บทที่ 5...2/3
“คุณพูดเสียอย่างกับว่าอยู่มาเป็นร้อยปีเลยค่ะ” ธามิณียิ้มล้อๆ เพราะหน้าตาของเขาอายุไม่น่าจะเกิน 30 หรอกมั้ง
เรียวปากหนาของศนิกดยิ้มราวกับเย้ยหยันในชะตากรรมของตัวเอง
“หลายร้อยปีต่างหาก เธอรีบกินได้แล้ว เดี๋ยวฉันจะพาเธอกลับ”
ธามิณีมองศนิอย่างไม่อยากเชื่อ ครั้นเธอจะถามต่อก็เกรงใจดวงตาวับๆ ที่พร้อมจะวาร์ปพาเธอไปทิ้งกลางหิมะ ที่เขาพูดมาเป็นความจริงหรือว่าอยากแกล้งให้เธอกลัวกันแน่ ถ้าเขาอยู่มาหลายร้อยปี ตอนนี้ที่เธอเห็นคือใบหน้าที่แท้จริงของเขาซึ่งซ่อนความแก่ชราเอาไว้หรือเปล่านะ ถ้าอย่างนั้นเธอควรเรียกเขาว่าคุณหรือพี่ชาย ไม่สิ น่าจะเรียกว่าคุณปู่ดีกว่าถึงจะไม่ถูกเข้าใจว่าลามปาม
ธามิณีเดินไปที่หน้าต่างเพื่อยืนมองหิมะที่กำลังโปรยปรายในระหว่างที่ศนิออกไปจากห้อง โดยที่เขาไม่ได้บอกว่าจะกลับมาเมื่อไหร่ โชคดีไม่น้อยที่เป็นวันเสาร์ เธอไม่มีเรียนและงานพิเศษก็อยู่ช่วงบ่าย เขาคงพาเธอกลับประเทศไทยทันกระมัง หากการมาง่ายเพียงพริบตาเดียว การกลับไปคงใช้เวลารวดเร็วปานกัน เพียงแค่เธอไม่รู้ว่าต้องใช้วิธีไหนถึงจะทำแบบนี้ได้
การมีชีวิตที่ยาวนานคงทำให้เขาต้องย้ายที่อยู่บ่อยๆ ใช่ไหม ช่างน่าสนใจว่าก่อนหน้านี้เขาไปอยู่ที่ไหนมาบ้าง เขาได้เที่ยวรอบโลกแล้วหรือยังนะ บางทีอาจหลายรอบแล้วก็ได้เพราะเขาบอกว่าอยู่มาหลายร้อยปี เสียงเปิดประตูทำให้ธามิณีหันไปมองแล้วยิ้มให้เขาที่กำลังกลายเป็นคุณปู่ที่หน้าเด็กที่สุดในโลก
“ธามขอถามสักอย่างได้ไหมคะ”
“ได้” ศนิจะไม่ตอบก็ได้ แต่ยัยเด็กนี่คงถามอยู่ดี ต่อให้ในอนาคตเธออายุ 60 ปีก็ยังเด็กมากสำหรับเขาอยู่ดี
“คุณปู่ชื่ออะไรคะ” ธามิณีเม้มปากชักไม่แน่ใจ คงต้องอธิบายสักหน่อย “ก็คุณปู่บอกว่าอยู่มาหลายร้อยปี”
ศนิอยากจะถอนใจดังๆ แต่เปลี่ยนใจเปิดประตูแล้วโอบไหล่พาธามิณีเข้ามายังอีกด้าน เขาอยู่มานานจนป่านนี้แล้วความอดทนย่อมนานพอๆ กับที่ต้องอยู่มานานนั่นเอง
“ฉันมาส่งเธอแล้ว”
เพียงแค่เปิดประตูแล้วเดินมาอีกด้านก็กลับบ้านได้แล้ว ทำไมเธอไม่รู้สึกเวียนหัวเหมือนตอนที่เขาวาร์ปอย่างเมื่อคืนเลยล่ะ จริงๆ แล้วมันก็ต่างกันนิดหน่อย เมื่อคืนเธอถูกวาร์ปจากกลางหิมะเข้ามาในห้อง คราวนี้เขาเปิดประตูเพื่อย้ายมาอีกที่ หากมีตัวกลางอย่างประตูก็จะทำให้เธอไม่รู้สึกเวียนหัวใช่ไหมนะ
