STARCIN ภาคที่ 5 Elforia ตอนที่ 32 ย้ายก้น
ภายใต้แรงกดดันจากสายตาของเหล่าภูตจิ๋วที่มองดูชายหนุ่มที่จะมาช่วยกำจัดสัตว์อสูร ความเกรงกลัวของพวกเขาค่อย ๆ หายไปเมื่อได้เห็นผลงานที่จัดการกับสัตว์อสูรได้แต่ก็ยังคงกังวลเรื่องในอนาคตไม่หาย
"เธอชื่อซอลน่าสินะ ถึงจะไม่ใช้ราชินีภูตตัวจริงแต่ก็มีสิทธิ์ตัดสินใจทุกอย่าง...แล้วราชินีของพวกเธอหายไปไหนล่ะ?"
"จะอยากรู้ไปทำไม? ท่านชาร์ลอทออกไปสำรวจอาณาจักรเซียฉันก็บอกไม่ได้เลยว่าท่านจะกลับมาเมื่อไหร่"
ชาร์ลอทเธอเป็นผู้นำเผ่าคนเดียวที่มีเลเวลเก้า ถ้ามีเธออยู่ตอนทำสงครามสำนักมนตร์ดำก็คงจะชนะได้สบาย ๆ
"ก่อนอื่นพวกเราจะไปสำรวจเส้นทางจากอาณาจักรนอด" ท่าทางสบายใจของซึฮากิทำให้ซอลน่ารู้สึกหงุดหงิดไม่พอใจแต่ก็แค่ชักสีหน้าใส่เท่านั้น
"ทำไมถึงต้องไปที่นั่นล่ะหรือมันมีวิธีหยุดการบุกรุกของสัตว์อสูร"
"จะว่าอย่างนั้นก็ได้"
เส้นทางที่ถูกสัตว์อสูรวิ่งทับราบเป็นหน้ากลองเป็นเหมือนทางให้เดินไปได้สบาย ๆ ตรงไปยังกำแพงขนาดใหญ่ที่ทอดยาวไปไกลราวกับไม่มีที่สิ้นสุด ขณะที่พวกเธอกำลังสอดส่องอยู่ไกล ๆ ประจวบเหมาะกับที่พวกอาณาจักรนอดเปิดประตูปล่อยสัตว์อสูรออกมา
"ยะอย่าบอกนะว่า..." ดวงตาเบิกกว้างจ้องมองไปยังสัตว์อสูรที่โดนขับไล่มายังอาณาเขตภูตจิ๋ว
"ก็อย่างที่เห็น สาเหตุการบุกรุกของสัตว์อสูรมาจากอาณาจักรนอด" ซึฮากิตรงไปยังสัตว์อสูรที่กำลังสับสนว่าจะไปที่แห่งใดขณะเดียวกับที่ทหารของอาณาจักรนอดกำลังจะปิดประตู
"พวกมันคงจะรู้ตัวแล้ว ไปแจ้งหัวหน้าเร็ว !"
"เฮ้ย ๆ ดูมันสิ" ทหารพวกนั้นยืนอึ้งไปครู่หนึ่งเมื่อได้เห็นซึฮากิตัดคอของสัตว์อสูรได้รวดเร็วจนนึกว่าเป็นแค่สัตว์ป่า
"บ้าไปแล้ว เจ้านั่นมันต้องใช้ทหารกว่าสิบคนเลยนะกว่าจะจับได้"
ขณะที่กำลังเฝ้ามองอยู่ตรงประตูซึฮากิก็ค่อย ๆ เดินเข้าไปหาทำด้วยใบหน้าที่เปลี่ยนเป็นคนอื่นแต่ยังคงจิตสังหารอันรุนแรงไว้อยู่
"ออกไปนะเว้ย ! ถ้าข้ามมาแม้แต่ก้าวเดียวจะถือว่าแกบุกรุกอาณาจักรนอดและตัดสินโทษประหารทันที" หอกแหลมของนายทหารชูชันขึ้นระดับสายตาเล็งไปยังใบหน้าของซึฮากิ
ทหารเลเวลห้าสามคน เลเวลหกสองคนบนกำแพงถ้าเป็นระดับหัวหน้าก็น่าจะเลเวลเจ็ดไม่ก็แปด ทำไมวางกำลังรักษาชายแดนอ่อนแบบนี้แต่ฝั่งเรายิ่งหนักกว่าอีกนอกจากจะไม่มีกำแพงกั้นแล้วยังไม่มีคนเฝ้าแม้แต่คนเดียว
"บอกให้ออกไป !" ทันใดนั้นร่างของซึฮากิก็สลายกลายเป็นควันสีดำหายไปต่อหน้าต่อตาอย่างกับปลิวไปตามลม
ยั่วไว้เท่านี้ก็คงพอ ซึฮากิกลับไปรวมกลุ่มกับซอลน่าใบหน้าที่เต็มไปด้วยความตกตะลึงกับการกระทำอันไร้ความคิดของซึฮากิ
"นายทำบ้าอะไร ! เข้าไปยั่วยุพวกมันขนาดนั้นถ้าเป็นอะไรขึ้นมาฉันไม่รับผิดชอบด้วยหรอกนะ"
"ฮึ ๆ ๆ ใจเย็นเถอะน่าเจ้าผีเสื้อตัวน้อย ซึฮากิเขาตั้งใจให้เป็นแบบนั้นอยู่แล้ว...เจี๊ยก"
"หมายความว่ายังไง?"
