[fic vocaloid] just be…? [Gumi x Gumiya] Chapter 6
Chapter 6
เวลาผ่านไป อากาศที่หนาวเย็นของฤดูหนาวก็เริ่มอุ่นขึ้น ต้นไม้เริ่มแตกใบอ่อนเนื่องจากเข้าสู่ฤดูใบไม้ผลิ ชีวิตของทั้งกุมิและกุมิยะก็ดำเนินต่อไปเรื่อยๆ หญิงสาวยังคงไปทำงานพิเศษที่คาเฟ่เช่นเดิม
“กุมิยะ ฉันไปก่อนนะ” กุมิเอ่ยเมื่อเดินสวนกับกุมิยะที่หน้าห้องในสายวันหนึ่ง ชายหนุ่มหันมา ทำหน้าเหมือนจะพูดอะไรสักอย่างแต่ก็ไม่พูดออกมาสักทีจนกุมิเลิกคิ้วสงสัย
“มีอะไรหรือเปล่า?” หญิงสาวเอ่ยถามคนที่ยืนนิ่งอยู่หน้าลิฟท์
“วันนี้หลังเลิกงานเธอว่างมั้ย?” ชายหนุ่มเอ่ยถาม ดวงตาภายใต้กรอบแว่นจับจ้องใบหน้าของเพื่อนสาวนิ่ง กุมินิ่งไปสักพักจึงเอ่ยตอบ
“ว่างสิ จะนัดฉันไปไหนว่ามาเลย” ปากตอบออกไป หัวใจเจ้ากรรมก็เต้นรัวด้วยความตื่นเต้นเมื่อคิดว่าจะต้องมีอะไรดีๆ เกิดขึ้นแน่ๆ
“ฉันจะชวนเธอไปซื้อของเข้าห้องหน่อยน่ะ” ชายหนุ่มตอบพลางยกยิ้มมุมปาก นานแล้วที่เขาไม่ได้ชวนเพื่อนสาวออกไปไหนด้วยกันแบบนี้ เพราะเธอทำงานพิเศษทุกวัน นานๆ จะมีวันหยุดกับเขาสักที นั่นจึงทำให้เวลาที่พวกเขาทั้งคู่ได้เจอกันก็มีน้อยตามไปด้วย แม้จะอยู่ห้องข้างๆ กันก็ตาม แต่ชายหนุ่มสาบานได้เลยว่ากว่ากุมิจะกลับห้องก็ไม่ต่ำกว่าสองทุ่มทุกวัน เพราะเมื่อเขากลับมาที่ห้องจนออกไปซื้อข้าวเย็นกลับมากินในห้องทีไรก็ไม่เคยเห็นหน้าเพื่อนสาวผมเขียวเลยสักครั้ง
“นั่นสินะ พวกเราก็ไม่ได้เจอกันบ่อยๆ เหมือนเมื่อก่อน ตกลง งั้นเจอกันที่หน้าคาเฟ่ตอนหกโมงเย็น หรือถ้านายไม่เห็นฉันก็โทรมานะ เดี๋ยวฉันจะรีบออกไป”
“ได้เลย” กุมิยะพยักหน้ารับก่อนจะกดลิฟท์ลงไปชั้นล่าง มีกุมิเดินตามเข้าไปติดๆ
“นายจะไปไหนน่ะ” กุมิถามเมื่อลิฟท์ลงมาจอดยังชั้น 1 ของแมนชั่น และพวกเขาทั้งสองเดินมาหยุดอยู่หน้าประตูแมนชั่นแล้ว
“ฉันจะไปทำงานที่ห้องสมุด” กุมิยะตอบ “งั้นแยกกันตรงนี้นะ ไว้เจอกันตอนเย็น” ว่าจบ ชายหนุ่มก็เดินออกนอกประตูไป ทิ้งให้กุมิยืนมองตามแผ่นหลังที่แบกกระเป๋าเป้สีดำไปจนลับตา
[Gumi’s part]
ฉันเดินออกจากแมนชั่นสู่ที่ทำงานอย่างไม่รีบร้อน ตอนนี้เพิ่งสิบโมงเช้า กว่าร้านจะเปิดก็อีกตั้งชั่วโมง ดังนั้นจึงมีเวลาเที่ยวเล่นอีก 1 ชั่วโมง แล้วจะไปไหนดีนะ…
ฉันทรุดตัวนั่งลงบนม้านั่งหน้าแมนชั่น ตามองดูต้นไม้ที่เริ่มผลิใบอ่อน พลางคิดถึงเรื่องที่คุยกับกุมิยะไปด้วย
