กากีบริสุทธิ์ : บทที่ 2
บทที่ ๒
สถานที่ที่บัวตองจะต้องมาทำงานเป็นร้านอาหารขนาดใหญ่แห่งหนึ่ง โดยเปิดให้บริการในตอนกลางคืน ซึ่งภายในร้านนอกจากจะขายอาหาร เครื่องดื่มมึนเมาทุกชนิด ยังมีนักร้องสาวสวย ชื่อพี่ดาวมาร้องเพลงขับกล่อมทุกคืน บัวตองพบว่านอกจากพี่ดาวแล้ว ก็ยังมีนักร้องอีกหลายต่อหลายคนทั้งหญิงและชาย คอยสลับสับเปลี่ยนกันขึ้นเวทีไป เพื่อให้ความบันเทิงกับลูกค้า เหตุที่บัวตองรู้จักพี่ดาว เพราะได้ยินพี่พนักงานคนหนึ่งเรียกชื่อของพี่ดาว เด็กสาวจึงจำเอาไว้ ด้วยความประทับใจว่า หากเธอร้องเพลงได้เหมือนพี่ดาว ก็คงไม่ต้องมาเป็นเด็กเสิร์ฟอาหารแบบนี้ เพราะอาชีพร้องเพลงสบายกว่า แล้วก็คงได้เงินมากกว่าด้วย เธอจะได้ส่งกลับไปให้ทางบ้านเยอะๆ พ่อกับแม่จะได้สบาย
บัวตองเริ่มทำงานที่นี่มาได้สองวันแล้ว ในเวลาทำงาน เด็กสาวจะต้องใช้ความอดทนเป็นอย่างมาก เพราะว่าระหว่างที่เธอเดินไปเสิร์ฟอาหารบางโต๊ะ เหล่าผู้ชายในโต๊ะนั้นจะชอบมองเธอแปลกๆ บางคนก็มักจะใช้มือมาแตะสะโพกเธอ หรือบางคนก็มักจะทำทีใช้หลังมือมาถูกหน้าอกเธอบ้าง ซึ่งบัวตองไม่กล้าโวยวาย ได้แต่เดินกลับมาบอกพี่เจี๊ยบซึ่งเป็นหัวหน้าคนงาน พี่เจี๊ยบได้แต่มองยิ้มๆ แล้วบอกกับเธอว่า “เดี๋ยวก็ชินไปเอง ทำงานแบบนี้มันก็ต้องโดนบ้างเป็นธรรมดา”
ถึงตัวเด็กสาวจะไม่ชอบใจนัก แต่เงินที่ได้ก็ค่อนข้างมาก เธอจึงทำได้เพียงฝืนใจทำ เพราะหากไม่ทำแบบนี้ ก็ไม่รู้จะต้องทำอะไร เพราะไม่มีตำแหน่งไหนว่างเลย หากจะไปช่วยในครัวทำอาหาร เด็กสาวก็ทำอาหารแบบที่คนในเมืองเขากินกันไม่เป็น ส่วนในด้านการร้องเพลง ยิ่งแล้วใหญ่ เพราะตั้งแต่เกิดมา เด็กสาวมีโอกาสได้ฟังเพลงแทบจะนับครั้งได้
ระหว่างที่บัวตองทำงานใกล้เข้าเดือนที่สองนั่นเอง ก่อนที่ตัวเด็กสาวจะเตรียมตัวเข้าทำงานในช่วงเย็น แม่เลี้ยงพรรณีก็ได้ใช้ให้คนมาตามเธอไปพบที่ห้องทำงาน บัวตองค่อนข้างวิตกกังวลไม่น้อย เพราะเธอกลัวทำอะไรพลาดไป แล้วแม่เลี้ยงจะเลิกจ้าง หากเป็นแบบนั้น เด็กสาวจะทำอย่างไร หรือจะต้องกลับไปอยู่ที่บ้านตามเดิม ทว่าเงินที่หาได้ก็ยังไม่มากพอนี่สิ