ขณะที่พวกเธอกำลังวิตกกังวลครุ่นคิดถึงเหตุผลของซึฮากิที่ทำเช่นนั้นเขาก็สอดสายตาจ้องมองพอดี
"ในเมื่ออาณาจักรนอดต้องการทำสงคราม เราก็ต้องสนองสักหน่อย"
"นี่นายเอาจริงอย่างนั้นเหรอ..." เธอมองลึกเข้าไปในดวงตาอันเฉยชาของซึฮากิพลางนึกคิดถึงอดีตที่เคยพบเจอกับคำว่าสงคราม
"นี่ไม่ใช่ปัญหาที่จะแก้ได้ง่าย ๆ ไม่ว่าจะทำยังไงพวกมันก็จะปล่อยสัตว์อสูรเข้ามาเรื่อย ๆ และมีสองทางที่ทำได้ก็คือเจรจาหรือตอบโต้"
"แล้วนายก็ไปยั่วโมโหพวกมันหวังจะก่อสงครามสินะ" เหมือนเธอจะเข้าใจตามที่ซึฮากิบอกคลายข้อสงสัยแต่กลับกังวลมากกว่าเดิม
"นั่นเป็นแค่สารส่งไปยังผู้บังคับบัญชาเท่านั้น สารที่บอกว่าเรารู้สิ่งที่พวกเขาทำแล้วและจะไม่ยอมง่าย ๆ"
"แล้วนายจะทำยังไงต่อ?"
"เราคงต้องเรียกประชุมผู้นำซะก่อน ช่วยส่งจดหมายไปหาพวกเขาให้มารวมกันที่เมืองวิทาในอีกห้าวัน"
"เหอะ จะเป็นยังไงฉันไม่รู้ด้วยแล้ว" แม้เธอจะตอบตกลงแต่ท่าทีกลับอยากปฏิเสธเสียมากกว่าและหลังจากนั้นซึฮากิกับมังกี้ก็มุ่งตรงไปยังอาณาเขตมนุษย์หมาป่าสมทบกับพวกเซน
12 กุมภาพันธ์ พ.ศ.2576
"เฮ้ย ! ไปไหนมาวะ" เสียงทักทายจากเพื่อนมนุษย์หมาป่าที่กำลังแบกตะกร้าใบใหญ่ที่เต็มไปด้วยตั๊กแตน
"ไปซื้อเครื่องปรุงน่ะสิ เดี๋ยวมันไม่ถึงรสตั๊กแตนทอดมัน ๆ เค็ม ๆ"
ชาวเมืองหลาย ๆ คนที่เคยหลีกหนีฝูงตั๊กแตนตอนนี้พวกเขากลับไล่จับกันเป็นว่าเล่นโดยเฉพาะร้านอาหารทั้งหลายในเมืองเล็กเมืองน้อยต่างก็เอาตั๊กแตนมาทำอาหาร ทั้งอยู่ในรูปแบบของของกินเล่นและเครื่องเขียงหรือใช้สำหรับกินกับมื้อหลัก ถ้าเป็นอาณาเขตมนุษย์ก็อาจจะไม่เป็นผลเช่นนี้เพราะมนุษย์หมาป่านั้นกินง่ายอยู่ง่ายกว่าบางครั้งก็กินเนื้อสด ๆ เลยก็ยังได้
"ไม่นึกเลยว่าเมนูจากตั๊กแตนพวกนี้จะนิยมและแพร่หลายได้ไวเพียงนี้ ฉันล่ะขอบคุณพวกนายจริง ๆ" ระหว่างที่พูดคิคิก็หยิบตั๊กแตนทอดเข้าปากไปด้วย
"ฮ่า ๆ ๆ แน่นอนอยู่แล้ว" เซนยิ้มหัวเราะลั่นดูมั่นใจเต็มร้อยและหยิบตั๊กแตนทอดเข้าปากเช่นเดียวกัน
"จากสถิติดูเหมือนจำนวนตั๊กแตนจะลดลงไปสามต่อสิบส่วนในเวลาแค่ไม่กี่วัน ไม่ถึงเดือนก็คงหมดปัญหาตั๊กแตนระบาด...ธุระของเราก็น่าจะหมดแล้วนะ" สเตล่าอ่านรายงานให้ฟังแต่ก็ลืมไปว่าเธอไม่ได้พูดภาษาเดียวกับมนุษย์หมาป่าแต่ด้วยความขี้เกียจก็เลยปล่อยตามเลย