“วันนี้ตอนหกโมงเย็นงั้นเหรอ…” ปากพึมพำ มือก็จดโน้ตลงปฏิธินในมือถือไปด้วย เพราะฉันค่อนข้างจะขี้ลืม ถ้าไม่มีใครเตือนก็คงเผ่นกลับบ้าน และต้องโดนนายนั่นบ่นไม่เลิกเป็นแน่
แต่เอ… กุมิยะบอกว่าจะมาหาที่ร้านนี่นะ… คิดแล้วก็รู้สึกแปลกๆ เพราะหลังทำงานเสร็จทีไร ฉันก็เดินกลับแมนชั่นคนเดียวตลอด ไม่เคยมีใครมาหา หรือเดินกลับกับพนักงานคนอื่นเลย เพราะแต่ละคนก็ทำงานเสร็จหลังฉันทั้งนั้นเพราะเป็นพนักงานประจำ มีแค่ฉันคนเดียวที่เป็นพนักงานพาร์ทไทม์
จู่ๆ ก็มีใบหน้าของใครคนหนึ่งโผล่เข้ามาในความคิด…
ฉันจำไม่ได้แล้วว่าเคยเห็นคนคนนั้นตั้งแต่เมื่อไร แต่สิ่งที่สะดุดใจฉันทุกครั้งที่นึกถึงก็คือที่คาดผมที่ประดับไว้บนหัว… ที่คาดผมรูปเขาสัตว์ที่เป็นเอกลักษณ์ และทำให้เธอคนนั้นดูโดดเด่นอย่างประหลาด
‘เดี๋ยวก็คงได้เจอกัน’ ลางสังหรณ์ของฉันร้องเตือนแบบนั้น และฉันก็เชื่อว่าต้องเป็นเช่นนั้นเหมือนกัน…
เมื่อใกล้เวลาแล้ว ฉันจึงลุกออกจากม้านั่ง และตรงไปยังคาเฟ่ทันที วันนี้มีลูกค้าค่อนข้างเยอะพอสมควร แต่ก็ไม่ถึงกับเยอะจนทำตามออเดอร์ไม่ทันเหมือนเมื่อครั้งที่ฉันเข้ามาทำงานแรกๆ ฉันไปยืนที่ตำแหน่งพนักงานชงชาที่ว่างอยู่ แน่ละ งานชงชาคือสิ่งที่ฉันชอบและทำได้ดีกว่าเมื่อเทียบกับการชงกาแฟ พลันสายตาก็เหลือบไปเห็นอะไรบางอย่างเข้า
“นี่คุณน่ะ จะใส่วิปครีมทีก็ระวังหน่อย มันกระเด็นจนเปื้อนเสื้อหมดแล้ว” มีเสียงบ่นของผู้ชายคนหนึ่งดังออกมาจากโต๊ะข้างๆ ที่ฉันยืนอยู่ ต่อมความอยากรู้อยากเห็นเริ่มทำงาน ฉันจึงหันไปมองตามเสียงก็เห็น…
ฮอนเนะ เดลล์ ชายหนุ่มผมดำ พ่วงตำแหน่งผู้ช่วยเจ้าของร้านและพนักงาน กำลังว่าเด็กผู้หญิงผมม่วงคนหนึ่งซึ่งอยู่ในชุดผ้ากันเปื้อนของพนักงาน เด็กคนนี้ฉันคุ้นๆ ว่าเคยเห็นหน้ามาก่อน แต่ก็ไม่แน่ใจเท่าไรนัก อาจเพราะเธอไม่ได้อยู่ในชุดธรรมดาที่ฉันคุ้นเคย และที่คาดผมที่ฉันคุ้นตาก็ไม่ได้ถูกสวมไว้บนหัว ฉันจึงจำไม่ได้ถนัด
“ขอโทษนะคะ แต่ฉันก็ระวังแล้วนะ… ขอบคุณที่เตือนนะคะ” เธอเอ่ยด้วยบหน้าเรียบเฉย แต่ทันใดนั้นเอง…
เพล้ง! ว้ายยย!!
“เกิดอะไรขึ้น!” เด็กผมม่วงคนนั้นหันไปมองด้วยความตกใจ พร้อมกับพนักงานคนอื่นๆ รวมฉันด้วยที่หันไปตามต้นตอของเสียง ก็พบกับเศษแก้วที่แตกกระจาย กับร่างของเด็กผู้หญิงผมสีชมพูที่กระโดดหลบแทบไม่ทัน เธอเดินโซเซทำท่าจะล้มลงมาทางโต๊ะที่ฉันกำลังยืนอยู่ ด้วยสัญชาตยาณ ฉันจึงรีบขยับโต๊ะของตัวเองไปอีกทางแต่ก็ไม่ทันการเสียแล้ว
โครม! กรี๊ดดด!