ดูเหมือนชายหนุ่มในชุดกระดำกระด่าง ซึ่งเธอเพิ่งรู้จักว่าชื่อแคน จะจับสังเกตอาการเธอออก เขาจึงเปลี่ยนจากการเดินนำทางเธอ มาเป็นเดินอยู่ข้างๆ แทน พร้อมกับส่งยิ้มเห็นใจมาให้
“ไม่ต้องคิดมากไปหรอก แม่เลี้ยงแค่อยากพบเธอเรื่องงานเท่านั้น เธอไม่ได้ทำผิดอะไร ไม่ต้องกลัวนะ”
ได้ยินแบบนั้นเด็กสาวจึงสบายใจขึ้นมาก “นายพูดจริงเหรอ ไม่ได้โกหกใช่ไหม”
แคนพยักหน้ารับ “จริงสิ ฉันจะโกหกทำไม”
เมื่อพูดคุยกันไประหว่างทางได้พักหนึ่ง เด็กสาวจึงเอ่ยถาม “แล้วนายทำงานอะไร ทำไมไม่เคยเห็นเลย”
“ฉันทำงานเป็นผู้ช่วยพ่อครัวน่ะ นี่ก็ทำได้เกือบสามเดือนแล้ว มัวยุ่งๆ อยู่ในครัว เลยไม่ได้ออกมาพบใครเท่าไหร่ นี่ก็เดินสวนกับแม่เลี้ยงพอดี ท่านเลยใช้ให้มาตามเธอนี่แหละ” แคนตอบ ระหว่างนั้นก็ชี้บอกทางเด็กสาวไปด้วย
เมื่อเดินมาถึงหน้าห้องห้องหนึ่ง แคนก็บอกให้เด็กสาวหยุด ชายหนุ่มเคาะประตูหน้าห้องเบาๆ ตามด้วยเอ่ยว่า “แม่เลี้ยงครับ ผมพาบัวมาพบแล้วครับ”
“ขอบใจมาก นายมีอะไรไปทำก็ไปทำเถอะ” เสียงแม่เลี้ยงพรรณีดังลอดช่องประตูออกมา “ส่วนบัวตอง เปิดประตูเข้ามาได้เลย ฉันไม่ได้ล็อค” ประโยคหลัง แม่เลี้ยงเอ่ยกับเด็กสาวอีกคนที่แคนพามา
แคนหันมาแตะต้นแขนบัวตองเบาๆ “เข้าไปพบแม่เลี้ยงเถอะ ฉันไม่ได้ไปส่งนะ จำทางกลับห้องตัวเองได้ใช่ไหม” เมื่อเห็นเด็กสาวพยักหน้า แคนจึงผลักไหล่เด็กสาวให้เดินไปที่ประตู
พอเด็กสาวเปิดประตูหายลับเข้าไปภายในห้อง ชายหนุ่มก็ถอนหายใจออกมาหนักๆ พลางทอดสายตามองไปยังกำแพงห้อง ราวกับจะส่องให้สายตาทะลุเข้าไปเห็นความเป็นไปภายในนั้น ‘อีกคนแล้วสินะ’ เขาคิดในใจ แววตาสะเทือนใจเห็นได้ชัด ก่อนจะทำใจแข็ง หันกายเดินกลับไปทางห้องครัวด้วยฝีท้าวหนักอึ้ง
“นั่งลงก่อนสิบัว” แม่เลี้ยงพรรณีเอ่ยสั่งเด็กสาวที่ยืนประหม่าอยู่ให้นั่งลงเก้าอี้ฝั่งตรงข้าม
“ค่ะ” เด็กสาวรับคำ ตามด้วยรีบนั่งลงอย่างว่าง่าย
แม่เลี้ยงพรรณีมองข้ามโต๊ะทำงานตัวใหญ่ ซึ่งบนนั้นมีเอกสารกองอยู่มากมายไปทางเด็กสาว “เธอเป็นคนสวยมากนะ รู้ตัวหรือเปล่า” หญิงวัยกลางคนเอ่ยถามแทรกความเงียบขึ้น
“ไม่ค่ะ บัวก็เหมือนเด็กสาวชาวป่าทั่วไป” บัวตองตอบอย่างเจียมตัว