"ถ้าหมดเรื่องที่นี่แล้วต้องไปไหนต่อล่ะ? กิก็ไม่ได้บอกซะด้วยว่าให้ไปรวมกันที่ไหน"
พูดไม่ทันขาดคำก็มีเสียงสัญญาณเตือนอันตรายทำให้ทหารของคิคิรวมตัวกันมุ่งไปยังที่มา
"อะไรอีกวะเนี่ย ! อย่าบอกนะว่ามีแมลงชนิดใหม่มา" คิคิรวมทั้งพวกเซนก็พากันตามไปยังที่เกิดเหตุด้วยความสงสัยแต่พวกเขาก็เห็นสัตว์ประหลาดขนาดใหญ่ตั้งแต่ไกล ๆ ทำเอาชาวบ้านสั่นกลัวไปทั้งร่าง
"แตกตื่นกันจริง ๆ ถ้าอย่างนั้นคุณมังกี้ช่วยกลับคืนร่างก่อนนะครับ" ซึฮากินั่งบนไหล่ของมังกี้ในร่างสัตว์ประหลาดยักษ์ช่วยให้เดินทางได้ง่ายยิ่งขึ้นแต่ก็แลกมากับการเป็นจุดสนใจ
"กิ !" เซนกระโดดพุ่งมาแต่ไกลหวังจะกอดแต่ซึฮากิก็เบี่ยงตัวหลบทำให้เซนลอยไปกระแทกกับต้นไม้แทน
"ให้ตายสิ นึกว่าเราจะต้องสุ่มเมืองไปหานายซะแล้ว" สเตล่าเดินเข้ามาทักด้วยใบหน้ายิ้มเล็กยิ้มน้อยดูมีอะไรอัดอั้นในใจ
มังกี้และคานะตีมือทักทายกันเว้นแต่เซนที่เดินออกมาจากพุ่มไม้เนื้อตัวเต็มไปด้วยดินโคลน
"เราคงต้องเปลี่ยนแผน หลังจากที่ได้ไปตรวจสอบอาณาเขตภูตจิ๋วก็ได้เห็นต้นเหตุที่แท้จริง เจ้าพวกอาณาจักรนอดมันต้องการสงครามเราก็ต้องสนองให้มันสักหน่อย"
ใบหน้าอันงุนงงของพวกคานะรวมทั้งคิคิกำลังจ้องมองซึฮากิ สงครามที่อยู่ใกล้ตัวกว่าที่คิดค่อย ๆ รุกคืบกลืนกินก่อนจะอธิบายทุกอย่างให้ฟังพวกเขาก็พากันไปที่พัก
...
ห้องครัวที่คุ้นเคยค่อย ๆ ต่อเติมให้ใหญ่ยิ่งขึ้น มีพื้นที่มากพอให้ทำอาหารหลากหลายโดยที่ยูกิยังคงทำงานด้วยตัวคนเดียวเหมือนเดิม
หม้อที่สิบแล้ว เขายิ้มอย่างพึงพอใจหลังจากทำอาหารจำนวนมากเพื่อเอาไปขายต่อให้กับนักผจญภัยรวมถึงชาวเมืองเอลโฟเรีย
"พี่ยูกิทำอะไรกินบ้างครับ?" โดยปกติพวกเด็ก ๆ ก็จะเข้ามาหายูกิเพราะเขามักจะทำอาหารให้กิน
ด้วยความสงสัยของเด็กตัวน้อยที่เห็นสมุนไพรของยูกิวางบนโต๊ะแอบคิดว่ามันจะอร่อยเหมือนที่ยูกิทำให้กินหรือไม่แต่เมื่อเขาได้กินสมุนไพรที่มีลักษณะคล้ายกับตะไคร้เข้าไปหนุ่มน้อยก็ล้มลงทันที
"กรี๊ด! นายเป็นอะไร" เสียงกรีดร้องแตกตื่นของเพื่อน ๆ ทำให้ชาวเมืองที่อยู่ใกล้ ๆ มุ่งตรงมาหาทันทีเช่นเดียวกับยูกิที่อยู่ในครัว
"ทำไมถึงเป็นแบบนี้ล่ะ?" ยูกิประคองร่างของเด็กตัวน้อยดูท่าทางชักดิ้นชักงอตัวร้อนเหมือนโดนไฟเผาแต่ยังคงมีสติอยู่บ้าง
"เขากินสมุนไพรบนนั้นเข้าไปค่ะ" เสียงอันสั่นสะอื้นพร้อมกับน้ำตาที่กำลังเอ้อล้นออกมาพยายามจะตะโกนขอความช่วยเหลือ