“ฮิเมะ!” เด็กผมม่วงรีบเดินตรงเข้ามาประคองร่างของเด็กผมชมพูที่ล้มลงไปกองกับพื้นให้ลุกขึ้น
“เกิดอะไรขึ้น คุณเมย์กะ” เสียงของเดลล์ถามขึ้นเรียบๆ พร้อมส่งสายตามาทางบุคคลต้นเหตุที่ทำหน้าเหมือนจะร้องไห้
“ขอโทษนะคะ ฉันเหม่อไปหน่อย เลยไม่ได้ดูว่าแก้วใบนี้ใช้กับน้ำเย็น… แตกหมดเลย” เสียงหวานใสเอ่ยขึ้นเป็นประโยคแรก ใบหน้าน่ารักที่เคยมีรอยยิ้มบัดนี้หม่นหมองลงไปถนัด
“ทีหลังจะทำอะไรก็ระวังหน่อยแล้วกันนะ คุณก็เหมือนกัน” เขาหันไปหาเด็กผมม่วง “ครั้งนี้จะยกโทษให้เพราะเห็นว่าเป็นพนักงานใหม่ อาจจะยังไม่ชิน แต่ถ้ามีครั้งหน้าอีกละก็… คงต้องเรียกมาอบรมใหม่แล้วละ”
พูดจบ เดลล์ก็เดินออกไปเอาไม้กวาดมากวาดเศษแก้วที่แตกกระจายเกลื่อนบนพื้นด้วยใบหน้าไม่สบอารมณ์นัก ใบหน้าถมึงทึงนั้นมันทำให้ฉันรู้สึกกลัวเขาอยู่เหมือนกัน
“เอ่อ…” เด็กผมสีชมพูคนนั้นเดินเข้ามาหาฉัน ดูเหมือนเธอมีอะไรจะพูดแต่ก็ไม่ยอมพูดออกมาเสียที
“มีอะไรหรือเปล่าคะ” ฉันถามพลางส่งยิ้มให้ เด็กคนนั้นเงียบไปสักพัก ความเงียบเริ่มเข้ามาปกคลุมเราทั้งสองคนที่ยืนจ้องหน้ากันไปมา
“เมื่อกี้… ขอโทษด้วยนะคะ ไม่มีอะไรเสียหายใช่มั้ย?” เธอเอ่ยขึ้นพลางมองดูหน้าฉันและโต๊ะที่ฉันลากออกไปเล็กน้อย โชคดีที่ไม่มีของบนโต๊ะร่วงเลยสักชิ้นเดียว ไม่งั้นละก็คงจะวุ่นวายกว่านี้แน่ๆ เพราะสิ่งที่วางอยู่บนโต๊ะนั้น คือ กระติกน้ำร้อนที่มีน้ำเดือดปุดๆ อยู่ในนั้นจนเต็ม และกาน้ำชา ถ้ามันร่วงลงมาละก็มีหวังไม่ต้องทำงานกันแล้วละ
“ไม่เป็นไรหรอกค่ะ ไม่มีอะไรพัง วางใจได้” ฉันตอบ พนักงานทุกคนเริ่มกลับมาประจำที่ตำแหน่งของตนอีกครั้ง ฉันเองก็ขยับโต๊ะกลับเข้าที่เดิม พลางหันไปมองเด็กผู้หญิงคนนั้นที่ยืนชงชาอยู่ที่โต๊ะข้างๆ เมื่อเห็นว่ายังไม่มีลูกค้าฉันจึงชวนคุย
“ฉันชื่อกุมิน้า แล้วเธอล่ะ ชื่ออะไรเหรอ?”