แม่เลี้ยงพรรณีหัวเราะเบาๆ “ไม่จริงหรอก” เว้นระยะไปพักหนึ่ง จึงพูดต่อ “วันนี้ฉันมีแขกสำคัญอยากให้เธอช่วยดูแลหน่อย เขาชื่อว่าเสี่ยเต็ก น่าตาดีพอควร พ่อของเสี่ยเต็กมีกิจการหลายอย่างมาก ถือได้ว่าเป็นแขกรายใหญ่ของร้านเราเลย บัวจะช่วยดูแลแขกคนนี้ให้ฉันหน่อยได้หรือเปล่า”
ด้วยความไร้เดียงสา เด็กสาวจึงนึกคำว่า ‘ดูแล’ เป็นเพียงดูแลเรื่องทั่วไปเท่านั้น ดังนั้นบัวตองจึงเร่งรับคำไปอย่างไม่คิดอะไร “ค่ะแม่เลี้ยง”
“ดีมาก” แม่เลี้ยงพรรณียิ้มอย่างพอใจในคำตอบ ถึงแม้เธอจะรู้ว่า เด็กสาวคงไม่รู้ถึงความหมายของคำว่า ‘ดูแล’ ที่เธอต้องการจะสื่อ แต่ในเมื่อรับปากก็คือรับปาก หญิงวัยกลางคนไม่เอ่ยขยายความเข้าใจใดๆ ให้เด็กสาวอีก หากถึงตอนนั้นไม่ยอม เดี๋ยวพอเห็นเงินที่จะได้รับ ก็คงยอมไปเอง
“ฉันเรียกมาบอกแค่นี้แหละ ไปพักผ่อนเถอะ เดี๋ยวอีกหน่อย ฉันจะให้คนนำชุดสวยๆ ไปให้ เพราะถ้าหากใส่ชุดธรรมดาทั่วไป ก็คงดูไม่ดีต่อแขกสำคัญนัก”
บัวตองเดินออกจากห้องที่มีเครื่องปรับอากาศเย็นฉ่ำ แล้วเดินไปตามทางที่เธอพอจะจำได้บ้างว่าเป็นทางกลับห้องตัวเอง ทว่าเมื่อเดินไประยะหนึ่ง เด็กสาวก็เริ่มไม่แน่ใจเสียแล้ว เพราะด้านหลังของร้านเต็มไปด้วยห้องเก็บของมากมาย ทางเดินก็วกวนไปมาตามห้องเหล่านี้ ทำให้การจำเส้นทางเป็นไปได้ยาก
ขณะเด็กสาวกำลังยืนใจเสียอยู่นั้น ก็ได้ยินเสียงคนเดินคุยกันผ่านมา บัวตองยิ้มอย่างดีใจ แล้วออกวิ่งไปตามทางที่ได้ยินเสียง เมื่อวิ่งมาได้ระยะหนึ่ง สายตาเธอก็ปะทะเข้ากับชายร่างสูงสองคน ซึ่งเธอเคยเห็นพวกเขาตอนที่ไปรับเธอมาจากหมู่บ้าน
เมื่อชายทั้งสองหันมาพบเธอเข้าก็มีอาการตกใจไม่น้อย ดูเหมือนชายหนึ่งในสองคนจะมีสติดีกว่า จึงรีบวางเปลที่หามมาลงกับพื้น
“เธอมาที่นี่ทำไม” เขาเอ่ยถามเด็กสาว
“คือ...บัวหลงทางมาจ๊ะ หาทางกลับห้องไม่เจอ เลยจะมาถามจากพวกพี่จ๊ะ” เด็กสาวรีบตอบ ระหว่างนั้นก็เผลอมองไปบนเปลที่ชายทั้งสองคนหามมา บัวตองก็พบเข้ากับร่างหญิงสาวคนหนึ่งนอนอยู่ ซึ่งเป็นคนที่เธอคุ้นหน้ามาก เพราะเดินทางออกมาจากหมู่บ้านพร้อมๆ กัน
“พี่แย้ม” เด็กสาวอุทานชื่อคนบนเปลออกมา