ธามิณีมองศนิอย่างทึ่งๆ เรื่องแบบนี้คงธรรมดาเป็นเรื่องปกติสำหรับเขา แต่สำหรับเธอ หากทำแบบนี้ได้คงดี เธออยากรู้ว่ามีประตูขึ้นไปบนสวรรค์ไหม เธอจะได้เปิดประตูบานนั้นไปหาพ่อกับแม่
“แล้วที่ธามถามล่ะคะ”
“ฉันให้ถาม แต่ฉันไม่ได้บอกว่าจะตอบ หวังว่าเราจะไม่พบกันอีก” ศนิหันหลังกำลังจะกลับไปทางประตูบานเดิม
ธามิณียื่นมือออกไปคว้าแขนของร่างสูงใหญ่เพราะคำพูดนั้นของเขา ทั้งที่เธออยากพบเขาในยามเหงา ยามมีความสุข เพราะเขาทำให้เธอรู้สึกว่าการมีชีวิตช่างมีค่า อีกทั้งเขายังเป็นปริศนาที่เธออยากหาคำตอบ อย่างน้อยเขาก็ทำให้ชีวิตของเธอไม่ว่างเปล่า
“ทำไมคุณถึงพูดแบบนั้น คุณเกลียดธามหรือคะ”
ศนิหันมาไม่ทันคิดว่าการสบตาที่แฝงความเศร้าของธามิณีจะทำให้เขาเกิดคำถามว่า เคยมีใครสักบนโลกใบนี้มองเขาแบบนี้มาก่อนไหม คำตอบคือไม่เคย เขาทำให้เธอเศร้าอย่างนั้นหรือ ตอนไหนกัน
“เปล่า การที่เราพบกันนั่นหมายความว่าเกิดเรื่องบางอย่างที่อาจถึงชีวิต เธอไม่สมควรมาตายเพราะฉัน”
สายตาเศร้าๆ ของธามิณีเปลี่ยนเป็นสดใสที่มาพร้อมกับรอยยิ้มทันที ศนิขมวดคิ้วมองความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นภายในเสี้ยววินาที ก่อนจะหันหน้าไปแล้วก้าวเดินต่อพร้อมๆ กับประตูค่อยๆ ปิดลง
“ธามก็ไม่อยากให้คุณตายเหมือนกัน” ธามิณีป้องปากตะโกนออกไป
เขาจะได้ยินไหม ธามิณีไม่แน่ใจนัก แต่เธอได้ยินทุกคำว่าเขาไม่อยากให้เธอตาย ไม่ใช่เพราะเกลียดจึงไม่อยากพบกัน มันน่าอุ่นใจเพราะไม่ว่าเธอจะอยู่ในอันตรายกี่ครั้ง เขาจะมาช่วยให้เธอพ้นจากอันตรายในทุกครั้ง เขาทำแบบนี้เพราะอะไรกันแน่ อะไรที่ทำให้เขาต้องมาหาเธอ หากถาม เขาคงไม่ตอบเธออยู่ดี ว่าแต่เธอจะได้คืนเสื้อเขาเมื่อไหร่ เพราะมัวแต่คิดอะไรไปมากมายทำให้เธอลืมคืนเสื้อให้เขา
ธำรงค์ได้ยินเสียงปิดประตูจากชั้นบนของบ้านที่สาวใช้จะถูกห้ามขึ้นไปหากท่านอยู่จึงเดินขึ้นไปดู เขาเห็นร่างสูงยืนอยู่ตรงหน้าต่างห้อง ทำให้รู้ว่าท่านกลับมาแล้ว แต่เหตุการณ์แบบนี้ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน กำหนดย้ายที่อยู่ของท่านคืออีกประมาณ 7 ปีข้างหน้า แล้วบ้านหลังต่อไปที่ท่านจะไปอยู่ไม่ใช่ประเทศไทยอีกด้วย แต่เขากลับเห็นท่านกลับมาทั้งที่ไม่เคยเป็นแบบนี้มาก่อน อีกทั้งสีหน้าของท่านก็ราวกับมีเรื่องให้คิดจนเคร่งเครียด
