นห่วงไม่ได้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับเธอหรือไม่
“ขอโทษนะ… ฉันโดนเรียกคุยอีกแล้ว” กุมิตอบหลังจากเดินมาหยุดตรงหน้าคนที่เพิ่งโทรตามไปหมาดๆ
“เฮ้อ…” กุมิยะถอนใจเฮือก “เธอไปทำอะไรเข้าอีกล่ะ ถึงได้โดนเรียกคุยได้ทุกวี่ทุกวัน”
“ฮิๆ” กุมิหัวเราะ ทำเอาชายหนุ่มคิ้วกระตุก
ยัยนี่…โดนเรียกคุยแล้วยังมาทำหน้าทะเล้น ไม่รู้สึกอะไรเลยหรือไงนะ…
“ที่ฉันโดนเรียกคุยน่ะ ไม่ใช่เพราะทำงานพลาดหรืออะไรหรอก” กุมิเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “พี่เดลล์ชวนฉันไปกินข้าวด้วยกันวันศุกร์นี้ต่างหากล่ะ”
[Gumiya’s part]
น้ำเสียงกับรอยยิ้มของกุมิเมื่อครู่ บ่งบอกชัดว่าเธอดีใจมากขนาดไหน ผมมองใบหน้าหวานนั้นนิ่งก่อนจะคิดอะไรสักพักจึงเอ่ยขึ้น
“เธอคงดีใจแย่ล่ะสิ มีคนชวนไปกินข้าวด้วยเนี่ย ว่าแต่ ไปแค่สองคนหรือไง?” ผมอดถามด้วยความอยากรู้ไม่ได้
“เปล่าหรอก ไปกับพนักงานคนอื่นด้วย ไม่ใช่แค่ฉันกับพี่เขาหรอก” กุมิพูดหงอยๆ
“เธอคงดีใจกว่านี้ใช่มั้ยล่ะ ถ้าได้ไปกับพี่เขาแค่สองคน” ผมถาม สาบานว่าพยายามทำเสียงไม่ให้แข็งแล้วนะ ก็งงกับตัวเองเหมือนกันว่าทำไมถึงถามออกไปแบบนั้น…
“ก็นะ…” กุมิยิ้ม ใบหน้าเริ่มกลายเป็นสีชมพูเรื่อๆ ให้ตายสิ ทำไมผมต้องมาใจเต้นตอนยัยนี่เขินด้วยก็ไม่รู้ ทั้งที่ก็รู้อยู่แก่ใจ…
ผมกับเธอมันเป็นได้แค่เพื่อน ไม่มีทางขยับความสัมพันธ์ขึ้นไปกว่านี้ได้หรอก
“กุมิยะ ไหนวันนี้นายจะไปซื้อของไม่ใช่เหรอ นี่ก็เริ่มมืดแล้วนะ ไม่รีบไปจะดีเหรอ?” คำพูดของกุมิเรียกสติที่หลุดลอยของผมให้กลับมา ผมดูนาฬิกาข้อมือก็เห็นว่านี่ใกล้จะหกโมงครึ่งแล้ว จึงรีบพยักหน้าไปโดยเร็ว “ไปกันเถอะ”
พวกเราเดินออกมาจากคาเฟ่แล้วมุ่งตรงไปยังศูนย์การค้าใกล้มหาวิทยาลัย ที่นี่เป็นย่านการค้าที่เป็นที่รู้จักไม่ว่าจะเป็นคนในมหาวิทยาลัยหรือคนนอกก็เดินทางเข้ามาจับจ่ายสินค้ากัน ดังนั้นจึงไม่มีวันไหนที่ห้างเงียบเหงาเลย