น่าแปลกที่ร่างซึ่งดูเหมือนตายไปแล้วค่อยๆ ปรือตาขึ้นอย่างช้าๆ ดวงตาแห้งผากคู่นั้นเหลือบมองมาทางเด็กสาว พลางมีท่าทีรวบรวมแรงเฮือกสุดท้าย
“บะ...บัว...บัว...กะ...กลับ...บ้าน...ไป...เร็ว! ”
เด็กสาวเผลอถอยหลังกรูดเพราะความตกใจจากเสียงที่พี่แย้มตะโกนออกมา “อะไร...นี่พี่แย้มเป็นอะไร” บัวตองตั้งสติ “พวกพี่ช่วยบอกบัวได้ไหมจ๊ะ ว่าพี่แย้มเป็นอะไร ทำไมถึงตกอยู่ในสภาพนี้” ประโยคหลัง เด็กสาวหันมาคาดคั้นเอากับชายทั้งสองที่ยืนอยู่ติดกับเปล
“ก็แค่คนป่วยเท่านั้นเอง ” ชายอีกคนซึ่งเงียบมาตลอดพูดขึ้นบ้าง “เธอกลับห้องไปดีกว่า เฮ้ยไอ้เอก เดินไปส่งน้องเค้าหน่อยว่ะ เดี๋ยวกูจะเฝ้าอีนี่อยู่ตรงนี้ พอมึงกลับมา เราค่อยหามไปทิ้งที่อื่น”
“ว่าอะไรนะ” บัวตองตกใจกับสิ่งที่ได้ยินจนทำอะไรไม่ถูก
ชายที่พูดกับเธอเป็นคนแรกขยับท้าวเดินมาทางเด็กสาว แล้วกระชากแขนให้เดินตามไปทางหนึ่ง “มากับฉันดีกว่า”
“ไม่...ฉันจะถามพี่แย้มให้รู้เรื่อง ฉันไม่ไป” บัวตองยื้อเอาไว้สุดแรง เธอจะต้องรู้ให้ได้ว่ามันเกิดอะไรกับพี่สาว ซึ่งมาจากหมู่บ้านเดียวกันกับเธอ
“บอกให้มาก็มาเถอะน่า! ” ชายที่ชื่อเอกกระชากแขนหญิงสาวอย่างแรง จนร่างเล็กปลิวไปตามแรงฉุด
“โอ๊ย! ฉันเจ็บนะ บ้าหรือเปล่า!” เด็กสาวไม่ยอมง่ายๆ
“โถ่โว้ย! นี่ถ้าแม่เลี้ยงไม่สั่งเอาไว้ว่าห้ามยุ่ง กูจะจับกดตรงนี้ให้มันรู้แล้วรู้รอดไป” เอกพ่นคำผรุสวาทออกมาอย่างหัวเสีย เขาตัดสินใจอุ้มเด็กสาวขึ้นมาในท่าเจ้าหญิง ก่อนจะเร่งเดินจากไปจากจุดเดิม โดยมุ่งหน้าไปทางเรือนพักคนงาน
ระหว่างทางเด็กสาวก็ยังดิ้นไม่ยอมหยุด แต่เพราะคำสั่งจากเจ้านายว่าห้ามทำรุนแรงกับผู้หญิงคนนี้โดยเด็ดขาด เอกจึงทำได้แค่อดทน...นี่ถ้าเจ้านายไม่สั่งไว้ เขาจะขยี้ขยำแม่นี่ให้หนำใจ ให้สมกับอารมณ์อยากสักครั้ง
‘ถ้านางนี่ขายไม่ออกเมื่อไหร่ละมึง ไอ้เอกจะจัดให้เป็นคนแรก’ เขาคิดอย่างกระหึ่มใจ
ชายที่ชื่อเอกกลับไปนานแล้ว บัวตองทิ้งกายนอนลงบนฟูกอย่างสับสน สิ่งที่เธอเห็นมันชั่งเป็นอะไรที่เธอคาดคิดไม่ถึง ทำไมพี่แย้มถึงตกอยู่ในสภาพนั้น แล้วคำพูดที่ว่าจะเอาพี่แย้มไปทิ้งที่อื่นนั่นมันหมายความว่าอะไร...พวกนั้นจะเอาพี่แย้มไปทิ้งจริงๆ หรือ