“ท่านกลับมาแล้ว ผมควรกังวลใจไหมครับ” ธำรงค์ถามสีหน้าเป็นกังวล
“ไม่มีอะไรหรอก ไม่ต้องหนักใจ ผมแค่แวะมาเท่านั้น”
ธำรงค์ฟังแล้วค่อยคลายความกังวล ก่อนจะขอตัวไปสั่งให้พ่อครัวเตรียมอาหารไว้ให้ท่าน ศนิยังครุ่นคิดทั้งเรื่องที่เคยเป็น ‘ความลับ’ มาตลอด ในตอนนี้มันไม่ได้เป็นความลับอีกต่อไปแล้ว เขาที่ไม่เคยมีจุดอ่อน จนกระทั่งสองร้อยกว่าปีก่อน หลังจากละเมิดกฎสวรรค์ จุดอ่อนของเขาก็เกิดขึ้นทันทีและเป็นแบบนั้นเรื่อยมา
“ใครที่ทำแบบนั้น ใครที่รู้ความลับนี้”
การที่เขาถูกผลึกกาลดึงให้ไปช่วยธามิณีนั้น เขาพบเจอมาหลายครั้งแล้ว แต่ศนิเพิ่งได้รู้เมื่อคืนก่อนว่าผลึกกาลสามารถพาธามิณีมาปกป้องเขาจากอันตรายได้เช่นกัน มันเสี่ยงมาก หากธามิณีไม่แข็งแรงพอ เธอจะตายเพราะผลข้างเคียงจากการที่ผลึกกาลถูกใช้งาน
แสงสีม่วงจากพระเสาร์ที่เจ้าตัวจงใจอำพรางไว้ทำให้มองด้วยสายตามนุษย์ย่อมไม่เห็น ยกเว้นมนุษย์เพียงคนเดียวที่ได้ครอบครองผลึกกาล แต่สายตาของเทพอย่างพระยมย่อมไม่หลุดรอดไปจากการสังเกตการณ์มาตลอด พระเสาร์มักไปอยู่สถานที่ใหม่เพื่อปกปิดตัวตนอย่างน้อย 10 ปีต่อการเดินทาง แต่คราวนี้เพียง 3 ปีก็กลับมายังบ้านหลังเดิม ทั้งที่ไม่ควรเป็นแบบนั้น เหตุผลที่เป็นเช่นนั้นช่างเป็นปริศนา
“แปลก จนน่าสงสัย”
แต่เขาไม่อยู่ในฐานะที่จะถามความสงสัยจากพระเสาร์โดยตรงได้ จากกาลก่อนเขากับพระเสาร์ก็ไม่นับว่าเป็นสหายต่อกันได้ด้วยซ้ำ อีกทั้งเหตุผลที่พระเสาร์ถูกลงโทษก็เพราะเขาเช่นกัน แต่การที่จะรู้ว่าเหตุใดถึงเกิดเหตุการณ์นี้ก็ไม่ยากเกินกว่าพระยมจะสืบหาได้
พระเสาร์กดยิ้มที่มุมปากเมื่อรู้ได้ว่าแสงจันทร์หายไปราวกับใครสักคนมาปิดบังไว้ แม้ว่าแท้จริงแล้วดวงจันทร์กำลังเข้าสู่ม่านหมอกของก้อนเมฆ แต่เขารู้ว่ามีบางสิ่งเกิดขึ้น และสหายสนิทกำลังเดินทางมา ซึ่งใช้เวลาเพียงเสี้ยววินาทีเท่านั้น ชุดที่สหายเทพใส่ก็ทำให้ศนิถึงกับก้มหน้ากลั้นหัวเราะ นี่คือเทพที่กำลังจะไปเดินแบบบนรันเวย์กระมัง ทั้งเสื้อสูททั้งเสื้อคลุมตัวยาว แม้กระทั่งหมวกและรองเท้า ใครจะคิดว่านี่คือเทพราหู