“นี่กุมิยะ วันนี้นายจะซื้ออะไรบ้างเหรอ?” กุมิถามผมที่เอาแต่เดินดูของไปเรื่อย ก็ยังหาร้านที่ต้องการไม่เจอนี่ครับ
“ของใช้ กับเสบียงน่ะ” ผมตอบ หยิบลิสต์รายการสินค้าออกมาจากกระเป๋าสตางค์
“งั้นก็ชั้น 3” กุมิพูดพลางเดินนำไปที่บันไดเลื่อนและเดินขึ้นไป
“เอ่อ… เธอคงไม่ได้พาฉันมาชั้นของกินหรอกนะ” ผมพูดเมื่อเห็นยัยบ้านั่นเอาแต่มอง… มอง และมอง ร้านที่มองนี่บอกเลยว่ามีแต่ของกินทั้งนั้น โดยที่ที่พวกเรากำลังเดินผ่านคือศูนย์อาหารของห้างนี้ ซึ่งอยู่ใกล้กับแผนกขายสินค้าพวกของใช้ในชีวิตประจำวัน
“กุมิยะ ฉันหิวจังเลย…” เอาจนได้ ยัยกุมิหันมามองผมพร้อมกับส่งเสียงที่มีแววออดอ้อนอยู่ในที ฮึ่ย! ยัยบ้า แค่นี้ฉันก็แทบจะบ้าตายอยู่แล้วนะ แต่ไม่ได้ วันนี้ที่มานี่ไม่ใช่แค่มาเดินเล่น ผมต้องทำใจแข็งเข้าไว้ครับ
“ไม่ได้ เธอจะกินตอนนี้ไม่ได้ ต้องไปซื้อของให้เสร็จก่อน”
ผมเดินนำยัยกุมิออกมาจากศูนย์อาหารทันที ถ้าขืนยืนอยู่ตรงนี้ต่ออีกสักห้านาทีละก็มีหวังยัยนี่คงวิ่งเข้าร้านของกินสักร้านแน่ๆ แล้วก็รู้อยู่ว่ายัยนี่ตอนหิวนี่กินน้อยซะเมื่อไหร่ล่ะ
“ดุชะมัด…” กุมิจำใจเดินตามผมมาจนถึงแผนกขายอาหารกระป๋องและบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปแต่ก็แอบบ่นเล็กน้อย ใบหน้าหวานมองชั้นวางของตรงหน้าอย่างพิจารณา ก่อนจะเดินไปลากรถเข็นที่อยู่ใกล้ๆ เลือกปลากระป๋องและมาม่าแล้วเอาใส่รถเข็นทันที
“เธอจะเอาไปทำไมเยอะแยะ?” ผมเอ่ยถามเมื่อเห็นเธอหยิบปลากระป๋องใส่รถมาหลายแพ็ค
“เผื่อสิ้นเดือนไง” กุมิตอบ แถมยักคิ้วกวนๆ ให้ผมทีหนึ่ง
“อย่างเธอเนี่ยนะกินปลากระป๋อง ทุกทีเห็นกินแต่มาม่า ทุกวันนี้ก็บวมจนไม่รู้จะบวมยังไงแล้ว”
“นายจะว่าฉันอ้วนก็ว่ามาเถอะ” กุมิค้อนขวับ “ฉันกินมาม่าจนเบื่อแล้ว เลยอยากได้อย่างอื่นบ้าง”
“แล้วทำไมไม่ไปซื้อข้าวปั้นที่ร้านข้างล่างแมนชั่นล่ะ”
“นั่นก็กินจนเบื่อแล้วเหมือนกัน”
“ในเมื่อเบื่อกับข้าวขนาดนี้ก็ไม่ต้องกินแล้ว ดีมั้ย?”