ถึงเด็กสาวไม่เคยคิดว่าตัวเองฉลาด แต่ทว่าตัวเธอก็ไม่ได้โง่ พี่แย้มจะต้องโดนทำอะไรสักอย่างแน่ อีกอย่าง การที่บอกว่าจะเอาพี่แย้มไปทิ้ง นั่นมันคงไม่ใช่เพียงคำพูดเป็นแน่
เด็กสาวตกอยู่ในภวังค์ความคิด กระทั่งเมื่อได้ยินเสียงเคาะประตูห้องดังมา เธอจึงสะดุ้งเฮือก แล้วรีบลุกไปเปิดดู จึงพบว่าเป็นแคน ชายหนุ่มที่เคยนำทางเธอไปที่ห้องของแม่เลี้ยงพรรณีนั่นเอง
“แม่เลี้ยงสั่งให้ฉันเอาเสื้อผ้ามาให้”
ไม่ทันที่ชายหนุ่มจะพูดจบดี บัวตองก็รีบลากแคนเข้ามาภายในห้อง เด็กสาวเล่าทุกอย่างที่ประสบมาให้แคนได้รู้
ภายหลังที่แคนฟังจบ จึงได้ถอนหายใจหนักๆ ออกมาด้วยใบหน้าหมองเศร้า “แม่เลี้ยงพรรณี มักจะไปหาเด็กสาวสวยๆ ตามหมู่บ้านมาขายบริการให้กับผู้ชายแบบนี้ทุกเดือน ถ้าคนไหนทำงานไม่ไหว หรือป่วยจากโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ แม่เลี้ยงก็จะสั่งให้ลูกน้องคนสนิทหามเอาไปฝังที่ป่าด้านหลังร้านโน่น” แคนตัดสินใจเล่าเรื่องราวที่เขารู้มาให้เด็กสาวที่เพิ่งพบหน้ากันฟัง
เมื่อได้ยินคำบอกเล่าจากชายหนุ่ม เด็กสาวก็หมดแรงอย่างกะทันหัน ร่างทรุดนั่งลงกับพื้น น้ำตาร่วงเผาะลงอาบแก้มด้วยความหวาดกลัว
“ฮึ...แคน นายจะช่วยฉันใช่ไหม นายจะพาฉันออกจากที่นี่ได้ไหม ฮือ...นายต้องพาฉันออกไปนะ ฉันไม่อยากขายตัว” บัวตองพ่นคำพูดออกมาไม่เป็นภาษา ด้วยสติสตังค์ที่เริ่มไม่อยู่กับตัวเสียแล้ว
แคนมีสีหน้าลำบากใจ ก่อนจะกัดฟันพูด “ฉันช่วยเธอไม่ได้หรอก ข้างหน้าร้านลูกน้องแม่เลี้ยงเต็มไปหมด ถ้าฉันช่วยเธอ ฉันต้องตายแน่” ชายหนุ่มรีบวางชุดที่แม่เลี้ยงให้นำมาให้เด็กสาวลงกับพื้น
“เปลี่ยนชุดซะ อีกไม่นานแขกจะมาแล้ว อย่าทำอะไรให้ผิดสังเกต ถ้าแม่เลี้ยงไม่พอใจขึ้นมา เธอจะไม่ต่างอะไรกับพี่แย้มที่เธอเห็นมาแน่” เขาเอ่ยทิ้งท้ายเอาไว้ แล้ว ผลุนผลันจากไป โดยไม่หันกับมามองเด็กสาวอีก
...อะไร...นี่มันอะไรกัน!
บัวตองคร่ำครวญอยู่ในใจ น้ำตาทะลักไหลออกจากดวงตาคู่สวยอาบทั้งใบหน้า นั่งกอดเข่าอย่างหมดอาลัยตายอยากอยู่กับพื้น...นี่มันไม่ใช่ความจริง มันจะต้องเป็นฝันร้าย ฝันร้ายแน่ๆ นี่มันไม่ใช่ความจริง...มันต้องไม่เป็นความจริง!