“ฉันชื่อเมย์กะ ฮิเมะ อยู่ม.ปลายปี 2 ยินดีที่ได้รู้จักนะคะ” ฮิเมะตอบ ก่อนจะหันไปหาเด็กผมม่วงที่ยืนชงกาแฟอยู่อีกฝั่งของห้อง
“ส่วนคนนั้น…” ฮิเมะพูดยังไม่ทันจบ เด็กคนนั้นก็เดินมายืนอยู่ข้างๆ สองคนนี้เวลามองเผินๆ ดูคล้ายกันมาก ทั้งหน้าตาและทรงผม แต่ต่างกันคือ ฮิเมะเป็นคนร่าเริง มักจะมีรอยยิ้มสดใสประดับบนใบหน้าเสมอยามที่พูดคุยกับคนอื่นและมีผมสีชมพูยาวถึงกลางหลัง แต่เด็กผมม่วงคนนั้นดูจะเป็นคนเงียบๆ ออกจะเย็นชาเสียด้วยซ้ำ แต่ก็ยังยิ้มทักทายคนอื่นบ้าง ฉันนึกถึงกุมิยะขึ้นมาทันที สองคนนี้มีความคล้ายกันอย่างประหลาดในด้านบุคลิก แต่จะมีข้อแตกต่างกันคือ เด็กคนนั้นเป็นผู้หญิงผมสีม่วงปล่อยยาวถึงกลางหลังเช่นเดียวกับฮิเมะ และไม่ใส่แว่น แต่กุมิยะใส่แว่นและฉันคิดว่าเขาค่อนข้างขี้เก๊ก
“เมย์กะ มิโคโตะ อยู่ม.ปลายปี 2 เหมือนกันค่ะ ยินดีที่ได้รู้จักนะคะ” เสียงที่เปล่งออกมาดูต่ำ ห้าว และหนักแน่น แต่ก็ยังมีเค้าความหวานตามลักษณะของสตรีเพศอยู่ ฉันยิ้มให้มิโคโตะนิดหนึ่ง
“ยินดีที่ได้รู้จักจ้ะ” ฉันเอ่ยตอบ
พวกเราหันไปทำงานกันต่อเพราะเริ่มมีลูกค้าเข้ามาใช้บริการเยอะขึ้น จนใกล้เวลาปิดร้าน
“พี่กุมิคะ” ฮิเมะเอ่ยเรียกฉันขึ้นเมื่อเห็นฉันเตรียมตัวเอากาน้ำชาไปล้างและเก็บเข้าตู้
“อ้าว ฮิเมะจัง มีอะไรเหรอ” ฉันหันไปยิ้มให้พนักงานรุ่นน้อง
“เมื่อกี้มีโทรศัพท์เข้าน่ะค่ะ ฉันเห็นพี่เก็บของอยู่เลยไม่ได้บอก” เด็กสาวเอ่ยเสียงใส ฉันนึกแปลกใจว่าใครกันที่โทรมาในเวลาแบบนี้
“หืม…” ปากอุทานแต่ก็เดินไปยังล็อกเกอร์เก็บของที่วางโทรศัพท์และของมีค่าอื่นๆ เอาไว้ กฎของพนักงานร้านนี้คือ ห้ามใช้มือถือขณะทำงาน ดังนั้นพนักงานทุกคนจึงต้องนำสิ่งของที่พกติดตัวไปเก็บในล็อกเกอร์หลังร้าน เมื่อทำงานเสร็จเรียบร้อยแล้วค่อยไปเอา โดยทุกคนจะมีกุญแจไขล็อกเกอร์ของตนคนละดอก ซึ่งกุญแจนี้เจ้าของร้านจะให้พนักงานทุกคนพกติดตัวไว้ ถ้าใครทำหายต้องเสียค่าปั๊มกุญแจใหม่ นี่จึงเป็นสาเหตุที่ฉันไม่เคยทำกุญแจล็อกเกอร์หายเลย เพราะค่าปั๊มกุญแจนั้นค่อนข้างแพงเอาเรื่อง
เมื่อคว้ากระเป๋าสตางค์คู่ใจจากล็อกเกอร์มาได้ ฉันรีบหยิบมือถือขึ้นมาดูก็เห็นใบหน้าของคนที่คุ้นเคยโผล่ขึ้นมาบนหน้าจอ เมื่อก้มดูเวลาบนนาฬิกาข้อมือก็นึกได้ว่าวันนี้มีนัด
“ขอบใจจ้ะ แล้วพวกเธอสองคน” ฉันหันไปขอบคุณร่างบางผมสีชมพูที่ยืนอยู่หน้าประตูหลังร้าน “จะกลับเลยหรือเปล่า?”
“ก็คงกลับเลยนั่นแหละค่ะ” มิโคโตะตอบ “แล้วพี่กุมิจะออกไปด้วยกันเลยมั้ยคะ?”