สมุนไพรเหรอ เวรเอ๊ยนั่นมันต้นรามมีฤทธิ์ทำให้หัวใจเต้นเร็ว ยูกิกัดเล็บตัวเองคิดหนักจนหัวแทบจะระเบิดขณะที่ชาวบ้านอีกคนกำลังร่ายเวทรักษาแต่มันก็ไม่ได้ช่วยอะไร
"ไม่รู้ว่าจะได้ผลหรือเปล่าแต่ก็ต้องลอง" ยูกิวิ่งกลับเข้าไปในครัวหยิบสมุนไพรอีกตัวมาด้วย
"มะขามดำถือเป็นขั้วตรงข้ามของต้นราม แต่ฤทธิ์ของต้นรามมีมากกว่าเกือบสิบเท่า" ยูกิใช้เวทมนตร์บีบและคั่นน้ำออกมาจากมะขามดำให้เด็กน้อยผู้น่าสงสัยกินแต่ท่าทีก็ยังไม่ดีขึ้นเลย
"แม่งเอ๊ย ! พวกนายช่วยไปเอามะขามดำมาเพิ่มด่วนมันอยู่ทางตะวันออกของเมือง"
"ครับคุณยูกิ" ชาวเมืองเกือบสิบคนพากันออกไปหาสมุนไพรตามที่ยูกิบอกภายใต้แรงกดดันของความเป็นความตาย
ทำไมข้าต้องวางมันไว้ตรงนี้ด้วยเนี่ย ขอร้องล่ะอย่าเป็นอะไรเลย มะขามดำอันน้อยนิดกำลังจะหมดลงจนเหลือเพียงชิ้นสุดท้าย
แบบนี้แย่แน่ ถ้าพวกเขากลับมาช้ากว่านี้อีกห้านาทีเขาคงไม่รอด ยูกิกัดฟันกรอกน้ำมะขามดำให้กับเด็กน้อยครั้งสุดท้ายแต่ทันใดนั้นเธอก็ได้เห็นข้อความโผล่ขึ้นตรงหน้า
[ขอแสดงความยินดีกับ คุณยูกิ เอลโฟเรีย ที่ปลุกพลังเดอะกุ๊กได้สำเร็จ ตอนนี้คุณสามารถใช้งานพลังของเดอะกุ๊กได้อย่างอิสระ]
"หา? นี่มันอย่าบอกนะว่า" เขาสูดหายใจลึก ๆ ตั้งสมาธิกับการใช้มานาเหมือนกับรู้ว่าต้องทำอะไร
เพิ่มผลของมะขามดำสิบเท่าไม่สิยี่สิบเท่า เมื่อน้ำมะขามดำอึกสุดท้ายกลืนลงท้องไปเด็กน้อยก็ลืมตาหายใจได้ปกติค่อย ๆ ฟื้นคืนสภาพร่างกาย
"พวกเรากลับมาแล้วครับ !" ไม่นานชาวบ้านที่ออกไปตามหามะขามดำก็มาถึง
"ดูเหมือนจะไม่เป็นอะไรแล้วล่ะ ขอบใจที่ช่วยแล้วกัน" หลังจากที่ยูกิพาตัวเด็กน้อยออกมาให้ชาวบ้านเห็นทำให้พวกเขาโล่งใจเป็นอย่างมากและเข้ามาดูอาการให้แน่ใจ
ความรู้สึกเมื่อกี้มัน...เหมือนกับก่อนหน้านี้ไม่มีผิดเลย ยูกิกลับเข้าไปในครัวเพื่อคลายข้อสงสัยและเริ่มทำอาหารอีกครั้ง
ถ้ามันทำแบบนั้นได้จริงมันจะดีแค่ไหนกันนะ " [เพิ่มผลพลังกาย] " วัสดุจากมอนสเตอร์หลายชนิดสามารถเพิ่มมานาและพลังเวทได้ชั่วคราวขณะที่ยังย่อยมันอยู่แต่เมื่อยูกิใช้พลังของเดอะกุ๊กอีกครั้งก็ยิ่งทำให้ความสามารถเหล่านั้นเพิ่มมากขึ้น
"ฮ่า ๆ ๆ สุดยอดไปเลยนี่ ถ้าเพิ่มผลของการต่อต้านสถานะ เยียวยาร่างกาย ฟื้นมานาหรือทำมันทุกอย่างเลยจะดีแค่ไหน แล้วเพิ่มรสชาติล่ะจะทำได้ไหม?"