เด็กสาวมีความคิดหลอกตัวเองวนไปเวียนมาอยู่ในสมอง กระทั่งเมื่อได้ยินเสียงเคาะประตูห้องอีกครั้ง เด็กสาวจึงรีบถลาไปเปิด ด้วยคิดว่าคงเป็นแคนที่กลับมาช่วยตนเป็นแน่
ทว่าบัวตองก็ต้องผิดหวัง เพราะคนที่มาตาม คือพี่เจี๊ยบ หัวหน้าคนงานของเธอนั่นเอง
“แขกมาแล้ว รีบแต่งตัวซะนะ เร็วเข้า อย่าทำให้แม่เลี้ยงไม่พอใจนะ พี่บอกเอาไว้” พูดเป็นเชิญเร่งระคนไปกับการเตือนกลายๆ กับเด็กสาวเพียงเท่านั้น พี่เจี๊ยบก็หันกายเดินจากไปทางหน้าร้าน
บัวตองตัดสินใจอย่างเด็ดขาด เธอเดินไปหยิบชุดที่แม่เลี้ยงให้แคนนำมาให้ขึ้นมาสวมด้วยความรวดเร็ว ก่อนจะเดินออกจากห้องเดินเข้าไปทางประตูหลังร้าน ระหว่างนั้นก็มองหาแม่เลี้ยงพรรณีไปด้วย
บัวตองพบแม่เลี้ยงกำลังยืนคุยกับชายคนหนึ่งอยู่มุมหนึ่งของร้าน จากการมองในระยะไกลทำให้เธอเห็นเพียงว่า ชายคนนั้นมีรูปร่างค่อนข้างสูง ใส่เสื้อแขนยาวสีขาวพับขึ้นมาจนถึงศอก สวมกางเกงสีดำดูมีราคาแพง
เมื่อแม่เลี้ยงหันมาพบเด็กสาว จึงรีบกวักมือเรียก “มานี่สิบัว เสี่ยเต็กกำลังรอหนูอยู่เลย”
บัวตองเดินเข้าไป เมื่อมายืนอยู่ข้างๆ แม่เลี้ยง เด็กสาวจึงเอ่ยขึ้น “คือ หนูไม่อยากทำงานแล้วค่ะแม่เลี้ยง หนูอยากกลับบ้าน ถ้าหนูทำงานคืนนี้เสร็จ พรุ่งนี้หนูขอกลับบ้านนะคะ”
แม่เลี้ยงพรรณีมีสีหน้าไม่พอใจแวบหนึ่ง แต่ก็เอ่ยขึ้นว่า “หลังจากงานคืนนี้เสร็จ เราค่อยมาคุยกันเรื่องนี้อีกทีนะ ถ้าหนูอยากกลับบ้านจริงๆ ฉันก็จะให้กลับ แต่ต้องทำงานคืนนี้ให้ดีก่อน”
พูดกับเด็กสาวเสร็จ แม่เลี้ยงพรรณีก็หันไปยิ้มให้กับชายที่ชื่อเสี่ยเต็ก “เสี่ยคะ นี่หนูบัวค่ะ น้องเพิ่งมาทำงาน ยังไงเดี๋ยวเชิญที่ห้องส่วนตัวเลยนะคะ”
เสี่ยเต็กพยักหน้า “ได้สิ นำไปเลย”
จบคำ แม่เลี้ยงพรรณีก็เดินมาจูงมือบัวตอง พลางกุลีกุจอนำทางไปยังห้องที่ถูกจัดเตรียมเอาไว้ แม่เลี้ยงเดินนำขึ้นมาจนถึงชั้นสอง จากนั้นพาเลี้ยวซ้ายไปเข้าห้อง ซึ่งเปิดประตูรออยู่แล้ว ภายในห้องถูกจัดไว้อย่างหรูหรา ด้านหนึ่งมีทีวีจอใหญ่ถูกติดเอาไว้กับผนัง ด้านข้างมีเครื่องเสียงชุดหนึ่งตั้งอยู่ ตรงกลางห้องมีโซฟาดูมีราคา พร้อมกับโต๊ะซึ่งเต็มไปด้วยอาหารมากมายถูกจัดวางเอาไว้
“หนูบัว รีบไปรินวายมาเสิร์ฟเสี่ยสิลูก” แม่เลี้ยงหันมาสั่งเด็กสาว
บัวตองเดินไปทำตามคำสั่งอย่างว่าง่าย เพราะถ้ายิ่งงานออกมาดี เธอก็คงจะได้จากที่นี่ไปไวๆ แม่เลี้ยงยังอยู่คุยกับเสี่ยเต็กอยู่ครู่ใหญ่ กระทั่งเสี่ยบอกให้ออกไป แม่เลี้ยงจึงเอ่ยทิ้งท้ายเอาไว้อย่างแฝงเลศนัย