“ไม่!” กุมิส่ายหน้า “ฉันก็คนนะไม่ใช่หุ่น ยังต้องกินต้องใช้อยู่”
“หึๆๆ” ผมหัวเราะ ปฏิกิริยาที่มีต่อของกินของร่างบางนั้นรวดเร็วเสมอ เร็วกว่าที่ผมคาดไว้อีก
“เอาเถอะ งั้นก็รีบเลือก จะได้ไปที่อื่นต่อ” ผมเดินมาช่วยร่างบางหยิบมาม่าใส่รถ เมื่อได้ของที่ต้องการแล้วพวกเราจึงไปที่แผนกขายพวกน้ำยาซักผ้า และสบู่กันต่อ
“ไหนๆ ก็มาแล้ว น้ำยาที่ห้องฉันใกล้จะหมดพอดี” กุมิเดินไปหยิบน้ำยาซักผ้า กับพวกสบู่ ยาสระผมยี่ห้อที่เธอใช้ประจำใส่รถ แล้วกลับมายืนมองหน้าผมนิ่ง… ว่าแต่ มองทำไม มีอะไรติดหน้าผมหรือไงกัน…
“อะ… นี่เธอ… มองอะไรน่ะ?” ผมถาม เมื่อเห็นดวงตาสีเขียวมรกตกลมโตที่มองมาไม่ลดละ จะมองทำไมนักหนาเนี่ย ชักเริ่มหายใจไม่ทั่วท้องแล้วนะ
“ขอลิสต์ของที่เหลือหน่อย” กุมิแบมือตรงหน้าผม ไอ้ท่าทางแบบนั้นอีก ว่าแต่ ทำไมผมต้องมารู้สึกอะไรกับท่าทางแบบนี้ด้วยเนี่ย ไม่เข้าใจตัวเองเลยจริงๆ
เธอมันน่ารักเกินไป… น่ารักเกินไปจริงๆ ยัยบ้ากุมิ
จะด้วยสาเหตุอะไรก็แล้วแต่ ผมยื่นลิสต์รายการสินค้าในกระเป๋าสตางค์ใส่มือกุมิ ยัยนั่นรับไว้และเอาไปมองแวบเดียวก็เข็นรถออกจากตรงนั้นทันที นี่ไม่รอกันเลยหรือไง ไวเป็นบ้า ผมซึ่งกำลังยืนงงอยู่รีบเดินตามรถเข็นที่ยัยนั่นเข็นส่วนหัวไปแทบไม่ทัน
“เธอจะรีบไปไหนเนี่ย” ผมที่วิ่งตามไปทันก็เอ่ยถามพร้อมช่วยเข็นส่วนท้ายรถทันที
“รีบซื้อไง จะได้ไปกินข้าวแล้วกลับกัน” กุมิตอบ
“นี่แสดงว่าหิวจริงๆ ใช่มั้ยเนี่ย เห็นพูดถึงแต่ของกินมาตั้งแต่เดินผ่านศูนย์อาหารแล้ว” ผมชักเริ่มทนไม่ไหว จึงถามออกไปจนได้ ถ้ากุมิไม่ได้กินอะไรสงสัยผมคงไม่ได้กลับห้องแน่งานนี้
“ก็หิวจริงๆ น่ะสิ ข้าวกลางวันฉันก็ไม่ได้กิน ทำงานทั้งวันเลย หิวจนแทบจะกินคนทั้งคนได้อยู่แล้วนะ” ร่างบางพูดแต่ก็ยังไม่หยุดเข็นรถ เมื่อเห็นของที่ต้องการแล้วก็จอดหยิบใส่รถเป็นพักๆ จนผ่านมาเกือบ 10 นาที ของที่ต้องการจะซื้อก็ครบ พวกเราจึงพากันเดินไปจ่ายเงิน แต่ก็ต้องต่อแถวอีกละครับ ในห้างตอนเย็นคนน้อยเสียเมื่อไหร่ล่ะ
“นี่กุมิยะ” กุมิเรียกผมที่ยืนต่อคิวอยู่หน้าเคาน์เตอร์คิดเงิน ตอนนี้คนเริ่มจะน้อยลงไปบ้างแล้ว
“หืม?”