และเมื่อเย็นวันนั้นพวกเขาก็ต้องตกตะลึงเมื่อได้เห็นบางสิ่งลอยอยู่เหนือน่านฟ้าเมืองเอลโฟเรีย ไม่นานนักมันก็ร่อนลงพื้นไม่ไกลจากตัวเมืองขณะเดียวกับที่คิโนริวิ่งหน้าตั้งออกไปก่อนใคร
"พี่กิ !" เธอตะโกนเรียกแต่ไกลทั้ง ๆ ที่ยังไม่เห็นหน้าแต่ก็สัมผัสได้จากกลิ่นของพวกเขา
เธอพุ่งกระโดดยกแขนอ้าทั้งสองข้างพร้อมกอดเช่นเดียวกับซึฮากิที่นั่งลงเล็กน้อยเพื่อให้อยู่ในระดับเดียวกัน
"ทำไมล่ะกิ...ทำไมทีเป็นฉันถึงหลบเล่า" เซนเข่าทรุดลงพื้นเงยหน้ามองซึฮากิและคิโนริกอดกันกลมจนคานะต้องเข้ามาปลอบ
"ลุกขึ้นเถอะน่าเรามีเวลาไม่มาก" สเตล่ายิ้มเยาะที่ได้เห็นสภาพเซนนั่งกับพื้นทำหน้าเศร้า
"อะคุณมังกี้ ได้ออกไปเที่ยวเป็นยังไงบ้างคะ?" เธอเดินเข้ามากอดมังกี้และเขย่าตัวเธอท่าทางตื่นเต้นจนห้ามตัวไม่อยู่
"ถึงจะไม่ค่อยได้ทำอะไรก็เถอะแต่ได้ใช้ร่างยักษ์บ่อยกว่าตอนที่อยู่ที่นี่แน่นอน แล้วก็ได้เห็นการทำงานของพวกซึฮากิด้วยสมกับเป็นซึฮากิจริง ๆ นะ...เจี๊ยก"
ทักทายกันได้ไม่นานซึฮากิก็เรียกประชุมสภาของเอลโฟเรียที่บ้านหลัก พวกเขาหลาย ๆ คนไม่เคยเห็นหน้าซึฮากิด้วยซ้ำเพราะเขามักจะออกไปทำธุระเมืองอื่นแล้วปล่อยให้คนในเอลโฟเรียจัดการกันเอง
"ดูเหมือนจะมีหน้าใหม่เข้ามาอีกแล้วสินะ แต่ถ้าตรวจสอบภูมิหลังกับความสามารถแล้วก็ไม่มีปัญหา"
"เอ่อ...ผู้อาวุโสครับเขาเป็นใครเหรอครับ?" ชายหนุ่มหน้าใหม่กำลังกระซิบถามกับเอลฟ์สูงวัย
"ลืมแนะนำไปเลย เขาคือผู้นำเอลโฟเรียของเราเนี่ยแหละถึงจะไม่ค่อยอยู่ที่นี่ก็เถอะ"
"หา? คนแบบนั้นเหรอเป็นผู้นำ"
"หยุดคุยแล้วตั้งใจฟังให้ดี" แม้ซึฮากิจะไม่ได้ตะโกนเสียงดังแต่แค่กวาดสายตามองก็ทำให้พวกผู้อาวุโสนิ่งเงียบทันที
"คงจะมีคนใจไม่สู้ดีถ้าฉันบอกว่ากำลังจะมีสงครามอีกครั้ง" เป็นไปตามที่ซึฮากิคาดหลังจากที่ป่าวประกาศออกไปเช่นนั้นพวกเขาต่างก็วิตกกังวลมองหน้ากันไม่พัก
"ไม่ต้องห่วงเพราะเอลโฟเรียนั้นอยู่ห่างไกลจากชายแดนมากมีเวลาเตรียมตัวมากกว่าที่อื่นแต่การรักษาความปลอดภัยของเรายังอ่อนเกินไป เพราะฉะนั้นฉันจะยกระดับมันอีกสักหน่อยก่อนจะออกเดินทางอีกครั้ง"
"คุณจะไปอีกแล้วเหรอครับ?" เอลฟ์หนุ่มที่ดูมีความสุขุมใจเย็นมากกว่าใครยกมือถาม
"อืม...มันมีเรื่องต้องจัดการค่อนข้างเยอะ เพราะฉะนั้นฉันถึงต้องฝากให้นายจัดการยังไงล่ะโค"
"ก่อนอื่นทุกคนคงสงสัยพาหนะใหม่ที่พวกเราใช้เดินทางกลับมา สิ่งนั้นมีชื่อเรียกว่าเครื่องบินซึ่งเป็นรูปแบบผสมผสานระหว่างเครื่องจักรกับเวทมนตร์ ฉันจะเขียนแบบแปลนรวมทั้งสอนวิธีขับให้กับตัวแทนไว้"
หลังจากพูดจบก็มีหนึ่งในเอลฟ์อาวุโสยกมือต่อ "ช่วยอธิบายการยกระดับความปลอดภัยได้ไหมครับ?"