“เด็กใหม่นะคะเสี่ย ยังไงก็เบาๆ หน่อย จะไม่มีใครขึ้นมากวน จนกว่าเสี่ยจะลงไป”
“อืม”
เสี่ยเต็กรับคำ แม่เลี้ยงจึงผละจากไป
“ยืนอยู่ทำไม มานั่งข้างพี่นี่มา” เสี่ยเต็กตีมือลงกับโซฟาข้างๆ
“มะ...ไม่เป็นไรค่ะ” บัวตองตอบเกร็งๆ เมื่อต้องอยู่กับผู้ชายที่ตนไม่รู้จักสองต่อสอง
เสี่ยเต็กหัวเราะเบาๆ อย่างถูกใจ “ฉันได้ยินว่าหากงานออกมาไม่ดี เธอจะไม่ได้กลับบ้านไม่ใช่หรือไง”
บัวตองชะงัก นั่นสินะ จะอย่างไรก็แค่นั่น คงไม่เป็นไร...เด็กสาวคิด แล้วค่อยๆ ขยับตัวไปนั่งลงข้างเสี่ยเต็ก ทว่าสิ่งที่เด็กสาวไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น เมื่อก่อนที่เธอจะนั่งลงได้อย่างเรียบร้อยนั่นเอง เสี่ยเต็กก็ยื่นมือมาโอบเอวเธอ พลางยื่นใบหน้ามาคลอเคลียตรงแก้มใส
“แก้มหอมดีจริงๆ ”
บัวตองตกใจ พยายามจะผละตัวหนีสุดแรง แต่มีหรือที่แรงผู้หญิงตัวเล็กๆ จะเท่าเทียมแรงผู้ชายได้ เสี่ยเต็กรั้งร่างบางลงมานอนที่ตัก ประกบจูบลงไปตามริมฝีปากรูปกระจับได้รูปแดงระเรื่ออย่างกระหาย มือลูบไล้ไปตามเรือนร่างเด็กสาวอย่างได้ใจ
เด็กสาวทั้งเตะทั้งถีบ พลางตะโกนร้องให้คนช่วย แต่อนิจจา หาใครจะเข้ามาช่วยเหลือก็ไม่มี เสี่ยเต็กส่งเสียงครางระคนเสียงหัวเราะอย่างย่ามใจ ผละริมฝีปากออกจากปากของเด็กสาว ด้วยกลัวโดนกัดลิ้น เปลี่ยนไปลุกล้ำส่วนอื่นๆ บนร่างของเด็กสาวแทน
เสื้อผ้าที่เธอใส่มาในวันนี้ก็บางมากอยู่แล้ว ดังนั้นเมื่อถูกดึงแรงๆ เพียงไม่กี่ครั้ง ก็ขาดออกไม่เหลือชิ้นดีเสียแล้ว
บัวตองน้ำตาไหลพรากด้วยความกลัว “เสี่ยขา...เสี่ยปล่อยบัวไปเถอะ แล้วบัวจะไม่ลืมบุญคุณเลย” เด็กสาวอ้อนวอนขอความเห็นใจ
ทว่ามีหรือที่เสี่ยเต็กจะยอม “เรื่องอะไรละ รู้หรือเปล่าว่าค่าตัวเธอเท่าไหร่ ยิ่งได้มาเห็นเรือนร่างบอบบางขาวจั๊วะแบบนี้ด้วยแล้ว ให้ตายฉันก็ไม่ยอมพลาดแน่ หึๆ ” สัตว์ร้ายในคราบมนุษย์ผู้ดีมีตระกูลเอ่ยขึ้นเสียงพร่าไปด้วยอารมณ์ดิบเถื่อนทางเพศ ทั้งมือทั้งปาก ยังลุกล้ำไปตามส่วนหวงแหนของเด็กสาวซ้ำๆ
บัวตองไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานเท่าไหร่ เธอรู้สึกถึงเพียงความเจ็บปวดของร่างกาย ประกอบกับน้ำตาหยดแล้วหยดเล่าที่เปียกแฉะอยู่บนดวงหน้า ยิ่งเธอร้องไห้มากเท่าไหร่ สัตว์ ร้ายที่โถมกายอยู่บนตัวเธอ ก็ยิ่งดูเหมือนพอใจมากเท่านั้น ในยามนี้ บัวตองรู้สึกไม่ต่างจากตกนรกทั้งเป็น...ตกนรกทั้งที่ความรู้สึกของร่างกายยังอยู่ครบถ้วน กายที่เธออุตส่าห์หวงแหนมาแต่เด็ก ความภาคภูมิใจที่เธอเคยมี บัดนี้มันพังทลายลงไปด้วยพฤติกรรมอันเลวซามตรงหน้าเสียแล้ว