“วันนี้ไหนๆ ก็มาแล้ว เราไปกินพิซซ่ากันดีมั้ย?” ยัยกุมิถามผมที่ยืนเงียบอยู่
“เรื่องของกินน่ะ แล้วแต่เธอเถอะ ฉันกินอะไรก็ได้ทั้งนั้นแหละ” ผมตอบปัด จริงๆ คนแบบผมน่ะอยู่ง่ายกินง่าย ใครชวนไปไหนก็ไป กินอะไรก็ได้ทั้งนั้น ขอให้ร้านนั้นอย่าแพงเกินจนจ่ายไม่ไหวเป็นใช้ได้
“งั้นเดี๋ยวจ่ายเงินแล้วเราไปร้านพิซซ่ากันนะ ร้านนี้อร่อย ฉันรับรองได้” กุมิยิ้มไปด้วยขณะพูด ไม่นานก็ถึงคิวพวกเราพอดี ผมเดินเอาของจากรถเข็นวางบนเคาน์เตอร์ และจ่ายเงินให้พนักงานจำนวนหนึ่ง แล้วช่วยกันหิ้วของกับกุมิ จุดหมายต่อไปของพวกเราก็คือ ร้านพิซซ่า ซึ่งอยู่ห่างจากจุดที่ผมยืนอยู่ไม่มากนัก เดินแค่ไม่ถึง 5 นาทีก็ถึงแล้ว
ไม่นาน พวกเราก็เดินเข้ามาในตัวร้านพิซซ่า ร้านนี้ตกแต่งในสไตล์โมเดิร์นทันสมัย ผมกับกุมิเลือกโต๊ะติดริมหน้าต่างเพื่อจะได้มองวิวข้างนอกได้ชัดๆ เป็นเรื่องปกติของพวกเราไปแล้วที่ไม่ว่าจะไปนั่งกินข้าวที่ไหนขอให้เลือกเก้าอี้หรือโต๊ะริมหน้าต่างไว้ก่อน
“ไม่ได้มาร้านนี้นานเท่าไหร่แล้วน้า” กุมิเอ่ยขึ้นพลางหยิบเมนูบนโต๊ะขึ้นมาพลิกดู แล้วเธอก็เลือกเมนูที่ต้องการได้ ซึ่งเป็นเมนูออกใหม่ของร้านด้วย
“นั่นสินะ ไม่ได้มาเกือบครึ่งปีแล้ว” ผมเห็นด้วย ครั้งสุดท้ายที่พวกเรามานั่งกินพิซซ่ากันก็เมื่อเดือนมิถุนาปีที่แล้ว ซึ่งนับจากตอนนั้นถึงตอนนี้ก็เกือบครึ่งปีได้ ถือว่าค่อนข้างนานพอดู
“แล้วนายจะกินอะไรล่ะ” คนที่นั่งฝั่งตรงข้ามเอ่ยถามผมที่ยังเลือกไม่ได้ว่าจะกินอะไรดี แต่ละอย่างหน้าตาน่ากินทั้งนั้น ด้วยความที่ไม่ได้มานานผมจึงจำไม่ได้แล้วว่าครั้งก่อนกินอะไรไป แต่ไม่เป็นไร ถ้ากินแต่เดิมๆ มันก็คงไม่ค่อยดีเท่าไหร่ ต้องลองอะไรใหม่ๆ บ้างสินะ
หลังจากจ้องเมนู พลิกแล้วพลิกอีก จนทำเอาอีกคนค้อนไปหลายวง ผมก็เลือกเมนูที่อยากลองได้ ยัยกุมิ ผู้ที่เห็นว่าเรื่องกินเป็นเรื่องใหญ่ ถึงกับถอนหายใจออกมาเลยทีเดียว ผมเรียกบริกรมาสั่งอาหารจนบริกรคนนั้นเดินห่างออกไปแล้ว กุมิจึงเอ่ยทำลายความเงียบขึ้น