“จ้ะ ไปสิ” ฉันเดินออกมาสมทบกับพนักงานรุ่นน้อง แล้วพวกเราสามคนก็เดินออกมาจนถึงหน้าประตูร้าน
“กุมิครับ” มีเสียงเรียกมาจากข้างหลังทำเอาฉันชะงักกึก ขาที่เตรียมตัวจะออกประตูร้านก้าวเข้ามาข้างในอีกครั้ง
“พี่เดลล์…” ฉันประหม่าเล็กน้อยเมื่อสบกับนัยน์ตาสีนิลคู่คมที่มองมา
“ขอโทษที่รบกวนนะครับ แต่พี่มีอะไรจะถามเราหน่อย” พี่เขาเอ่ยขึ้นหลังจากยืนส่งยิ้มให้ฉันมาสักพักใหญ่ๆ
“คะ… ค่ะ มีอะไรเหรอคะ” ฉันถามผู้ที่เป็นทั้งผู้ช่วยเจ้าของร้านและรุ่นพี่ในมหาวิทยาลัยด้วยความฉงน ใบหน้าปรากฏเครื่องหมายคำถามขึ้นตั้งแต่ที่โดนเรียกมาแล้ว
“วันศุกร์นี้ หลังเลิกงาน กุมิว่างหรือเปล่าครับ” ฉันยิ่งตะลึงเข้าไปอีกเมื่อพี่เขาถามออกมาแบบนี้ ปกติใบหน้าหล่อคมที่แสนเย็นชานั้นไม่เคยจะเหลียวมองมาที่ฉันเลยสักครั้ง ยกเว้นเวลาเรียกไปตำหนิเมื่อทำงานพลาด หรือเวลาเรียกไปคุยงาน แต่เวลาปกติน่ะเหรอ… อย่าหวังเลย แม้แต่จะคุยกันยังไม่เคย เพราะขึ้นชื่อว่าฮอนเนะ เดลล์แล้ว เขาเป็นคนที่มีโลกส่วนตัวสูงมาก ไม่ค่อยสุงสิงกับใคร ในเวลาพักฉันมักจะเห็นเขาจ้องแต่มือถือ ไม่ก็อาจจะหยิบบุหรี่ขึ้นมาจุดสูบอยู่นอกระเบียงที่ยื่นออกไปหลังร้านนั่นแหละ
“ว่างค่ะ พี่มีอะไรหรือเปล่า?” ฉันชักเริ่มทนไม่ไหว นี่มันก็เย็นแล้ว แถมฉันยังมีนัดอีก จะให้พูดออกไปโต้งๆ ว่ามีอะไรจะพูดก็พูดมาคงโดนสายตานั้นมองด้วยความไม่พอใจเป็นแน่
“วันศุกร์นี้หลังเลิกงาน พี่ว่าจะชวนไปกินข้าวด้วยกันหน่อย” ฉันตะลึงตาค้าง คนอย่างพี่เขานี่น่ะเหรอชวนฉันไปกินข้าว ไม่อยากจะเชื่อเลย!
“อะ…ค่ะ” ฉันตอบส่งๆ ไป เผลอพยักหน้ารับโดยไม่รู้ตัว
“จริงเหรอ? ขอบคุณมากนะครับ จริงๆ พี่ไม่ได้ชวนเราคนเดียวหรอก กินข้าวด้วยกันครั้งนี้เพื่อฉลองร้านของเราเปิดครบรอบ 3 ปี พี่กับฮาคุเลยชวนพวกพนักงานคนอื่นไปด้วยน่ะ เห็นเรายังไม่รู้เลยเรียกมาคุยหน่อย” เดลล์กล่าว ใบหน้าที่เรียบเฉยมีรอยยิ้มขึ้นมาเล็กน้อย ซึ่งนั่นก็มากพอที่จะทำให้คนอย่างฉันรู้สึกหน้าร้อนผ่าวได้ไม่ยาก คนอะไรก็ไม่รู้ หล่อเป็นบ้าเลย ขนาดทำหน้านิ่งยังหล่อ ถ้ายิ้มกว้างกว่านี้สักหน่อยละก็ สาวๆ คงกรี๊ดกันสลบแน่ๆ ไม่เสียแรงที่เคยเป็นเดือนคณะเมื่อปีที่แล้วจริงๆ
“ตกลงค่ะ วันศุกร์นี้กุมิจะไปกินข้าวด้วยค่ะ” ฉันตอบรับ นานๆ จะได้ไปกินข้าวกับพวกคนกลุ่มใหญ่ๆ สักที จะให้พลาดได้ยังไง
“ขอบคุณมากนะครับ เดี๋ยวพี่ไปชวนพนักงานคนอื่นก่อนนะ ไว้เจอกันพรุ่งนี้ครับ” พูดจบ เดลล์ก็เดินกลับเข้าไปข้างใน ทิ้งให้ฉันยืนอยู่ตรงหน้าประตูร้านตามลำพัง
Tbc
สารบัญ / นำทาง
- 👁️ ยอดวิว 635
แสดงความคิดเห็น