“เราควรแปลกใจหรือตกใจมากกว่ากัน ที่เห็นท่านกลับมาที่นี่เร็วกว่าคาดหมาย” พระราหูขมวดคิ้วพลางนั่งที่เก้าอี้ฝั่งตรงข้ามของโต๊ะที่เต็มไปด้วยอาหารอย่างกับเตรียมไว้รอ
“มีคนลอบทำร้ายเรา คราวนี้เราเจ็บหนักถึงกับหลั่งเลือด ทั้งที่มันเป็นความลับมาตลอด 200 กว่าปี” ศนิเอ่ยเพราะความลับของเขามีเพียงเทพไม่กี่องค์ที่รู้ หนึ่งในนั้นคือพระราหู แต่เหตุการณ์นี้ทำให้ศนิรู้คำตอบสิ่งที่เชื่อมโยงระหว่างเขากับธามิณี โดยมีผลึกกาลเป็นตัวกลางคือ ‘เลือด’ นั่นเอง
“อย่าบอกนะว่าเจ้าสงสัยเรา”
“เปล่า เราเชื่อว่าท่านไม่มีทางหักหลัง” การที่มีอาวุธบางอย่างทำร้ายเทพกึ่งมนุษย์ได้ควรเป็นความลับ การล่วงรู้ว่าอาวุธคือสิ่งใดย่อมไม่ง่าย แต่เวลานี้ได้มีผู้ล่วงรู้แล้ว
พระราหูพยักหน้าพลางหยิบขนมปังมาทาเนย การเป็นเทพไม่ได้มีความหิวใดๆ แต่การกินก็เพียงเพื่อรู้รสเท่านั้น คิดเสียว่าคนเตรียมจะได้ไม่เสียน้ำใจ
“ถ้าอย่างนั้นท่านสงสัยใคร”
“เทพกึ่งมนุษย์ที่แก่นวิญญาณน่าจะสลายไปแล้ว” แม้จะเป็นการคาดเดาของศนิ แต่ในอดีตก็เคยมีเหตุการณ์แบบนี้กับเทพที่ถูกลงโทษเช่นเดียวกับเขา หรือหากไม่ใช่เหตุผลนี้ก็คงเหลือคำตอบเดียว “หรือไม่ เราคงใกล้ดับขันธ์แล้วกระมัง”
สีหน้ารื่นรมย์ของพระราหูเคร่งเครียดขึ้นมาทันที เมื่อได้ยินว่าดับขันธ์ ดวงจิตของเทพกึ่งมนุษย์จะแตกสลายไม่อาจกลับมาเป็นเทพได้อีก ทำได้มากสุดแค่รวบรวมดวงจิตเท่านั้น ซึ่งยากเกินจะกล่าว
“เป็นไปไม่ได้”
“เป็นไปได้สิ เราไม่ใช่เทพ เราคือมนุษย์กึ่งเทพ อดีตก็เคยมีมาก่อนที่เทพซึ่งถูกลงโทษอย่างเรา สุดท้ายจะดับขันธ์เมื่อถึงเวลาหนึ่ง”
สำหรับศนิแล้วการกลับไปเป็นเทพจะมีเพียงเขาได้ผลึกกาลอีกครึ่งกลับคืนมาเพื่อแก้แค้นเท่านั้น หากไม่ได้ผลึกกาลมา การเป็นดวงจิตที่แตกสลายไม่รู้เรื่องราวใดๆ อีกก็ดีอยู่เหมือนกัน
“เวลาของท่านยังไม่มาถึงเร็วนักหรอก”
ไม่มีใครรู้คำตอบว่าแท้จริงแล้วเวลาใดที่ศนิจะเดินทางไปสู่การดับขันธ์ หากการลงโทษดำเนินไปยาวนานกว่านี้ เวลานั้นอาจจะมาถึงได้ ศนิไม่ได้ยี่หระต่อการดับขันธ์เพราะเขาไม่ได้มีสิ่งใดให้ห่วงหามาตั้งแต่แรก เวลานี้ยังคงเช่นเดิม เพียงแต่เขาอยากรู้ว่าหากมันไม่ใช่เหตุผลนี้ ใครกันเล่าที่รู้ความลับนั้นและสามารถทำร้ายเขาได้
ขอบคุณสำหรับการติดตามอ่านนะคะ
อัมราน_บรรพตี
สารบัญ / นำทาง
- 👁️ ยอดวิว 236
แสดงความคิดเห็น