“ทำไมเลือกยากจัง”
“แต่ละอย่างมันน่ากิน ก็ต้องเลือกที่อยากกินมากที่สุดสิ” ผมตอบเรียบๆ
“กว่าจะเลือกได้ นายเนี่ยน้า ฉันหิวจนไส้จะขาดแล้ว” ยัยนั่นโอดครวญ
“รอหน่อยน่า เดี๋ยวก็ได้กิน ฉันก็หิวเหมือนกันกับเธอนั่นแหละ” ผมตอบอย่างรำคาญเต็มทน ไม่ใช่แค่เธอหรอกที่หิว ผมเองก็หิวไม่แท้ยัยนั่นเหมือนกันแหละ อาหารที่สั่งมาในวันนี้ รับประกันได้เลยว่าหมดไม่มีเหลือแน่นอน เพราะความหิวมันต้องดับด้วยของกิน และผมกับกุมิก็กินน้อยเสียเมื่อไหร่ คิดดูนะครับคุณผู้อ่าน สิ่งที่สั่งมาวันนี้คือพิซซ่า 2 ถาด กับสปาเกตตีคนละจาน และเมื่อคนกำลังหิวสองคนมานั่งกินด้วยกัน มีหรือที่จะเหลือ ไม่มีทาง รับประกันได้เลย มันต้องเป็นอย่างนั้นแน่ๆ เชื่อสิ
[Writer’s part]
ไม่นานเกินรอ อาหารที่สั่งก็วางอยู่ตรงหน้าของทั้งสอง พวกเขารีบจัดการกับอาหารมื้อเย็นด้วยความหิวโหย ต่างฝ่ายต่างไม่พูดอะไรกัน ในเวลานี้ สิ่งที่สำคัญที่สุดคือขอให้มีอะไรตกถึงท้องเป็นใช้ได้ กุมิกัดชิ้นพิซซ่าคำแรกเข้าไปก็สัมผัสได้ถึงรสชาติที่กลมกล่อมของตัวแป้งพิซซ่า เนื้อ ชีส และซอสมะเขือเทศที่ราดเข้าไปเพื่อเพิ่มรสชาติ ทำให้พิซซ่าที่เธอโหยหามานานอร่อยมากขึ้นไปอีก
“เป็นไง อร่อยมั้ย?” หญิงสาวแลบลิ้นเลียคราบซอสที่ติดอยู่ที่ริมฝีปากก่อนจะเอ่ยถามคนที่นั่งม้วนเส้นสปาเกตตีเข้าปากอย่างสบายใจ
“อร่อยมาก ไม่ได้กินนานก็ต้องอร่อยอยู่แล้วแหละ” กุมิยะตอบ เขานึกถึงตอนที่มานั่งกินพิซซ่ากับร่างบางเมื่อครั้งก่อน ชายหนุ่มจำได้ว่าตอนนั้นเมนูของร้านยังไม่เยอะเหมือนกับที่มาคราวนี้ แต่สิ่งที่ยังเหมือนเดิมก็คือ ความอร่อยที่ยังดีไม่มีที่ติ นี่อาจเป็นสาเหตุที่ทำให้คนที่เข้ามาในร้านยังคงเยอะไม่เปลี่ยนแปลงก็เป็นไปได้
“ฉันเชื่อแล้ว คิดไม่ผิดจริงๆ ที่มาร้านนี้ ไม่ผิดหวังเลย” กุมิว่าก่อนจะหันไปดูดน้ำอัดลมในแก้วและหันมาหาชายหนุ่มที่กำลังปาดซอสมะเขือเทศให้ทั่วชิ้นพิซซ่า
“นี่กุมิยะ” หญิงสาวเอ่ยเรียก
“หือ?”