"ก่อนอื่นเราจะจัดตั้งเจ้าหน้าที่คุ้มครองเมืองที่จะกระจายกันไปทั่วเมือง นอกจากเมืองที่ขยายใหญ่แล้วการดูแลก็ไม่ครอบคลุมจากที่ฉันเฝ้ามองตั้งแต่กลับมา โรงเรียนที่สั่งสอนตั้งแต่พื้นฐานไปยันการต่อสู้ทั้งด้านกายภาพและเวทมนตร์ และอีกหนึ่งอย่างก็คืออาวุธแบบพิเศษที่ฉันจะทำแปลนและตัวอย่างไว้ให้"
"ต้องจดให้ทันนะเจ้าหนู" ผู้อาวุโสกล่าวกับเด็กใหม่ที่เข้ามานั่งแท่นสมาชิกสภาเมื่อกวาดสายตามองก็เห็นพวกเขากำลังก้มหน้าก้มตาจดสิ่งจำเป็นให้ไวขณะที่ซึฮากิพูดไม่หยุด
"ปืนเวทมนตร์รูปแบบที่หนึ่งอัตราการยิงสูงสุดนัดต่อวินาทีโดยพลังทำลายของมันขึ้นอยู่กับปริมาณพลังเวทของผู้ใช้ ทั้งนี้ยังมีอาวุธประเภทจับกุมอย่างปืนตาข่าย ปืนไฟฟ้า หรือประเภทอาวุธสงครามอย่างปืนระยะไกล เครื่องยิงระเบิด ป้อมปราการรอบนอกสำหรับสอดส่องศัตรูและต่อต้านได้ทั้งกองทัพภาคพื้นและบนอากาศ ส่วนสำคัญ ๆ ก็คงจะมีเท่านี้ถ้ามีเรื่องอะไรจะติดต่อผ่านหินสื่อสารอีกครั้ง ดะเดี๋ยวยังมีอีกเรื่องก็คือเรื่องไฟฟ้าแต่อ่านเอาจากในเอกสารก็คงจะเข้าใจ"
"ครับคุณซึฮากิ" หลังจากที่ซึฮากิพูดเรื่องของตัวเองจบเขาก็เดินออกจากห้องประชุมไปเลยทิ้งแค่เอกสารแผนการไว้
"โห...เขาพูดไม่หยุดเลยแถมยังมีแต่อะไรแปลก ๆ ก็ไม่รู้" เด็กใหม่อุทานออกมาทันทีที่ซึฮากิออกไปราวกับเป็นอาจารย์กำลังสั่งสอนลูกศิษย์ที่ใคร ๆ ต่างก็ต้องเคารพ
"ตอนฉันเข้ามาแรก ๆ ก็แบบนี้แหละ ทั้งงงทั้งมึนตามที่เขาพูดไม่ทันเลย...ใช่ไหมโค"
โคหัวเราะในลำคอก่อนจะตอบกลับ "ทำตัวให้ชินเสียเถอะ ถ้าได้เห็นแบบแปลนของเขาแล้วจะงงยิ่งกว่านี้แต่ยังดีที่พวกเรานายช่างเก่ง ๆ เยอะ"
การประชุมในเอลโฟเรียจบลงได้ด้วยดีแต่ก็ต้องไปประชุมกับผู้นำแต่ละอาณาเขตอีกครั้ง
"ยังไงเราก็มีเครื่องบินอยู่แล้วเดินทางแค่ไม่กี่ชั่วโมงก็ถึง เพราะฉะนั้น...พักสิครับ" เซนกระโดดดีใจที่จะได้นอนกระดิกเท้าสบาย ๆ แต่พอได้สบตากับซึฮากิก็รู้ตัวทันทีว่ากำลังจะทำอะไร
"เราจะสร้างเครื่องบินที่ใหญ่กว่านี้ นายไม่ได้สังเกตเลยหรือยังไงที่เราอัดเป็นปลากระป๋องกลับมาน่ะ แล้วก็ยังมีโรงไฟฟ้ากับระบบการไฟฟ้าทั่วเมืองอีกที่ต้องทำก่อนไป"
"เฮ้อ ! จะอะไรก็รีบทำให้เสร็จเถอะ" เซนถอนหายใจเสียงดังเป็นดั่งสัญญาณว่าเขาไม่พอใจ
"จะสร้างไฟฟ้าเลยเหรอแล้วพวกเขาจะใช้กันเป็นไหมเนี่ย ไม่ใช่ว่าทำพลาดแล้วเกิดไฟไหม้ขึ้นมาล่ะ" คานะถามขณะที่ลูบหัวเซนไปด้วย