เมื่อเสี่ยเต็กเสร็จกิจทางกามารมณ์ตามที่ได้ตั้งใจเอาไว้ เขาก็วางใบธนบัตรลงบนโต๊ะปึกใหญ่ ก่อนจะออกจากห้องไป เขายังหันกลับมามองเรืองร่างเย้ายวนที่เคยขึ้นขยำขยี้อีกหลายครั้งด้วยความพึงพอใจ
“หวังว่าเธอจะพอใจจำนวนเงินที่ฉันให้นะ ชะตากรรมของมนุษย์เลือกได้ยาก จำนวนเงินที่ฉันให้ไป น่าจะช่วยครอบครัวเธอได้ไม่น้อย ถึงฉันจะเลวบัดซบแค่ไหน แต่ในเมื่อฉันได้เธอแล้ว ฉันก็ควรมีอะไรตอบแทนเธอบ้าง เพราะถ้าจะรอให้แม่เลี้ยงเอาค่าตัวให้เธอเอง คิดว่าเธอไม่น่าจะได้” เสี่ยเต็กถอนหายใจ ราวกับจะขับไล่ความรู้สึกผิดในใจออกไป “อย่าลืมส่งเงินจำนวนนี้ให้ครอบครัวซะนะ ฉันไปละ”
พูดจบ ชายหนุ่มก็หันหลังเดินออกไปจากห้อง ทิ้งเรือนร่างที่เต็มไปด้วยริ้วรอย และคราบแห่งความโสมมเอาไว้เบื้องหลัง
บัวตองฝืนชันตัวลุกขึ้นนั่งอย่างยากลำบาก ร่างกายเปลือยเปล่าของเด็กสาวสั่นเทิ้มไปด้วยความเสียใจและหวาดกลัวกับเหตุการณ์ที่เพิ่งผ่านไป สองแขนโอบกอดตัวเองอย่างต้องการหาที่พึ่งพิง สายตาหมองเศร้ากวาดกราดไปรอบห้องอย่างระแวง เธอกลัว...กลัวผู้ชายคนนั้นจะหวนกลับมาทำสิ่งนั้นกับเธออีกครั้ง
ในชีวิตของเด็กสาวบ้านป่าคนหนึ่ง ซึ่งไม่เคยพบเจอกับเรื่องโหดร้ายแบบนี้ เหตุการณ์ที่เพิ่งเลยผ่าน กระทบกระเทือนจิตใจเธออย่างหาสิ่งใดเปรียบเทียบไม่ได้ ในความคิดของบัวตอง เธออยากจะตายให้มันรู้แล้วรู้รอดไป ทำไมผู้ชายคนนั้นถึงไม่ฆ่าเธอซะ เธอจะได้ไม่ต้องมาทนทุกข์อยู่แบบนี้ จะได้ไม่ต้องมารู้สึกเจ็บปวด...เจ็บปวดทั้งกาย สมอง และวิญญาณของความเป็นหญิง
เด็กสาวโผเผลุกขึ้นยืนช้าๆ เธอโซเซเล็กน้อย แต่เพราะได้โซฟาและใช้โต๊ะใกล้ๆ เป็นที่ยึดจับ เธอจึงพอประคองตัวเองเอาไว้ได้
บัวตองใช้เสดผ้าที่เห็นว่าชิ้นใหญ่ที่สุดมาพันปิดส่วนสงวนเอาไว้ เพราะเสื้อผ้าที่เธอใส่มาแต่แรกนั้น ขาดไม่เหลือชิ้นดีไปนานแล้ว ระหว่างนั้นเด็กสาวก็เหลือบไปเห็นขวดวายที่ยังดื่มไม่หมดตั้งอยู่บนโต๊ะ ด้วยความคิดชั่วแล่น ทำให้เธอเดินไปคว้ามันขึ้นมาแล้วเงื้อขึ้นเหนือศีรษะของตัวเอง
“พ่อจ๋า แม่จ๋า บัวคงไม่มีหน้าจะกลับไปหาพ่อแม่ได้อีกแล้ว” เด็กสาวรำพึงกับตัวเองเสียงเครือไปด้วยแรงอารมณ์ที่อัดอั้นอยู่ในความรู้สึก น้ำตาหยดแล้วหยดเล่าไหลตามกันลงมาจากดวงตาบวมช้ำ ยามสะท้อนแสงไฟเป็นประกายเลื่อมพรายราวกับไข่มุกเม็ดเล็กๆ
สารบัญ / นำทาง
- 👁️ ยอดวิว 1567
แสดงความคิดเห็น