“ฉันโดนพี่เดลล์ชวนไปกินข้าววันศุกร์นี้ นายคิดว่าวันนั้นฉันควรใส่ชุดอะไรไปดี” กุมิยะหยุดมือที่กำลังจะเอาแผ่นขนมปังคำสุดท้ายเข้าปาก และหันมามองร่างบางที่ถามเขาเมื่อครู่ เรื่องที่คุยกันที่หน้าคาเฟ่แวบเข้ามาในความคิด
กุมิถูกรุ่นพี่ชวนไปกินข้าว ถึงจะเป็นแค่ในฐานะพนักงานของคาเฟ่ แต่ชายหนุ่มก็รู้สึกไม่ค่อยสบายใจเท่าไรนัก แม้ว่าคนคนนั้นจะเป็นคนที่เขาพอจะรู้จักชื่อและหน้าตาอยู่บ้าง แต่ในด้านนิสัยใจคอนั้น ชายหนุ่มไม่รู้เลยว่าเขาคนนั้นจะมาไม้ไหนกันแน่ ขึ้นชื่อว่าฮอนเนะ เดลล์ ชายหนุ่มผมดำ นัยน์ตาดำ มาดเข้ม หล่อ เรียนเก่ง เป็นถึงผู้ช่วยเจ้าของร้านคาเฟ่ที่เพื่อนสาวทำงานอยู่ การที่ใครสักคนจะได้ตำแหน่งนี้ตั้งแต่อายุยังน้อยจะต้องมีความสามารถมากพอสมควรหรือไม่ก็ต้องมีความสนิทสนมกับเจ้าของร้านเป็นพิเศษ ไม่เช่นนั้นตำแหน่งผู้ช่วยคงจะไม่ได้มาอยู่ในมือง่ายๆแน่ และยิ่งไปกว่านั้น ต้องไม่ลืมว่า เดลล์เป็นถึงเดือนประจำคณะเมื่อปีที่แล้ว ด้วยหน้าตาหล่อ และลุคที่ดูเท่ห์และเย็นชาอยู่ในที มีหรือที่สาวๆ จะไม่ชอบ แค่ยิ้มทีก็มีคนกรี๊ดให้กับความหล่อละลายใจนั่นแล้ว
“เธอก็แค่ใส่ชุดธรรมดานั่นแหละ เขาไม่ได้กำหนดนี่ว่าให้ใส่ชุดอะไรไปไม่ใช่เหรอ?”
“ก็ใช่…” กุมิประหม่าเล็กน้อย หญิงสาวม้วนเส้นสปาเกตตีแก้เก้อก่อนกล่าว “แต่ฉันตื่นเต้นนี่ คนระดับพี่เดลล์เลยนะ หล่อก็หล่อ แถมยังมาชวนฉันอีก ไม่ตื่นเต้นก็ประหลาดแล้ว”
“นี่ เธอว่ามันแปลกๆ มั้ย?”