"ฉันฝากพวกโคให้จัดการแล้ว แล้วก็อุปกรณ์ไฟฟ้าส่วนใหญ่ใช้วัสดุที่หายากกว่าจะทำได้ เลยมีแผนจะทำแค่หลอดไฟให้ใช้ไปก่อนอย่างน้อยก็ไม่ต้องใช้ตะเกียงน้ำมันแบบนี้ แล้วก็พวกนายเอาตั๊กแตนมาทอดกินใช่ไหมเห็นที่นั่นมีวางขายเต็มไปหมด"
"ก็แหม่เราไม่ได้รู้ทุกอย่างเหมือนนายสักหน่อย แต่ถ้าเรื่องของกินละก็ไม่พลาดแน่นอน"
ซึฮากิยิ้มอ่อนเหมือนกำลังหัวเราะอยู่ในลำคอแต่ก็เบือนหน้าหนีเสียก่อน
"ไปกันเถอะไปทำงานให้เสร็จก่อนจะถึงวันประชุม"
16 กุมภาพันธ์ พ.ศ.2576
หลังจากที่ทุ่มเวลากับการทำงานสร้างอุปกรณ์มากมายให้กับเมืองเอลโฟเรียและทิ้งแบบแปลนไว้ให้กับนายช่างที่มี พวกเขาก็เดินทางออกไปด้วยเครื่องบินลำใหม่ใหญ่พอที่จะจุคนได้นับสิบ
"นายแน่ใจนะว่าจะมากับเราด้วย?" คานะเอ่ยถามกับเด็กหนุ่มผู้มีหน้าตาเรียบเนียนดั่งหญิงสาว
"ก็เออน่ะสิข้าอยากจะไปหาอาหารใหม่ ๆ หรือไม่ก็วัตถุดิบแปลก ๆ เพื่อเพิ่มทักษะการทำอาหารของข้า"
"คำพูดต่างกับหน้าตาชะมัดเลย"
"เงียบไปเลยเซน ! ยังอยากกินอาหารของข้าอยู่ไหม"
เที่ยวบินอันแสนวุ่นวายได้มาถึงเมืองวิทาที่นัดหมายแม้พวกเขาจะไม่ได้รู้สึกอะไรแต่คนอื่นกลับสั่นกลัวเมื่อได้เห็นเครื่องบินที่ไม่รู้จักทำอย่างกับเป็นสัตว์อสูรตัวหนึ่ง
"คราวนี้มีเรื่องอะไรอีกล่ะ?" วาเลี่ยมเอ่ยถามในที่ประชุมคนแรกขณะที่ซึฮากิกำลังนั่งเก้าอี้
"ก็ไม่มีอะไรมากแค่อาณาจักรนอดพยายามจะทำสงครามทางอ้อม"
"นั่นคือไม่มีอะไรมากเหรอ?" คิคิเอนหลังพิงเอาเท้าขึ้นไขว้บนโต๊ะ
"เอาเป็นว่าพวกเราจะแฝงตัวเข้าไปในอาณาจักรนอด ถ้าพวกมันต้องการสงครามจริง ๆ เราก็จะเข้าไปทำลายจากภายในแทน"
"เป็นความคิดที่ดีถ้าอย่างนั้นก็จบการประชุม" ผู้นำเผ่าฮาร์พียิ้มเยาะหยอกล้อ
"นั่นเป็นหน้าที่ของเราแต่พวกคุณทั้งหลายก็ต้องเพิ่มมาตรการความปลอดภัยด้วย ถึงตอนนี้การบุกทางทะเลจะไม่มีแต่ก็อย่าชะล่าใจ เรามีศึกทั้งอาณาจักรนอดและเซียอีกทั้งการละเมิดสนธิสัญญาก่อนก็ไม่ดี เราจะแฝงตัวเข้าไปและเช่นเดียวกับพวกเขาก็อาจจะแฝงตัวเข้ามาแล้วก็ได้"
ช่วงเวลาอันตึงเครียดของการประชุมหาทางออกต่อให้อีกฝ่ายลอบเข้ามาก็ไม่อาจรับรู้ได้เพราะไม่มีการทำบันทึกประชากรจึงได้แต่ขัดกรองการเข้าถึงข้อมูลลับภายในแทน
"ฉันหาทางลักลอบเข้าอาณาจักรนอดได้แล้ว เตรียมตัวกันให้ดีล่ะ"
พวกเขาเอาเครื่องบินจอดไว้ที่อาณาจักรฮาร์พีใช้เส้นทางเชิงเขาที่ทอดยาวข้ามไปยังอาณาจักรนอดลักลอบเข้าไป เนื่องจากเส้นทางทางภูมิศาสตร์ทำให้ยากต่อการเดินทางจึงไม่มีการสร้างกำแพงป้องกัน