“อะไรแปลกเหรอ?” กุมิถาม
“ลองคิดดูสิว่าทำไมพี่เขาถึงมาชวน ทั้งที่พวกเราก็ไม่ได้รู้จักพี่เขามากมายขนาดนั้นสักหน่อย” กุมิยะเอ่ยหลังจากกลืนพิซซ่าคำสุดท้ายลงคอไป มีความไม่เข้าใจฉายชัดบนใบหน้าของชายหนุ่ม แม้แต่กุมิเองก็ชะงักมือที่กำลังหยิบส้อมที่ม้วนเส้นสปาเกตตีเข้าปากและหันมาจ้องหน้าเขาเช่นกัน คิ้วขมวดเข้าหากันมุ่นอย่างคนที่กำลังใช้ความคิด หญิงสาวนั่งมองจานข้าวกับใบหน้าของเพื่อนหนุ่มตรงข้ามสลับไปมา หญิงสาวเงียบไปนานจนในที่สุดก็พูดออกมา
“แสดงว่านายก็รู้สึกเหมือนกันใช่มั้ยกุมิยะ?” กุมิถาม “จริงๆ ตอนที่พี่เขาชวนฉันก็งงเหมือนกัน แต่มันอาจจะไม่มีอะไรเลยก็ได้มั้ง แค่ไปกินข้าวเฉยๆ เอง แถมไม่ได้ไปกันแค่สองคนด้วย” กุมิจัดการกับสปาเกตตีคำสุดท้าย คิ้วที่ขมวดมุ่นค่อยๆ คลายลงจนกลายเป็นปกติ
“แต่ยังไงก็เถอะ พอถึงวันนั้นเธอก็ระวังตัวด้วยแล้วกัน อย่าให้ใครมาทำอะไรได้” ไม่รู้เพราะอะไรที่ทำให้ชายหนุ่มหลุดพูดประโยคสุดท้ายออกมาจนได้ ความเป็นห่วงที่มีต่อร่างบางยังคงมีอยู่เต็มหัวใจ ถึงแม้เธอเองจะไม่ได้คิดอะไรเลยแม้ว่าเขาจะแสดงออกไปขนาดไหนก็ตาม บางที ร่างบางตรงหน้านี่อาจจะซื่อเกินไป… ซื่อจนไม่รู้เลยว่ายังมีใครคนหนึ่งที่คิดอะไรกับเธอเกินกว่าคำว่า ‘เพื่อน’
แต่ชายหนุ่มก็ยินดีที่จะปล่อยให้ความรู้สึกของเขาที่มีต่อร่างบางนั้นเป็นแบบนี้ต่อไป ถึงแม้ว่ามันจะเจ็บแค่ไหน เขาก็จะทน ให้มันค้างคาต่อไปเรื่อยๆ…
เพราะชายหนุ่มรู้ดีว่า หัวใจของร่างบางนั้นอยู่ที่ใคร แน่นอนมันไม่ใช่ที่เขา…
“หมดแล้วใช่มั้ย? ไปจ่ายเงินกัน” คำพูดของกุมิทำให้ชายหนุ่มตื่นจากภวังค์ เขาลุกขึ้นก่อนจะเดินนำร่างบางไปหน้าร้านซึ่งเคาน์เตอร์คิดเงินตั้งอยู่ตรงนั้น
“ขอบคุณมากค่ะ โอกาสหน้าเชิญใหม่นะคะ” เสียงของพนักงานสาวหลายคนพูดขึ้นและโค้งให้เมื่อเห็นพวกเขาเดินผ่าน ทั้งสองช่วยกันถือของที่ซื้อมาแล้วเดินออกจากร้านอย่างระมัดระวังไม่ให้ของที่ถืออยู่พะรุงพะรังนั้นไปโดนคนอื่น เมื่อเดินออกมาจากตัวห้างก็พบว่าเป็นเวลาสองทุ่มแล้ว กุมิและกุมิยะจึงรีบตรงกลับแมนชั่นทันที
“ฉันส่งตรงนี้นะ” กุมิยะเอ่ยเมื่อเดินออกมาจากลิฟท์ และแยกของที่ซื้อมาออกจากถุงที่ใส่รวมกันไว้เสร็จแล้ว แน่นอนว่าของกุมิมีเยอะกว่าของเขาเล็กน้อย ร่างบางถอนใจก่อนจะยกถุงที่หนักอึ้งขึ้นมาจากพื้น และเปิดประตูห้องเข้าไป
“วันนี้ขอบคุณมากเลยนะ ไว้เจอกันจ้ะ” กุมิยิ้มสดใสก่อนจะปิดประตูห้องลง ทิ้งให้กุมิยะยืนหน้าแดงอยู่ตรงหน้าประตูนั่นเอง
Tbc
สารบัญ / นำทาง
- 👁️ ยอดวิว 1020
ความคิดเห็น
ทำไมกุมิไม่หันมามองคนข้างๆ บ้างน้า
แสดงความคิดเห็น