"ฝากด้วยล่ะแฟรงค์ !" สัญญาณเสียงของซึฮากิทำให้มันบินล่วงหน้าไปหลายร้อยเมตรเพื่อสอดส่องดูทหารชายแดน
"สามคนกำลังเดินออกไปกับอีกสองคนข้างหน้าสองร้อยเมตร"
ด้วยการใช้นกเป็นหน่วยสอดแนมทำให้พวกเขาสามารถรอดผ่านการเดินลาดตระเวนของพวกทหารไปได้แต่ต่อให้ไม่ใช้เจ้าแฟรงค์ก็น่าจะผ่านไปได้เหมือนกันเพราะความประมาทเลินเล่อของพวกเขาทำเป็นทองไม่รู้ร้อนเอาแต่นั่ง ๆ นอน ๆ
"ถ้าเหมือนในแผนที่ก็น่าจะอีกประมาณสามสิบกิโลเมตรเราก็จะถึงเมืองเมืองหนึ่ง เราจะแฝงตัวเข้าไปในนั้นเพื่อสำรวจพฤติกรรมของคนที่นี่" ซึฮากิเป็นคนนำทุกย่างก้าวโดยไม่มีใครขัดเลยสักคำ
"เอ่อกิ ถึงจะมาถามเอาป่านนี้ก็เถอะ แต่ฉันยังสงสัยในตัวนายอยู่เรื่องหนึ่ง" เซนเอ่ยถามขึ้นมาขณะที่กำลังเดินเท้าผ่านป่าไปยังเมือง
"ว่ามาเลยเก็บข้อคล้องใจไว้ก็ไม่ได้อะไร"
"นายเป็นใครกันแน่? ตั้งแต่มายังโลกนี้นายก็ดูใจเย็นกว่าใครและที่สำคัญตอนที่ฉันเห็นนายฆ่าคน...นายก็ยังใจเย็นได้อยู่" ไม่ใช่เพียงแค่เซนเท่านั้นที่สงสัยแต่ทั้งคานะ สเตล่าและยูกิก็เฝ้ารอคำตอบเช่นกัน
"อืม ฉันก็ไม่อยากปิดบังหรอก...ฉันเคยฆ่าคนมาก่อนแล้ว"
ทันใดนั้นพวกเซนก็หายตัวไปเหลือเพียงต้นไม้สูงใหญ่กับเสียงลมที่พัดผ่าน
"บรรยากาศแบบนี้ เธอเองสินะ" ซึฮากิเหลือบมองไปยังหญิงสาวในชุดรัดรูปสีดำเหมาะแก่การเคลื่อนไหว
"แหม่ ๆ ไม่ได้เจอกันนานเลยนะคุณ ซึ ฮา กิ โว ฟอยด์"
"เฮอะ เธอคงมีงานอดิเรกคือการแอบดูประวัติคนอื่นสินะ สำหรับพระเจ้าแบบเธอก็คงจะว่างมากล่ะสิ"
"เอาเถอะน่าแค่นิดหน่อยไม่เห็นเป็นอะไรเลย ก็นะ...ประวัติของนายมันน่าสนใจมาก ๆ จนอดใจไม่อยู่เลย"
"แล้วคราวนี้มีเรื่องอะไร?" ซึฮากิชักสีหน้าอย่างเห็นได้ชัดไม่แม้แต่จะสบตากับเธอ
"ก็ไม่มีอะไรมากหรอกก็แค่จะมาบอกว่าเหล่าจอมมารเริ่มเคลื่อนไหวแล้ว แต่ระดับนายก็คงจะรู้อยู่แล้วเพราะฉะนั้นที่มาหาก็แค่อยากจะเจอหน้าเฉย ๆ" ใบหน้าอันสดใสที่กำลังยิ้มยียวนพยายามจ้องหน้าซึฮากิไม่พัก
"โอะ ๆ ขอดูหน่อยสิว่าคิดอะไรอยู่ นั่นไงล่ะนายคิดเยอะจนฉันแปลกใจจริง ๆ รูปแบบความคิดของนายมันไม่ใช่มนุษย์เลยสักนิดหรือเพราะการทดลองอะไรนั่นกันนะ?"
"ถ้ามาเพื่อแค่นี้ก็อย่ามาเลยดีกว่า" ซึฮากิแบะปากส่ายหัวและถอนหายใจอีกทั้งยังโบกมือไล่เสียด้วย
"ฮิ ๆ ๆ ฉันชอบหน้าแบบนั้นนะ ต่อไปก็แสดงสีหน้าให้เพื่อน ๆ บ้างล่ะ...แล้วเจอกัน" เธอยกมือขึ้นในระดับสายตาเหมือนกับกำอะไรไว้ในมือแต่ซึฮากิก็เชิดหน้าหนีไม่สนใจ
สารบัญ / นำทาง
- 👁️ ยอดวิว 224
แสดงความคิดเห็น